กำกับ: จินเชิน
เขียนบท: เมิ่งฮวน, หวงฮุ่ยอี๋, หลี่ย่าเฟย, หลิวหยาง, ฉือไห่, หวังเฉา
แนวละคร: กำลังภายใน
จำนวนตอน: 37
ออกอากาศ: จีน - 26 กรกฎาคม 2561 ทางสตรีมมิ่งเว็บไซต์: โยวคู่ วิดีโอ (Youku video) และเถิงซวิ่น วิดีโอ (Tencent video)
ไทย - ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 14.00-15.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD (หมายเลข 30) ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2561 - 17 กุมภาพันธ์ 2562
เรื่องย่อ
ละคร "กระบี่เย้ยยุทธจักร 2018" (The Smiling, Proud Wanderer) ดัดแปลงมาจากนวนิยายกำลังภายในเรื่อง "เซี่ยวอ้าวเจียงหู" (The Smiling, Proud Wanderer) ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดผลงานของ "กิมย้ง" ถูกนำมาเผยแพร่เป็นครั้งแรกบนหน้าหนังสือพิมพ์ "หมิงเป้า" (ของกิมย้งเอง) ในฮ่องกง ระหว่างวันที่ 20 เมษายน 2510 - 12 ตุลาคม 2512 แปลเป็นภาษาไทยโดย "น.นพรัตน์" เดิมใช้ชื่อเรื่อง "ผู้กล้าหาญคะนอง" ภายหลังเป็นที่รู้จักในชื่อ "เดชคัมภีร์เทวดา" (ตามชื่อภาพยนตร์ฮ่องกง) ก่อนเปลี่ยนชื่อนิยายเป็น "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ในที่สุด
"กระบี่เย้ยยุทธจักร" เป็นนิยายกำลังภายในเรื่องเดียวของกิมย้งที่ไม่อ้างถึงประวัติศาสตร์ในยุคใด แต่เป็นการเขียนเพื่อเสียดสีการเมืองในยุคนั้น (เป็นช่วงที่ประเทศจีนเกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และมีการต่อสู้ภายในเพื่อแย่งชิงอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์) เนื้อหากล่าวถึงเรื่องราวความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งในยุทธจักรระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม แต่ทว่าฝ่ายธรรมะใช่จะมีแต่คนดีจึงเกิดมีวิญญูชนจอมปลอมที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้เป็นใหญ่ เช่นเดียวกับฝ่ายอธรรมที่ไม่ได้มีแต่คนชั่วช้าเสมอไป ทำให้เกิดความสับสนว่าใครเป็นฝ่ายธรรมะและอธรรมกันแน่
เนื้อหาในละครเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์เมื่อ 18 ปีก่อน... ในตอนนั้นสิบผู้อาวุโสแห่งพรรคตะวันจันทรา ได้บุกขึ้นไปบนยอดเขาหัวซาน จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างอาวุโสพรรคมารกับยอดฝีมือฝ่ายธรรมะ ด้วยความที่สิบผู้อาวุโสมีฝีมือสูงส่งกว่า ยอดฝีมือฝ่ายธรรมะจึงบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ฝ่ายธรรมะเห็นท่าไม่ดีเลยจำต้องใช้กลลวงเพื่อล่อให้สิบผู้อาวุโสเข้าไปติดกับภายในถ้ำ ก่อนขังลืมไว้ในนั้นจนเสียชีวิตทั้งหมด (ก่อนตายเหล่าผู้อาวุโสได้คิดค้นเคล็ดวิชาใหม่ที่สามารถปราบเพลงกระบี่ของห้าสำนัก จึงจารึกกระบวนท่าต่างๆ ลงบนผนังถ้ำ ซึ่งภายหลัง "ลิ่งหูชง" (หรือ "เล่งฮู้ชง" ในสำเนียงแต้จิ๋ว) ได้มาเห็นเข้าโดยบังเอิญ)
แปดปีต่อมา สำนักซงซาน, หัวซาน, เหิงซาน (恒山- เป็นสำนักแม่ชี), ไท่ซาน และ เหิงซาน (衡山) ซึ่งจับมือกันเป็นสมาพันธ์สำนักกระบี่เรียกว่า "ห้าขุนเขากระบี่" พร้อมเหล่ายอดฝีมือจากสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะได้พากันบุกผาไม้ดำเพื่อกวาดล้างพรรคตะวันจันทรา หลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น ห้าขุนเขากระบี่ สำนักเส้าหลิน และบู๊ตึ๊ง จึงได้ชื่อว่าเป็นสามเสาหลักของยุทธภพ ขณะเดียวกันก็เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็น 3 ขั้วอำนาจใหญ่
* ห้าสำนักกระบี่ดังกล่าวตั้งชื่อตามสถานที่ตั้ง (ซาน แปลว่า ภูเขา) โดยเขาซงซาน (ภูกลาง) อยู่ในมณฑลเหอหนาน, เขาหัวซาน (ภูตะวันตก) อยู่ในมณฑลซานซี, เขาเหิงซาน (恒山) หรือ ภูเหนือ อยู่ในมณฑลซานซี, เขาไท่ซาน (ภูตะวันออก) อยู่ในมณฑลซานตง และเขาเหิงซาน (衡山) หรือ ภูใต้ อยู่ในมณฑลหูหนาน
สิบปีต่อมา "ซ่างกวนอวิ๋น" หัวหน้าหน่วยไป๋หู่แห่งพรรคตะวันจันทรา ("ไป๋หู่" แปลว่า "เสือขาว" - เป็นหนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่) ถูกศิษย์สำนักซงซานนำโดย "เฟ่ยปิน" วางกำลังล้อมจับและพูดจาเยาะเย้ยถากถาง ซ่างกวนอวิ๋นจึงประณามเฟ่ยปินและศิษย์สำนักซงซานว่าเป็นพวกหมาหมู่ แต่ศิษย์สำนักซงซานขอเพียงได้กำจัดคนพรรคมารจึงไม่สนว่าวิธีการจะหยาบช้าและสกปรกหรือไม่ ขณะที่พวกเขากำลังจะรุมสังหารซ่างกวนอวิ๋นก็มียอดฝีมือคนหนึ่งเข้ามาขวางและสังหารศิษย์สำนักซงซานแทบทั้งหมดในชั่วพริบตา (ซ่างกวนอวิ๋นถูกชายคนดังกล่าวผลักกระเด็น แต่ร่างเขายังไม่ทันตกสู่พื้นศิษย์สำนักซงซานก็ถูกฆ่าตายเกือบหมด) พอรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือ "ตงฟางปู้ป้าย" (บูรพาไร้พ่าย) แห่งพรรคตะวันจันทรา เฟ่ยปินก็ทิ้งเพื่อนร่วมสำนักแล้วรีบเผ่นทันที
* "ตงฟางปู้ป้าย" เป็นคนเดียวที่สำเร็จ "วิชาทานตะวัน" จนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ไร้เทียมทาน วิชาดังกล่าวขึ้นชื่อในเรื่องความรวดเร็วและพลังลมปราณ ฝึกได้เฉพาะผู้ชายแต่ผู้ฝึกต้องตอนตัวเองก่อนเพื่อไม่ให้ธาตุไฟเข้าแทรก หลังฝึกสำเร็จแล้วร่างกายละจิตใจจะมีความเป็นหญิงมากขึ้นเรื่อยๆ
ณ สำนักคุ้มภัยฝูเวยในเมืองฝูโจว (มณฑลฝูเจี้ยน)... "หวังฟูเหริน" (ภรรยาของหลินเจิ้นหนาน / ลูกสาวเจ้าสำนักดาบทอง) นั่งดูสามีฝึกยุทธ์ให้เหล่าหัวหน้าผู้คุ้มภัยด้วยความชื่นชม เธอนึกว่าเขาฝึกเพลงกระบี่ปราบมารสำเร็จแล้วจึงแนะให้เขามอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารแก่สำนักซงซานตามคำร้องขอเพื่อจะได้ไม่ผิดใจกันในภายหลัง เจิ้นหนานชี้ว่าซงซานเป็นสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะต่อให้ตนยืนกรานปฏิเสธพวกเขาก็ทำอะไรตนไม่ได้และยิ่งไม่มีทางปล้นชิงไป หวังฟูเหรินได้ยินดังนั้นจึงสงสัยว่าเช่นนั้นแล้วเขาขอความช่วยเหลือจากสำนักหัวซานทำไม ที่แท้เจิ้นหนานคิดใช้ "เย่ว์ปู้ฉิน" (เจ้าสำนักหัวซาน) เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย หมายใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับสำนักซงซานเพื่อให้การคุ้มภัยในแดนจงหยวน (ที่ราบภาคกลาง) ของพวกตนราบรื่น (เขาให้ความสำคัญกับการคบสหายมากกว่าเพลงยุทธ์)
หลังได้รับสารขอความช่วยเหลือจากเจิ้นหนาน เย่ว์ปู้ฉินจึงสั่งให้ศิษย์เอก "ลิ่งหูชง" [เล่งฮู้ชง] เดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวยกับศิษย์รอง "เหลาเต๋อนั่ว" ทันที เขาบอกให้ทั้งคู่ควบม้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตนกับ "หนิงจงเจ๋อ" (หรือ "เย่ว์ฟูเหริน" - ภรรยาเย่ว์ปู้ฉิน) จะพาศิษย์คนอื่นๆ ตามไปสมทบภายหลัง ทั้งยังกำชับว่าห้ามมีเรื่องบาดหมางกับศิษย์สำนักซงซานโดยเด็ดขาด "เย่ว์หลิงซาน" (ลูกสาวเย่ว์ปู้ฉินกับหนิงจงเจ๋อ) ได้ยินดังนั้นจึงขอติดตามศิษย์พี่ใหญ่ (ลิ่งหูชง) กับศิษย์พี่รอง (เต๋อนั่ว) ไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวย
ติงเหมี่ยนแห่งสำนักซงซานไปหาเจิ้นหนานที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยอีกครั้งเพื่อเจรจาเรื่องคัมภีร์กระบี่ปราบมารโดยขอแลกกับการเป็นพันธมิตรกัน เจิ้นหนานรู้สึกยินดีที่สำนักซงซานต้องการเป็นพันธมิตรกับตน แต่ยังคงยืนกรานว่าตนมอบคัมภีร์ประจำตระกูลให้ไม่ได้ เพราะ "หลินหย่วนถู" ปู่ของตนสั่งเสียเอาไว้ว่าห้ามมอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารให้คนนอกโดยเด็ดขาด ตนเป็นลูกหลานจึงไม่อาจฝ่าฝืน ติงเหมี่ยนเห็นว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์จึงเตือนว่าคัมภีร์ดังกล่าวจะนำเภทภัยมาสู่สกุลหลิน เขาขอให้เจิ้นหนานลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง จากนั้นก็ซัดพลังฝ่ามือใส่จนเจิ้นหนานถึงกับจุก (ทั้งคู่นั่งประลองกำลังภายในกันขณะเจรจา) และกลับไปด้วยความโกรธ
* หลินหย่วนถู เป็นอดีตพระวัดเส้าหลินนามว่า "ตู้หยวน" ผู้คิดค้นเพลงกระบี่ปราบมาร 72 กระบวนท่า โดยตีความและดัดแปลงมาจากคัมภีร์ทานตะวันฉบับลักจำ (ที่สองศิษย์สำนักหัวซานลอบจำคนละครึ่ง) จากนั้นก็เขียนเคล็ดวิชาลงบนจีวรแล้วส่งจดหมายไปให้อาจารย์เพื่อลาสิกขา ก่อนหันมาใช้ชื่อว่า "หลินหย่วนถู" ซึ่งเป็นชื่อเดิมของตนแล้วก่อตั้งสำนักคุ้มภัยฝูเวย
ขณะที่ "หลินผิงจือ" (ลูกชายหลินเจิ้นหนาน) กำลังเดินทางกลับสำนักพร้อมเหล่าผู้คุ้มภัย เขาบังเอิญผ่านมาพบหลิงซาน (ซึ่งลงจากเขาหัวซานในมณฑลซานซี เพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวยในมณฑลฝูเจี้ยน) กำลังนั่งดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมริมทางกลางป่ากับลิ่งหูชงและเต๋อนั่ว หลิงซานเห็นรูปโฉมอันงดงามราวเทพบุตรของผิงจือก็ไม่อาจละสายตาและเผลอจ้องมองเขาอย่างลืมตัว แต่ผิงจือเพียงปรายตามองเธอแล้วขี่ม้าผ่านเลยไป หลังจากนั้นไม่นานขบวนของผิงจือถูกกลุ่มชายชุดดำจำนวนมากดักซุ่มโจมตี ลิ่งหูชงและพวกเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปช่วย
ในเวลาเดียวกันนั้นได้เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นที่สำนักคุ้มภัยฝูเวย เมื่ออยู่ๆ "อาวุโสหลี่" (ผู้ดูแลม้า) ก็เสียชีวิตกระทันหันที่คอกม้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่เป็นคนร่างกายแข็งแรง แถมสภาพศพยังไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ในเวลาต่อมา "หลิงเฉิง" ซึ่งเป็นคนหนุ่มร่างกายกำยำที่ทำงานในโรงครัวก็เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาคาห้องครัวอีกราย หลังใช้เข็มเงินตรวจสอบศพแล้วพบว่าไม่โดนพิษแถมสภาพศพยังไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ เหมือนอาวุโสหลี่ เจิ้นหนานก็ตระหนักได้ว่าพวกตนกำลังมีภัยจึงสั่งให้ "หัวหน้าไป๋" พาลูกน้องจำนวนหนึ่งเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักดาบทอง "หวังหยวนป้า" ซึ่งเป็นพ่อตาของตนทันที (สำนักดาบทองอยู่ในเมืองลั่วหยาง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลเหอหนาน)
ขณะช่วยผิงจือรับมือชายชุดดำในป่าไผ่ ลิ่งหูชงเห็นว่าเหล่าชายชุดดำล้วนมากฝีมือจึงบอกให้หลิงซานถอยออกไปอยู่ห่างๆ แต่หลิงซานไม่เชื่อจึงเกือบถูกชายชุดดำสังหาร โชคดีที่ผิงจือยิงธนูสังหารคนร้ายได้ทันเวลา และนั่นก็ยิ่งทำให้หลิงซานประทับใจในตัวเขามากขึ้น ลิ่งหูชงดุหลิงซานที่ดื้อรั้นจนเกือบโดนฆ่าตาย เต๋อนั่วจึงออกตัวแทนว่าเธอยังเด็กและด้อยประสบการณ์ ลิ่งหูชงและผิงจือต่างคารวะขอบคุณซึ่งกันและกัน หลังรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือศิษย์เอกสำนักหัวซาน ผิงจือก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาเรียกลิ่งหูชงว่า "พี่ใหญ่ลิ่งหู" และบอกว่าตนคือ "หลินผิงจือ" แห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวย
หัวหน้าไป๋แห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวยและพวกรีบควบม้ามุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากสำนักดาบทองแต่ถูกคนร้ายลอบสังหารกลางป่าเสียก่อน แถมคนร้ายซึ่งเป็นชายชุดดำยังนำศพของทั้งหกคนมานอนเรียงหน้าสำนักคุ้มภัย พร้อมข้อความข่มขู่ตัวใหญ่ยักษ์ (เขียนด้วยเลือด) ว่า "พ้นประตูสำนักสิบก้าวต้องตาย" แถมยังตีเส้น (ห่างจากประตูสิบก้าว) เอาไว้ให้ด้วย หวังฟูเหรินนึกไม่ถึงว่าสำนักซงซานซึ่งเป็นฝ่ายธรรมะจะใช้วิธีการต่ำช้า แต่เจิ้นหนานไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของสำนักซงซานและเกรงว่าอาจมีมือที่สามสวมรอยสร้างสถานการณ์ให้เกิดการแตกแยก หวังฟูเหรินเกรงว่าจะถูกฆ่าล้างสำนักจึงขอให้เจิ้นหนานมอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารแก่สำนักซงซาน เจิ้นหนานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ เขาชี้ว่าคัมภีร์กระบี่ปราบมารเป็นสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ลูกหลานสกุลหลิน แม้ต้องตายตนก็ไม่มีวันยอมให้คนนอกแย่งชิงไป
เจิ้นหนานสั่งให้คนในสำนักเฝ้าระวังภัยและวางกำลังอย่างแน่นหนา ทั้งยังห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนนอกรับรู้ พร้อมทั้งสั่งทำลายหลักฐานให้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อผิงจือกลับมาพร้อมหลิงซาน ลิ่งหูชง และเต๋อนั่ว จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่สำนักของตน หวังฟูเหรินรู้สึกผิดหวังและร้อนใจที่เย่ว์ปู้ฉินไม่ได้มาด้วย แต่เจิ้นหนานไม่อยากพูดถึงเรื่องไม่ดีต่อหน้าลูกจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเลี้ยงต้อนรับทุกคนเป็นอย่างดี หลิงซานถูกใจผิงจือประกอบยังงอนที่โดนดุจึงทำเมินใส่ลิ่งหูชง ครั้นผิงจือรู้ว่าหลิงซานเพิ่งออกจากมณฑลซานซีเป็นครั้งแรกเขาจึงรับปากว่าวันหลังจะพาเธอไปเที่ยว จากนั้นก็ชวนเธอไปดูของแปลกๆ ที่ตนสะสมเอาไว้ ทั้งคู่ลุกจากโต๊ะอาหารได้ไม่นานก็มีคนลอบทำลายเสาธงขนาดใหญ่ของสำนักคุ้มภัยฝูเวย แถมยังวางยาจนม้าในคอกตายเกลื่อน
เจิ้นหนานสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของสำนักซงซานแต่ลิ่งหูชงไม่คิดเช่นนั้น เขานึกถึงตอนที่ตนต่อสู้กับชายชุดดำในป่าและจำได้ว่าคนร้ายพูดสำเนียงปาสู่ (สำเนียงที่ใช้ในมณฑลเสฉวนและทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลฉงชิ่ง) ที่สำคัญเพลงกระบี่ที่คนร้ายใช้ไม่ใช่วิชาของสำนักซงซาน เจิ้นหนานยืนยันว่าตนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับสำนักหรือยอดฝีมือที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ครั้นได้ยินว่าสภาพศพของเหล่าผู้คุ้มกันที่โดนลอบสังหารล้วนไม่มีบาดแผลและไม่โดนพิษลิ่งหูชงจึงขอดูศพ หลังผ่าศพหัวหน้าไป๋แล้วพบว่าหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ ลิ่งหูชงจึงสงสัยว่าหัวหน้าไป๋อาจเสียชีวิตเพราะฝ่ามือขยี้ใจ แต่เขายังไม่มีหลักฐานเลยไม่กล้าฟันธง (ฝ่ามือขยี้ใจ เป็นวิชาของสำนักกระบี่ชิงเฉินในมณฑลเสฉวน สามารถซัดหัวใจคนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในฝ่ามือเดียวโดยไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผลบนศพผู้ตาย เรียกได้ว่าฆ่าคนไม่เห็นเลือดนั่นเอง)
ลิ่งหูชงคิดที่จะออกไปตรวจตราบริเวณโดยรอบหมายสืบหาเบาะแสและร่องรอยคนร้ายจึงฝากให้เต๋อนั่วช่วยปกป้องคนของสำนักคุ้มภัยฝูเวย แต่เต๋อนั่วอาสาออกไปทำหน้าที่ดังกล่าวแทนโดยให้เหตุผลว่าลิ่งหูชงฝีมือสูงส่งกว่าตน และตนก็ถนัดเรื่องการปลอมตัวจึงเหมาะที่จะออกไปสืบหาข่าวมากกว่า ลิ่งหูชงได้ยินดังนั้นจึงตอบตกลง แต่พอรู้ว่าหลิงซานยังไม่กลับห้องพัก ซ้ำยังออกไปล่าหมูป่ายามวิกาลกับผิงจือ ลิ่งหูชงก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงทิ้งสำนักคุ้มภัยแล้วออกไปตามหาทั้งคู่ในป่า นึกไม่ถึงว่าคืนนั้นจะมีกลุ่มนักฆ่าชุดดำบุกมาเข่นฆ่าผู้คนในสำนักคุ้มภัยฝูเวย
ขณะที่ผิงจือกับหลิงซานกำลังล่าหมูป่า อยู่ๆ ผู้ติดตามของทั้งคู่ก็ถูกธนูยิงเข้าที่แสกหน้า หลังจากนั้นสองหนุ่มสาวก็กลับกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ล่า ลิ่งหูชงได้ยินเสียงนกหวีดขอความช่วยเหลือจากหลิงซานจึงรีบตามเสียงไป ครั้นไปถึงก็พบว่าทั้งคู่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าชายชุดดำ ลิ่งหูชงจึงเข้าไปขวางพลางบอกให้ทั้งคู่รีบหนีไปและช่วยสกัดคนร้ายเอาไว้ ถึงกระนั้นก็มีชายชุดดำจำนวนหนึ่งไล่ตามทั้งคู่ไป
เจิ้นหนานเห็นลูกน้องตายเกลื่อนก็รู้สึกตกใจ เขาและลูกน้องคนสนิทพยายามต่อสู้กับคนร้าย แต่คนร้ายฝีมือเหนือชั้นกว่าลูกน้องของเขาจึงถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา หนึ่งในคนร้ายฉวยโอกาสซัดมีดสั้นใส่เจิ้นหนาน เจิ้นหนานจึงใช้มือรับมีดสั้นและบังเอิญจับเข้าที่คมมีดจนเป็นแผลฉกรรจ์ ไม่นานเขาก็พบว่าตนเองโดนพิษทำให้ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้จึงถูกคนร้ายใช้ดาบฟันหลายแผล
ลิ่งหูชงสงสัยว่าผู้นำกลุ่มชายชุดดำอาจเป็น "สี่ศิษย์ใหญ่" แห่งสำนักกระบี่ชิงเฉิน (เป็นสำนักเต๋าอยู่บนเขาชิงเฉิน) เลยแกล้งเปรยว่า "ชิงเฉินซื่อโซ่ว" (สี่เดรัจฉานชิงเฉิน) หนึ่งในคนร้ายได้ยินดังนั้นจึงแย้งอย่างลืมตัวว่าพวกตนคือวีรบุรุษ "ชิงเฉินซื่อซิ่ว" (สี่ยอดฝีมือชิงเฉิน) ต่างหาก และนั่นก็ทำให้ลิ่งหูชงรู้ว่าคนร้ายเป็นศิษย์สำนักชิงเฉินดังที่คิดไว้จริงๆ หลังสังหารชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตนจนหมดแล้ว ลิ่งหูชงซึ่งบาดเจ็บเล็กน้อยหลังโดนฟันเข้าที่แขนก็รีบออกตามหาผิงจือกับหลิงซาน ในตอนนั้นผิงจือกับหลิงซานกำลังถูกกลุ่มชายชุดดำต้อนให้จนมุม ผิงจือจึงพาหลิงซานกระโดดหนีลงไปในน้ำ
หลังตามหาผิงจือกับหลิงซานในป่าแล้วไม่เจอ ลิ่งหูชงจึงกลับมาที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยและพบว่ามีคนตายเกลื่อน เขาได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องโถงจึงค่อยๆ ย่องไปแอบดู ปรากฏว่าเจิ้นหนานกับหวังฟูเหริน (ซึ่งถูกทำร้ายจนบาดเจ็บทั้งคู่) กำลังถูกชายชุดดำสองคนบีบให้เผยที่ซ่อนคัมภีร์กระบี่ปราบมาร ครั้นเจิ้นหนานยืนกรานปฏิเสธโดยบอกว่าถึงตายก็ไม่ให้ ชายชุดดำจึงมอบความตายให้ทันที หวังฟูเหรินเห็นว่าสามีกำลังจะโดนสังหารเลยรีบเอาตัวเข้ามาขวางทำให้โดนกระบี่แทงทะลุทั้งคู่ หวังฟูเหรินเปรยว่าคัมภีร์กระบี่ปราบมารนำหายนะมาสู่พวกตนก่อนสิ้นใจตาย ลิ่งหูชงเห็นเจิ้นหนานกอดศพภรรยาพลางร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจก็รู้สึกเคียดแค้นจนเผลอกระแทกผนังเสียงดัง สองชายชุดดำจึงรีบวิ่งออกไปดู
ลิ่งหูชงจำได้ว่าหนึ่งในชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตนคือเจ้าสำนักชิงเฉิง "อวี๋ชางไห่" จึงขู่ว่าจะแฉวีรกรรมอันต่ำช้าของอวี๋ชางไห่ให้โลกรับรู้และบอกให้เขาเตรียมเป็นศัตรูของชาวยุทธ อวี๋ชางไห่ขู่กลับว่าลิ่งหูชงไม่มีทางรอดออกไปจากที่นี่ ลิ่งหูชงชี้ว่าอาจารย์ตน 'กระบี่วิญญูชน' กำลังจะมาที่นี่ในไม่ช้า ('กระบี่วิญญูชน' เป็นฉายาของ "เย่ว์ปู้ฉิน" เจ้าสำนักหัวซาน) อวี๋ชางไห่ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำจึงส่งสายตาบอกสมุนให้สังหารลิ่งหูชง หลังต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งในที่สุดลิ่งหูชงก็สังหารสองชายชุดดำได้สำเร็จ ชายชุดดำอีกคนจึงปรี่เข้ามาเล่นงานลิ่งหูชง แต่สุดท้ายก็โดนลิ่งหูชงถีบและซัดฝ่ามือใส่จนร่างกระเด็น โชคร้ายที่เขาตกลงไปทับกระบี่ที่ปักทะลุร่างชายคนหนึ่งทำให้ถูกกระบี่เสียบหน้าอกทะลุกลางหลังเสียชีวิต ที่แท้ชายโชคร้ายคนดังกล่าวคือ "อวี๋เหรินเยี่ยน" ลูกชายอวี๋ชางไห่ อวี๋ชางไห่เห็นลูกชายตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตาก็ร้องลั่นและรีบวิ่งเข้าไปดูศพลูกชายด้วยความเสียใจ ลิ่งหูชงเห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสหลบหนี อวี๋ชางไห่จึงรีบไล่ตามไปหมายชำระแค้น
หลังล่ออวี๋ชางไห่ไปทางอื่นแล้ว ลิ่งหูชงก็ย้อนกลับมาช่วยเจิ้นหนานซึ่งเห็นและได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาจะพาเจิ้นหนานหลบหนีแต่เจิ้นหนานรู้ว่าตนไม่รอดแน่จึงฝากฝังผิงจือให้เป็นศิษย์สำนักหัวซานและขอให้สำนักหัวซานช่วยปกป้องลูกชายตน เขาดึงตัวลิ่งหูชงเข้าไปใกล้ๆ แล้วฝากบอกผิงจือว่าในบ้านหลังเก่าที่ตรอกเซี่ยงหยางมีของที่เป็นมรดกตกทอดของสกุลหลิน ผิงจือต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีและห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด เพราะท่านปู่หย่วนถูของตนสั่งเอาไว้ว่าคนรุ่นหลังห้ามเปิดดู (บรรพบุรุษสกุลหลินห้ามลูกหลานฝึกเพลงกระบี่ดังกล่าว)
ลิ่งหูชงจะพาเจิ้นหนานหลบหนีแต่ถูกอวี๋ชางไห่โจมตีด้วยความโกรธแค้นจนกระบี่หลุดมือและกระเด็นไปปักบนผนัง ซ้ำยังโดนถีบหน้าอกจนล้มลงไปนอนจุกที่พื้น อวี๋ชางไห่จะตามมาเล่นงานซ้ำหมายเอาชีวิตลิ่งหูชง แต่เจิ้นหนานกอดและยึดกระบี่เขาไว้ไม่ยอมปล่อยเพื่อเปิดทางให้ให้ลิ่งหูชงหลบหนี ลิ่งหูชงไม่มีทางเลือกจึงพยายามลุกขึ้นแล้วถือฝักกระบี่วิ่งหนีไป อวี๋ชางไห่ต้องการตามไปชำระแค้นแต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจึงใช้กระบี่คู่กายของลิ่งหูชง (ซึ่งปักอยู่บนผนัง) แทงเจิ้นหนานที่กลางหลังแล้วไล่ตามลิ่งหูชงไป
ผิงจือช่วยหลิงซานซึ่งอยู่ในสภาพหมดสติขึ้นจากน้ำและจะช่วยผายปอด แต่หลิงซานรู้สึกตัวเสียก่อนจึงสำลักน้ำใส่หน้าเขาเต็มๆ ผิงจือจะประคองหลิงซานให้ลุกขึ้นแต่กลุ่มชายชุดดำมาพบเข้าจึงขวางเอาไว้ หลิงซานขู่ว่าพ่อของเธอคือ "เย่ว์ปู้ฉิน" เจ้าสำนักหัวซาน หากเธอเป็นอะไรไปพ่อของเธอไม่ปล่อยทุกคนแน่ ชายชุดดำสวนกลับว่าต่อให้ผู้นำห้าขุนเขากระบี่ "จั่วเหลิ่งฉาน" มาเองพวกตนก็ไม่กลัว พูดจบชายคนดังกล่าวก็ถูกกระบี่แทงทะลุร่าง ที่แท้ติงเหมี่ยน (ศิษย์น้องของจั่วเหลิ่งฉาน) นำกำลังศิษย์สำนักซงซานมาช่วยทั้งคู่ไว้ได้ทัน
เมื่อผิงจือกลับมาที่สำนักคุ้มภัยฝูเวย (พร้อมหลิงซานกับติงเหมี่ยน) ก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้สำนักของตนอย่างหนัก เขาจึงฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปหมายช่วยพ่อกับแม่แต่กลับพบว่าทั้งคู่ถูกคนฆ่าตายแล้ว เขาจึงได้แต่ร่ำไห้เสียใจ ขณะกอดร่างอันไร้วิญญาณของพ่อ ผิงจือแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นกระบี่สลักคำว่า "หัวซาน ลิ่งหู" ปักคาหลังพ่อของตน (หัวซาน คือ สำนักกระบี่หัวซาน / ลิ่งหู คือ แซ่ของพระเอก "ลิ่งหูชง")
แปดปีต่อมา สำนักซงซาน, หัวซาน, เหิงซาน (恒山- เป็นสำนักแม่ชี), ไท่ซาน และ เหิงซาน (衡山) ซึ่งจับมือกันเป็นสมาพันธ์สำนักกระบี่เรียกว่า "ห้าขุนเขากระบี่" พร้อมเหล่ายอดฝีมือจากสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะได้พากันบุกผาไม้ดำเพื่อกวาดล้างพรรคตะวันจันทรา หลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น ห้าขุนเขากระบี่ สำนักเส้าหลิน และบู๊ตึ๊ง จึงได้ชื่อว่าเป็นสามเสาหลักของยุทธภพ ขณะเดียวกันก็เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็น 3 ขั้วอำนาจใหญ่
* ห้าสำนักกระบี่ดังกล่าวตั้งชื่อตามสถานที่ตั้ง (ซาน แปลว่า ภูเขา) โดยเขาซงซาน (ภูกลาง) อยู่ในมณฑลเหอหนาน, เขาหัวซาน (ภูตะวันตก) อยู่ในมณฑลซานซี, เขาเหิงซาน (恒山) หรือ ภูเหนือ อยู่ในมณฑลซานซี, เขาไท่ซาน (ภูตะวันออก) อยู่ในมณฑลซานตง และเขาเหิงซาน (衡山) หรือ ภูใต้ อยู่ในมณฑลหูหนาน
สิบปีต่อมา "ซ่างกวนอวิ๋น" หัวหน้าหน่วยไป๋หู่แห่งพรรคตะวันจันทรา ("ไป๋หู่" แปลว่า "เสือขาว" - เป็นหนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่) ถูกศิษย์สำนักซงซานนำโดย "เฟ่ยปิน" วางกำลังล้อมจับและพูดจาเยาะเย้ยถากถาง ซ่างกวนอวิ๋นจึงประณามเฟ่ยปินและศิษย์สำนักซงซานว่าเป็นพวกหมาหมู่ แต่ศิษย์สำนักซงซานขอเพียงได้กำจัดคนพรรคมารจึงไม่สนว่าวิธีการจะหยาบช้าและสกปรกหรือไม่ ขณะที่พวกเขากำลังจะรุมสังหารซ่างกวนอวิ๋นก็มียอดฝีมือคนหนึ่งเข้ามาขวางและสังหารศิษย์สำนักซงซานแทบทั้งหมดในชั่วพริบตา (ซ่างกวนอวิ๋นถูกชายคนดังกล่าวผลักกระเด็น แต่ร่างเขายังไม่ทันตกสู่พื้นศิษย์สำนักซงซานก็ถูกฆ่าตายเกือบหมด) พอรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือ "ตงฟางปู้ป้าย" (บูรพาไร้พ่าย) แห่งพรรคตะวันจันทรา เฟ่ยปินก็ทิ้งเพื่อนร่วมสำนักแล้วรีบเผ่นทันที
* "ตงฟางปู้ป้าย" เป็นคนเดียวที่สำเร็จ "วิชาทานตะวัน" จนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ไร้เทียมทาน วิชาดังกล่าวขึ้นชื่อในเรื่องความรวดเร็วและพลังลมปราณ ฝึกได้เฉพาะผู้ชายแต่ผู้ฝึกต้องตอนตัวเองก่อนเพื่อไม่ให้ธาตุไฟเข้าแทรก หลังฝึกสำเร็จแล้วร่างกายละจิตใจจะมีความเป็นหญิงมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังรู้ว่าตงฟางปู้ป้ายยึดผาไม้ดำคืนได้สำเร็จ ซ้ำยังฆ่า "เล่อโฮ่ว" กับ "จงเจิน" ศิษย์ผู้น้องของตน "จั่วเหลิ่งฉาน" (เจ้าสำนักซงซาน และผู้นำห้าขุนเขากระบี่) เลยคิดใช้โอกาสนี้ชิงคัมภีร์กระบี่ปราบมาร (ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากคัมภีร์ทานตะวันฉบับไม่สมบูรณ์) มาจากสกุลหลิน เพราะมีเพียงเพลงกระบี่ปราบมารเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับวิชาทานตะวันของตงฟางปู้ป้ายได้ หลังเคยขอคัมภีร์ดังกล่าวจากสกุลหลินดีๆ แต่ไม่เป็นผล เขาจึงสั่งให้ "ลู่ไป่" ส่งสารด่วนไปแจ้ง "ติงเหมี่ยน" (ศิษย์น้อง) ว่านับจากนี้ไม่ต้องเกรงใจ "หลินเจิ้นหนาน" (หัวหน้าสำนักคุ้มภัยฝูเวย) อีกต่อไป เพราะตงฟางปู้ป้ายเหิมเกริมหนักขึ้นทำให้ยุทธภพตกอยู่ในอันตราย เจิ้นหนานจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป แต่ถ้าขืนยังคงดื้อดึงไม่ยอมมอบคัมภีร์ให้ก็จำเป็นต้องใช้วิธีบีบบังคับ
ณ สำนักคุ้มภัยฝูเวยในเมืองฝูโจว (มณฑลฝูเจี้ยน)... "หวังฟูเหริน" (ภรรยาของหลินเจิ้นหนาน / ลูกสาวเจ้าสำนักดาบทอง) นั่งดูสามีฝึกยุทธ์ให้เหล่าหัวหน้าผู้คุ้มภัยด้วยความชื่นชม เธอนึกว่าเขาฝึกเพลงกระบี่ปราบมารสำเร็จแล้วจึงแนะให้เขามอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารแก่สำนักซงซานตามคำร้องขอเพื่อจะได้ไม่ผิดใจกันในภายหลัง เจิ้นหนานชี้ว่าซงซานเป็นสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะต่อให้ตนยืนกรานปฏิเสธพวกเขาก็ทำอะไรตนไม่ได้และยิ่งไม่มีทางปล้นชิงไป หวังฟูเหรินได้ยินดังนั้นจึงสงสัยว่าเช่นนั้นแล้วเขาขอความช่วยเหลือจากสำนักหัวซานทำไม ที่แท้เจิ้นหนานคิดใช้ "เย่ว์ปู้ฉิน" (เจ้าสำนักหัวซาน) เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย หมายใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับสำนักซงซานเพื่อให้การคุ้มภัยในแดนจงหยวน (ที่ราบภาคกลาง) ของพวกตนราบรื่น (เขาให้ความสำคัญกับการคบสหายมากกว่าเพลงยุทธ์)
หลังได้รับสารขอความช่วยเหลือจากเจิ้นหนาน เย่ว์ปู้ฉินจึงสั่งให้ศิษย์เอก "ลิ่งหูชง" [เล่งฮู้ชง] เดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวยกับศิษย์รอง "เหลาเต๋อนั่ว" ทันที เขาบอกให้ทั้งคู่ควบม้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตนกับ "หนิงจงเจ๋อ" (หรือ "เย่ว์ฟูเหริน" - ภรรยาเย่ว์ปู้ฉิน) จะพาศิษย์คนอื่นๆ ตามไปสมทบภายหลัง ทั้งยังกำชับว่าห้ามมีเรื่องบาดหมางกับศิษย์สำนักซงซานโดยเด็ดขาด "เย่ว์หลิงซาน" (ลูกสาวเย่ว์ปู้ฉินกับหนิงจงเจ๋อ) ได้ยินดังนั้นจึงขอติดตามศิษย์พี่ใหญ่ (ลิ่งหูชง) กับศิษย์พี่รอง (เต๋อนั่ว) ไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวย
ติงเหมี่ยนแห่งสำนักซงซานไปหาเจิ้นหนานที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยอีกครั้งเพื่อเจรจาเรื่องคัมภีร์กระบี่ปราบมารโดยขอแลกกับการเป็นพันธมิตรกัน เจิ้นหนานรู้สึกยินดีที่สำนักซงซานต้องการเป็นพันธมิตรกับตน แต่ยังคงยืนกรานว่าตนมอบคัมภีร์ประจำตระกูลให้ไม่ได้ เพราะ "หลินหย่วนถู" ปู่ของตนสั่งเสียเอาไว้ว่าห้ามมอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารให้คนนอกโดยเด็ดขาด ตนเป็นลูกหลานจึงไม่อาจฝ่าฝืน ติงเหมี่ยนเห็นว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์จึงเตือนว่าคัมภีร์ดังกล่าวจะนำเภทภัยมาสู่สกุลหลิน เขาขอให้เจิ้นหนานลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง จากนั้นก็ซัดพลังฝ่ามือใส่จนเจิ้นหนานถึงกับจุก (ทั้งคู่นั่งประลองกำลังภายในกันขณะเจรจา) และกลับไปด้วยความโกรธ
* หลินหย่วนถู เป็นอดีตพระวัดเส้าหลินนามว่า "ตู้หยวน" ผู้คิดค้นเพลงกระบี่ปราบมาร 72 กระบวนท่า โดยตีความและดัดแปลงมาจากคัมภีร์ทานตะวันฉบับลักจำ (ที่สองศิษย์สำนักหัวซานลอบจำคนละครึ่ง) จากนั้นก็เขียนเคล็ดวิชาลงบนจีวรแล้วส่งจดหมายไปให้อาจารย์เพื่อลาสิกขา ก่อนหันมาใช้ชื่อว่า "หลินหย่วนถู" ซึ่งเป็นชื่อเดิมของตนแล้วก่อตั้งสำนักคุ้มภัยฝูเวย
ขณะที่ "หลินผิงจือ" (ลูกชายหลินเจิ้นหนาน) กำลังเดินทางกลับสำนักพร้อมเหล่าผู้คุ้มภัย เขาบังเอิญผ่านมาพบหลิงซาน (ซึ่งลงจากเขาหัวซานในมณฑลซานซี เพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักคุ้มภัยฝูเวยในมณฑลฝูเจี้ยน) กำลังนั่งดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมริมทางกลางป่ากับลิ่งหูชงและเต๋อนั่ว หลิงซานเห็นรูปโฉมอันงดงามราวเทพบุตรของผิงจือก็ไม่อาจละสายตาและเผลอจ้องมองเขาอย่างลืมตัว แต่ผิงจือเพียงปรายตามองเธอแล้วขี่ม้าผ่านเลยไป หลังจากนั้นไม่นานขบวนของผิงจือถูกกลุ่มชายชุดดำจำนวนมากดักซุ่มโจมตี ลิ่งหูชงและพวกเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปช่วย
ในเวลาเดียวกันนั้นได้เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นที่สำนักคุ้มภัยฝูเวย เมื่ออยู่ๆ "อาวุโสหลี่" (ผู้ดูแลม้า) ก็เสียชีวิตกระทันหันที่คอกม้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่เป็นคนร่างกายแข็งแรง แถมสภาพศพยังไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ในเวลาต่อมา "หลิงเฉิง" ซึ่งเป็นคนหนุ่มร่างกายกำยำที่ทำงานในโรงครัวก็เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาคาห้องครัวอีกราย หลังใช้เข็มเงินตรวจสอบศพแล้วพบว่าไม่โดนพิษแถมสภาพศพยังไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ เหมือนอาวุโสหลี่ เจิ้นหนานก็ตระหนักได้ว่าพวกตนกำลังมีภัยจึงสั่งให้ "หัวหน้าไป๋" พาลูกน้องจำนวนหนึ่งเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักดาบทอง "หวังหยวนป้า" ซึ่งเป็นพ่อตาของตนทันที (สำนักดาบทองอยู่ในเมืองลั่วหยาง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลเหอหนาน)
ขณะช่วยผิงจือรับมือชายชุดดำในป่าไผ่ ลิ่งหูชงเห็นว่าเหล่าชายชุดดำล้วนมากฝีมือจึงบอกให้หลิงซานถอยออกไปอยู่ห่างๆ แต่หลิงซานไม่เชื่อจึงเกือบถูกชายชุดดำสังหาร โชคดีที่ผิงจือยิงธนูสังหารคนร้ายได้ทันเวลา และนั่นก็ยิ่งทำให้หลิงซานประทับใจในตัวเขามากขึ้น ลิ่งหูชงดุหลิงซานที่ดื้อรั้นจนเกือบโดนฆ่าตาย เต๋อนั่วจึงออกตัวแทนว่าเธอยังเด็กและด้อยประสบการณ์ ลิ่งหูชงและผิงจือต่างคารวะขอบคุณซึ่งกันและกัน หลังรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือศิษย์เอกสำนักหัวซาน ผิงจือก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาเรียกลิ่งหูชงว่า "พี่ใหญ่ลิ่งหู" และบอกว่าตนคือ "หลินผิงจือ" แห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวย
หัวหน้าไป๋แห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวยและพวกรีบควบม้ามุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากสำนักดาบทองแต่ถูกคนร้ายลอบสังหารกลางป่าเสียก่อน แถมคนร้ายซึ่งเป็นชายชุดดำยังนำศพของทั้งหกคนมานอนเรียงหน้าสำนักคุ้มภัย พร้อมข้อความข่มขู่ตัวใหญ่ยักษ์ (เขียนด้วยเลือด) ว่า "พ้นประตูสำนักสิบก้าวต้องตาย" แถมยังตีเส้น (ห่างจากประตูสิบก้าว) เอาไว้ให้ด้วย หวังฟูเหรินนึกไม่ถึงว่าสำนักซงซานซึ่งเป็นฝ่ายธรรมะจะใช้วิธีการต่ำช้า แต่เจิ้นหนานไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของสำนักซงซานและเกรงว่าอาจมีมือที่สามสวมรอยสร้างสถานการณ์ให้เกิดการแตกแยก หวังฟูเหรินเกรงว่าจะถูกฆ่าล้างสำนักจึงขอให้เจิ้นหนานมอบคัมภีร์กระบี่ปราบมารแก่สำนักซงซาน เจิ้นหนานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ เขาชี้ว่าคัมภีร์กระบี่ปราบมารเป็นสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ลูกหลานสกุลหลิน แม้ต้องตายตนก็ไม่มีวันยอมให้คนนอกแย่งชิงไป
เจิ้นหนานสั่งให้คนในสำนักเฝ้าระวังภัยและวางกำลังอย่างแน่นหนา ทั้งยังห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนนอกรับรู้ พร้อมทั้งสั่งทำลายหลักฐานให้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อผิงจือกลับมาพร้อมหลิงซาน ลิ่งหูชง และเต๋อนั่ว จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่สำนักของตน หวังฟูเหรินรู้สึกผิดหวังและร้อนใจที่เย่ว์ปู้ฉินไม่ได้มาด้วย แต่เจิ้นหนานไม่อยากพูดถึงเรื่องไม่ดีต่อหน้าลูกจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเลี้ยงต้อนรับทุกคนเป็นอย่างดี หลิงซานถูกใจผิงจือประกอบยังงอนที่โดนดุจึงทำเมินใส่ลิ่งหูชง ครั้นผิงจือรู้ว่าหลิงซานเพิ่งออกจากมณฑลซานซีเป็นครั้งแรกเขาจึงรับปากว่าวันหลังจะพาเธอไปเที่ยว จากนั้นก็ชวนเธอไปดูของแปลกๆ ที่ตนสะสมเอาไว้ ทั้งคู่ลุกจากโต๊ะอาหารได้ไม่นานก็มีคนลอบทำลายเสาธงขนาดใหญ่ของสำนักคุ้มภัยฝูเวย แถมยังวางยาจนม้าในคอกตายเกลื่อน
เจิ้นหนานสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของสำนักซงซานแต่ลิ่งหูชงไม่คิดเช่นนั้น เขานึกถึงตอนที่ตนต่อสู้กับชายชุดดำในป่าและจำได้ว่าคนร้ายพูดสำเนียงปาสู่ (สำเนียงที่ใช้ในมณฑลเสฉวนและทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลฉงชิ่ง) ที่สำคัญเพลงกระบี่ที่คนร้ายใช้ไม่ใช่วิชาของสำนักซงซาน เจิ้นหนานยืนยันว่าตนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับสำนักหรือยอดฝีมือที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ครั้นได้ยินว่าสภาพศพของเหล่าผู้คุ้มกันที่โดนลอบสังหารล้วนไม่มีบาดแผลและไม่โดนพิษลิ่งหูชงจึงขอดูศพ หลังผ่าศพหัวหน้าไป๋แล้วพบว่าหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ ลิ่งหูชงจึงสงสัยว่าหัวหน้าไป๋อาจเสียชีวิตเพราะฝ่ามือขยี้ใจ แต่เขายังไม่มีหลักฐานเลยไม่กล้าฟันธง (ฝ่ามือขยี้ใจ เป็นวิชาของสำนักกระบี่ชิงเฉินในมณฑลเสฉวน สามารถซัดหัวใจคนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในฝ่ามือเดียวโดยไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผลบนศพผู้ตาย เรียกได้ว่าฆ่าคนไม่เห็นเลือดนั่นเอง)
ขณะที่ผิงจือกับหลิงซานกำลังล่าหมูป่า อยู่ๆ ผู้ติดตามของทั้งคู่ก็ถูกธนูยิงเข้าที่แสกหน้า หลังจากนั้นสองหนุ่มสาวก็กลับกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ล่า ลิ่งหูชงได้ยินเสียงนกหวีดขอความช่วยเหลือจากหลิงซานจึงรีบตามเสียงไป ครั้นไปถึงก็พบว่าทั้งคู่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าชายชุดดำ ลิ่งหูชงจึงเข้าไปขวางพลางบอกให้ทั้งคู่รีบหนีไปและช่วยสกัดคนร้ายเอาไว้ ถึงกระนั้นก็มีชายชุดดำจำนวนหนึ่งไล่ตามทั้งคู่ไป
เจิ้นหนานเห็นลูกน้องตายเกลื่อนก็รู้สึกตกใจ เขาและลูกน้องคนสนิทพยายามต่อสู้กับคนร้าย แต่คนร้ายฝีมือเหนือชั้นกว่าลูกน้องของเขาจึงถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา หนึ่งในคนร้ายฉวยโอกาสซัดมีดสั้นใส่เจิ้นหนาน เจิ้นหนานจึงใช้มือรับมีดสั้นและบังเอิญจับเข้าที่คมมีดจนเป็นแผลฉกรรจ์ ไม่นานเขาก็พบว่าตนเองโดนพิษทำให้ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้จึงถูกคนร้ายใช้ดาบฟันหลายแผล
ลิ่งหูชงสงสัยว่าผู้นำกลุ่มชายชุดดำอาจเป็น "สี่ศิษย์ใหญ่" แห่งสำนักกระบี่ชิงเฉิน (เป็นสำนักเต๋าอยู่บนเขาชิงเฉิน) เลยแกล้งเปรยว่า "ชิงเฉินซื่อโซ่ว" (สี่เดรัจฉานชิงเฉิน) หนึ่งในคนร้ายได้ยินดังนั้นจึงแย้งอย่างลืมตัวว่าพวกตนคือวีรบุรุษ "ชิงเฉินซื่อซิ่ว" (สี่ยอดฝีมือชิงเฉิน) ต่างหาก และนั่นก็ทำให้ลิ่งหูชงรู้ว่าคนร้ายเป็นศิษย์สำนักชิงเฉินดังที่คิดไว้จริงๆ หลังสังหารชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตนจนหมดแล้ว ลิ่งหูชงซึ่งบาดเจ็บเล็กน้อยหลังโดนฟันเข้าที่แขนก็รีบออกตามหาผิงจือกับหลิงซาน ในตอนนั้นผิงจือกับหลิงซานกำลังถูกกลุ่มชายชุดดำต้อนให้จนมุม ผิงจือจึงพาหลิงซานกระโดดหนีลงไปในน้ำ
หลังตามหาผิงจือกับหลิงซานในป่าแล้วไม่เจอ ลิ่งหูชงจึงกลับมาที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยและพบว่ามีคนตายเกลื่อน เขาได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องโถงจึงค่อยๆ ย่องไปแอบดู ปรากฏว่าเจิ้นหนานกับหวังฟูเหริน (ซึ่งถูกทำร้ายจนบาดเจ็บทั้งคู่) กำลังถูกชายชุดดำสองคนบีบให้เผยที่ซ่อนคัมภีร์กระบี่ปราบมาร ครั้นเจิ้นหนานยืนกรานปฏิเสธโดยบอกว่าถึงตายก็ไม่ให้ ชายชุดดำจึงมอบความตายให้ทันที หวังฟูเหรินเห็นว่าสามีกำลังจะโดนสังหารเลยรีบเอาตัวเข้ามาขวางทำให้โดนกระบี่แทงทะลุทั้งคู่ หวังฟูเหรินเปรยว่าคัมภีร์กระบี่ปราบมารนำหายนะมาสู่พวกตนก่อนสิ้นใจตาย ลิ่งหูชงเห็นเจิ้นหนานกอดศพภรรยาพลางร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจก็รู้สึกเคียดแค้นจนเผลอกระแทกผนังเสียงดัง สองชายชุดดำจึงรีบวิ่งออกไปดู
ลิ่งหูชงจำได้ว่าหนึ่งในชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตนคือเจ้าสำนักชิงเฉิง "อวี๋ชางไห่" จึงขู่ว่าจะแฉวีรกรรมอันต่ำช้าของอวี๋ชางไห่ให้โลกรับรู้และบอกให้เขาเตรียมเป็นศัตรูของชาวยุทธ อวี๋ชางไห่ขู่กลับว่าลิ่งหูชงไม่มีทางรอดออกไปจากที่นี่ ลิ่งหูชงชี้ว่าอาจารย์ตน 'กระบี่วิญญูชน' กำลังจะมาที่นี่ในไม่ช้า ('กระบี่วิญญูชน' เป็นฉายาของ "เย่ว์ปู้ฉิน" เจ้าสำนักหัวซาน) อวี๋ชางไห่ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำจึงส่งสายตาบอกสมุนให้สังหารลิ่งหูชง หลังต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งในที่สุดลิ่งหูชงก็สังหารสองชายชุดดำได้สำเร็จ ชายชุดดำอีกคนจึงปรี่เข้ามาเล่นงานลิ่งหูชง แต่สุดท้ายก็โดนลิ่งหูชงถีบและซัดฝ่ามือใส่จนร่างกระเด็น โชคร้ายที่เขาตกลงไปทับกระบี่ที่ปักทะลุร่างชายคนหนึ่งทำให้ถูกกระบี่เสียบหน้าอกทะลุกลางหลังเสียชีวิต ที่แท้ชายโชคร้ายคนดังกล่าวคือ "อวี๋เหรินเยี่ยน" ลูกชายอวี๋ชางไห่ อวี๋ชางไห่เห็นลูกชายตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตาก็ร้องลั่นและรีบวิ่งเข้าไปดูศพลูกชายด้วยความเสียใจ ลิ่งหูชงเห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสหลบหนี อวี๋ชางไห่จึงรีบไล่ตามไปหมายชำระแค้น
หลังล่ออวี๋ชางไห่ไปทางอื่นแล้ว ลิ่งหูชงก็ย้อนกลับมาช่วยเจิ้นหนานซึ่งเห็นและได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาจะพาเจิ้นหนานหลบหนีแต่เจิ้นหนานรู้ว่าตนไม่รอดแน่จึงฝากฝังผิงจือให้เป็นศิษย์สำนักหัวซานและขอให้สำนักหัวซานช่วยปกป้องลูกชายตน เขาดึงตัวลิ่งหูชงเข้าไปใกล้ๆ แล้วฝากบอกผิงจือว่าในบ้านหลังเก่าที่ตรอกเซี่ยงหยางมีของที่เป็นมรดกตกทอดของสกุลหลิน ผิงจือต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีและห้ามเปิดดูโดยเด็ดขาด เพราะท่านปู่หย่วนถูของตนสั่งเอาไว้ว่าคนรุ่นหลังห้ามเปิดดู (บรรพบุรุษสกุลหลินห้ามลูกหลานฝึกเพลงกระบี่ดังกล่าว)
ผิงจือช่วยหลิงซานซึ่งอยู่ในสภาพหมดสติขึ้นจากน้ำและจะช่วยผายปอด แต่หลิงซานรู้สึกตัวเสียก่อนจึงสำลักน้ำใส่หน้าเขาเต็มๆ ผิงจือจะประคองหลิงซานให้ลุกขึ้นแต่กลุ่มชายชุดดำมาพบเข้าจึงขวางเอาไว้ หลิงซานขู่ว่าพ่อของเธอคือ "เย่ว์ปู้ฉิน" เจ้าสำนักหัวซาน หากเธอเป็นอะไรไปพ่อของเธอไม่ปล่อยทุกคนแน่ ชายชุดดำสวนกลับว่าต่อให้ผู้นำห้าขุนเขากระบี่ "จั่วเหลิ่งฉาน" มาเองพวกตนก็ไม่กลัว พูดจบชายคนดังกล่าวก็ถูกกระบี่แทงทะลุร่าง ที่แท้ติงเหมี่ยน (ศิษย์น้องของจั่วเหลิ่งฉาน) นำกำลังศิษย์สำนักซงซานมาช่วยทั้งคู่ไว้ได้ทัน
เมื่อผิงจือกลับมาที่สำนักคุ้มภัยฝูเวย (พร้อมหลิงซานกับติงเหมี่ยน) ก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้สำนักของตนอย่างหนัก เขาจึงฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปหมายช่วยพ่อกับแม่แต่กลับพบว่าทั้งคู่ถูกคนฆ่าตายแล้ว เขาจึงได้แต่ร่ำไห้เสียใจ ขณะกอดร่างอันไร้วิญญาณของพ่อ ผิงจือแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นกระบี่สลักคำว่า "หัวซาน ลิ่งหู" ปักคาหลังพ่อของตน (หัวซาน คือ สำนักกระบี่หัวซาน / ลิ่งหู คือ แซ่ของพระเอก "ลิ่งหูชง")
***จบตอนที่หนึ่ง ***
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
รับบท ลิ่งหูชง [เล่งฮู้ชง]
(นักแสดง ชาวจีน)
ติงอวี่ซี
รับบท ตงฟางปู้ป้าย (บูรพาไร้พ่าย)
(นักแสดง ชาวจีน)
เฉินซวิ่น
(นักแสดง ชาวจีน)
เจียงจื่อซิน
รับบท เย่ว์หลิงซาน
(นักแสดง ชาวจีน)
อื่นๆ
หลี่ฮ่าวฮั่น
รับบท เย่ว์ปู้ฉวิน
(นักแสดง ชาวจีน)
เจียงจั๋วจวิน
รับบท อี๋หลิน (แม่ชีน้อย ศิษย์สำนักเหิงซาน)
(นักแสดง ชาวจีน)
หลิวเจียถง
รับบท หลานเฟิ่งหวง
(นักแสดง ชาวจีน)
จินข่ายเจี๋ย
รับบท เซี่ยงเวิ่นเทียน (ทูตขวาแห่งพรรคตะวันจันทรา)
(นักแสดง ชาวจีน)
มู่ฟานหลง (Ryu Kohata)
รับบท อวี๋ชางไห่ (เจ้าสำนักชิงเฉิง)
(นักแสดง / อดีตนักมวย ชาวญี่ปุ่น)
หวังเจียหนิง
รับบท เหรินหว่อสิง (ประมุขพรรคตะวันจันทรา)
(นักแสดง ชาวจีน)
เจิ้งฮ่าว
รับบท จั่วเหลิ่งฉาน (เจ้าสำนักซงซาน)
(นักแสดง ชาวจีน)
จี้ตงหราน
รับบท เถียนป๋อกวง
(นักแสดง ชาวจีน)
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
I love the most
ตอบลบ