วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

เรื่องย่อ ข้ามมิติลิขิตสวรรค์ (Moon Lovers: Scarlet Heart Ryeo)




กำกับ: คิม คยูแท (ผู้กำกับ "ถ้ารักกัน มันก็โอเค" "สายลมรักในฤดูหนาว" และ นักฆ่า / ล่า / หัวใจเธอ)
เขียนบท: โช ยุนยอง
แนวละคร: ย้อนเวลา, ย้อนยุค, โรแมนติก, อิงประวัติศาสตร์
จำนวนตอน: 20 + 2 ตอนพิเศษ
ออกอากาศ: เกาหลี - 29 สิงหาคม 2559 - 31 ตุลาคม 2559 ทางเอสบีเอส
                    ไทย - ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2560 - 20 กุมภาพันธ์ 2560 (รีรันล่าสุด ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.20-12.45 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2561 - 16 พฤษภาคม 2561 )


 


เรื่องย่อ



"ข้ามมิติลิขิตสวรรค์ (Moon Lovers: Scarlet Heart Ryeo)" ดัดแปลงมาจากซีรีย์จีนชื่อดังเรื่อง  "ฝ่ามิติลิขิตสวรรค์ (Scarlet Heart)" ที่ออกอากาศทางหูหนานทีวี เมื่อปี พ.ศ. 2554 เนื้อหากล่าวถึง "โก ฮาจิน" หญิงสาววัย 25 ปี จากศตวรรษที่ 21 ซึ่งเดินทางย้อนเวลาไปยังปี ค.ศ. 941 อันเป็นยุคแรกเริ่มของราชวงศ์โครยอแบบไม่คาดฝัน หลังช่วยเด็กที่กำลังจมน้ำในช่วงที่เกิดสุริยุปราคา พอรู้ตัวอีกทีเธอก็พบว่าตนเองอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวโครยอวัย 16 ปี ที่มีชื่อว่า "แฮซู" ซึ่งอาศัยอยู่ที่ตำหนักองค์ชาย 8 และนั่นก็ทำให้เธอได้พบและรู้จักกับเหล่าองค์ชายหลายพระองค์ด้วยกัน

ในตอนแรกเธอเผลอมีใจให้ชายหนุ่มที่อบอุ่นและอ่อนโยนอย่าง "องค์ชาย 8" ซึ่งเป็นสามีของลูกพี่ลูกน้องเธอ แต่ภายหลังได้ตกหลุมรักชายหนุ่มที่ซ่อนแผลเป็น (ทั้งทางร่างกายและจิตใจ) ของตนไว้ภายใต้หน้ากากอย่าง "องค์ชาย 4" ที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว กว่าจะรู้ตัวเธอก็ตกอยู่ท่ามกลางการแข่งขัน ห้ำหั่นทางการเมือง และการต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์ในหมู่องค์ชาย 

เนื้อหาตอนที่ 1



ละครเปิดฉากขึ้นที่เกาหลีในยุคปัจจุบัน "โก ฮาจิน" พาร่างกายและหัวใจอันบอบช้ำมานั่งดื่มโซจูแก้กลุ้มริมน้ำในอุทยานตามลำพัง ครั้นพอเห็นชายเร่รอนจ้องมองขวดโซจูในมือเธอพลางกลืนน้ำลายก่อนส่งยิ้มให้ ฮาจินเลยยื่นขวดโซจูให้ชายคนดังกล่าว จากนั้นก็ถามกึ่งรำพึงรำพันว่า เคยนึกอยากนอนหลับสักร้อยปีพันปีไหม เธอรู้สึกท้อเพราะตอนนี้ทุกอย่างในชีวิตล้วนย่ำแย่และไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น ที่ผ่านมาเธอพยายามปลอบใจตัวเองว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น แต่แล้วก็มีปัญหาอื่นโผล่มากวนใจอีกจนได้ เธอจึงอยากหลับยาวและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

ฮาจินพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าเธออยากลืมทุกสิ่งแต่กลับลืมไม่ลง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายตัวแสบที่หักอกเธอแล้วทิ้งหนี้ก้อนโตเอาไว้ให้ หรือผู้หญิงทรยศที่หลอกลวงเธอแล้วหนีไปกับผู้ชายตัวแสบ เธออดเสียใจไม่ได้ที่หลงเชื่อใจพวกเขามาโดยตลอดและเจ็บใจตัวเองที่ไว้ใจคนอื่น เธอหลงคิดว่าถ้าตนเองไม่เปลี่ยน คนที่เธอรักและเชื่อใจก็จะไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่มารู้ทีหลังว่าตนเองคิดผิด ยิ่งพูดฮาจินก็ยิ่งเสียใจ เธอจึงร่ำไห้พลางบ่นว่าชีวิตตนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกัน หลังนั่งฟังอยู่นานชายเร่รอนจึงบอกฮาจินว่าถึงบ่นไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะชีวิตคนเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามใจปรารถนา หลังจากนั้นเขาก็พึมพำกับตัวเองว่าบางทีหากเธอตายแล้วฟื้นทุกอย่างอาจเปลี่ยนไป พูดจบชายคนดังกล่าวก็ทิ้งตัวลงนอน

ขณะพยายามตั้งสติและทำใจให้เข้มแข็ง ฮาจินเห็นเด็กคนหนึ่งพยายามยื่นเท้าลงไปในเรือที่จอดอยู่ริมสะพานไม้ ครั้นพอหันไปมองอีกทีเด็กคนดังกล่าวก็ตกลงไปในน้ำแล้ว (เด็กสวมเสื้อชูชีพ) ในตอนแรกเธอลังเลที่จะลงไปช่วยเพราะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวหลายคนอยู่ในบริเวณดังกล่าว  และคิดว่าถึงแม้ตนจะไม่ลงไปช่วยคนอื่นก็ต้องช่วยเด็กอยู่ดี ครั้นพอกวาดตามองไปรอบๆ แล้วพบว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กตกน้ำเลยสักคน เธอเลยวิ่งลงน้ำพลางกรีดร้องด้วยความคับข้องใจว่า "ให้ตายสิ ทำไมต้องเป็นชั้นอยู่เรื่อยเลย?!


หลังฮาจินกระโดดลงไปช่วยเด็ก พ่อแม่เด็กถึงได้รู้ว่าลูกของตนกำลังลอยคออยู่ในน้ำ ชายเร่รอนได้ยินเสียงร้องตะโกนจึงลืมตาขึ้นมาดูและพบรองเท้าของฮาจินวางอยู่ตรงหน้า เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็พบว่ากำลังจะเกิดสุริยุปราคา พ่อเด็กรีบพายเรือไปรับลูกจากนั้นก็ยื่นมือให้ฮาจินหวังช่วยดึงขึ้นมาบนเรือ ในตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลงเรื่อยๆ ฮาจินจะยื่นมือให้พ่อเด็กแต่แล้วอยู่ๆ เธอก็ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัวก่อนถูกอะไรบางอย่างลากลงไปใต้น้ำ สิ่งสุดท้ายที่ฮาจินเห็นขณะมองขึ้นไปเหนือผิวน้ำคือภาพดวงจันทร์กำลังบดบังดวงอาทิตย์ ในขณะที่ฮาจินกำลังจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ภาพเหตุการณ์ตอนที่ถูกแฟนหักหลังและถูกกลุ่มเจ้าหนี้วิ่งไล่ตามก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ หลังเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวง) ทุกอย่างก็มืดมิดลง

ณ เมืองซงอัก (แคซอง) ของโครยอ 


ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสงอีกครั้งหลังเกิดสุริยุปราคาก็ปรากฏภาพชายคนหนึ่งควบม้านำขบวนมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง ที่แท้ชายคนดังกล่าวคือ "วังโซ" หรือ "องค์ชายสี่" แห่งโครยอ ซึ่งถูกเหล่าชาวบ้านขนานนามว่า "หมาป่า" เมื่อเขาควบม้าเข้ามาในตลาด บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความโกลาหลเพราะทุกคนต่างรีบวิ่งหนีหรือไม่ก็พากันหลบหลีกด้วยความหวาดกลัว องค์ชายสี่เห็นแผงขายปิ่นปักผมจึงหยุดมองด้วยความสนใจ

ณ ทามีวอน (สระน้ำสำหรับชำระร่างกายและจิตวิญญาณ) ในวังหลวง




เหล่าองค์ชายต่างมารวมตัวกันที่ทามีวอนเพื่อชำระล้างร่างกายก่อนประกอบพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ (พิธีขับไล่ปีศาจและสิ่งชั่วร้ายในวังหลวง) คู่หูจอมซน "องค์ชายสิบ (วังอึน)" และ "องค์ชายสิบสี่ (วังจอง)" ลงเล่นน้ำพุร้อนที่บ่อด้านนอกอย่างสนุกสนาน ขณะที่ "องค์ชายสาม (วังโย)" นั่งดื่มน้ำชาริมสระน้ำในตำหนักด้วยใบหน้าเคร่งขรึม "องค์ชายสิบสาม (แพคอา)"  เพิ่งมาถึงจึงเดินดูรอบๆ อย่างอารมณ์ดี ส่วน "องค์ชายเก้า (วังวอน)" ออกกำลังกายริมสระก่อนพยายามเบ่งกล้ามอวดองค์ชายสาม   เมื่อนางในคนหนึ่งรินน้ำชาหกรดมือ องค์ชายสามก็เงื้อมือหมายตบสั่งสอน แต่ "องค์ชายแปด (วังอุก)" เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน หลังจากนั้น องค์ชายแปดก็ถามถึงองค์ชายสี่ เพราะถ้าจะเข้าร่วมพิธีองค์ชายสี่ต้องมาชำระร่างกายที่นี่กับพวกตน แต่องค์ชายสาม (ซึ่งเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับองค์ชายสี่) ไม่สนใจว่าองค์ชายสี่จะมาร่วมในพิธีหรือมาอาบน้ำที่นี่หรือไม่ ทั้งยังบอกองค์ชายแปดว่าอย่าใส่ใจในเรื่องนี้ องค์ชายเก้าแย้งว่าองค์ชายแปดมักห่วงใยคนอื่นเสมอ องค์ชายแปดจึงบอกว่าองค์ชายสี่เป็นคนเดียวที่เกิดปีเดียวกับตน อย่างน้อยๆ ตนก็ควรใส่ใจเขาบ้าง



องค์ชายสิบสาม (จริงๆ แล้วองค์ชายสิบสามชื่อ "วังอุก" เหมือนองค์ชายแปด ส่วนชื่อแพคอาถูกตั้งขึ้นในภายหลัง) เห็นว่าองค์ชายสี่เพิ่งมาเข้าร่วมพิธีเป็นครั้งแรก จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าการที่พระเจ้าแทโจทรงเรียกตัวองค์ชายสี่มาเข้าพิธีในครั้งนี้อาจมีวัตถุประสงค์บางอย่าง องค์ชายสิบถามองค์ชายสิบสามว่าได้ยินข่าวลือเรื่ององค์ชายสี่สังหารหมู่ขุนนางในเมืองชินจูอย่างโหดเหี้ยมดุจหมาป่าฆ่าคนหรือไม่ องค์ชายสิบสามแย้งว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือ องค์ชายสิบสี่ (ซึ่งเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับองค์ชายสี่) กล่าวเสริมว่าองค์ชายสี่จะลงมือเช่นนั้นตามลำพังได้อย่างไร หากทำจริงทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่นคงไม่อยู่เฉยแน่ เรื่องแบบนี้แม้แต่คนที่มีฝีมือสูงส่งยังไม่กล้าเอาตัวเข้าแลก แล้วองค์ชายสี่ที่ไม่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้จะทำได้เช่นไร องค์ชายสิบเถียงไม่ออกเลยแซวองค์ชายสิบสี่ว่าเขามีมารดาคนเดียวกับองค์ชายสี่ระวังจะกลายร่างเป็นหมาป่าเข้าสักวัน


องค์ชายสามได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธจึงบอกให้องค์ชายสิบหุบปาก ก่อนถามว่าถ้าเช่นนั้นตนก็ไม่ใช่คนอย่างงั้นหรือ องค์ชายแปดไม่อยากให้พี่น้องผิดใจกันจึงบอกองค์ชายสามว่าอย่านำเรื่องนี้มาใส่ใจ องค์ชายสิบแค่ล้อเล่นแรงเกินไปไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น แล้วตนจะช่วยอบรมให้เอง องค์ชายสามยอมฟังองค์ชายแปดแต่โดยดี ถึงกระนั้นก็เตือนทุกคนว่าองค์ชายสี่จะกลับเมืองชินจูทันทีที่เสร็จพิธี หากใครเอาเรื่องเหลวไหลพวกนี้ไปทูลฝ่าบาท ตนไม่อยู่เฉยแน่ องค์ชายสิบรีบเปลี่ยนเรื่องโดยท้าพี่น้องทุกคนไปแข่งลอยตัวที่บ่อน้ำพุร้อนทางด้านนอก องค์ชายแปดพยายามห้ามปรามแต่ก็ไม่เป็นผล องค์ชายสิบสี่จะตามไปแข่งด้วยแต่ถูกองค์ชายแปดห้ามเอาไว้ องค์ชายสิบจึงลอยตัวอยู่ในน้ำพุร้อนคนเดียว


  


ขณะที่องค์ชายสิบกำลังเล่นน้ำ อยู่ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งทะลึ่งขึ้นมาจากน้ำทางด้านหลัง ปรากฏว่าเธอคือสาวจากศตวรรษที่ 21 "โก ฮาจิน" ซึ่งแต่งตัวแบบสาวชาวโครยอ เธอกวาดตามองไปรอบๆ อย่างอ่อนแรงพลางนึกสงสัยว่าตนเองอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจที่ตัวเองยังไม่ตาย ครั้นพอสองหนุ่มสาวหันหน้ามาเจอกันต่างคนต่างกรีดร้องด้วยความตกใจ องค์ชายสิบเห็นว่ามีผู้หญิงลักลอบเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของพวกตนจึงวิ่งไปฟ้องเหล่าองค์ชายที่ยังคงแช่ตัวอยู่ในสระน้ำทางด้านใน หลังตกเป็นเป้าสายตาฮาจินก็ได้แต่ยืนงงเพราะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับตนกันแน่ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งร้องเรียกเธอ เธอจึงลุยน้ำไปหาหญิงสาวคนดังกล่าว องค์ชายสิบเห็นว่าฮาจินกำลังจะหนีจึงกระโดดลงบ่อน้ำพุร้อนอีกครั้งหมายจับเธอมาลงโทษ ฐานบังอาจแอบดูองค์ชายอย่างพวกตน แต่ฮาจินหนีไปได้เสียก่อน องค์ชายแปดเห็นดังนั้นก็เปรยว่า "แฮซู?"


สาวใช้นามว่า "แชรยอง" รีบลากตัวฮาจินซึ่งยังคงมึนงงและรู้สึกสับสนออกจากบริเวณดังกล่าวโดยใช้เส้นทางลับที่เชื่อมต่อกับถ้ำ พลางบอกให้เธอเร่งฝีเท้าตลอดทาง ก่อนหน้านี้แชรยองซึ่งรออยู่ทางด้านนอกเห็นว่าคุณหนูของตนไม่ออกมาจากถ้ำเสียทีจึงรู้ว่าเกิดเรื่องแน่ ติดตรงที่ว่าเหล่าองค์ชายเริ่มลงสระแล้วเธอเลยเข้าไปตามทางด้านในไม่ได้ ฮาจินสงสัยว่าทำไมหญิงสาวตรงหน้าถึงเรียกตนว่าคุณหนูและตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  พอรู้ว่าที่นี่คือสถานที่อาบน้ำใหญ่สุดในเมืองซงอัก ทั้งยังเห็นกับตาว่าทุกคนที่นี่มีวัฒนธรรมการอาบน้ำและแต่งตัวแบบโบราณ ฮาจินก็นึกว่าตัวเองตายแล้วและกำลังอยู่ในปรโลก หลังคิดได้ดังนั้นสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลง



ในที่สุดองค์ชายสี่และผู้ติดตามก็เดินทางมาถึงประตูวังหลวง ชายจากตระกูลคังคนหนึ่งบอกองค์ชายสี่ว่าตนจะทิ้งคนรับใช้ไว้ให้หนึ่งคน จากนั้นก็กำชับว่าเสร็จพิธีเมื่อไหร่ให้รีบกลับชินจูทันที เขายังเตือนด้วยว่านอกจากจะเป็นองค์ชายแล้ว องค์ชายสี่ยังเป็นคนที่ตระกูลคังของพวกตนรับอุปการะเอาไว้ ดังนั้น จงอย่าลืมเรื่องนี้และขอให้ยกย่องตระกูลของพวกตนกับฝ่าบาทด้วย องค์ชายสี่แย้งว่าที่ผ่านมาตนรู้สึกเหมือนเป็นเชลยของตระกูลคังมากกว่า พูดจบก็ควบม้าเข้าประตูวังตามลำพัง หลังลงจากหลังม้าองค์ชายสี่ก็ชักดาบออกมาสังหารม้าของตนท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าทหารยาม ("ชเว จีมง" ยืนมององค์ชายสี่อยู่บนป้อมเหนือกำแพงวัง) ทหารคนหนึ่งเตือนองค์ชายสี่อย่างยำเกรงว่าห้ามพกดาบเข้าไปในเขตพระราชฐาน องค์ชายสี่จึงยื่นดาบเปื้อนเลือดของตนให้ทหารคนดังกล่าว เมื่อทหารคนเดิมถามว่าจะให้ตนเตรียมม้าสำหรับตอนขากลับหรือไม่ องค์ชายสี่ตอบว่า "ข้าจะไม่กลับไปอีก" หลังปาดคราบเลือด (ม้า) บนใบหน้าแล้ว องค์ชายสี่ก็เดินตรงเข้าไปในเขตพระราชฐานด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะไม่กลับไปเป็นเชลยที่ชินจูอีก



ในที่สุดฮาจินก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ เธอก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องนอนแบบโบราณของใครบางคน ภายในห้องมีสาวใช้คนเดิมและหญิงสาวท่าทางขี้โรคคนหนึ่งนั่งเฝ้าไม่ห่าง พอรู้ว่าฮาจินฟื้นแล้วทั้งคู่ก็รีบเข้ามาถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วง ฮาจินเห็นคนที่นี่เรียกตนว่า "คุณหนู" และ "แฮซู" จึงแย้งว่าตนชื่อ "โก ฮาจิน" แชรยอง และ "พระชายาแฮ" ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้ง ฮาจินนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจมน้ำเลยเปรยว่าตนคงตายไปแล้วจริงๆ แต่แชรยองชี้ว่าเธอก็แค่เกือบตาย พอรู้ว่าตนเองยังไม่ตายฮาจินก็รู้สึกตกใจและยิ่งสับสน เธอกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนวิ่งออกไปดูนอกห้อง เมื่อพบว่าตนเองอยู่ในยุคโบราณ แถมสาวใช้ทุกคนในบ้านยังก้มศีรษะให้เธออย่างนอบน้อม ฮาจินก็เริ่มรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เธอทั้งปวดหัวและตกใจกลัวเพราะไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดกันแน่  

พระชายาแฮเห็นลูกพี่ลูกน้องของตนมีท่าทางแปลกๆ จึงบอกให้แชรยองรีบไปตามหมอ ฮาจินถามพระชายาแฮว่าตนเป็นใคร พอรู้ว่าตนเองอยู่ในร่างของเด็กสาวที่ชื่อแฮซูซึ่งเป็นญาติของพระชายาแฮ (แฮ-มยอง) ฮาจินก็ถึงกับช็อค พระชายาแฮยังบอกอีกว่าเธอกำลังอยู่ในเมืองซงอัก และที่นี่ก็คือจวนขององค์ชายแปด "วังอุก" พอได้ยินว่าตนเองอยู่ในเมืองซงอัก ฮาจินก็เดาออกว่าตนย้อนเวลามาอยู่ในยุคโครยอ  เธอจึงถามต่อว่าพระราชาองค์ปัจจุบันเป็นใคร พระชายาแฮตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่าพระราชาองค์ปัจจุบันคือผู้สถาปนาอาณาจักรโครยอ ฮาจินได้ยินดังนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือรัชสมัยของ "พระเจ้าแทโจ" (วังกอน) ฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โครยอ

ปี ค.ศ. 941 (พ.ศ. 1484) หรือปีที่ 24 ในรัชสมัยพระเจ้าแทโจ



ขณะว่าราชการในท้องพระโรง (โดยมีเหล่าองค์ชายเข้าร่วมประชุมด้วย ยกเว้นองค์ชายรัชทายาท และองค์ชาย 4) พระเจ้าแทโจโยนกรงนกที่มีนกตายอยู่ภายในให้ทุกคนดู พลางตรัสว่าเมื่อเช้านกตัวนี้กินอาหารของ "องค์ชายรัชทายาท (วังมู)" และตายทันทีที่จิกกินคำแรก พระองค์มีบัญชาให้จับตัวผู้ที่ต้องการลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทมาลงโทษให้ได้ แต่เสนาบดี "วัง ชิก-รยอม" ซึ่งเป็นพระญาติของพระเจ้าแทโจกลับแย้งว่าสิ่งที่พระองค์ควรทำคือการพิจารณาแรงจูงใจของคนร้าย เพราะถึงจับตัวคนผิดมาลงโทษได้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาชี้ว่าสาเหตุที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเป็นเพราะองค์ชายรัชทายาทไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ซ้ำยังมีข่าวลือว่าพระองค์ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ชิก-รยอมจึงเสนอให้ปลดองค์ชายวังมูออกจากตำแหน่งรัชทายาท และขอให้พระเจ้าแทโจทรงแต่งตั้งรัชทายาทพระองค์ใหม่ (องค์ชายรัชทายาทเพิ่งมาถึงแต่ยังไม่ทันเข้าไปในท้องพระโรงก็ได้ยินเข้าเสียก่อน เลยยืนฟังหน้าประตูด้วยความโกรธ) 

พระเจ้าแทโจจ้องมองเหล่าองค์ชายพลางถามว่าทุกคนเห็นด้วยหรือไม่ และใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นองค์ชายรัชทายาทคนใหม่ เหล่าองค์ชายต่างพากันยืนนิ่ง องค์ชายแปดรีบคุกเข่าขอให้พระองค์ทรงถอนรับสั่ง โดยกล่าวว่าไม่มีใครในหมู่พวกตนคิดแทนที่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายสิบสามคุกเข่าสนับสนุนคำพูดขององค์ชายแปด  หลังจากนั้นองค์ชายสามและองค์ชายคนอื่นๆ จึงพากันคุกเข่าพลางร้องขอให้พระองค์ทรงถอนรับสั่ง หลังจากนั้นพระเจ้าแทโจก็ส่งไม้ต่อให้ "ชเว จีมง" ซึ่งเป็นอัจฉริยะด้านศาสตร์แห่งดวงดาวและการทำนาย ช่วยคลายข้อกังขาเรื่องคุณสมบัติขององค์ชายรัชทายาท จีมงจึงอ้างพระประสงค์ของสวรรค์โดยชี้ว่า ดวงดาวขององค์ชายรัชทายาทวังมูเป็นราชาแห่งดวงดาวบนท้องฟ้าที่สุกสกาวขึ้นทุกวัน และเปล่งประกายเคียงคู่วังหลวงอันเจิดจรัสของพระราชาแห่งโครยอ ซึ่งหมายความว่าองค์ชายรัชทายาทไม่ขาดคุณสมบัติอันใดเลย พระเจ้าแทโจตรัสเสริมว่า เป็นเวลา 24 ปีแล้วที่แผ่นดินโครยอถูกก่อตั้งขึ้น ที่ผ่านมาองค์ชายรัชทายาทร่วมกรำศึกกับตนหลายครั้งและเป็นคนวางรากฐานให้โครยอ พระองค์สั่งให้จีมงไปจัดเตรียมความพร้อมเรื่องพิธีกรรมที่กำลังจะถูกจัดขึ้น  โดยบอกว่าองค์ชายวังมูจะเป็นผู้นำในการปัดรังควานวิญญาณอันชั่วร้าย (องค์ชายสามได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บใจ)



ชิก-รยอมมาเข้าเฝ้าพระมเหสียูและเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง พระมเหสียูไม่คาดคิดว่าองค์ชายรัชทายาทจะเป็นคนดวงแข็งและอายุยืนเช่นนี้ ทั้งหมดที่พวกตนทำจึงเท่ากับเสียเปล่า ซ้ำยังทำให้องค์ชายรัชทายาทไหวตัวและระมัดระวังมากขึ้น เมื่อนางในทูลว่าองค์ชายสี่มาขอเข้าเฝ้า พระมเหสียูก็ปฏิเสธทันควันถึงแม้ว่าองค์ชายสี่จะไม่ได้มาเหยียบที่นี่สองปีแล้วก็ตาม



คืนนั้นฮาจินขังตัวเองอยู่ในห้อง เธอนั่งกอดเข่าพลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยความรู้สึกสับสนและหวาดกลัว เธอเชื่อว่าตนเองจมน้ำตายไปแล้ว และเด็กสาวที่ชื่อแฮซูก็คงจมน้ำตายเช่นกัน เธอมองหน้าตัวเองในกระจกพลางนึกสงสัยว่าตนคือ "โก ฮาจิน" หรือ "แฮซู" กันแน่  และยิ่งไม่รู้ว่าตนมาโครยอ ซ้ำยังอยู่ในร่างคนอื่นได้อย่างไร ถึงกระนั้นเธอก็พยายามมองโลกในแง่ดี และบอกตัวเองว่านี่เป็นโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้นเธอจะต้องใช้ชีวิตที่นี่ในฐานะแฮซู แต่ปัญหาก็คือเธอไม่ใช่แฮซูและแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโครยอเลย แม้แต่ชื่อของพระราชาที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าแทโจ เธอก็ยังจำไม่ได้ และเดาส่งเดชว่าอาจเป็น "พระเจ้าควางจง" (องค์ชายสี่)

ฮาจินได้แต่นั่งน้ำตาคลอด้วยความรู้สึกหวาดกลัว เธอไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรและไม่กล้าออกไปเผชิญความจริงทางด้านนอก พระชายาแฮและแชรยองพยายามร้องบอกให้เธอออกมาคุยกันข้างนอกดีๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อองค์ชายแปดกลับมาที่จวนแล้วพบว่าพระชายาไอหนักขึ้น ซ้ำยังยืนอยู่หน้าห้องแฮซู จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระชายากับแชรยองเล่าว่าแฮซูจมน้ำแล้วหยุดหายใจ แต่สุดท้ายก็ฟื้นขึ้นมาใหม่พร้อมกับความทรงจำที่หายไป เธอจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเองและขังตัวเองอยู่ในห้องนาน 2 ชั่วโมงแล้ว พระชายาจึงเกรงว่าแฮซูจะทำร้ายตัวเอง 



องค์ชายแปดพังประตูเข้าไปในห้องด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้ามีสีหน้าท่าทางหวาดกลัว ซ้ำยังน้ำตาคลอเบ้า องค์ชายแปดจึงปลอบว่า "แฮซู! อย่ากลัวเลย ข้าพาเจ้ามาที่นี่ ดังนั้น ข้าจะช่วยเจ้าจนถึงที่สุด การหลีกหนีไม่ช่วยให้อะไรเปลี่ยนแปลง เจ้าต้องเข้มแข็งเข้าไว้" พูดจบองค์ชายแปดก็ขยับเข้าไปหาแล้วยื่นมือให้เธอ จากนั้นก็ขอให้เธอเชื่อใจแล้วออกไปข้างนอกกับตน ฮาจินมองมือองค์ชายแปดด้วยน้ำตานองหน้า เธอคิดว่าไหนๆ ก็กลับไปไม่ได้แล้วและไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ดังนั้น เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปจับมือองค์ชายแปด

หลังพระมารดาไม่ยอมให้เข้าเฝ้า องค์ชายสี่จึงอดครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ยังเป็นเด็กไม่ได้ ในตอนนั้นพระมเหสียูไม่พอใจที่พระเจ้าแทโจกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับหญิงอื่นด้วยเหตุผลทางการทหารและการเมือง (เพื่อความปลอดภัยของโครยอ) ทั้งๆ พวกตนที่เพิ่งสูญเสียพระโอรสองค์โต หลังคัดค้านไม่สำเร็จ พระมเหสียูก็นำชีวิตองค์ชายสี่ (ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ องค์ชายใหญ่ "วังมู") มาเป็นเครื่องต่อรอง โดยบอกให้พระเจ้าแทโจเลือกระหว่างการแต่งงานและพระโอรส พระเจ้าแทโจเตือนว่าถึงทำเช่นนี้ก็ไม่อาจหยุดยั้งการอภิเษกของตนได้ พระมเหสียูกล่าวว่าหากไม่ได้ครอบครองทั้งใจเธอก็ไม่ต้องการมันอีกต่อไป พูดจบเธอก็เงื้อมีดสั้นหมายปลิดชีพองค์ชายสี่ แต่พระเจ้าแทโจคว้าแขนเธอไว้เสียก่อน ถึงกระนั้นพระมเหสียูก็ยังไม่ยอมแพ้จึงเกิดการยื้อยุดกันขึ้น ในที่สุดมีดสั้นก็บาดเข้าที่ใบหน้าขององค์ชายสี่จนเป็นแผลฉกรรจ์ องค์ชายใหญ่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปดูองค์ชายสี่พลางร้องเรียกให้คนช่วย

พระเจ้าแทโจเห็นองค์ชายสี่ยืนเหม่อตามลำพังจึงหยุดมอง เมื่อจีมงถามว่าพระองค์เรียกองค์ชายสี่มาคอยปกป้ององค์ชายรัชทายาทหรือ พระเจ้าแทโจตอบพลางจ้องมององค์ชายสี่อย่างครุ่นคิดว่า ตนไม่รู้ว่าองค์ชายสี่จะเป็นเกราะกำบัง หรือเป็นมีดที่ทิ่มแทงองค์ชายรัชทายาทกันแน่



แชรยองพาแฮซู (นับจากนี้จะเรียก "ฮาจิน" ว่า "แฮซู") เดินดูรอบๆ จวนองค์ชายแปด พลางเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังหมายช่วยฟื้นฟูความทรงจำ แฮซูจึงใช้โอกาสนี้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และพบว่าตนมาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลและเป็นเพื่อนพระชายาแฮที่สุขภาพไม่สู้ดี แชรยองยังไม่ปักใจเชื่อจึงแอบถามแฮซูในที่ลับตาคนว่าเธอจำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือแกล้งโกหกกันแน่ แชรยองสงสัยว่าแฮซูอาจแกล้งความจำเสื่อมเพื่อกลบเกลื่อนความผิด จึงถามว่าแฮซูแอบไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับใครมา หรือไปก่อหนี้ที่ไหนเอาไว้หรือเปล่า แฮซูได้ยินแล้วถึงกับอึ้งเพราะนึกไม่ถึงว่าเจ้าของร่างจะเป็นคนเช่นนี้ แชรยองแย้งว่าคุณหนูของตนไม่ได้แย่ขนาดนั้น พอเห็นว่าแฮซูพูดถึงตัวเองโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 3 ราวกับกำลังพูดถึงคนอื่น แชรยองจึงเชื่อว่าแฮซูสูญเสียความทรงจำจริง แฮซูไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าตนไม่ใช่คุณหนูของแชรยอง จึงบอกเพียงว่ามีหญิงสาวอีกคนอยู่ในตัวเธอ  แต่นั่นกลับทำให้แชรยองงงหนักขึ้น แฮซูเลยแกล้งบอกว่าตนพูดเล่น  ครั้นพอเห็นว่าตนเองหน้าเด้ง และมีผิวพรรณที่สดใส เปล่งปลั่ง เต่งตึง แฮซูก็รู้สึกดีใจ ทั้งยังนึกสงสัยว่าเจ้าของร่างอยู่ในยุคโครยอแท้ๆ และกินแต่ผัก แต่กลับดูแลตัวเองดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน 

ณ หอดูดาว "ชอมซองแด" (ในซงอัก)



ในขณะที่จีมงกำลังง่วนอยู่กับการประดิษฐ์กล้องดูดาวไม้ไผ่ เหล่าองค์ชายก็มารวมตัวกันที่ห้องทำงานของจีมง (ซึ่งภายในเต็มไปด้วยต้นแบบสิ่งประดิษฐ์แห่งโลกอนาคต เช่น เครื่องบิน รถจักรยาน ฯลฯ) เพื่อหารือเรื่องพิธีกรรม องค์ชายสามสงสัยว่าเรื่องดวงดาวขององค์ชายรัชทายาทที่จีมงพูดในท้องพระโรงเป็นเรื่องจริงหรือ องค์ชายเก้ากล่าวว่าตนก็สงสัยเรื่องนี้เช่นกันเพราะใครๆ ในโครยอต่างรู้กันทั่วว่าจีมงเป็นคนขององค์ชายรัชทายาท เมื่อจีมงยืนยันว่าตนไม่ได้พูดโกหก องค์ชายสิบสามจึงบอกให้จีมงทำนายดวงชะตาของตนเพื่อเป็นการพิสูจน์ จีมงกล่าวว่าวันที่องค์ชายสิบสามเกิด ดาวเคราะห์อย่างดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพฤหัส ได้เรียงอยู่ในแนวเดียวกัน ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตหลายคนก็เกิดในวันที่มีปรากฏการณ์เช่นนั้น จากนั้นก็ฟันธงว่าองค์ชายสิบสามจะมีโชคเรื่องผู้หญิงซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว

องค์ชายสิบสี่กล่าวว่าถ้าจะทำนายอย่างนี้ ตนก็บอกได้ว่าองค์ชายสามมีโชคเรื่องการปกครองคน องค์ชายเก้ามีโชคเรื่องทรัพย์สินเงินทอง องค์ชายแปดมีโชคในเรื่องความรอบรู้  องค์ชายสิบสี่จะบอกว่าองค์ชายสิบไม่มีโชคด้านใดเลย แต่องค์ชายสิบชิงตอบว่าตนมีโชคเรื่องน้องชาย จีมงกล่าวว่าตนรู้สึกเจ็บปวดใจที่เหล่าองค์ชายไม่อินกับเรื่องเล่าของตนเหมือนเมื่อก่อน องค์ชายสิบสามจึงกล่าวว่าตอนนี้พวกตนโตแล้ว จึงไม่เชื่อเรื่องหลอกเด็กของจีมงอีกต่อไป ในขณะที่เหล่าองค์ชายพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน จีมงก็ถือโอกาสพิจารณาองค์ชายแต่ละคน (สีหน้าเขาแลดูเศร้าลงนิดๆ)




องค์ชายเก้าสงสัยว่าในเมื่อองค์ชายสี่มาถึงวังหลวงแล้วแต่ทำไมถึงยังไม่มาทักทายองค์ชายสาม องค์ชายสิบสี่ถามทุกคนว่าได้ยินเรื่องที่องค์ชายสี่สังหารม้าที่ขี่มาหรือไม่ ตนได้ยินมาว่าเหล่าทหารที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันฝันร้ายจนถึงกับต้องขอลาหยุด องค์ชายสามกล่าวว่าคนแบบนี้ตนไม่ต้องการให้มาทัก องค์ชายแปดแย้งว่าบางทีองค์ชายสี่อาจเจ็บปวดใจกว่าทุกคน จากนั้นก็ขอให้ทุกคนเลิกมององค์ชายสี่ในแง่ร้ายเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่น้องกับพวกตน ทันใดนั้น องค์ชายสี่ก็เดินเข้าห้องมาโดยไม่คาดฝัน เหล่าองค์ชายจึงต่างพากันกลั้นหายใจด้วยความกลัว ขณะที่องค์ชายสามจ้องหน้าองค์ชายสี่โดยไม่พูดจา   มีเพียงจีมงและองค์ชายแปดที่ทักทายองค์ชายสี่



ขณะเดินเล่นกับแชรยองในจวนองค์ชายแปด แฮซูเห็นองค์ชายแปดคอยดูแลพระชายาแฮไม่ห่างจึงหยุดมองอย่างชื่นชม จากนั้นก็ถามว่าแชรยองว่าองค์ชายแปดเป็นคนเช่นไร แชรยองกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่าองค์ชายแปดเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโครยอ การศึกษาก็โดดเด่น แถมยังบุคลิกดีที่สุดในบรรรดาองค์ชายทั้ง 25 คน มีคนไม่น้อยที่คิดว่าตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทควรเป็นของพระองค์มากกว่าองค์ชายใหญ่ แฮซูได้ยินดังนั้นจึงแอบสงสัยว่าองค์ชายแปดคือพระเจ้าควางจงใช่หรือไม่ ครั้นพอเห็นองค์ชายแปดดูแลพระชายาเป็นอย่างดีและช่วยสวมรองเท้าให้ แฮซูจึงเปรยว่าทั้งคู่คงจะรักกันมาก แชรยองกล่าวอย่างชื่นชมว่าองค์ชายแปดห่วงใยและเอาใจใส่พระชายาที่กำลังล้มป่วยเป็นอย่างมาก ส่วนพระชายาก็เชื่อใจและติดตามองค์ชายแปดไปทุกหนทุกแห่ง เรียกได้ว่าใครเห็นเป็นต้องอิจฉา แฮซูนึกถึงตอนที่องค์ชายแปดยื่นมือให้แล้วช่วยประคอง ทั้งยังสวมรองเท้าให้เธอ จากนั้นก็คิดในใจว่าเธอเองก็เชื่อใจองค์ชายแปดเช่นกัน แฮซูเผลอยืนจ้องจนองค์ชายแปดรู้ตัว เธอจึงแกล้งเหลือบตามองไปทางอื่น ขณะที่องค์ชายแปดก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นเธอเช่นกัน




องค์หญิง "ยอนฮวา" เห็นแฮซูจ้องมององค์ชายแปดและพระชายาอย่างไม่วางตาจึงตำหนิแฮซูที่ทำตัวไม่เหมาะสม แชรยองรีบก้มศีรษะทักทายองค์หญิง ครั้นพอเห็นแฮซูยังคงยืนนิ่งแชรยองจึงกดหลังแฮซูให้ก้มลงพลางบอกให้เธอกล่าวคำทักทายองค์หญิงยอนฮวา (แฮซูได้ยินดังนั้นจึงนึกในใจว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตนคือองค์หญิงงั้นหรือ จากนั้นก็บอกตัวเองว่าในเมื่อมีองค์ชายก็ต้องมีองค์หญิงเป็นธรรมดา) องค์หญิงยอนฮวาเห็นดังนั้นจึงบอกว่าไม่เป็นไรและกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า ตนได้ยินมาว่าแฮซูสูญเสียความทรงจำ นึกไม่ถึงว่าจะสูญเสียสมบัติผู้ดีด้วย หวังว่าคงไม่ยากเย็นเกินไปสำหรับเธอที่ต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ และฝึกมารยาทกันใหม่ตั้งแต่ต้น แฮซูได้ยินดังนั้นก็เริ่มไม่สบอารมณ์และรู้สึกขัดหูขัดตาที่องค์หญิงยอนฮวาเสแสร้งแกล้งตีหน้าซื่อแต่วาจากลับเชือดเฉือน องค์หญิงยอนฮวาเตือนแฮซูว่าไม่ควรจ้องมองเวลาที่คู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันตามลำพัง คราวหน้าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้อีกรับรองเจอดีแน่ ถึงแม้แฮซูจะเป็นญาติกับพระชายาก็ตาม พูดจบองค์หญิงยอนฮวาก็ยิ้มและถามแฮซูว่า "เข้าใจใช่มั๊ยจ๊ะ"




หลังพิจารณาสีหน้าท่าทางองค์หญิงยอนฮวาแล้วแฮซูก็ทำหน้าเบ้ เธอไม่รู้สึกยำเกรงองค์หญิงยอนฮวาเลยสักนิด เพราะก่อนหน้านี้ (ตอนอยู่ในโลกปัจจุบัน) เธอเจอศึกหนักมาเยอะแล้ว แฮซูแกล้งทำเป็นฉีกยิ้มเลียนแบบองค์หญิงยอนฮวา ก่อนกล่าวว่าถ้าไม่ชอบตนก็น่าจะบอกกันตรงๆ องค์หญิงยอนฮวาไม่นึกฝันว่าแฮซูจะมาไม้นี้จึงรู้สึกตกใจ แฮซูกล่าวต่อว่าดูก็รู้ว่าองค์หญิงยอนฮวาไม่ชอบหน้าตน เลยจ้องจับผิดเพื่อจะได้ดุด่าว่ากล่าว แต่วิธีนี้ไม่ได้ผลเพราะตนผ่านอะไรมาเยอะ องค์หญิงยอนฮวาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธ แชรยองรีบขอร้ององค์หญิงว่าอย่าถือสาแฮซูโดยอ้างว่าสภาพจิตใจของแฮซูยังไม่เป็นปกตินัก แฮซูไม่พอใจที่ถูกกล่าวหาว่าสติไม่ดีจึงโวยใส่แชรยองต่อหน้าองค์หญิงยอนฮวา องค์หญิงยอนฮวาเห็นแฮซูไม่สำรวมจึงเรียกเธอว่า "หญิงถ่อย!"  ก่อนถามเสียงแข็งว่ากล้าดียังไงถึงทำตัวไร้มารยาทในจวนองค์ชายแปด แฮซูได้ยินดังนั้นก็ของขึ้นจึงขึ้นเสียงใส่องค์หญิงยอนฮวาและจ้องหน้าเธอด้วยสายตาเอาเรื่อง องค์ชายแปดได้ยินเสียงเอะอะและเห็นสองสาวจ้องหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเลยเดินเข้ามาถามว่ามีเรื่องอะไรกัน และนั่นก็ทำให้สงครามระหว่างสองสาวยุติลง



แฮซูเดินคอตกตามองค์ชายแปดเข้าไปในห้องหนังสือ พอเห็นว่าภายในห้องมีหนังสือมากมาย ทั้งยังถูกจัดเรียงคล้ายห้องสมุดในยุคปัจจุบันเธอก็รู้สึกทึ่ง องค์ชายแปดประชดว่าแฮซูคงลืมมารยาทในการทักทายผู้อื่นไปแล้ว แฮซูจึงก้มศีรษะพลางกล่าว 'สวัสดี' องค์ชายแปดอย่างลืมตัว พอนึกขึ้นได้ว่าอยู่ในยุคโครยอเธอจึงทักทายใหม่โดยพูดพึมพำอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก องค์ชายแปดเห็นว่าแฮซูสูญเสียความทรงจำจึงเดาว่าเธอคงจำตนไม่ได้ด้วย เมื่อแฮซูกล่าวว่ามีคนบอกเธอว่าเขาคือองค์ชายแปด องค์ชายแปดก็ยิ้มอย่างเอ็นดู เขาเดินดูหนังสือพลางถามว่าแฮซูแอบดูเหล่าองค์ชายอาบน้ำก่อนหรือหลังสูญเสียความทรงจำ แฮซูกล่าวว่าเธอจำเรื่องนั้นไม่ได้ ทำให้องค์ชายแปดรู้สึกหนักใจ

องค์ชายแปดถามต่อว่าเธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป และกล่าวว่าไม่ว่าแฮซูต้องการทำอะไรเขาพร้อมสนับสนุนเธอทุกอย่าง หลังพระชายาพาเธอมาที่นี่เขาก็ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะดูแลเธอ เธอสามารถอยู่รักษาตัวที่นี่ต่อไป หรือจะกลับบ้านเกิดก็ได้หากคิดว่าอยู่ที่นี่แล้วลำบากใจเพราะจำอะไรไม่ได้เลย หากเธอเลือกที่จะกลับบ้านเกิดตนก็จะสร้างบ้านหลังเล็กๆ ให้ แฮซูสงสัยว่าทำไมองค์ชายแปดถึงต้องลำบากขนาดนั้นเพราะตนด้วย ถึงแม้ตนจะเป็นญาติกับพระชายาแฮแต่ตนไม่ใช่คนที่จะแบมือรับ 'ของฟรี' จากคนอื่น ดังนั้น ตนจะพึ่งพาและดูแลตนเอง องค์ชายแปดไม่เข้าใจว่า 'ของฟรี' หมายถึงอะไรเพราะเป็นคำสมัยใหม่ แฮซูจึงตัดบทว่าเธอจะ 'สตรอง' ให้ถึงที่สุดและจะอยู่ที่นี่ต่อไป และนั่นก็ทำให้องค์ชายแปดยิ่งงงหนักขึ้น

แฮซูไม่อยากโดนผลักไสจึงเดินตามองค์ชายแปด (ซึ่งเดินไปมาระหว่างชั้นหนังสือตลอดเวลา) พลางหว่านล้อมโดยบอกว่า ในเมื่อเธอจำอะไรไม่ได้ เธอก็ไปอยู่ที่อื่นไม่ได้เช่นกัน ทุกคนที่เธอรู้จักไม่ว่าจะเป็น พระชายาแฮ แชรยอง หรือองค์ชายแปด ล้วนอยู่ที่นี่ ทุกคนดีกับตนมากตนจึงคิดว่าถ้าอยู่ที่นี่ตนจะ 'สตรอง' ได้แน่ แฮซูยังบอกด้วยว่าไม่มีอะไรที่ตนทำไม่ได้ เพราะตนฉลาด เรียนรู้เร็ว เธอมองหาองค์ชายแปดราวกับกำลังเล่นซ่อนหาพลางสัญญาว่าจะทำตัวให้มีประโยชน์ จะตั้งใจเรียนรู้ทุกสิ่ง และจะไม่เป็นภาระให้พระองค์



หลังหาองค์ชายแปดไม่เจอ แฮซูก็หันหลังกลับและเกือบชนองค์ชายแปดเข้าอย่างจัง องค์ชายแปดจ้องหน้าแฮซูพลางกล่าวว่า "เจ้าราวกับไม่ใช่คนเดิม" (แฮซูหลบตาเพราะกลัวถูกจับได้) จากนั้นก็ชี้ว่าพวกตนไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน วิธีที่เธอพูดหรือแสดงออกเหมือนเป็นคนละคน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับตน องค์ชายแปดบอกแฮซูว่าจากนี้ไปตนจะไม่กดดันเธอเรื่องความทรงจำหรือคาดคั้นเรื่องที่เธอแอบดูเหล่าองค์ชายอีก  แต่เธอต้องไม่ทำให้พระชายาแฮเป็นกังวล แฮซูรับปากแล้วรีบวิ่งออกจากห้อง หลังแฮซูไปแล้วองค์ชายแปดยังคงนึกสงสัยว่า 'สตรอง' คืออะไร



 

องค์ชายสี่มารอพบจีมงที่ห้องสมุดบนหอดูดาวและหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดูฆ่าเวลา พอเห็นว่าเป็นหนังสือลามกเขาก็วางลงทันที ครั้นพอหยิบเล่มใหม่ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นหนังสือลามกเช่นเดิม จีมงย่องมาทางด้านหลังแล้วบอกองค์ชายสี่ว่าหนังสือที่อยู่ในมือพระองค์เป็นเล่มใหม่ล่าสุด จากนั้นก็ถามว่าอยากยืมไปดูไหม องค์ชายสี่โยนหนังสือใส่จีมงพลางถามว่าเรียกตนมาที่นี่ทำไม จีมงกล่าวว่านางในที่ดูแลเครื่องเสวยในตอนเช้าให้องค์ชายรัชทายาทถูกแขวนคอ มือสังหารจัดฉากให้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายซึ่งหมายความว่าคนร้ายจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือต้องเป็นหนึ่งในบรรดาองค์ชาย เขาจึงขอให้องค์ชายสี่ช่วยสืบหาคนร้าย องค์ชายสี่แย้งว่าเห็นตนเป็นหมาหรือ จากนั้นก็บ่นว่าใครๆ ต่างเรียกตนว่าหมาป่า แต่ตอนนี้จีมงกลับเห็นตนเป็นหมาไปแล้วจริงๆ

จีมงถามแทงใจดำว่าที่องค์ชายสี่ฆ่าม้าเป็นเพราะไม่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงเชลยและอยากอยู่ในซงอักมิใช่หรือ งานนี้จะทำให้องค์ชายสี่เป็นอิสระสมดังที่ตั้งใจ ในเมื่อมีโอกาสก็จงรับไว้เสีย แม้จะรู้สึกสนใจแต่องค์ชายสี่ยังไม่ปักเชื่อ จีมงจึงบอกว่านี่เป็นความประสงค์ขององค์ชายรัชทายาท เมื่อองค์ชายรัชทายาทมาถึง จีมงก็เล่าให้องค์ชายสี่ฟังว่ามีคนวางแผนลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทขณะประกอบพิธีกรรมในพระราชพิธี "นารเย" (พิธีขับไล่ปีศาจและวิญญาณชั่วร้ายซึ่งจัดขึ้นในวังหลวงเป็นประจำทุกปี) องค์ชายสี่ถามว่าจะให้ตนเป็นตัวตายตัวแทนหรือ ทำเช่นนั้นแล้วตนจะได้อะไรเป็นการตอบแทน องค์ชายรัชทายาทจึงสัญญาว่าหากองค์ชายสี่สวมรอยเป็นตนแล้วสามารถจับคนร้ายได้ด้วย ตนจะทำทุกอย่างตามที่องค์ชายสี่ร้องขอ องค์ชายสี่นิ่งไปชั่วขณะก่อนบอกว่าตนอยากใช้ชีวิตในซงอัก

ในขณะที่พระชายาแฮ องค์หญิงยอนฮวา แฮซู แชรยอง รวมทั้งเหล่าสาวใช้ในจวนองค์ชายแปดกำลังง่วนอยู่กับการทำโคมรูปดอกบัว องค์หญิงยอนฮวาเห็นว่าแฮซูทำไม่เป็นจึงกล่าวว่า ทุกปีจวนองค์ชายแปดจะได้รับยกย่องว่ามีโคมดอกบัวสวยที่สุดและโคมพวกนั้นก็เป็นผลงานของแฮซู แต่ดูท่าทางปีนี้คงไม่ได้เห็นโคมสวยๆ อีกแล้ว แฮซูออกตัวว่าเธอยังไม่หายดีมือไม้เลยไม่ได้ดั่งใจ องค์หญิงยอนฮวายิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่าทำไงได้ในเมื่อแฮซูเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น จากนั้นก็บอกให้แฮซูไปพักผ่อน แต่แฮซูไม่อยากกินแรงคนอื่นเลยยืนกรานว่าจะอยู่ช่วยต่อโดยอาสาไปทำงานอื่นแทน องค์หญิงยอนฮวาได้ทีจึงใช้ให้แฮซูออกไปทำกาวทางด้านนอก ซึ่งเป็นงานที่สกปรก เลอะเทอะ และไม่ต้องใช้ฝีมือ


แฮซูกวนกาวในโอ่งที่ตั้งอยู่เหนือกองไฟพลางบ่นเรื่องที่ถูกองค์หญิงจอมเสแสร้งกลั่นแกล้ง หลังกวนกาวจนใบหน้าเลอะคราบถ่านและปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด แฮซูก็บ่นว่าตนเองทำเครื่องประทินผิวเป็น นวดตัวก็ได้ แต่งหน้าก็เก่ง แถมยังมีใบอนุญาติอีกเป็นคันรถ แต่กลับต้องมาทำงานที่ใช้แรงงานเยี่ยงทาสแบบนี้ ขณะที่แฮซูกำลังพักยืดเส้นยืดสาย องค์ชายแปด (ซึ่งกำลังจะออกไปซ้อมรำดาบสำหรับพระราชพิธี) ผ่านมาเห็นแฮซูทำท่าทางแปลกๆ จึงหยุดดูด้วยความสงสัย แฮซูนึกขึ้นได้ว่าทิ้งกาวไว้นานเกินไปจึงรีบวิ่งไปกวนกาวต่อและเกิดสำลักควัน พอเห็นว่าองค์ชายแปดยืนดูอยู่เธอจึงหัวเราะแก้เก้อ ก่อนบอกว่าองค์หญิงยอนฮวามอบหมายหน้าที่ทำกาวซึ่งเป็นงานที่สำคัญมากให้เธอทำ องค์ชายแปดจึงยืมคำพูดแฮซูมาใช้โดยกล่าวว่า "เจ้าบอกข้าว่าจะเรียนรู้ทุกสิ่งและจะ 'สตรอง' ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำได้ดีมาก เจ้านี่ช่างเป็นคนที่เหลือเชื่อจริงๆ" (องค์ชายแปดพูดไปขำไป)

จีมงควบคุมการฝึกซ้อมรำดาบของเหล่าบรรดาองค์ชาย ทุกคนต่างร่ายรำกันอย่างพร้อมเพรียงมีเพียงองค์ชายสิบที่ตามคนอื่นไม่ทันและทำผิดพลาดอยู่คนเดียว แถมยังงอแงและเลิกซ้อมกลางคันอีกด้วย ระหว่างหยุดพักองค์ชายแปดสงสัยว่าทำไมองค์ชายสี่ถึงยังไม่มาฝึกซ้อมกับพวกตน จีมงจึงกล่าวว่าองค์ชายสี่กำลังเดินทางมา อยู่ๆ องค์ชายเก้าก็ถามจีมงเรื่องข่าวลือที่พระเจ้าแทโจจะสละราชสมบัติให้องค์ชายรัชทายาทหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธี "นารเย" เหล่าองค์ชายได้ยินดังนั้นก็หูผึ่งไปตามๆ กัน จีมงแกล้งทำเป็นตื่นเต้นแล้วบอกว่าตนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน และแม้จะเป็นเรื่องจริงฝ่าบาทก็คงไม่บอกตนเพราะตนเป็นเพียงนักดาราศาสตร์ พูดจบเขาก็ขอตัวไปเข้าเฝ้าองค์ชายรัชทายาทซึ่งจะสวมหน้ากาก "พังซังชี" ร่ายรำในพระราชพิธีนารเย (หน้ากากพังซังชีสวมโดยผู้ทำหน้าที่ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย มีลักษณะเป็นหน้ากากไม้ขนาดใหญ่และมีทั้งหมด 4 ตา)  หลังจีมงไปแล้ว องค์ชายแปดกลัวว่าเรื่องนี้จะล่วงรู้ไปถึงหูฝ่าบาทจึงตำหนิองค์ชายเก้าที่พูดอะไรไม่ยั้งคิด  แต่องค์ชายสามแย้งว่าไม่ใช่องค์ชายเก้าคนเดียวที่อยากรู้ ที่สำคัญจีมงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้



หลังกวนกาวเสร็จแล้ว แฮซูเห็นจีมงเดินผ่านจวนองค์ชายแปดก็รู้สึกคุ้นหน้า พอนึกขึ้นได้ว่าเขาหน้าเหมือนชายเร่ร่อนที่เธอพบก่อนย้อนเวลามาที่นี่ แฮซูก็รีบวิ่งตามไป เธอตามเขาไปถึงในตลาดแต่ก็คลาดกันจนได้ ขณะที่แฮซูกำลังมองหาจีมงอยู่บนสันคูเมือง องค์ชายสี่ก็ควบม้ามุ่งตรงมาทางนั้นพอดี เหล่าชาวบ้านเห็นองค์ชายสี่จึงร้องเตือนว่า "หมาป่ามา!" ทำให้คนที่อยู่แถวนั้นวิ่งหลบกันจ้าละหวั่น กว่าแฮซูจะรู้ตัวองค์ชายสี่ก็ควบม้ามาพุ่งตรงมาทางเธอแล้ว แฮซูตกใจจนก้าวขาไม่ออก ซ้ำยังถูกสัมภาระของพ่อค้าเร่ชนจนหงายหลังและกำลังจะเสียหลักตกลงไปในคูน้ำทางด้านล่าง โชคดีที่องค์ชายสี่คว้าตัวเธอขึ้นมาบนหลังม้าได้ทันเวลา

* เนื้อหาโดย luvasianseries  / ภาพจาก เอสบีเอส / ดูละครย้อนหลังทางช่อง 3 ได้ ที่นี่





นักแสดงนำ


ลี จุนกี
รับบท วังโซ (องค์ชาย 4)
(นักแสดง / นายแบบ / นักร้อง)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "โซ"  เป็นพระโอรสองค์ที่ 4 ในพระเจ้าแทโจและพระมเหสีชินมยองซุนซอง (จากตระกูลยูแห่งชุงจู  เป็นพระมเหสีองค์ที่ 3 และพระมเหสีที่มีพระโอรส/ธิดามากที่สุดถึง 7 พระองค์) ขณะมีพระชนมายุ 25 พรรษาองค์ชาย "โซ" ได้รับการสถาปนาเป็น "พระเจ้าควางจงแห่งโครยอ" (พระราชาองค์ที่ 4 แห่งโครยอ) ทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ.  949–975 (พ.ศ. 1492-1518) 



ไอยู
รับบท โก ฮาจิน / แฮซู
(นักแสดง / นักร้อง)



คัง ฮานึล
รับบท วังอุก (องค์ชาย 8)
(นักแสดง)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "อุก" เป็นพระโอรสองค์ที่ 8 ในพระเจ้าแทโจและพระมเหสีซินจอง (จากตระกูลฮวางโบ แห่งฮวางจู) พระองค์เป็นพระสวามีของ "พระชายาแฮ" ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมพระบิดา (พระชายาแฮเป็นธิดาในพระเจ้าแทโจกับพระมเหสีจองด๊อก) และเป็นพระราชบิดาของ "พระเจ้าซองจงแห่งโครยอ" (พระราชาองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์โครยอ) หลังพระเจ้าซองจงขึ้นครองราชย์องค์ชาย "อุก" จึงได้รับการแต่งตั้งเป็น "พระเจ้าแทจง" (เป็นพระนามเรียกขาน ไม่ได้เป็นพระราชาจริงๆ) ส่วนพระชายาแฮได้รับการแต่งตั้งเป็น "พระมเหสีซอนอึย"



ฮง จงฮยอน
รับบท วังโย (องค์ชาย 3)
(นักแสดง / นายแบบ)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "โย"  เป็นพระโอรสองค์ที่ 3 ในพระเจ้าแทโจและพระมเหสีชินมยองซุนซอง ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น "พระเจ้าชองจงแห่งโครยอ" (พระราชาองค์ที่ 3 แห่งโครยอ) ทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ.  945–949 (พ.ศ. 1488-1492) 

เหล่าองค์ชาย


คิม ซานโฮ
รับบท วังมู (องค์ชายใหญ่)
(นักแสดง)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "มู" เป็นองค์รัชทายาทและพระโอรสองค์โตในพระเจ้าแทโจและพระมเหสีจางฮวา (จากตระกูลโอแห่งนาจู เป็นพระมเหสีองค์ที่ 2)  ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น "พระเจ้าฮเยจงแห่งโครยอ" (พระราชาองค์ที่ 2 แห่งโครยอ) ทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 943–945 (พ.ศ. 1486-1488) 



ยูน ซอนอู
รับบท วังวอน (องค์ชาย 9)
(นักแสดง)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "วอน" เป็นพระโอรสองค์ที่ 9 ในพระเจ้าแทโจและพระสนมทงยางวอน ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็น "องค์ชายฮโยอึน"



พยอน เพคฮยอน
รับบท วังอึน (องค์ชาย 10)
(นักแสดง / นักร้องวง EXO-K)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "อึน" เป็นพระโอรสองค์ที่ 10 ในพระเจ้าแทโจและพระสนมโซฮวังจูวอน ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็น "องค์ชายควังจูวอน"



นัม จูฮยอก
รับบท วังอุก (องค์ชาย 13) / องค์ชายแพคอา
(นักแสดง / นายแบบ)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "อุก" (ชื่อเดียวกับองค์ชาย 8) เป็นพระโอรสองค์ที่ 13 ในพระเจ้าแทโจและพระมเหสีชินซอง (จากตระกูลคิมแห่งคยองจู - เป็นลูกสาวของขุนนางใหญ่ "วังคยู") ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็น "องค์ชายแพคอา" พระองค์เป็นพระราชบิดาของ "พระเจ้าฮยอนจงแห่งโครยอ" (พระราชาองค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์โครยอ) จึงได้รับการแต่งตั้งเป็น "พระเจ้าอันจง"



จีซู
รับบท วังจอง (องค์ชาย 14)
(นักแสดง)

เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์: องค์ชาย "จอง" เป็นพระโอรสองค์ที่ 14 ในพระเจ้าแทโจและพระมเหสีชินมยองซุนซอง  ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็น "พระเจ้ามุนวอน" ส่วนพระชายาได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสีมุนฮเย

ราชวงศ์โครยอ


โช มินกี
รับบท พระเจ้าแทโจ (วังกอน)
(ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โครยอ ทรงครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 918-943)



ปาร์ค จียอง
รับบท พระมเหสีชินมยองซุนซอง (พระมเหสียู / พระพันปียู)
(พระมเหสีลำดับที่ 3 ในพระเจ้าแทโจ / พระมารดาองค์ชาย 3, 4, 14)



 ชอง คยองซุน
รับบท พระมเหสีซินจอง จากตระกูลฮวางโบแห่งฮวางจู 
(พระมเหสีลำดับที่ 4 ในพระเจ้าแทโจ / พระมารดาองค์ชาย 8 และองค์หญิงยอนฮวา)

ผู้หญิงของเหล่าองค์ชาย


คัง ฮันนา
รับบท ฮวางโบ ยอนฮวา 
(พระขนิษฐาองค์ชาย 8, พระชายาเอกขององค์ชาย 4 หรือ พระมเหสีแทมกในพระเจ้าควางจง)



ปาร์ค ชีอึน
รับบท พระชายาแฮ 
(พระชายาองค์ชาย 8 / พระมเหสีซอนอึย)



จี เฮรา
รับบท ปาร์ค ซุนต็อก 
(ลูกสาวแม่ทัพปาร์ค ซูคยอง / ชายาองค์ชาย 10)



ชิน กีจู
รับบท แชรยอง 
(สาวใช้และเพื่อนของแฮซู)



ซอ จูฮยอน (สมาชิกวง Girls' Generation)
รับบท อูฮี 
(นางรำ / องค์หญิงคนสุดท้ายของอาณาจักรแพคเจ)


อื่นๆ

คิม ซองคยุน
รับบท ชเว จีมง



อู ฮีจิน
รับบท โอ ซูยอน (โอซังกุง)




รวมคลิปตัวอย่างละครจาก CJENMMUSIC Official และเอสบีเอสนาว



รวมคลิปเพลงประกอบละครจาก CJENMMUSIC Official

*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา