กำกับ: กั๋วเจี้ยนหย่ง, เฉิงลี่ต้ง, หยวนอิงหมิง
เขียนบท: อิงหนิง, หลี่ลี่จั๋ว, เหวยเจิ้ง
แนวละคร: โรแมนติก, ย้อนยุค, อิงประวัติศาสตร์
จำนวนตอน: 49 / 60
ออกอากาศ: จีน - 3 เมษายน 2559 ทางหูหนานทีวี
ไทย - ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 18.20 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม - 17 ธันวาคม 2560
"จูล่ง ขุนพลเทพสงคราม (Chinese Hero Zhao Zi Long)" ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง "สามก๊ก" ใช้งบประมาณในการผลิตทั้งสิ้น 250 ล้านหยวน (กว่า 1.2 พันล้านบาท) กล่าวกันว่าค่าลิขสิทธิ์ในการนำละครเรื่องนี้ไปออกอากาศยังต่างประเทศถูกเสนอเป็นเงินสูงสุดถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ (กว่า 3.3 ล้านบาท) ต่อตอน เรียกได้ว่าสร้างสถิติใหม่ให้ละครย้อนยุคจีนที่ถูกส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเลยทีเดียว
เรื่องย่อ
ละคร "จูล่ง ขุนพลเทพสงคราม (Chinese Hero Zhao Zi Long)" กล่าวถึงเรื่องราวของ "จ้าวจื่อหลง" ("จื่อหลง" [จูล่ง] เป็นชื่อรองที่ตั้งขึ้นภายหลังหรือชื่อทางการ ส่วนชื่อจริงที่พ่อแม่ตั้งให้คือ "จ้าวอวิ๋น") ซึ่งเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่มีตัวตนจริงในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และช่วงต้นยุคสามก๊กของจีน เขาเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการสู้รบชนิดยากจะหาใดเทียม ทั้งยังกล้าหาญ สุภาพ ซื่อสัตย์ และเป็นที่รักของทุกคน เดิมทีเขาเป็นทหารของ "กงซุนจ้าน" [กองซุนจ้าน] แต่ภายหลังหันมาทำงานรับใช้ "หลิวเป้ย" [เล่าปี่] กระทั่งกลายเป็นแม่ทัพคนสำคัญและเป็นหนึ่งใน "ห้าทหารเสือ" ของหลิวเป้ย [เล่าปี่] ในที่สุด
* [ในวงเล็บ] เป็นชื่อที่ออกเสียงสำเนียงฮกเกี้ยน
เนื้อหาตอนที่ 1
มีตำนานเล่าขานว่า "กระบี่อี่เทียน" (กระบี่อิงฟ้า) เป็นกระบี่วิเศษที่ "หลิวปัง"* ใช้ในการโค่นล้มรัฐฉู่ตะวันตกและสถาปนาราชวงศ์ฮั่น ส่วน "กระบี่ชิงกัง" เป็นสุดยอดกระบี่ที่ "หลิวซิ่ว"* ใช้ในการปราบ "หวังหลาง" และ "กองกำลังคิ้วแดง" จนสามารถสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นใหม่อีกครั้ง เนื่องจากทั้งสองเป็นกระบี่ที่ช่วยสร้างชาติและกอบกู้บ้านเมืองจึงถูกนำไปประดิษฐานที่ห้องบูชาบรรพกษัตริย์ และถูกบูชาในฐานะของศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องบ้านเมืองนับตั้งแต่ยุคต้นของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเป็นต้นมา
เกร็ดความรู้: "หลิวปัง" หรือ "จักรพรรดิฮั่นเกาจู่" เป็นปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น ส่วน "หลิวซิ่ว" หรือ "จักรพรรดิฮั่นกวงอู่" เป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นใหม่ หลัง "หวังหมั่ง" ยึดอำนาจแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิซินเกาจู่" จักรพรรดิองค์แรกและองค์เดียวแห่งราชวงศ์ซิน (นักประวัติศาสตร์เรียกราชวงศ์ฮั่นที่ถูกสถาปนาขึ้นใหม่ว่า "ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก" เพราะเมืองหลวงตั้งอยู่ที่ลั่วหยาง ส่วนราชวงศ์ฮั่นยุคก่อนหน้าถูกเรียกว่า "ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก" เพราะเมืองหลวงอยู่ที่ฉางอัน)
ในยุคปลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกบ้านเมืองเริ่มระส่ำระสาย สังคมวุ่นวายและเข้าสู่ภาวะทุกข์เข็ญจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ภายในราชสำนักเองก็เต็มไปด้วยปัญหา เพราะเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ต่างผลัดกันกุมอำนาจในระหว่างผลัดแผ่นดิน ส่วนขันทีกังฉินที่มักใหญ่ใฝ่สูงต่างพากันฉ้อราษฎร์บังหลวงและเหิมเกริมถึงขนาดจ้องฮุบอำนาจทางการเมืองจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ นอกจากปัญหาภายในราชสำนักแล้ว นอกราชสำนักยังเต็มไปด้วย "กลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง" (กบฏโพกผ้าเหลือง) ที่ต้องการล้มล้างราชวงศ์ฮั่นตะวันออก แถมขุนนางท้องถิ่นและเหล่าขุนศึกที่มีกำลังทหารเป็นของตนเองยังฉวยโอกาสแบ่งแยกดินแดนออกเป็นเอกเทศ และนั่นก็ทำให้ราชวงศ์ฮั่นที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยจนใกล้ล่มสลายเต็มที
หลัง "ต่งจั๋ว" [ตั๋งโต๊ะ] ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมนำกำลังเข้ายึดเมืองลั่วหยางและราชสำนักได้ไม่นาน เขาก็ถอด "หลิวเปี้ยน"* (จักรพรรดิฮั่นเซ่า) ออกจากการเป็นฮ่องเต้ สองแม่ทัพ "จ้าวอัน" [เตียวอัน] และ "หลี่เฉวียน" [ลิฉวน] ต้องการปกป้องฮ่องเต้หนุ่มจึงทูลให้รีบหนี แต่ฮ่องเต้กลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าตนถูกถอดออกจากการเป็นฮ่องเต้แล้ว ที่สำคัญต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] สังหารคนในครอบครัวของตนจนหมดสิ้น ตนจึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ก่อนตายตนอยากฝากให้สองแม่ทัพช่วยเก็บรักษากระบี่อี่เทียนและกระบี่ชิงกังแทนตน เพราะกระบี่ทั้งสองเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องบ้านเมือง ตราบใดที่กระบี่ทั้งสองปลอดภัยราชวงศ์ฮั่นจะไม่มีวันล่มสลาย และตนก็เชื่อว่าสักวันดาบวิเศษทั้งสองเล่มนี้จะถูกผู้ที่มีคุณธรรมนำมาใช้ปกป้องบ้านเมืองอีกครั้ง
เกร็ดความรู้: "หลิวเปี้ยน" [หองจูเปียน] ถูกตั๋งโต๊ะยึดอำนาจและถอดออกจากการเป็นฮ่องเต้ โดยลดฐานันดรให้เป็นเพียงอ๋อง (อ๋องแห่งหงหนง) หลังจากนั้นต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ก็แต่งตั้ง "หลิวเสีย" [หองจูเหียบ] พระอนุชาของหลิวเปี้ยนซึ่งมีพระชนมายุเพียง 8 พรรษาให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ (จักรพรรดิฮั่นเซี่ยน) [ฮั่นเหี้ยนเต้] แทน แถมต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ยังแต่งตั้งตนเองเป็นอัครมหาเสนาบดีอีกด้วย
ที่แท้หลิ่วเซิ่นถูกทหาร (ที่ได้รับมอบหมายให้มาตามหากระบี่) จับตัวมาคาดคั้นว่ารู้จักจ้าวอัน [เตียวอัน] หรือไม่ จื่อหลง [จูล่ง] เห็นหลิ่วเซิ่นกำลังถูกทหารคุมตัวเข้ามาในหมู่บ้านจึงทำทีเข้าไปทักในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ โดยหาว่าหลิ่วเซิ่นแพ้พนันเป็นเงินก้อนโตแล้วเบี้ยวหนี้ เขาแกล้งกล่าวอย่างรู้ทันว่าหลิ่วเซิ่นกำลังเล่นละครตบตาว่าถูกจับเพื่อให้ตนเห็นใจและยอมผ่อนปรนหนี้ให้แต่มุกยอมเจ็บตัวแบบนี้หลิ่วเซิ่นเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ตนจะไม่ยอมหลงเชื่ออีกแล้ว พูดจบจื่อหลง [จูล่ง] ก็เอ่ยปากทวงเงินและถามว่าถ้ามีเงินจ้างคนแต่งตัวเป็นทหารแล้วทำไมถึงไม่นำเงินมาใช้หนี้ตน
ผู้บัญชาการทหารเห็นดังนั้นจึงวางใจและคิดหลอกใช้จื่อหลง [จูล่ง] โดยแสร้งทำเป็นบ่นว่าในเมื่อหลิ่วเซิ่นไม่มีปัญญาแม้แต่จะใช้หนี้แล้วพวกตนจะไปทวงค่าจ้างได้ที่ใคร เขาถามจื่อหลง [จูล่ง] ว่าหลิ่วเซิ่นมีอาจารย์ชื่อจ้าวอัน [เตียวอัน] ใช่ไหม จากนั้นก็เปรยว่าหนี้ของลูกศิษย์อาจารย์ต้องเป็นคนชดใช้ เขาบอกให้จื่อหลง [จูล่ง] พาพวกตนไปพบจ้าวอันโดยบอกว่าถ้าได้เงินค่าจ้างแล้วจะแบ่งให้ส่วนหนึ่ง จื่อหลง [จูล่ง] จึงแกล้งทำเป็นรับปากก่อนแอบเป่าขลุ่ยไม้ขนาดจิ๋วเพื่อให้ม้าของทหารตกใจ จากนั้นก็ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนพาหลิ่วเซิ่นหลบหนีเข้าไปในป่า
จ้าวอัน [เตียวอัน] บุกเดี่ยวมาขวางทางเหล่าทหารโดยใช้หอกเป็นอาวุธในการต่อกรกับเหล่าทหารที่สวมชุดเกราะ เมื่อเห็นจื่อหลง [จูล่ง] ผู้เป็นบุตรชายตามมาช่วยเขาก็บ่นว่ายิ่งช่วยยิ่งยุ่ง ด้วยความที่เป็นห่วงและกลัวว่าลูกชายจะเพลี่ยงพล้ำจึงทำให้เขาเสียสมาธิ ผู้บัญชาการทหารจึงฉวยโอกาสซัดอาวุธลับอาบยาพิษใส่จ้าวอัน [เตียวอัน] โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว แม้จะปัดป้องได้ส่วนหนึ่งแต่โชคร้ายที่อาวุธลับดอกสุดท้ายพุ่งตรงมาปักที่หน้าอกด้านซ้ายของเขาพอดี เขาจึงบอกให้จื่อหลง [จูล่ง] รีบหนีไปก่อน แต่จื่อหลง [จูล่ง] ไม่ยอมทิ้งพ่อไว้ตามลำพัง ไม่นานหลิ่วเซิ่นก็พาคนในหมู่บ้านมาช่วยต่อกรกับเหล่าทหารโดยมีจอบ เสียม และคราดเป็นอาวุธ ผู้บัญชาการทหารเห็นลูกน้องของตนถูกฆ่าตายจนหมดจึงคิดหลบหนี จ้าวอันเห็นดังนั้นจึงปาหอกเสียบทะลุหน้าอกผู้บัญชาการทหารคนดังกล่าว
หลังสังหารผู้บัญชาการทหารแล้ว จ้าวอันก็ดึงอาวุธลับที่ปักคาหน้าอกออกมา ทุกคนเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง ชายคนหนึ่งร้องบอกเพื่อนให้รีบไปตามหมอแต่จ้าวอัน [เตียวอัน] ห้ามเอาไว้ เขารู้ตัวดีว่าตนคงไม่รอดเพราะอาวุธลับอาบยาพิษจึงบอกให้ทุกคนรีบหนีไปเนื่องจากกำลังเสริมของเหล่าทหารใกล้มาถึงแล้ว (เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้า) แต่เหล่าชาวบ้านยืนกรานว่าจะขอต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา จ้าวอัน [เตียวอัน] แย้งว่าการทำเช่นนั้นเท่ากับมาตายโดยเปล่าประโยชน์ จื่อหลง [จูล่ง] ขอให้ทุกคนทำตามที่พ่อตนบอก จากนั้นก็พาพ่อหนีเข้าไปในป่าตามลำพัง
ในยุคปลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกบ้านเมืองเริ่มระส่ำระสาย สังคมวุ่นวายและเข้าสู่ภาวะทุกข์เข็ญจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ภายในราชสำนักเองก็เต็มไปด้วยปัญหา เพราะเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ต่างผลัดกันกุมอำนาจในระหว่างผลัดแผ่นดิน ส่วนขันทีกังฉินที่มักใหญ่ใฝ่สูงต่างพากันฉ้อราษฎร์บังหลวงและเหิมเกริมถึงขนาดจ้องฮุบอำนาจทางการเมืองจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ นอกจากปัญหาภายในราชสำนักแล้ว นอกราชสำนักยังเต็มไปด้วย "กลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง" (กบฏโพกผ้าเหลือง) ที่ต้องการล้มล้างราชวงศ์ฮั่นตะวันออก แถมขุนนางท้องถิ่นและเหล่าขุนศึกที่มีกำลังทหารเป็นของตนเองยังฉวยโอกาสแบ่งแยกดินแดนออกเป็นเอกเทศ และนั่นก็ทำให้ราชวงศ์ฮั่นที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยจนใกล้ล่มสลายเต็มที
หลัง "ต่งจั๋ว" [ตั๋งโต๊ะ] ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมนำกำลังเข้ายึดเมืองลั่วหยางและราชสำนักได้ไม่นาน เขาก็ถอด "หลิวเปี้ยน"* (จักรพรรดิฮั่นเซ่า) ออกจากการเป็นฮ่องเต้ สองแม่ทัพ "จ้าวอัน" [เตียวอัน] และ "หลี่เฉวียน" [ลิฉวน] ต้องการปกป้องฮ่องเต้หนุ่มจึงทูลให้รีบหนี แต่ฮ่องเต้กลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าตนถูกถอดออกจากการเป็นฮ่องเต้แล้ว ที่สำคัญต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] สังหารคนในครอบครัวของตนจนหมดสิ้น ตนจึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ก่อนตายตนอยากฝากให้สองแม่ทัพช่วยเก็บรักษากระบี่อี่เทียนและกระบี่ชิงกังแทนตน เพราะกระบี่ทั้งสองเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องบ้านเมือง ตราบใดที่กระบี่ทั้งสองปลอดภัยราชวงศ์ฮั่นจะไม่มีวันล่มสลาย และตนก็เชื่อว่าสักวันดาบวิเศษทั้งสองเล่มนี้จะถูกผู้ที่มีคุณธรรมนำมาใช้ปกป้องบ้านเมืองอีกครั้ง
เกร็ดความรู้: "หลิวเปี้ยน" [หองจูเปียน] ถูกตั๋งโต๊ะยึดอำนาจและถอดออกจากการเป็นฮ่องเต้ โดยลดฐานันดรให้เป็นเพียงอ๋อง (อ๋องแห่งหงหนง) หลังจากนั้นต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ก็แต่งตั้ง "หลิวเสีย" [หองจูเหียบ] พระอนุชาของหลิวเปี้ยนซึ่งมีพระชนมายุเพียง 8 พรรษาให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ (จักรพรรดิฮั่นเซี่ยน) [ฮั่นเหี้ยนเต้] แทน แถมต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ยังแต่งตั้งตนเองเป็นอัครมหาเสนาบดีอีกด้วย
"เฉาเชา" [โจโฉ] เห็นพฤติกรรมอันโหดเหี้ยมของต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] แล้วอดรนทนไม่ไหว แต่เนื่องจากเขามีกำลังไม่มากพอจึงปลอมราชโองการแล้วนำมาแอบอ้างว่าตนได้รับราชโองการลับจากฮ่องเต้ เนื้อหาในราชโองการระบุให้บรรดาขุนศึกที่ครองเมืองต่างๆ ร่วมมือกับเฉาเชา [โจโฉ] ในการกำจัดกบฏของแผ่นดิน หลังถูกประณามว่าเป็นกบฏ ต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ก็ถูกลอบสังหารหลายครั้ง นับว่ายังโชคดีที่เขารอดชีวิตมาได้เพราะมีสุดยอดนักรบอย่าง "หลี่ว์ปู้" [ลิโป้] คอยปกป้อง ต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] คิดตอบโต้เรื่องที่เฉาเชา [โจโฉ] ปลอมราชโองการ จึงอ้างว่าฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้ตนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เขาต้องการแสดงให้บรรดาขุนนาง เชื้อพระวงศ์ และเหล่าขุนศึก เห็นว่าตนได้รับตำแหน่งโดยชอบธรรม จึงคิดนำกระบี่วิเศษคู่บ้านคู่เมืองทั้งสองเล่มมาเป็นเครื่องยืนยันว่าตนได้รับมอบหมายให้ใช้กระบี่ทั้งสองในการปกป้องบ้านเมือง แต่แล้วกลับพบว่ากระบี่อี่เทียนกับกระบี่ชิงกังถูกจ้าวอัน [เตียวอัน] และหลี่เฉวียน [ลิฉวน] นำกลับบ้านเกิดที่หมู่บ้านในเมืองฉางซาน [เสียงสาน] อย่างลับๆ
ณ เมืองฉางซาน "จ้าวจื่อหลง" [จูล่ง] และสองพี่น้อง "หลิ่วเซิ่น" กับ "หลิ่วฉิงเอ๋อร์" ล่องเรือชมทิวทัศน์ที่งดงามในทะเลสาบ หลังถูกน้องสาวเหน็บว่าร่ายบทกวีไม่เก่งเหมือนจื่อหลง [จูล่ง] ทั้งที่มีอาจารย์คนเดียวกัน หลิ่วเซิ่นจึงออกตัวว่าถึงตนจะไม่เก่งด้านบทกวีและเขียนภาพเหมือนจื่อหลง [จูล่ง] แต่ฝีมือในการจับปลาของตนนั้นไม่เป็นสองรองใคร พูดจบเขาก็กระโดดลงน้ำและหายตัวไป (ขณะดำน้ำหาปลาเขาถูกชายลึกลับสองคนลักพาตัว) จื่อหลง [จูล่ง] เห็นหลิ่วเซิ่นถูกคนจับตัวไปจึงบอกให้ฉิงเอ๋อร์รีบไปเตือนพ่อของตนว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน ส่วนตัวเขาจะตามไปช่วยหลิ่วเซิ่นก่อนที่แท้หลิ่วเซิ่นถูกทหาร (ที่ได้รับมอบหมายให้มาตามหากระบี่) จับตัวมาคาดคั้นว่ารู้จักจ้าวอัน [เตียวอัน] หรือไม่ จื่อหลง [จูล่ง] เห็นหลิ่วเซิ่นกำลังถูกทหารคุมตัวเข้ามาในหมู่บ้านจึงทำทีเข้าไปทักในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ โดยหาว่าหลิ่วเซิ่นแพ้พนันเป็นเงินก้อนโตแล้วเบี้ยวหนี้ เขาแกล้งกล่าวอย่างรู้ทันว่าหลิ่วเซิ่นกำลังเล่นละครตบตาว่าถูกจับเพื่อให้ตนเห็นใจและยอมผ่อนปรนหนี้ให้แต่มุกยอมเจ็บตัวแบบนี้หลิ่วเซิ่นเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ตนจะไม่ยอมหลงเชื่ออีกแล้ว พูดจบจื่อหลง [จูล่ง] ก็เอ่ยปากทวงเงินและถามว่าถ้ามีเงินจ้างคนแต่งตัวเป็นทหารแล้วทำไมถึงไม่นำเงินมาใช้หนี้ตน
ผู้บัญชาการทหารเห็นดังนั้นจึงวางใจและคิดหลอกใช้จื่อหลง [จูล่ง] โดยแสร้งทำเป็นบ่นว่าในเมื่อหลิ่วเซิ่นไม่มีปัญญาแม้แต่จะใช้หนี้แล้วพวกตนจะไปทวงค่าจ้างได้ที่ใคร เขาถามจื่อหลง [จูล่ง] ว่าหลิ่วเซิ่นมีอาจารย์ชื่อจ้าวอัน [เตียวอัน] ใช่ไหม จากนั้นก็เปรยว่าหนี้ของลูกศิษย์อาจารย์ต้องเป็นคนชดใช้ เขาบอกให้จื่อหลง [จูล่ง] พาพวกตนไปพบจ้าวอันโดยบอกว่าถ้าได้เงินค่าจ้างแล้วจะแบ่งให้ส่วนหนึ่ง จื่อหลง [จูล่ง] จึงแกล้งทำเป็นรับปากก่อนแอบเป่าขลุ่ยไม้ขนาดจิ๋วเพื่อให้ม้าของทหารตกใจ จากนั้นก็ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนพาหลิ่วเซิ่นหลบหนีเข้าไปในป่า
จ้าวอัน [เตียวอัน] บุกเดี่ยวมาขวางทางเหล่าทหารโดยใช้หอกเป็นอาวุธในการต่อกรกับเหล่าทหารที่สวมชุดเกราะ เมื่อเห็นจื่อหลง [จูล่ง] ผู้เป็นบุตรชายตามมาช่วยเขาก็บ่นว่ายิ่งช่วยยิ่งยุ่ง ด้วยความที่เป็นห่วงและกลัวว่าลูกชายจะเพลี่ยงพล้ำจึงทำให้เขาเสียสมาธิ ผู้บัญชาการทหารจึงฉวยโอกาสซัดอาวุธลับอาบยาพิษใส่จ้าวอัน [เตียวอัน] โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว แม้จะปัดป้องได้ส่วนหนึ่งแต่โชคร้ายที่อาวุธลับดอกสุดท้ายพุ่งตรงมาปักที่หน้าอกด้านซ้ายของเขาพอดี เขาจึงบอกให้จื่อหลง [จูล่ง] รีบหนีไปก่อน แต่จื่อหลง [จูล่ง] ไม่ยอมทิ้งพ่อไว้ตามลำพัง ไม่นานหลิ่วเซิ่นก็พาคนในหมู่บ้านมาช่วยต่อกรกับเหล่าทหารโดยมีจอบ เสียม และคราดเป็นอาวุธ ผู้บัญชาการทหารเห็นลูกน้องของตนถูกฆ่าตายจนหมดจึงคิดหลบหนี จ้าวอันเห็นดังนั้นจึงปาหอกเสียบทะลุหน้าอกผู้บัญชาการทหารคนดังกล่าว
หลังสังหารผู้บัญชาการทหารแล้ว จ้าวอันก็ดึงอาวุธลับที่ปักคาหน้าอกออกมา ทุกคนเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง ชายคนหนึ่งร้องบอกเพื่อนให้รีบไปตามหมอแต่จ้าวอัน [เตียวอัน] ห้ามเอาไว้ เขารู้ตัวดีว่าตนคงไม่รอดเพราะอาวุธลับอาบยาพิษจึงบอกให้ทุกคนรีบหนีไปเนื่องจากกำลังเสริมของเหล่าทหารใกล้มาถึงแล้ว (เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้า) แต่เหล่าชาวบ้านยืนกรานว่าจะขอต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา จ้าวอัน [เตียวอัน] แย้งว่าการทำเช่นนั้นเท่ากับมาตายโดยเปล่าประโยชน์ จื่อหลง [จูล่ง] ขอให้ทุกคนทำตามที่พ่อตนบอก จากนั้นก็พาพ่อหนีเข้าไปในป่าตามลำพัง
จื่อหลง [จูล่ง] สงสัยว่าทำไมเหล่าทหารองครักษ์ถึงมาตามล่าพ่อของตน จ้าวอัน [เตียวอัน] จึงเผยความลับที่สู้อุตส่าห์ปกปิดมานานให้ลูกชายฟัง เมื่อภรรยาของเขามาถึง เขาจึงบอกให้ภรรยารีบส่งกระบี่มาให้ตน จื่อหลง [จูล่ง] ช่วยดึงกระบี่ออกจากกล่องไม้และถึงกับตะลึงเมื่อได้เห็นกระบี่ดังกล่าวใกล้ๆ จ้าวอัน [เตียวอัน] บอกลูกชายว่านี่คือกระบี่ชิงกังที่ทำจากโลหะและทองคำ หากนำมาใช้อย่างเหมาะสมจะสามารถกำจัดเหล่าร้ายได้ในพริบตาเพราะดาบเล่มนี้มีพลังสะท้านพิภพ และถ้านำมาใช้คู่กับกระบี่อี่เทียนที่อยู่ในมืออาจารย์อาของจื่อหลง [จูล่ง] แล้วจะไม่มีใครสามารถต่อกรได้ และทั้งสองก็เป็นกระบี่วิเศษของราชวงศ์ฮั่น
ทันใดนั้น หลิ่วเซิ่นก็ควบม้ามารายงานจ้าวอัน [เตียวอัน] ว่าทหารจำนวนหนึ่งได้บุกเข้ามาจับคนในหมู่บ้านเป็นตัวประกัน ฉิงเอ๋อร์น้องสาวตนก็เป็นหนึ่งนั้น ไม่นานเหล่าทหารที่นำโดยขุนพลสวมหน้ากากก็คุมคนในหมู่บ้านมายืนตรงหน้าจ้าวอัน [เตียวอัน] และวางกำลังล้อมทุกคนไว้เพื่อปิดทางหลบหนี แม้จะสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าแต่จ้าวอันรู้ว่าขุนพลคนดังกล่าวกำลังช่วย 'คนโฉด' ทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าให้กับพ่อที่เป็นกบฏ ซ้ำยังอุทิศชีวิตของตนให้กับกบฏของบ้านเมืองซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการอันชั่วช้านี้ จ้าวอัน [เตียวอัน] ถามขุนพลคนดังกล่าวว่าเขาไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนอื่นเห็นใช่หรือไม่ ขุนพลคนดังกล่าวไม่คิดต่อปากต่อคำด้วยจึงบอกให้จ้าวอันยอมมอบกระบี่ชิงกังให้ตนแต่โดยดี แล้วตนจะช่วยให้เขาจากโลกนี้ไปอย่างไม่ทรมาน แต่จ้าวอันแย้งว่าคนชั่วช้าอย่างเขาไม่คู่ควรกับกระบี่ชิงกัง
เมื่อเห็นว่าจ้าวอัน [เตียวอัน] ไม่ยอมมอบกระบี่ให้ตนง่ายๆ ขุนพลคนดังกล่าวจึงขู่ว่าจะสังหารชาวบ้าน (ซึ่งล้วนเป็นเด็ก สตรี และคนชรา) ทีละคนจนกว่าจ้าวอัน [เตียวอัน] จะยอมมอบกระบี่ให้ตน จ้าวอัน [เตียวอัน] กล่าวว่าตนจะยอมมอบกระบี่ให้แต่ต้องปล่อยตัวชาวบ้านทั้งหมดก่อน ขุนพลคนดังกล่าวแย้งว่าคนที่มียาพิษแทรกซึมอยู่ในตัวและกำลังจะตายอย่างเขามีสิทธิอะไรมาต่อรองกับตน จ้าวอัน [เตียวอัน] ชี้ว่ากบฏเฒ่าต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] คงไม่ได้ต้องการเพียงกระบี่ชิงกัง หากตนตายไปเสียก่อนเขาจะไม่มีวันรู้ที่ซ่อนของกระบี่อี่เทียน หลังจ้าวอัน [เตียวอัน] พร้อมด้วยลูกเมียและศิษย์กตัญญูอย่างหลิ่วเซิ่นขออยู่เป็นตัวประกันแทนเหล่าชาวบ้าน ขุนพลคนดังกล่าวจึงยอมปล่อยตัวชาวบ้านไป จ้าวอัน [เตียวอัน] โยนกระบี่ชิงกังให้ขุนพลสวมหน้ากากก่อนแย่งชิงกลับคืนมา หลังจากนั้นจ้าวอัน [เตียวอัน] ก็ใช้กระบี่ชิงกังต่อสู้กับขุนพลคนดังกล่าว เหล่าทหารเห็นดาบของหัวหน้าตนถูกกระบี่ชิงกังฟันขาดเป็นสองท่อนก็ถึงกับตกตะลึง
ขุนพลสวมหน้ากากเห็นจ้าวอัน [เตียวอัน] มีอาการพิษกำเริบจึงรีบคว้าดาบของลูกน้องแล้วตรงเข้าเล่นงานทีเผลอ แต่จ้าวอัน [เตียวอัน] ไหวตัวทันทั้งยังจับขุนพลคนดังกล่าวเป็นตัวประกัน จื่อหลง [จูล่ง] บอกให้พ่อถอดหน้ากากของขุนพลคนดังกล่าวออกเพื่อดูว่าเขาเป็นใครกันแน่ แต่จ้าวอัน [เตียวอัน] แย้งว่าการที่ขุนพลคนนี้สวมหน้ากากอำพรางใบหน้าแสดงว่าเขายังพอมีจิตสำนึกในการแยกแยะดีชั่วอยู่บ้าง ดังนั้นจึงควรไว้หน้าเขา ขุนพลคนดังกล่าวชี้ว่าถึงจับตนก็ไม่มีประโยชน์เพราะอัครมหาเสนาบดีต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ระดมพลจำนวนมากออกตามหากระบี่ ต่อให้เขามีปีกก็หนีไม่พ้น จ้าวอัน [เตียวอัน] ได้ยินดังนั้นจึงโยนกระบี่ชิงกังให้จื่อหลง [จูล่ง] แล้วบอกให้รีบหนีไป เมื่อจื่อหลง [จูล่ง] ยืนกรานว่าจะไม่ทิ้งพ่อไปไหน จ้าวอัน [เตียวอัน] จึงบอกว่าอดีตฮ่องเต้ผู้ล่วงลับได้ฝากฝังกระบี่ไว้ที่พวกตนก่อนตาย พวกตนจึงมีหน้าที่ปกป้องกระบี่ด้วยชีวิต แม้จะเข้าใจในสิ่งที่พ่อพูดแต่จื่อหลง [จูล่ง] ไม่อาจทิ้งพ่อกับแม่ไว้ที่นี่แล้วเอาตัวรอดตามลำพัง แม่ของเขาเลยจำต้องซัดฝ่ามือใส่เพื่อให้หมดสติ จากนั้นก็บอกให้หลิ่วเซิ่นรีบพาจื่อหลง [จูล่ง] หลบหนีไป
ทหารกลุ่มหนึ่งได้รับรายงานว่า "เซี่ยโหวเจี๋ย" [แฮหัวเกี๊ยด] ถูกจับจึงรีบตามไปช่วย ในเวลาเดียวกันนั้นขุนพลสวมหน้ากากซึ่งถูกจ้าวอัน [เตียวอัน] จับเป็นตัวประกันโดยใช้กระบี่จ่อเข้าที่ลำคอ ได้ฉวยโอกาสปัดแขนของจ้าวอัน [เตียวอัน] ออกตอนที่เขาหันไปดูลูกชาย หลังหลุดพ้นจากเงื้อมือของจ้าวอัน [เตียวอัน] ขุนพลคนดังกล่าวก็ถามว่ากล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อท่านอัครมหาเสนาบดีหรือ จ้าวอัน [เตียวอัน] (ซึ่งพิษกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ) ตอบว่าตนจะยอมจำนนต่อเมื่อเป็นบัญชาสวรรค์เท่านั้น ทันใดนั้นก็มีกำลังทหารกลุ่มใหญ่เข้ามาเสริมทัพของขุนพลสวมหน้ากาก จ้าวอัน [เตียวอัน] บอกภรรยาว่าในที่สุดวันที่ตนจะได้พลีชีพเพื่อชาติก็มาถึงแล้ว ภรรยาของเขากล่าวว่าถ้าเช่นนั้นพวกตนจะตายพร้อมกันและขอเป็นสามีภรรยากันอีกครั้งในชาติหน้า ขุนพลสวมหน้ากากเห็นว่าจ้าวอัน [เตียวอัน] กำลังจะฆ่าตัวตายพร้อมภรรยาจึงสั่งให้ลูกน้องรีบเข้าไปขวางไว้แต่ก็สายเกินไป ขุนพลสวมหน้ากากจึงบอกให้ลูกน้องนำศพของทั้งคู่ไปฝังให้เรียบร้อยแล้วค่อยทำป้ายหน้าหลุมศพ ทั้งยังบอกด้วยว่า "ถึงยังไงเขาก็เคยเป็นศิษย์พี่ของข้า...เซี่ยโหวเจี๋ย!" พูดจบเซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] ก็ถอดหน้ากากออก
จื่อหลง [จูล่ง] นึกถึงคำสั่งเสียของพ่อที่บอกให้ไปหาอาจารย์อาที่ชื่อ "หลี่เฉวียน" [ลิฉวน] ชื่อรอง "เต๋อฝู" ในตัวอำเภอเจินติ้ง เมืองฉางซาน เขาชอบออกพเนจรจึงพบตัวได้ยาก แต่ถ้าพบเขาแล้วจงเตือนให้เขาหลบหลีกต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] พ่อของเขายังย้ำด้วยว่าจุดสังเกตของอาจารย์อาอยู่ที่รอยแผลเป็นสามแห่งบนแผ่นหลัง ทันทีที่ไปถึงอำเภอเจินติ้ง จื่อหลง [จูล่ง] และสองพี่น้องสกุลหลิ่วก็ช่วยกันออกตามหาอาจารย์อาแต่กลับไม่พบเบาะแสใดๆ ฉิงเอ๋อร์เกรงว่าคนลึกลับอย่างอาจารย์อาอาจไม่ใช้ชื่อจริง และบางทีชื่อของเขาอาจไม่ใช่หลี่เฉวียน [ลิฉวน] ก็ได้ หลิ่วเซิ่นเสริมว่าที่แย่ไปกว่านั้นก็คือพวกตนไม่เคยเห็นหน้าอาจารย์อามาก่อน ถึงแม้อาจารย์อามายืนอยู่ตรงหน้า พวกตนก็ไม่รู้จักอยู่ดี จื่อหลง [จูล่ง] ได้ยินดังนั้นจึงเสนอให้หาที่อยู่ก่อน หลังลงหลักปักฐานได้แล้วจึงค่อยออกตามหาอาจารย์อา ทั้งยังเตือนหลิ่วเซิ่นด้วยว่าอย่าแสดงฝีมือถ้าไม่จำเป็น หลิ่วเซิ่นจึงแย้งว่าถ้ามีคนมาก่อกวนจะให้ทำยังไง จื่อหลง [จูล่ง] หันไปเห็นโรงตีหน้ากากเหล็กจึงสั่งทำหน้ากากหนึ่งอัน
ระหว่างจื่อหลง [จูล่ง] และสองพี่น้องสกุลหลิ่วกำลังนั่งรอหน้ากาก ได้มีกลุ่มโจรภูเขาบุกมาปล้นทรัพย์ชาวบ้านในตลาดอย่างไม่ยำเกรงกฏหมายบ้านเมือง ทั้งสามได้ยินชาวบ้านคุยกันว่านายอำเภอคนใหม่ที่เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อวานซืนถูกโจรภูเขาฆ่าตายแล้ว โจรพวกนี้ดีแต่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านไปวันๆ หลิ่วเซิ่นบอกจื่อหลง [จูล่ง] ว่าก่อนหน้านี้ตนเคยได้ยินมาว่าโจรบนเขาหู่หยาทั้งโหดร้ายและป่าเถื่อน แต่นึกไม่ถึงว่าจะต่ำทรามถึงเพียงนี้ ฉิงเอ๋อร์เสริมว่าตนเห็นแล้วสงสารชาวบ้านตาดำๆ ที่ต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างหวาดผวา จื่อหลง [จูล่ง] ได้แต่ฟังอย่างครุ่นคิดและหันไปมองหน้ากากของตนที่ยังคงแช่อยู่ในน้ำ (ช่างทำหน้ากากกลัวโจรภูเขาจึงทิ้งร้านหลบหนีไป)
ในขณะที่ชาวบ้านต่างพากันเดือดร้อน ทุกข์ยาก แต่ต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] กลับจัดงานวันเกิดของตนในท้องพระโรงอย่างหรูหราและยิ่งใหญ่ (ซ้ำยังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร) หมายใช้โอกาสนี้นำกระบี่วิเศษคู่บ้านคู่เมืองทั้งสองเล่มมาอวดเหล่าขุนนางและแขกที่มาร่วมงาน แต่แล้วหลี่ว์ปู้ [ลิโป้] กลับได้รับรายงานว่าเซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] ทำงานไม่สำเร็จ หลังหลี่ว์ปู้ [ลิโป้] ออกไปพบเซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] ทางด้านนอก "จางเวิน" [เตียวอุ๋น] ได้ลุกขึ้นทวงถามต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ว่าเมื่อไหร่จะนำกระบี่วิเศษคู่บ้านคู่เมืองออกมาให้ทุกคนยลโฉมตามที่พูด ต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] จึงบอกให้จางเวิน [เตียวอุ๋น] ใจเย็นๆ ถ้าตนอยากให้ดูเมื่อไหร่ก็จะได้ดูเอง
หลังรู้ว่าเซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] กลับมามือเปล่า หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] จึงออกอุบายแก้ไขสถานการณ์ด้วยการให้ "หลี่หรู" [ลิยู] เสนอให้มีการประลองความสามารถระหว่างเหล่าขุนพล หากใครเป็นผู้ชนะจะได้สายคาดเอวที่ประดับด้วยหยกของต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] หลังหลี่ว์ปู้ [ลิโป้] เป็นผู้ชนะ ต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ก็ประกาศว่าหลี่ว์ปู้ [ลิโป้] ไม่เพียงเป็นลูกชาย (บุญธรรม) ตนแต่ยังเป็นผู้ปกป้องบ้านเมือง ตราบใดที่มีตนและลูกชายอยู่ที่นี่ราชสำนักจะรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ดุจเขาไท่ซาน ดังนั้นพวกกบฏอย่าง เฉาเชา [โจโฉ], "หยวนเซ่า" [อ้วนเสี้ยว] และคนอื่นๆ จึงเป็นเพียงกบฏกิ๊กก๊อกที่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง "หวังอวิ่น" [อ้องอุ้น] อ่านเกมออกจึงรีบลุกขึ้นแสดงความยินดีที่ต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] มีของวิเศษที่ช่วยปกป้องบ้านเมืองอย่างหลี่ว์ปู้ [ลิโป้] เพราะอย่างนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องวิตกกับเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเพราะความสงบสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม ต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ
หลังแก้ไขสถานการณ์ได้สำเร็จหลี่ว์ปู้ [ลิโป้] จึงบอกเซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] ว่าโชคดีที่ตนรับมือทัน หากพ่อบุญธรรมของตนรู้ว่าเขาทำงานล้มเหลวคงไม่เอาไว้แน่ หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] สนิทกับเซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] เลยไม่อยากเห็นเขาโดนลงโทษจึงบอกว่าจะออกหน้าแก้ตัวและช่วยประวิงเวลาให้ แต่เซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] ต้องรีบกลับไปหาเบาะแสของกระบี่ชิงกังและให้ตามสืบอย่างลับๆ เพราะเกรงว่าจื่อหลง [จูล่ง] จะไหวตัวทันและหนีออกจากเมืองไปเสียก่อน และเพื่อให้การตามหากระบี่วิเศษทั้งสองง่ายขึ้น หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] จึงทำเรื่องย้ายเซี่ยโหวเจี๋ย [แฮหัวเกี๊ยด] ไปเป็นเจ้าเมืองฉางซานและให้ตั้งรกรากเป็นการถาวรที่นั่น โดยบอกว่าเป็นคำสั่งของทางราชสำนักและมีผลวันนี้
ในขณะที่กลุ่มโจรบนเขาหู่หยาซึ่งนำโดยหัวหน้าสามที่ชื่อ "โจวหนาน" กำลังข่มเหงรังแกหญิงสาวคนหนึ่ง ("จ้าวสือเม่ย") กลางป่า จื่อหลง [จูล่ง] ซึ่งสวมหน้ากากสีเงินก็ควบม้ามาช่วยเธอไว้ได้ทันเวลา เขาใช้กระบี่ชิงกังฟาดกระบี่ของเหล่าโจรจนขาดเป็นสองท่อน ทั้งยังฆ่าโจรจนเกือบหมดอย่างง่ายดาย โจวหนานเห็นดังนั้นก็อยากได้กระบี่มาไว้ในครอบครองจึงจับหญิงสาวเป็นตัวประกัน หญิงสาวคนดังกล่าวเห็นว่าพวกตนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจึงบอกให้จื่อหลง [จูล่ง] ทิ้งเธอไว้แล้วหนีไปเสีย จื่อหลง [จูล่ง] เห็นด้วยว่าเธอกับเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าจึงบอกว่าตนก็แค่บังเอิญผ่านทางนี้ ในเมื่อไม่อาจเป็นวีรบุรุษก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต พูดจบเขาก็หันหลังกลับแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า แต่โจวหนานสั่งให้ลูกน้องที่เหลือรอดสองคนขวางเอาไว้แล้วชิงกระบี่มา ลูกน้องของเขาจึงเล็งธนูใส่จื่อหลง [จูล่ง] ทันที (ในตอนนั้นมีชายลึกลับผู้หนึ่งแอบสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ)
จื่อหลง [จูล่ง] บอกให้โจวหนานปล่อยตัวหญิงสาวก่อนแล้วตนจะมอบกระบี่ให้ แต่โจวหนานไม่ยอมอ่อนข้อ จื่อหลง [จูล่ง] เลยโยนกระบี่ให้โจวหนานแล้วซัดอาวุธลับ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหน้ากาก) เข้าใส่ เมื่อโจวหนานทำกระบี่หลุดมือหญิงสาวจึงรีบโยนกระบี่คืนให้จื่อหลง [จูล่ง]... จื่อหลง [จูล่ง] ถือกระบี่ชิงกังพุ่งเข้าหาโจวหนาน ลูกน้องของโจวหนานจะยิงธนูใส่จื่อหลง [จูล่ง] แต่ถูกชายลึกลับ (แอบ) สกัดไว้ เมื่อเห็นลูกพี่ของพวกตนตายอย่างน่าอนาจ หนึ่งในลูกน้องของโจวหนานจึงบอกจื่อหลง [จูล่ง] ว่า คนที่เขาสังหารไม่ใช่โจรภูเขาธรรมดาแต่เป็นถึงหัวหน้าสามแห่งเขาหู่หยา (หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ) วันนี้เขาได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาหู่หยาแล้ว ถ้ากล้าดีนักก็จงบอกชื่อมา จื่อหลง [จูล่ง] บอกเพียงว่าตนคือ "วีรบุรุษหน้ากากเหล็ก"
เหล่าโจรบนเขาหู่หยาเห็นร่างอันไร้วิญญาณของโจวหนานก็ต่างพากันโศกเศร้า หัวหน้าโจรภูเขา "ตู้เจวี๋ย" มองศพน้องสามของตนด้วยสีหน้าเศร้าหมองก่อนลั่นวาจาด้วยความโกรธแค้นว่าจะสับร่างคนหน้าเหล็กเป็นชิ้นๆ แล้วเอาหัวมาสังเวยน้องชายตนให้จงได้
จื่อหลง [จูล่ง] และสองพี่น้องสกุลหลิ่วยังคงปักหลักอยู่ในอำเภอเจินติ้งเพื่อสืบหาเบาะแสของอาจารย์อา โดยจื่อหลง [จูล่ง] ได้เปิดโรงเรียนสอนหนังสือเด็กๆ ระหว่างทำการสอนเขารู้สึกเป็นกังวลที่จนป่านนี้ยังไม่พบเบาะแสใดๆ ของอาจารย์อา จึงครุ่นคิดในใจว่าขอเพียงได้พบอาจารย์อาตนก็จะแก้แค้นให้พ่อแม่ได้ และจะได้รู้ว่าฆาตกรที่ลงมือสังหารพ่อแม่ของตนเป็นใคร เมื่อสองพี่น้องสกุลหลิ่วไปสืบหาเบาะแสอาจารย์อาที่ร้านขายเต้าหู้แล้วพบว่าเจ้าของร้านมีพิรุธ แถมลูกชายตัวน้อยของเขายังบอกว่าท่านลุงที่มาพักบ้านตนเมื่อวานซืนมีรอยแผลเป็นที่แผ่นหลัง หลิ่วเซิ่นจึงรีบมาบอกจื่อหลง [จูล่ง]
จื่อหลง [จูล่ง] รีบตามหลิ่วเซิ่นไปเพราะสงสัยว่าชายที่เด็กน้อยพูดถึงอาจเป็นอาจารย์อาของตน เขาเชื่อว่าอาจารย์อาต้องรู้ว่าพวกตนกำลังตามหา แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์อาถึงหลบหน้าและไม่ยอมมาพบพวกตน เขารู้ว่าในตอนนี้มีคนของต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] มาแฝงตัวอยู่ที่เมืองฉางซานเป็นจำนวนมากจึงรู้สึกเป็นกังวล เขากลัวว่าหากอาจารย์อายังไม่ยอมเผยตัวอีกสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง (ที่ประตูเมืองมีทหารถือภาพวาดของจื่อหลง [จูล่ง] คอยตรวจตราคนออกนอกเมือง)
เมื่อทั้งคู่พบกลุ่มโจรภูเขาในตลาดจึงรีบหลบไปยืนดูอยู่ห่างๆ โจรภูเขาประกาศว่าหัวหน้าสามของพวกตนถูกคนสวมหน้ากากเหล็กสังหาร พวกตนจึงอยากจับและสับเขาเป็นพันๆ ชิ้น หากใครรู้เบาะแสให้มาแจ้งพวกตนแต่โดยดี ส่วนคนที่ไม่รู้ให้จ่ายเป็นเงินแทน เหล่าชาวบ้านจึงพากันโยนเศษเงินให้กลุ่มโจร หลิ่วเซิ่นเห็นเงินกระเด็นมาอยู่ตรงหน้าจึงแอบก้มเก็บทำให้ถูกโจรคนหนึ่งเหยียบมือ จื่อหลง [จูล่ง] เห็นดังนั้นจึงเข้าไปผลักอกโจรคนดังกล่าวอย่างลืมตัว โจรคนดังกล่าวจึงสั่งให้ลูกน้องสั่งสอนจื่อหลง [จูล่ง] แต่หลิ่วเซิ่นดันลุกขึ้นยืนพอดีเลยโดนชกหน้าเต็มๆ จื่อหลง [จูล่ง] ไม่อยากให้เรื่องบานปลายเลยรีบพาหลิ่วเซิ่นหนีไป โจรคนดังกล่าวบอกลูกน้องว่าไม่ต้องตามให้เสียเวลาเพราะเห็นว่าทั้งคู่ยากจน (ถึงขนาดแอบเก็บเศษเงินของพวกตน) โจรคนหนึ่งซึ่งสวมชุดเกราะทหารมีภาพวาดชายสวมหน้ากากเหล็ก พอเห็นหน้าจื่อหลง [จูล่ง] เขาก็สงสัยว่าอาจเป็นคนๆ เดียวกัน เมื่อนำภาพมาให้โจรที่มีเรื่องกับจื่อหลง [จูล่ง] และหลิ่วเซิ่นดู โจรคนดังกล่าวก็ฟันธงว่าเป็นคนเดียวกัน ทั้งคู่จึงพาลูกน้องออกไล่ล่าจื่อหลง [จูล่ง] กับหลิ่วเซิ่น แต่ทั้งคู่ก็ใช้ไหวพริบหลบหนีมาได้
ฉิงเอ๋อร์ยืนสังเกตการณ์หน้าร้านเต้าหู้อย่างโจ่งแจ้งจนคนขายรู้สึกตัว เขาเลยลากลูกชายตัวน้อยเข้าบ้านและไม่ยอมออกมาหน้าร้านอีก เมื่อจื่อหลง [จูล่ง] กับหลิ่วเซิ่นมาถึงก็รู้สึกผิดสังเกตจึงรีบเข้าไปดูในร้านแต่กลับไม่พบใคร (ความจริงแล้วมีชายชุดดำซ่อนตัวอยู่ภายในร้าน) หลังสำรวจดูโดยรอบจื่อหลง [จูล่ง] พบว่าประตูหลังร้านถูกเปิดทิ้งไว้ ฉิงเอ๋อร์เห็นดังนั้นจึงโทษตัวเองที่ไม่เอาไหนและทำเสียเรื่อง แต่จื่อหลง [จูล่ง] แย้งว่าอย่างน้อยพวกตนก็ได้ข้อมูลสำคัญมาสองเรื่อง เรื่องแรกคือเจ้าของร้านเต้าหู้รู้จักกับอาจารย์อา แต่เขาอาจคิดว่าพวกตนเป็นสายลับของต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] เลยไม่ยอมเผยความจริง เรื่องที่สองคือเมื่อวานซืนอาจารย์อาต้องอยู่ที่นี่แน่และตอนนี้ก็น่าจะยังอยู่ในเมืองฉางซาน
ที่แท้เจ้าของร้านเต้าหู้กับอาจารย์อาของจื่อหลง [จูล่ง] มีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ ชายที่เปิดร้านเต้าหู้บังหน้ากล่าวกับอาจารย์อาขณะนั่งเล่นหมากรุกด้วยกันว่า หลังโจวหนานถูกกระบี่ชิงกังสังหาร กิตติศัพท์ในเรื่องความกล้าหาญของวีรบุรุษหน้ากากเหล็กก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางซาน อาจารย์อาอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าข่าวคราวของกระบี่ชิงกังจะนำภัยมาให้จื่อหลง [จูล่ง] ถึงกระนั้นเขายังคงมองว่าคนหนุ่มอย่างจื่อหลง [จูล่ง] จำเป็นต้องเรียนรู้และพบเจออุปสรรคบ้าง หลังจับตาดูจื่อหลง [จูล่ง] ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาพบว่าจื่อหลง [จูล่ง] เป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา แต่ยังต้องปรับปรุงเรื่องความใจร้อนวู่วาม เขาเชื่อว่าในอนาคตจื่อหลง [จูล่ง] จะต้องแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงได้แน่ๆ เจ้าของร้านเต้าหู้สงสัยว่าเขามีแผนจะทำอะไรต่อไป อาจารย์อากล่าวว่าถึงเวลาเมื่อไหร่ตนจะไปพบจื่อหลง [จูล่ง] เอง อาจารย์อาถามเจ้าของร้านเต้าหู้ว่าเมืองลั่วหยาง (เมืองหลวง) มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง เจ้าของร้านเต้าหู้รายงานว่าตอนนี้ หวังอวิ่น [อ้องอุ้น], เฉาเชา [โจโฉ] และหยวนเซ่า [อ้วนเสี้ยว] ได้สมคบคิดกันและกำลังรวบรวมเหล่าขุนศึกตลอดจนขุนนางในภูมิภาคต่างๆ หมายกำจัดต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ]
"เตียวฉาน" [เตียวเสี้ยน] เห็นหวังอวิ่น [อ้องอุ้น] ผู้เป็นพ่อบุญธรรมกำลังเคร่งเครียดเรื่องการวางแผนกำจัดต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] จึงเสนอตัวเข้าช่วยโดยบอกว่าตนจะใช้ความงามเป็นอาวุธในการมอมเมาศัตรูและปกป้องบ้านเมืองเช่นเดียวกับ "ซีซือ" [ไซซี] (หนึ่งในสี่หญิงงามแห่งแผ่นดินจีน) สองพ่อลูกจึงเริ่มใช้แผนสาวงามในวันส่งมอบสาส์นลับ เพียงครั้งแรกที่พบหน้า หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] ก็หลงใหลในความงามของเตียวฉาน [เตียวเสี้ยน] จนเสียสมาธิในการทำงาน (เขามาตามจับคนส่งและรับมอบสาส์นลับ) แม้จะเห็นกับตาว่า "เสี่ยวเยว่" สาวใช้ของเตียวฉาน [เตียวเสี้ยน] เก็บกระทงใบหนึ่งขึ้นมาบนเรือ แต่พอขึ้นไปบนเรือแล้วได้พบหญิงงามเขากลับไม่คิดตรวจสอบ ลูกน้องของเขาจึงเตือนว่าพวกตนมาที่นี่เพื่อค้นหาสาส์นลับ เมื่อหันไปมองกระทงแล้วพบว่ามีผ้าผืนหนึ่งซ่อนอยู่ในนั้นเขาจึงขอคำอธิบายจากเตียวฉาน [เตียวเสี้ยน] เตียวฉาน [เตียวเสี้ยน] ส่งผ้าไหมผืนดังกล่าวให้หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] และลูกน้องของเขาดู ทั้งคู่ต่างรู้สึกแปลกใจที่ผ้าผืนดังกล่าวมีเพียงลวดลายของนกเป็ดน้ำ
เสี่ยวเยว่อธิบายว่าคุณหนูของตนเป็นหญิงงาม เมื่อถึงช่วงเทศกาลต่างๆ เธอมักล่องเรือมาลอยกระทง บรรดาชายหนุ่มที่หลงใหลในความงามของคุณหนูจึงถือโอกาสนี้ส่งกระทงพร้อมจดหมายหรือสิ่งของกลับมาให้ แม้คุณหนูไม่อยากรับก็จำต้องรับไว้เพราะเกรงว่าจะถูกก่อกวนจนทำให้กลับบ้านผิดเวลา เธอกล่าวว่าบนเรือของพวกตนยังมีกระทงอีกหลายใบและเชิญให้หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] เข้าไปตรวจค้น เตียวฉาน [เตียวเสี้ยน] กล่าวว่าความจริงแล้วเธอไม่ชอบปรากฏตัวในที่สาธารณะ แต่ช่วงนี้บิดาของเธอไม่ค่อยสบาย หลังครุ่นคิดอยู่นานเธอจึงตัดสินใจมาลอยกระทงเพื่ออธิษฐานขอให้บิดามีสุขภาพที่แข็งแรง หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] ถามว่าบิดาของเธอคือใคร เสี่ยวเยว่ชิงตอบว่าหวังอวิ่น [อ้องอุ้น] ทันใดนั้น ลูกน้องของหลี่ว์ปู้ [ลิโป้] ก็ร้องบอกว่าพบสาส์นลับแล้ว หลี่ว์ปู้ [ลิโป้] คืนผ้าให้เสี่ยวเยว่ ก่อนถามชื่อหญิงงามที่ยืนอยู่ตรงหน้า พอรู้ว่าเธอชื่อเตียวฉาน [เตียวเสี้ยน] เขาก็ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนเพ้อรำพันถึงความงามของเธอ
ที่แท้ผ้าลายนกเป็ดน้ำคือสาส์นลับฉบับจริง เมื่อเตียวฉาน [เตียวเสี้ยน] นำผ้าผืนดังกล่าวไปล้างน้ำและอังไฟก็มีข้อความปรากฏออกมา เนื้อความของสาส์นลับระบุว่าเจ้าเมืองหรู่หยางและจางเวิน [เตียวอุ๋น] จะนำกำลังบุกจู่โจมเมืองหลวง จึงขอให้หวังอวิ่น [อ้องอุ้น] นำเรื่องดังกล่าวไปบอกต่งจั๋ว [ตั๋งโต๊ะ] เพื่อที่เขาจะได้รับความไว้วางใจจากโจรเฒ่า
หลิ่วเซิ่นพาจื่อหลง [จูล่ง] ไปดูชายท่าทางน่าสงสัยคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งตกปลาริมแม่น้ำ โดยบอกว่าชายคนดังกล่าวมานั่งดื่มเหล้าที่ร้านตรงข้ามบ้านพวกตนทุกวัน เขามาจากลั่วหยางแต่พูดติดสำเนียงฉางซาน แถมที่หลังยังมีรอยแผลเป็นอีกด้วย จื่อหลง [จูล่ง] คิดไม่ตกว่าจะพิสูจน์ยังไงให้รู้ว่าชายคนดังกล่าวคืออาจารย์อา เพราะถ้าขืนบุ่มบ่ามเข้าไปถาม อาจารย์อาอาจคิดว่าพวกตนเป็นสายลับ แต่ถ้าค่อยๆ เข้าไปทำความรู้จักและตีสนิทก็อาจชักช้าไม่ทันการ หลิ่วเซิ่นแนะให้จื่อหลง [จูล่ง] เข้าไปฉีกเสื้อชายคนดังกล่าว ส่วนตนจะเปิดดูรอยแผลเป็นที่หลัง เมื่อจื่อหลง [จูล่ง] ไม่เห็นด้วย หลิ่วเซิ่นจึงเตือนว่าถ้ามัวแต่ชักช้าอาจรักษากระบี่ชิงกังเอาไว้ไม่ได้ พูดจบเขาก็เดินนำจื่อหลง [จูล่ง] ไปหาชายที่กำลังนั่งตกปลาทันที จื่อหลง [จูล่ง] ไม่มีทางเลือกเลยจำเป็นต้องเดินตามไป
*** จบตอนที่ 1 ***
นักแสดงนำ
* ชื่อตัวละครเป็นภาษาจีนกลาง / (ในวงเล็บ) คือ ชื่อรอง ซึ่งเป็นชื่อทางการที่ตั้งขึ้นภายหลังตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วน [ในวงเล็บ] เป็นชื่อที่ออกเสียงสำเนียงฮกเกี้ยน
หลินเกิงซิน
รับบท จ้าวอวิ๋น (จื่อหลง) - [เตียวหยุน / จูล่ง ]
(นักแสดง ชาวจีน)
*** "จูล่ง" เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของ "เล่าปี่" ***
รับบท เซี่ยโหวชิงอี - [แฮหัวชิงยี่] / หม่าอวี้โหรว - [ม้าหยุนลู่]
(นักแสดง / นักร้อง ชาวเกาหลีใต้)
"เซี่ยโหวชิงอี" เป็นลูกสาวของ "เซี่ยโหวเจี๋ย" ส่วน "หม่าอวี้โหรว" เป็นองค์หญิงแคว้นซีเหลียง (เหลียงตะวันตก) และเป็นน้องสาวของ "หม่าเชา"
รับบท เกาเจ๋อ (เหวินติ้ง) - [เกาซือ]
(นักแสดง / นักร้อง / นายแบบ ชาวเกาหลีใต้)
รับบท หลิวเป้ย (เสวียนเต๋อ) - [เล่าปี่]
(นักแสดง / นักร้อง / นักแต่งเพลง ชาวจีน)
หยางเล่อ
รับบท จูเก่อเลี่ยง (ข่งหมิง) - [จูกัดเหลียง / ขงเบ้ง]
(นักแสดง ชาวจีน)
โจวจ้าวหลง
รับบท หลี่เฉวียน (เต๋อฝู) - [ลิฉวน]
(นักแสดงฮ่องกง เกิดที่ไต้หวัน)
จ้าวหานอิงจื่อ
รับบท หลี่เฟยเยี่ยน
(นักแสดง / นักร้อง / นางแบบ ชาวจีน)
หลี่เถียนเหยี่ย
รับบท กวนอวี่ (อวิ๋นฉาง) - [กวนอู]
(นักแสดง ชาวจีน)
*** "กวนอู" เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของ "เล่าปี่" ***
จูไหลเฉิง
รับบท จางเฟย (อี้เต๋อ) - [เตียวหุย]
(นักแสดง ชาวจีน)
*** "เตียวหุย" เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของ "เล่าปี่" ***
โก นาอึน
รับบท ซุนฮูหยิน หรือ ซุนซ่างเซียง
(นักแสดง / นักร้อง / นางแบบ ชาวเกาหลีใต้)
*** "ซุนฮูหยิน" เป็นภรรยาของเล่าปี่ และน้องสาวของซุนกวน ***
รับบท หม่าเชา (เมิ่งฉี่) - [ม้าเฉียว]
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
*** "ม้าเฉียว" เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของ "เล่าปี่" ***
จางซาน
รับบท หวงจง (ฮั่นเซิง) - [ฮองตง]
(นักแสดง ชาวจีน)
*** "ฮองตง" เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของ "เล่าปี่" ***
หม่าเสี่ยวจวิน
รับบท ผังถ่ง (ซื่อหยวน) - [บังทอง]
(นักแสดง ชาวจีน)
ตงอู๋ (แคว้นอู๋ตะวันออก) - [ง่อก๊ก]
รับบท ซุนเฉวียน (จ้งโหมว) - [ซุนกวน]
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)
รับบท โจวอวี๋ (กงจิน) - [จิวยี่]
(นักแสดง ชาวจีน)
เฉาเว่ย (แคว้นเว่ย) - [วุยก๊ก]
รับบท เฉาเชา (เมิ่งเต๋อ) - [โจโฉ]
(นักแสดง ชาวจีน)
จางเฮ่อ
รับบท เกิ่งฉุน (ป๋อซาน)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
ฉีหัง
รับบท เซี่ยโหวเจี๋ย (ฉีหลิน) - [แฮหัวเกี๊ยด]
(นักแสดง ชาวจีน)
จางเฮ่อ
รับบท เกิ่งฉุน (ป๋อซาน)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
ฉีหัง
รับบท เซี่ยโหวเจี๋ย (ฉีหลิน) - [แฮหัวเกี๊ยด]
(นักแสดง ชาวจีน)
ปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ก่อนยุคสามก๊ก)
รับบท หลี่ว์ปู้ (เฟิ่งเซียน) - [ลิโป้]
(นักแสดง / นายแบบ ชาวไต้หวัน)
กู่ลี่น่าจา
รับบท เตียวฉาน - [เตียวเสี้ยน]
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)
เหมียวฮ่าวจวิน
รับบท หวังอวิ่น (จื่อซือ) - [อ้องอุ้น]
(นักแสดง / ช่างภาพ ชาวจีน)
อูตี๋เหวิน
รับบท หลี่หรู (เหวินโยว) - [ลิยู]
(นักแสดง / นักร้อง / นายแบบ ชาวจีน)
ฟ่านอวี่หลิน
รับบท กงซุนจ้าน (ป๋อกุย) - [กองซุนจ้าน]
(นักแสดง ชาวจีน)
เจี่ยชิง
รับบท กงซุนเป่าเยว่ - [กองซุนเปาเย]
(นักแสดง ชาวจีน)
รับบท กงซุนเป่าเยว่ - [กองซุนเปาเย]
(นักแสดง ชาวจีน)
อื่นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา