ผู้กำกับ: เฉินหรงฮุย
เขียนบท: เฉินเจี๋ยอิ๋ง, จูอิง, หลัวเชี่ยนนี, หลินเพ่ยอวี๋, เจิ้งอิงหมิ่น, เจิ้งหานเหวิน
แนวละคร: โรแมนติก, เมโลดราม่า, คอมเมดี้
จำนวนตอน: 20 (ตอนละ 90 นาทีรวมโฆษณา) / 32 (ตอนละ 1 ชั่วโมง)
ออกอากาศ: ไต้หวัน - วันที่ 11 มกราคม 2558 - 24 พฤษภาคม 2558 ทางทีทีวี (ช่องเอชดี) และวันที่ 17 มกราคม 2558 - 30 พฤษภาคม 2558 ทางซานลี่
ไทย - ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30 น. ทางช่องนาว 26 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559 - 15 กรกฎาคม 2559
เรื่องย่อ
"ฟางจั่นเฉิง" นักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกลที่กำลังลัคกี้อินเกมและลัคกี้อินเลิฟ ต้องสูญเสียทั้งเจ้าสาวและความสามารถในการมองเห็นหลังประสบอุบัติเหตุร้ายแรง นับแต่นั้นโลกของเขาก็เปลี่ยนไปและเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย แม้จะรู้ว่าตนเองมีโอกาสกลับมามองเห็นได้อีกครั้งหากเข้ารับการรักษา แต่จั่นเฉิงกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืดอย่างเดียวดาย เพราะรู้สึกผิดและเสียใจต่อการจากไปของอดีตคนรัก "เหลียงลั่วหาน" จนกระทั่งวันหนึ่ง "เฉินอวี่ซี" ซึ่งมีหน้าตาและเสียงเหมือนลั่วหาน ได้ถูกว่าจ้างให้มาเป็นพยาบาลพิเศษของจั่นเฉิง ทำให้โลกอันแสนเศร้าและมืดมิดของเขากลับมาสดใสและมีความหวังอีกครั้ง ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังเป็นไปด้วยดีก็มีหญิงสาวอีกคนโผล่เข้ามาในชีวิตของจั่นเฉิง เธอคนนั้นคือ "สวีย่าถี" ซึ่งมีแนวคิด คำพูดคำจา และอะไรหลายๆ อย่างคล้ายลั่วหานอย่างเหลือเชื่อ
เรื่องราวในละครเริ่มต้นขึ้นเมื่อ "ฟางจั่นเฉิง" นัดประลองความเร็วกับ "กู่หลง" (ลูกชาย "กู่เจิ้งปัง" ประธานห้างสรรพสินค้ากู่ต่ง) โดยมีหุ้นของแต่ละฝ่ายเป็นเดิมพัน (คนแพ้ต้องขายหุ้น 10% ให้อีกฝ่าย) ในเวลาเดียวกันนั้น "ประธานกู่" (กู่เจิ้งปัง) ซึ่งกำลังประชุมกับกรรมการผู้ถือหุ้น ได้พยายามโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นด้วยกับการเพิ่มทุนโดยยืนยันว่าภายในไตรมาสสามปีนี้ห้างของพวกตนจะต้องฟื้นจากภาวะขาดทุนสะสมอย่างแน่นอน "เสิ่นเวยเหลียน" (เพื่อนและผู้ช่วยของจั่นเฉิงซึ่งกำลังรอลุ้นผลการแข่งขันด้วยใจระทึก) ได้ยินดังนั้นจึงรีบยกมือคัดค้านหมายประวิงเวลา
เมื่อถูกประธานกู่ถามว่ามีเหตุผลอะไรในการคัดค้าน เวยเหลียนก็แอบถามจั่นเฉิง (ซึ่งอยู่ในระหว่างการแข่งรถ แต่ยังคงเกาะติดการประชุมตลอดเวลา) จั่นเฉิงบอกให้เวยเหลียนพูดว่าประธานกู่บริหารห้างกู่ต่งในสไตล์เดิมๆ มาหลายสิบปีแล้ว แทนที่จะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนารูปแบบการบริหาร (ที่ล้าสมัยมานาน) ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคใหม่ เขากลับใช้วิธีระดมเงินจากกรรมการผู้ถือหุ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาว ทางที่ดีควรคัดเลือกประธานกรรมการบริหารคนใหม่ที่สามารถใช้ฝีมือของตนพลิกฟื้นห้างกู่ต่งให้กลับมาทำกำไรได้
ประธานกู่รู้ว่าจั่นเฉิงกับเวยเหลียนต้องการแย่งอำนาจในการบริหารไปจากตน จึงชิงพูดดักคอว่าจั่นเฉิงและพวกไม่มีทางทำได้สำเร็จเพราะมีหุ้นอยู่ในมือแค่ 35% ต่อให้นำหุ้นของพรรคพวกหรือผู้สนับสนุนมานับรวมกันก็จะมีหุ้นในมือมากสุดไม่เกิน 45% ซึ่งยังต่ำกว่า 50% อยู่ดี เวยเหลียนไม่รู้ว่าจะยื้อต่อไปอย่างไรดีจึงแกล้งทำเป็นโทรฯ เช็คฝ่ายบัญชีเพื่อสอบถามว่าในตอนนี้พวกตนมีหุ้นของห้างกู่ต่งกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่ แต่ความจริงแล้วเขาต่อสายคุยกับจั่นเฉิงซึ่งกำลังประลองความเร็วในรอบสุดท้าย พอรู้ว่าจั่นเฉิงเป็นฝ่ายชนะ เวยเหลียนก็ประกาศในที่ประชุมว่าพวกตนถือครองหุ้นของห้างกู่ต่งทั้งสิ้น 55% จึงได้เวลาเปลี่ยนประธานกรรมการบริหารคนใหม่แล้ว เมื่อเห็นว่าประธานกู่ไม่เชื่อตน เวยเหลียนจึงบอกให้เขาลองโทรฯ ถามลูกชายดู
ประธานกู่รู้ว่าจั่นเฉิงกับเวยเหลียนต้องการแย่งอำนาจในการบริหารไปจากตน จึงชิงพูดดักคอว่าจั่นเฉิงและพวกไม่มีทางทำได้สำเร็จเพราะมีหุ้นอยู่ในมือแค่ 35% ต่อให้นำหุ้นของพรรคพวกหรือผู้สนับสนุนมานับรวมกันก็จะมีหุ้นในมือมากสุดไม่เกิน 45% ซึ่งยังต่ำกว่า 50% อยู่ดี เวยเหลียนไม่รู้ว่าจะยื้อต่อไปอย่างไรดีจึงแกล้งทำเป็นโทรฯ เช็คฝ่ายบัญชีเพื่อสอบถามว่าในตอนนี้พวกตนมีหุ้นของห้างกู่ต่งกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่ แต่ความจริงแล้วเขาต่อสายคุยกับจั่นเฉิงซึ่งกำลังประลองความเร็วในรอบสุดท้าย พอรู้ว่าจั่นเฉิงเป็นฝ่ายชนะ เวยเหลียนก็ประกาศในที่ประชุมว่าพวกตนถือครองหุ้นของห้างกู่ต่งทั้งสิ้น 55% จึงได้เวลาเปลี่ยนประธานกรรมการบริหารคนใหม่แล้ว เมื่อเห็นว่าประธานกู่ไม่เชื่อตน เวยเหลียนจึงบอกให้เขาลองโทรฯ ถามลูกชายดู
หลังพ่ายให้จั่นเฉิง กู่หลงก็ทำตามสัญญา เขารู้ว่าจั่นเฉิงต้องการอำนาจในการบริหารห้างของตนเลยเตือนจั่นเฉิงว่าระวังจะผิดแผน แม้จั่นเฉิงจะได้หุ้นจากตนเพิ่มอีก 10% ก็ไม่มีทางสมหวัง เพราะที่ประชุมจะต้องมีมติให้เพิ่มทุนอย่างแน่นอน และนั่นก็จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของจั่นเฉิงลดลงจนเหลือมากสุดไม่เกิน 45% อยู่ดี (เพราะจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น) ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หลังรับสายประธานกู่ กู่หลงก็ถึงกับหน้าถอดสี จั่นเฉิงยิ้มอย่างผู้ชนะและกล่าวว่า "ผมบอกคุณแล้ว ถ้ายังไปไม่ถึงเส้นชัย อย่าเพิ่งมั่นใจว่าจะชนะ"
"เฉินอวี่ซี" ยืนขายป๋องแป๋งและของที่ระลึกหน้าทางขึ้น-ลงเคเบิ้ลคาร์บนหุบเขาเฟยเทียน พลางสืบข้อมูลผู้ที่กำลังจะไปสักการะเจ้าแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่* และขอความช่วยเหลือจากคนทรง "หวังอวี้เจิน" (แม่อวี่ซี) ซึ่งอ้างตนว่าเป็นศิษย์ของเจ้าแม่องค์ดังกล่าว หลังได้ข้อมูลมาแล้วอวี่ซีจะแอบโทรฯ บอกแม่ เพื่อให้แม่นำข้อมูลไปทักลูกค้า เป็นการเรียกความศรัทธา เพิ่มความขลัง และอวดว่าตนเองมีความสามารถในการหยั่งรู้และการทำนายที่แม่นยำ
* เจ้าแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ (กิวเทียนเหี่ยงนึ่ง) เป็นเทพสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ทั้ง 9 ชั้น
ศัลยแพทย์ "เหลียงลั่วหาน" พยายามยื้อชีวิตคนไข้ในห้องผ่าตัดแต่ไม่เป็นผล หลังแจ้งข่าวร้ายให้ญาติผู้เสียชีวิตทราบ ลั่วหานก็ขอให้ทางญาติบริจาคอวัยวะผู้ตายเพื่อต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยคนอื่น ญาติผู้ตายซึ่งกำลังร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าได้ยินดังนั้นจึงตบหน้าลั่ว หานเต็มแรง ลั่วหานเลยต้องไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งด้วยใบหน้าที่มีรอยแดงช้ำ หลังแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วเธอก็นั่งอ่านหนังสือรอจั่นเฉิง อย่างใจเย็น พออ่านเจอเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก (Butterfly Effect) ในชีวิตคนเรา (สิ่งเล็กๆ ที่เราทำอาจส่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่ในอนาคต) ลั่วหานก็รู้สึกสนใจ
พอจั่นเฉิงมาถึงลั่วหานก็นึกถึงวันแรกที่พบกัน (ตอนอยู่ชั้นมัธยมปลาย) เธอกล่าวว่าหากวันนั้นจั่นเฉิงมาช้าหรือเร็วไปเพียงหนึ่งวินาที พวกตนคงไม่ได้เข้าแถวด้วยกันและคงไม่มีวันนี้ แต่จั่นเฉิงไม่เห็นด้วยกับการหันไปมองอดีตแล้วนึกสงสัยว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วจึงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ สิ่งที่เขาสนใจและให้ความสำคัญมากกว่าคือ 'ผลลัพธ์' ซึ่งก็คืองานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
กลุ่มนักเลงอันธพาลที่เคยมาขอเลขเด็ดจากอาจารย์หวัง (แม่อวี่ซี) แล้วถูกหวยกินจนหมดตัวซ้ำยังมีหนี้ท่วมเพราะดันไปกู้เงินมาเหมาซื้อลอตเตอรี่ บุกมาอาละวาดที่ตำหนักเจ้าแม่ฯ ด้วยความโกรธแค้น อวี่ซีกลับมาพบเข้าจึงรีบห้ามปราม หัวหน้าแก๊งจำได้ว่าอวี่ซีคือคนขายของที่ระลึกที่คอยถามข้อมูลและพูดเชียร์ให้คนมาที่ตำหนัก เลยเดาออกว่าเธอกับแม่เป็นพวก 18 มงกุฏที่รวมหัวกันต้มตุ๋นผู้คน อวี่ซีพยายามกลบเกลื่อนด้วยการพูดกล่อมแบบน้ำไหลไฟดับจนเหล่านักเลงคิดตามไม่ทันและเกือบเคลิ้ม แต่หัวหน้าแก๊งไม่หลงกลทั้งยังเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 1.5 แสนเหรียญไต้หวัน (กว่า 1.6 แสนบาท) โดยบอกว่าถ้าไม่จ่ายจะจับแม่ของอวี่ซีเป็นตัวประกัน
สองแม่ลูกพยายามอ้อนวอนขอความเห็นใจ โดยบอกว่าที่พวกตนทำเช่นนั้นเพราะต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษา "เฉินอวี่อัน" (น้องชายของอวี่ซี) ซึ่งกำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล แม้จะฟังดูน่าเห็นใจแต่หัวหน้าแก๊งยังไม่ปักใจเชื่อ พอแย่งรับโทรศัพท์แล้วได้ยินทางโรงพยาบาลแจ้งว่าลูกชายอาจารย์หวังอาการทรุดหนัก หัวหน้าแก๊งก็คืนโทรศัพท์พร้อมทั้งแจ้งข่าวสองแม่ลูกด้วยสีหน้าเศร้าสลด อวี่ซีกับแม่รีบบึ่งไปหาอวี่อันที่โรงพยาบาล... "หวังเสี่ยวหลิน" (เพื่อนสนิทของอวี่ซีที่เรียนพยาบาลมาด้วยกัน) ซึ่งเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลดังกล่าวรู้สึกสงสารและเห็นใจอวี่ซีที่ต้องดิ้นรนทำงานด้วยความเหนื่อยยากมาโดยตลอด แต่หาเท่าไหร่ก็ยังไม่พอค่ารักษาอยู่ดี เธอจึงได้แต่ช่วยปลอบและพูดให้กำลังใจอวี่ซี
ระหว่างเดินทางไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่ทุ่งดอกหญ้า (จั่นเฉิงเคยขับรถผ่าน ลั่วหานเห็นว่าทุ่งดอกหญ้าสวยมากจึงขอให้จอดรถแล้วลงไปดู จากนั้นก็เสนอให้มาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่นี่) ลั่วหานซึ่งอยู่ในชุดเจ้าสาวร้องเพลงอย่างมีความสุข จั่นเฉิงสังเกตเห็นรอยบวมแดงบนใบหน้าของลั่วหานเลยเดาออกว่าเธอคงโดนญาติคนไข้ที่เพิ่งเสียชีวิตทำร้ายหลังขอให้ญาติบริจาคอวัยวะผู้ตายอีกตามเคย ลั่วหานรู้ดีว่าการขอให้ญาติบริจาคอวัยวะหลังเพิ่งแจ้งข่าวการตายของคนไข้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปอวัยวะจะเสื่อมสภาพ เธอเลยต้องลองเสี่ยงดู หากโดนตบหน้าแล้วช่วยชีวิตคนไข้รายอื่นๆ ได้ก็นับว่าคุ้มค่า
จั่นเฉิงจอดรถข้างทางแล้วบอกลั่วหานว่าเพราะอย่างนี้เขาถึงตัดสินใจทำเรื่องขอบริจาคอวัยวะ หลังจากนั้นก็มอบสร้อยคอพร้อมจี้รูปหัวใจซ้อนกันสองดวงประดับด้วยเกล็ดหิมะ 1 อัน ให้ลั่วหานโดยบอกว่าเป็นเครื่องราง "ต่อจากนี้ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหน จี้รูปหัวใจจะทำให้เราตามหากันเจอทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป และจะทำให้เราได้อยู่เคียงข้างกันเสมอ" ทั้งคู่จูบกันอย่างดูดดื่มก่อนออกเดินทางต่อ ลั่วหานนั่งมองหน้าจั่นเฉิงอย่างมีความสุข พลางบอกว่า "จั่นเฉิง...ได้พบและรู้จักคุณเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิตชั้น" ทันใดนั้น ก็มีรถบรรทุกฝ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนรถของจั่นเฉิง (ด้านที่ลั่วหานนั่งอยู่พอดี) ทั้งคู่จึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
หลังเกิดอุบัติเหตุจั่นเฉิงต้องสูญเสียทั้งลั่วหานและความสามารถในการมองเห็น เขาจึงเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลั่วหานต้องตาย "เสิ่นเวยเหลียน" เห็นจั่นเฉิงหมดอาลัยตายอยากจึงบอกว่าการตายของลั่วหานไม่เกี่ยวกับจั่นเฉิงและขอให้เขาเลิกโทษตัวเอง จั่นเฉิงกล่าวว่า ถ้าหากวันนั้นตนไม่ไปสายและไม่ขับรถผ่านสี่แยกนั่นในเวลานั้น... เวยเหลียนชิงตัดบทด้วยการบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวอะไรกับจั่นเฉิง อุบัติเหตุเกิดจากคนขับรถบรรทุกหลับใน ทั้งหมดจึงเป็นความผิดของคนขับรถบรรทุก ลั่วหานกับจั่นเฉิงเป็นเพียงผู้รับเคราะห์เท่านั้น เขาเตือนจั่นเฉิงให้หยุดทำร้ายตัวเองเพราะถึงทำไปลั่วหานก็ไม่มีวันฟื้นคืนชีพ แต่ถ้าไม่รีบรักษาดวงตาเขาคงไม่อาจกลับมามองเห็นได้อีก
สองปีผ่านไป
หลังเกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่าสายตาของจั่นเฉิงยังไม่กลับมาเป็นปกติ จั่นเฉิงกับเวยเหลียนเลยต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหล่านักลงทุนด้วยการเชิญนักข่าวมาที่ห้างสรรพสินค้า "จวี้เฉิง" (Big City) หวังจัดฉากหลอกนักข่าวว่าสายตาของจั่นเฉิงปกติดี แม้จะเตรียมความพร้อมและฝึกซ้อมกันมานาน (จั่นเฉิงฝึกเดินในห้างหลังห้างปิด) แต่เวยเหลียนกลับไม่ค่อยมั่นใจและอดเป็นกังวลไม่ได้ เพราะถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดจนถูกนักข่าวจับได้ก็เท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย จั่นเฉิงก็ได้ยินเสียงที่ตนคุ้นเคยและโหยหามานาน เจ้าของเสียงที่ว่าก็คืออวี่ซี ซึ่งถูกเสี่ยวหลินลากตัวมาที่ห้างของจั่นเฉิงในช่วงเวลาพักกลางวัน (เสี่ยวหลินอยากให้อวี่ซีผ่อนคลายหลังทำงานจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนมานาน จึงมอบคูปองนวดตัวของสปาสุดหรูที่ตั้งอยู่ในห้างให้เธอ) พอรู้ว่าคูปองดังกล่าวมีมูลค่าถึง 6 พันดอลลาร์ไต้หวัน (กว่า 6.5 พันบาท) อวี่ซีก็สวมกอดเสี่ยวหลินด้วยความดีใจ และกล่าวว่า "ได้พบและรู้จักเธอเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิตชั้นเลย" จั่นเฉิงได้ยินดังนั้นก็นึกถึงลั่วหานเพราะนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเธอ เขาจึงเดินตาม (เสียง) อวี่ซีไปที่สปาอย่างลืมตัว
อวี่ซีตื่นเต้นจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเข้ามาใช้บริการที่ห้องส่วนตัวในสปาสุดหรู ขณะอาบน้ำเธอครวญเพลงอย่างมีความสุข (เป็นเพลงที่ลั่วหานร้องในรถก่อนตาย) จั่นเฉิงได้ยินดังนั้นจึงเดินตามเสียงเข้าไปในห้องและยืนฟังตรงหน้าอวี่ซี อวี่ซียิ่งร้องก็ยิ่งใส่อารมณ์ เธอร้องเพลงพลางเช็ดตัวด้วยท่าทางสุดเซ็กซี่ก่อนวาดลวดลายราวกับกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที พอร้องเพลงจบเธอก็หลับตาแล้วหันหน้ามาทางจั่นเฉิง จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างกางผ้าเช็ดตัวออกจนล่อนจ้อน ก่อนก้มศีรษะคำนับแล้วกล่าวขอบคุณ
พอลืมตาอีกครั้งอวี่ซีก็ถึงกับช็อคเมื่อพบชายหนุ่มยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า พอตั้งสติได้เธอก็ร้องกรี๊ดและโวยลั่น ทั้งยังกล่าวหาว่าจั่นเฉิงเป็นพวกโรคจิตและนักถ้ำมอง จั่นเฉิงได้ยินดังนั้นจึงรู้ตัวว่าคนที่ตนตามมาไม่ใช่ลั่วหานและเดินออกจากห้องไป แต่อวี่ซีไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ จึงฉุดแขนจั่นเฉิงเอาไว้ทำให้เกิดการยื้อยุดกัน จั่นเฉิงขอให้พนักงานช่วยเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นก็ลงไปต้อนรับนักข่าวที่ชั้นล่างต่อ นึกไม่ถึงว่าอวี่ซีจะกัดไม่ปล่อย เธอตามมาโวยจั่นเฉิงที่ชั้นล่างต่อหน้านักข่าว เวยเหลียนจึงสั่งให้รปภ.รับมืออวี่ซี อวี่ซีผลักรปภ.คนดังกล่าวเต็มแรงจนเขาเซถลาไปชนตู้กระจกทำให้ตู้ล้มลงตรงหน้าจั่นเฉิง นักข่าวเห็นว่าจั่นเฉิงไม่ยอมหลบทั้งๆ ที่ตู้กำลังจะล้มลงมาทับเขา (เฉียดไปนิดเดียว) เลยพากันถามอย่างคาดคั้นว่าเขาตาบอดใช่หรือไม่ ทำให้จั่นเฉิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและกำลังจะถูกจับได้ แต่แล้วอวี่ซีก็ทำให้สถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดคลี่คลายลงโดยไม่รู้ตัว เธอโวยลั่นว่าจั่นเฉิงแกล้งทำเป็นตาบอด แต่ความจริงเป็นนักถ้ำมองที่เพิ่งแอบดูเธออาบน้ำและยังลวนลามเธออีกด้วย จั่นเฉิงเลยรอดพ้นจากการถูกสงสัยว่าตาบอด และตกเป็นข่าวในฐานะนักถ้ำมองโรคจิตแทน
เวยเหลียนสงสัยว่าลั่วหานกับอวี่ซีอาจเป็นพี่น้องกันเพราะมีหน้าตาเหมือนกันมาก แต่เขายังไม่อยากบอกจั่นเฉิงจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้คือสาเหตุที่อวี่ซีเรียกจั่นเฉิงว่านักถ้ำมอง แต่จั่นเฉิงบอกเพียงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดและสั่งให้เวยเหลียนจัดการปัญหาทุกอย่างให้เรียบร้อย เวยเหลียนไม่เห็นผู้ดูแลของจั่นเฉิงจึงถามว่าเธอไปไหน พอรู้ว่าผู้ดูแลทนจั่นเฉิงไม่ไหวเลยขอลาออกอีกตามเคย เวยเหลียนก็รู้สึกอ่อนใจ
เวยเหลียนไปที่บ้านอวี่ซี (ตำหนักเจ้าแม่ฯ) เพื่อเคลียร์เรื่องเข้าใจผิดและสืบดูว่าเธอมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับลั่วหานหรือไม่ แม่ของอวี่ซีคิดว่าเวยเหลียนมาขอคำปรึกษาและดูดวงเลยถามเวยเหลียนว่าอยากรู้เรื่องอะไร โดยบอกว่าเธอตอบเขาได้ทุกเรื่อง เวยเหลียนจึงถามแม่อวี่ซีว่าเธอมีลูกสาวกี่คน แม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่ถูกถามเรื่องส่วนตัวแต่เธอก็ตอบว่า ตนมีลูกสาวคนเดียวและมีลูกชายอีกหนึ่งคน เวยเหลียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ
ในที่สุดแม่ของอวี่ซีก็รู้ว่าเวยเหลียนไม่ได้มาขอคำปรึกษาแต่มาเพื่อเคลียร์ประเด็นเรื่องถ้ำมองกับอวี่ซี ถึงกระนั้นเธอก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าเวยเหลียนเป็นคู่กรณีของอวี่ซีอยู่ดี เธอจึงใช้ดาบไล่ตีเวยเหลียนด้วยความโกรธ เมื่ออวี่ซีมาพบเข้าจึงรีบห้ามปรามและบอกว่าคนที่แอบดูตนไม่ใช่เวยเหลียน เวยเหลียนพยายามอธิบายว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่สองแม่ลูกไม่ยอมฟังทั้งยังบอกว่าถ้าเขาไม่แสดงความจริงใจออกมาให้เห็นก็ไปเคลียร์กันที่ศาล เวยเหลียนยืนยันว่าจีเอ็มฟางของตน (ฟางจั่นเฉิง เป็นผู้จัดการทั่วไปของห้างสรรพสินค้า "จวี้เฉิง") ไม่ได้แอบดูอวี่ซีอาบน้ำอย่างแน่นอน แต่แม่ของอวี่ซีไม่เชื่อและเตือนว่าไม่ควรโกหกต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เวยเหลียนจึงยกมือท่วมหัวแล้วสาบานต่อหน้าแท่นบูชาเจ้าแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ว่า ถ้าหากจีเอ็มฟางของตนล่วงเกินอวี่ซีจริงขอให้ตนถูกฟ้าผ่าตายและกลายเป็นผีที่ไม่มีคนเหลียวแลหรือเซ่นไหว้ตลอดไป
สองแม่ลูกได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ ทั้งยังคาดไม่ถึงว่าเวยเหลียนจะจงรักภักดีต่อเจ้านายมากขนาดนี้ เวยเหลียนยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิดจริงๆ แต่เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้อวี่ซีไม่สบายใจทางห้างจึงยินดีมอบเงินค่าทำขวัญให้ 1 แสนเหรียญไต้หวัน (เกือบ 1.1 แสนบาท) อวี่ซีถึงกับตาโต แต่แม่ของเธอยังคงเล่นตัวและพยายามโก่งราคา พอรู้ว่าอวี่ซีเรียนจบพยาบาลมา เวยเหลียนจึงทาบทามให้เธอมาเป็นพยาบาลพิเศษคอยดูแลคนป่วย 24 ชั่วโมง และหยุดพักได้อาทิตย์ละวัน แม่อวี่ซีกล่าวว่าการดูแลผู้ป่วย 24 ชั่วโมงค่าตัวย่อมต้องสูงกว่าพยาบาลทั่วไป เวยเหลียนจึงถามอวี่ซีว่าอยากได้ค่าจ้างเดือนละเท่าไหร่ อวี่ซีตอบว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องเดือนละ 8 หมื่นเหรียญ เวยเหลียนจึงเสนอว่าจะได้เธอเดือนละ 1 แสนเหรียญ และถ้าผ่านการทดลองงานจะให้เพิ่มอีก 2 หมื่นเหรียญ อวี่ซีได้ยินดังนั้นจึงลงนามในสัญญา และเตรียมเริ่มงานในวันรุ่งขึ้นทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี่ซีรีบไปทำงานที่บ้านนายจ้างด้วยความตื่นเต้น เธอมั่นใจว่าตนเองจะต้องผ่านการทดลองงานแน่จึงย้ำกับเวยเหลียนเรื่องเพิ่มเงินเดือนหลังผ่านการทดลองงาน แต่พอเวยเหลียนแนะนำนายจ้างให้รู้จัก อวี่ซีก็ถึงกับอึ้ง ที่แท้นายจ้างและคนที่เธอต้องดูแลไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น "ฟางจั่นเฉิง" คู่กรณีของเธอนั่นเอง
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรติดตามชมได้ใน "รักครั้งใหม่หัวใจอลเวง (Someone Like You)" ทางช่อง NOW26
นักแสดงนำ
รับบท ฟางจั่นเฉิง
(นักแสดง / นักร้อง ชาวไต้หวัน)
เหรินหรงเซวียน (เคอร์สเตน เหริน / ลอรีน เหริน)
รับบท เฉินอวี่ซี / เหลียงลั่วหาน
(นักแสดง / นักร้อง / นางแบบ ชาวไต้หวัน - น้องสาวเซลิน่า วง S.H.E)
หลี่เส้าเสียง (ฌอน ลี)
รับบท หลี่ไป่เยี่ยน
(นักแสดง / นักร้อง / นายแบบ ชาวไต้หวัน)
เหลยเซ่อหลิน (นิต้า เหลย)
รับบท สวีย่าถี
รับบท สวีย่าถี
(นักแสดง / นางแบบ ลูกครึ่งไต้หวัน-ปารากวัย)
เวยเหลียน (วิลเลี่ยม)
รับบท เสิ่นเวยเหลียน
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน)
เหมียวเข่อลี่
เวยเหลียน (วิลเลี่ยม)
รับบท เสิ่นเวยเหลียน
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน)
เหมียวเข่อลี่
รับบท หวังอวี้เจิน
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน)
หลี่เจียอวี้ (แองเจล่า หลี่)
รับบท หวังเสี่ยวหลิน
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)
สวีฮ่าวเซวียน
รับบท เฉินอวี่อัน
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)
เฉินอวี่อัน (แคธี่ เฉิน)
รับบท เซี่ยเฟยเฟย
(นักแสดง / นางแบบ ชาวไต้หวัน)
อินฝู
รับบท วาเนสซ่า
(นักแสดง / นางแบบ / ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน)
นักแสดงรับเชิญ
รับบท กู่หลง
(นักร้อง / นักแสดง ไต้หวัน - เป็นลูกครึ่งไต้หวัน-เกาหลีใต้ เกิดและโตที่เกาหลี)
ปี้ซูจิ้น เป็นนักแสดงรับเชิญในตอนที่หนึ่ง และเป็นคนร้องเพลงประกอบละครเรื่องนี้ - ดูเอ็มวีเพลงประกอบได้ ที่นี่
รับบท ผู้ดำเนินรายการ (สัมภาษณ์จั่นเฉิงในรายการทีวี)
(นักร้อง นักแสดง ผู้ดำเนินรายการ ชาวไต้หวัน - เป็นพี่สาวของเหรินหรงเซวียน)
คลิปตัวอย่างจากช่อง NOW26
รวมคลิปตัวอย่างจากซานลี่
รวมคลิปตัวอย่างจากซานลี่
รวมคลิปเบื้องหลังจากซานลี่
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา