วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เรื่องย่อ งักฮุย แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน (The Patriot Yue Fei)




กำกับ: จวีเจวี๋ยเลี่ยง (ชาวฮ่องกง),  โจวจี๋เฉิง
เขียนบท: ติงซ่านสี่, ถังจี้หลี่ (ชาวฮ่องกง)
แนวละคร: ย้อนยุค, อิงประวัติศาสตร์, สงคราม 
จำนวนตอน: 69
ออกอากาศ: จีน - 4 กรกฎาคม 2556 ทางเจ้อเจียงทีวี, อันฮุยทีวี, ซานตงทีวี, เทียนจินทีวี
              ไทย - ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 20.30 - 22.00 น. และวันศุกร์ เวลา 20.45-22.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2560 - 17 ตุลาคม 2560





เรื่องย่อ



ละคร "งักฮุย แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน (The Patriot Yue Fei)" นำเสนอเรื่องราวของวีรบุรุษกู้ชาติและแม่ทัพของราชวงศ์ซ่งนามว่า "เยว่เฟย" [หรือ "งักฮุย" ตามสำเนียงฮกเกี้ยน] ซึ่งมีผลงานอันโดดเด่นในการนำทัพกอบกู้บ้านเมืองและต่อต้านการรุกรานของราชวงศ์จิน (ชนเผ่าหนี่ว์เจินซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวแมนจู) แม้เขาจะอุทิศทั้งชีวิตให้กับการปกป้องและกอบกู้บ้านเมืองจนผลงานเป็นที่เลื่องลือ แต่กลับถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาสงบศึกกับแคว้นจิน ซ้ำยังโดนขุนนางกังฉินนามว่า "ฉินฮุ่ย" ใส่ร้ายว่าคิดการณ์ใหญ่และเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ทั้งที่ไม่มีหลักฐานมาเป็นเครื่องยืนยัน  แต่นั่นก็ทำให้เยว่เฟย [งักฮุย] ต้องโทษประหารชีวิตทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดในปี ค.ศ. 1142 (พ.ศ. 1685) ซึ่งในขณะนั้นเยว่เฟย [งักฮุย] มีอายุเพียง 39 ปี

แม้เนื้อหาในละครจะอ้างถึงเหตุการณ์และบุคคลจริงทางประวัติศาสตร์ (ตัวละครส่วนใหญ่มีตัวตนจริง) แต่ก็มีการแต่งแต้มเรื่องราวโดยหยิบยกเนื้อหาบางส่วนจากนวนิยายเรื่อง "ซัวเยว่เฉวียนฉวน" (說岳全傳) ของนักประพันธ์สมัยราชวงศ์ชิงนามว่า "เฉียนไฉ่" ตลอดจนนิทานพื้นบ้านที่กล่าวถึงแม่ทัพเยว่เฟย [งักฮุย] มาผนวกรวมเข้าด้วยกัน โดยใช้งบประมาณในการผลิตทั้งสิ้นกว่า 200 ล้านหยวนหรือกว่าหนึ่งพันล้านบาท และเป็นละครจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องแรกที่ได้ออกอากาศทางช่องเอชบีโอ


เนื้อหาตอนที่ 1-3



ละครเปิดฉากด้วยการเกริ่นนำว่า "นับตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ซ่งเหนือ (เป่ยซ่ง) บ้านเมืองก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากราชวงศ์เหลียวมาโดยตลอด ครั้นเมื่อชนเผ่าหนี่ว์เจินสถาปนาราชวงศ์จินแล้วยกทัพบุกอาณาจักรเหลียว (ต้าเหลียว) ซ่งเหนือจึงทำสัญญาร่วมมือกับแคว้นจินบุกเหลียว"

*นักประวัติศาสตร์จีนแบ่งราชวงศ์ซ่งออกเป็นสองยุค ได้แก่ ราชวงศ์ซ่งเหนือ (ค.ศ. 960 – 1127) เมืองหลวงอยู่ที่ "เปี้ยนจิง" (ปัจจุบันคือ "ไคฟง"และ ราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 1127 – 1279) เมืองหลวงอยู่ที่ "หลินอัน" (ปัจจุบันคือ "หางโจว")

หลังจากนั้นนักเล่านิทานหญิงก็เล่าให้ชาวบ้านฟังว่า... "กล่าวกันว่าฮ่องเต้ "เทียนจั้ว" (เยลู่เหยียนซี) แห่งราชวงศ์เหลียว (ชาวชี่ตัน) ได้นำทัพ 7 แสนนายไปปราบทัพจินที่บุกมารุกรานตน นึกไม่ถึงว่าทัพเหลียวจะโดนตลบหลังขณะผ่านแม่น้ำฮุ่นถง ฮ่องเต้เทียนจั้วไม่มีทางเลือกจึงต้องหันไปไล่ล่าเยลู่จางหนูแทน ผู้นำแคว้นจิน "หวันเหยียนอากู่ต่า" (จักรพรรดิจินไท่จู่ - ปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์จิน) เห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาสตามไล่ล่ามาทางด้านหลัง ก่อนโอบล้อมโจมตีสองด้านจนทัพเหลียวพ่ายแพ้อย่างย่อยยับและมีทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

ไม่นานข่าวเรื่องทัพเหลียวพ่ายทัพจินอย่างราบคาบก็แพร่สะพัดไปยังเมืองเปี้ยนจิง เสนาบดี "ไช่จิง" และใต้เท้า "ถงก้วน" (อดีตขันที แม่ทัพ ขุนนาง และที่ปรึกษาของจักรพรรดิ "ซ่งฮุยจง") เห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะยึด 16 เมืองคืนจากต้าเหลียว  (ในจำนวนนี้มีเมืองสำคัญอย่าง เยี่ยนโจว (ปักกิ่ง) และ อวิ๋นโจว (ต้าถง) รวมอยู่ด้วย)  จึงทูลเสนอฮ่องเต้ "ฮุยจง" ให้จับมือแคว้นจินบุกเหลียว ในเวลาต่อมาฮ่องเต้ทรงมอบหมายให้ถงก้วน (ซึ่งอายุมากแล้ว) เป็นแม่ทัพใหญ่นำกำลังทหาร 150,000 นายบุกยึดเยี่ยนโจว หลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ทัพซ่งเหนือที่นำโดยถงก้วนตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ถงก้วนจึงมอบหมายให้แม่ทัพ "หลิวเก๋อ" ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา นำทหารจำนวนหนึ่งฝ่าวงล้อมของศัตรูเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นจิน" เมื่อนักเล่านิทานเล่าถึงตอนนี้ เรื่องราวในละครจึงเริ่มต้นขึ้น


หลังแม่ทัพหลิวเก๋อ พร้อม "เยว่เฟย" [งักฮุย]  และ "หวังกุ้ย" เข้าไปในค่ายทหารของแคว้นจินก็พบว่า จอมพล "จางห่าน" (หรือ "หวันเหยียนจงฮั่น") และเหล่าขุนพลคนสนิทกำลังเพลิดเพลินกับสุรานารี ถึงกระนั้นแม่ทัพหลิวเก๋อก็ไม่ย่อท้อและพยายามรายงานตัวหลายครั้งโดยกล่าวว่าตนชื่อหลิวเก๋อมาจากเหอเป่ย หลังถูกขัดจังหวะจางห่านจึงถามแม่ทัพ "หันฉาง" (ทั้งที่หลิวเก๋อยืนอยู่ตรงหน้า) ว่าใครกันที่บังอาจรบกวนตน เมื่อหันฉางบอกว่ามีชาวซ่งมาขอพบ จางห่านจึงถามผ่านหันฉางว่าชาวซ่งมาพบตนทำไม หรือว่าพวกเขานำเงินมาให้ตน (หลังทำสัญญาร่วมมือกับแคว้นจินปราบต้าเหลียว ราชวงศ์ซ่งเหนือต้องส่งบรรณาการให้ราชวงศ์จิน) หลิวเก๋อได้ยินดังนั้นจึงชี้ว่าจางห่านกำลังเมา จางห่านแย้งว่าเหล้าแค่นี้ไม่ทำให้ตนเมาและบอกให้หลิวเก๋อลองดื่มเหล้าของตนดู เมื่อหลิวเก๋อปฏิเสธโดยบอกว่าตนมีเรื่องสำคัญมาหารือ จางห่านจึงตัดบทว่าถ้าไม่ดื่มก็ไม่ต้องคุยและสั่งให้ทหารลากตัวหลิวเก๋อออกไป

เยว่เฟย [งักฮุย]  อ้างว่าแม่ทัพหลิวเก๋อบาดเจ็บจึงขอดื่มแทน หันฉางเห็นเยว่เฟย [งักฮุย]  เป็นทหารชั้นผู้น้อยแต่กลับถือวิสาสะหยิบถ้วยเหล้าของพวกตนจึงปรี่เข้าไปตำหนิและคิดสั่งสอน เนื่องจากสองมือของเยว่เฟย [งักฮุย]  ประคองถ้วยเหล้าอยู่ เขาจึงใช้ศอกปัดแขนของหันฉางจนหันฉางเสียหลักล้มหน้าหงาย หลังจากนั้นก็รายงานตัวกับจางห่านโดยบอกว่าตนเป็นทหารชื่อ เยว่เฟย [งักฮุย]  หันฉางไม่พอใจที่โดนลบหลู่จึงคิดสังหารเยว่เฟย [งักฮุย]  แต่จางห่านห้ามเอาไว้เพราะประทับใจในความกล้าหาญของเยว่เฟย [งักฮุย] เมื่อถูกถามว่ามาที่นี่ทำไม เยว่เฟย [งักฮุย] ก็ตอบว่าทหารของพวกตนตกอยู่ในวงล้อมที่เยี่ยนโจว (หรืออีกชื่อคือ "โยวโจว") พวกตนจึงมาที่นี่ในนามใต้เท้าถงก้วนเพื่อขอให้แคว้นจินรีบส่งทหารไปช่วย พอรู้ว่าทัพซ่งพ่ายทัพเหลียวอย่างย่อยยับทั้งที่มีกำลังทหารมากกว่าจางห่านก็ขำกลิ้ง หลิวเก๋อรู้สึกร้อนใจจึงขอร้องให้จางห่านรีบส่งทหารไปช่วยพรรคพวกตน



จางห่านชี้ว่าแคว้นจินของพวกตนยอมทำสัญญาร่วมรบกับซ่ง (เหนือ) เพราะคิดว่าราชวงศ์ซ่งอ่อนแอเพียงชั่วคราวดุจหมาป่าที่กำลังบาดเจ็บ นึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วทัพซ่งจะอ่อนปวกเปียกและเป็นเพียงลูกแกะที่กำลังจะถูกขย้ำ เมื่อจางห่านถามอย่างดูแคลนว่ากลัวตายใช่ไหม เยว่เฟย [งักฮุย] จึงสวนกลับอย่างขึงขังว่าลูกผู้ชายชาวซ่งไม่เคยหวาดกลัว  จางห่านได้ยินดังนั้นจึงขู่ว่าตนสามารถเอาชีวิตเยว่เฟย [งักฮุย] ได้ และถามว่าเริ่มกลัวแล้วหรือยัง เมื่อเยว่เฟย [งักฮุย] ยืนกรานว่าไม่กลัว จางห่านจึงเล็งธนูใส่เยว่เฟย [งักฮุย] หลิวเก๋อขอร้องให้จางห่านไว้ชีวิตเยว่เฟย [งักฮุย] แต่เยว่เฟย [งักฮุย] กลับบอกว่าไม่ต้องขอร้องและปล่อยให้จางห่านทำในสิ่งที่อยากทำ โลกจะได้รู้ว่าแคว้นจินปฏิบัติต่อพันธมิตรอย่างไร พูดจบเยว่เฟย [งักฮุย] ก็ยืนจ้องหน้าจางห่านอย่างอาจหาญและไม่ถอยหนี จางห่านจงใจยิงธนูเฉียดใบหน้าของเยว่เฟย [งักฮุย] เป็นเหตุให้คมธนูถากเข้าที่แก้มของเยว่เฟย [งักฮุย] จนเลือดไหลซิบ

เยว่เฟย [งักฮุย]  ชี้ว่าพวกตนมาขอความช่วยเหลือเพราะคนที่เยี่ยนโจวกำลังจะถูกสังหาร หาใช่เพราะความหวาดกลัว ในฐานะที่เป็นทหารเมื่อเข้าสู่สนามรบพวกตนก็พร้อมเผชิญหน้ากับความตายและไม่เคยคิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไป จางห่านได้ยินดังนั้นจึงยอมให้เยว่เฟย [งักฮุย]  ดื่มเหล้าแทนหลิวเก๋อ หลังดื่มเหล้าหมดถ้วยแล้ว เยว่เฟย [งักฮุย]  จึงบอกจางห่านว่าแคว้นจินมีธรรมเนียมในการต้อนรับผู้มาเยือนเยี่ยงนี้ ชาวซ่งอย่างพวกตนก็ขอตอบแทนไมตรีตามธรรมเนียมของตน เขากล่าวว่าจางห่านให้เกียรติพวกตนเท่าไหร่ ตนจะคืนให้สิบเท่า หลังจากนั้น เยว่เฟย [งักฮุย]  ก็ออกไปยืนนอกกระโจมแล้วเล็งธนูใส่จางห่าน ลูกน้องของจางห่านเห็นดังนั้นจึงรีบเอาตัวเข้าบัง หลิวเก๋อไม่อยากให้เรื่องบานปลายจึงปรามเยว่เฟย [งักฮุย]  ว่าอย่าลบหลู่จางห่าน แต่จางห่านกลับแย้งว่าไม่ต้องห้าม ซ้ำยังสั่งให้ลูกน้องของตนถอยไป หลังจากนั้นเขาก็ออกมายืนเป็นเป้านิ่งให้เยว่เฟย [งักฮุย]  เมื่อหันฉางแสดงความเป็นห่วง จางห่านจึงบอกอย่างมั่นใจว่าไกลขนาดนั้นไม่มีทางยิงโดนตนแน่ ปรากฏว่าเยว่เฟย [งักฮุย]  ยิงธนูเฉียดใบหน้าจางห่านไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด จางห่านเห็นฝีมือเยว่เฟย [งักฮุย]  แล้วถึงกับอึ้งพูดไม่ออก หลิวเก๋อจึงฉวยโอกาสลากลับทันที


ครั้นพอกลับไปถึงเยี่ยนโจวซึ่งยังคงมีการสู้รบกันอย่างดุเดือด (ทัพซ่งเป็นฝ่ายตั้งรับ ทั้งยังตกอยู่ในวงล้อมและกำลังจะต้านไม่อยู่)  หลิวเก๋อจึงสั่งให้เยว่เฟย [งักฮุย]  กับหวังกุ้ยเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อทูลขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ ส่วนตัวเขาจะขอสู้ตายอยู่ที่นี่ เยว่เฟย [งักฮุย]  ชี้ว่าหากพวกตนทำเช่นนั้นก็เท่ากับหนีทัพ เยว่เฟย [งักฮุย]  กับหวังกุ้ยไม่ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นทหารหนีทัพจึงขอสู้ตายกับหลิวเก๋อ หลังชิงธงกลับคืนและช่วยใต้เท้าถงก้วนได้แล้ว เยว่เฟย [งักฮุย]  กับหวังกุ้ยก็รีบพาใต้เท้าถงก้วนและแม่ทัพหลิวเก๋อ (ซึ่งต่างก็ได้รับบาดเจ็บ) หลบหนีเพราะทัพของพวกตนถูกตีจนแตกพ่าย แต่สุดท้ายทั้งสี่คนก็ตกอยู่ในวงล้อมของทัพเหลียว โชคดีที่จางห่านพาทหารแคว้นจินมาช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา

ในขณะที่เหล่าทหารเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสนามรบและต้องพลีชีพเพื่อชาติ เสนาบดีไช่จิงกับเหล่าขุนนางใหญ่แห่งราชวงศ์ซ่งกลับพากันเสพสุขอยู่ในเมืองหลวง เมื่อใต้เท้าถงก้วนพาร่างอันบอบช้ำมารับผิดที่ไม่มีปัญญานำทัพทำให้ถูกเหลียวตีจนแตกพ่าย เสนาบดีไช่จิงจึงสงสัยว่าเขารอดตายมาได้อย่างไร ใต้เท้าถงก้วนกล่าวว่าตนมีลูกน้องคอยปกป้องและช่วยพาฝ่าวงล้อม หลังจากนั้นทัพจินก็มาช่วยและขับทหารเหลียวออกจากเมืองไป ตอนนี้ 16  เมืองรวมเยี่ยนอวิ๋น (เยี่ยน คือ "เยี่ยนโจว"  (ปักกิ่ง) มีเมืองหลวงชื่อ "เยี่ยนจิง" ส่วน อวิ๋น คือ "อวิ๋นโจว" (ต้าถง)) ที่พวกตนพยายามกอบกู้อย่างยากลำบาก กลับถูกแคว้นจินยึดครองอย่างง่ายดาย เสนาบดีไช่จิงได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินทางเข้าวังหลวงทันที


เสนาบดีไช่จิงทูลฮ่องเต้ฮุยจง* (ซึ่งกำลังคร่ำเคร่งกับการเขียนอักษรพู่กัน) ว่า แม่ทัพถงก้วนนำทัพบุกเยี่ยนโจวและสู้รบกับทัพเหลียวที่มีกำลังหนึ่งแสนนาย พวกเขายืนหยัดสู้ตายเป็นเวลาหลายวันในสมรภูมิที่ดุเดือด ส่งผลให้มีทหารพลีชีพเป็นจำนวนมาก  เพราะความชาญฉลาดของแม่ทัพถงก้วนที่อาศัยทัพจินช่วยตีทัพเหลียว ทัพเหลียวจึงเป็นฝ่ายปราชัยและแตกพ่ายในที่สุด พริบตาเดียวก็ยึด 16 เมืองรวมเยี่ยนอวิ๋นคืนมาได้อย่างง่าย แต่ทว่าในตอนนี้ 16  เมืองยังอยู่ในมือของแคว้นจิน หากจะไถ่เมืองคืนคงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ฮ่องเต้ฮุยจงกล่าวว่าที่ผ่านมาอดีตฮ่องเต้ราชวงศ์ซ่งพยายามไถ่ 16 เมืองรวมเยี่ยนอวิ๋นกลับคืนมาแต่ก็ทำไม่สำเร็จ คราวนี้ไม่ว่าต้องใช้เงินมากมายเท่าไหร่ ตนจะทำให้อดีตฮ่องเต้และราษฏรสมหวังให้จงได้ เสนาบดีไช่จิงแย้งว่าตอนนี้เงินในท้องพระคลังเริ่มร่อยหรอ ทั้งยังมีค่าใช้จ่าย (จำนวนมหาศาล) ของกองทัพ... ฮ่องเต้ฮุยจงชิงตัดบทว่าตนฟังเรื่องพวกนี้แล้วเป็นต้องรู้สึกง่วงนอน จากนั้นก็มอบหมายให้เสนาบดีไช่จิง (ซึ่งเป็นขุนนางฉ้อฉล) เป็นผู้รับผิดชอบและมีอำนาจเต็มในการเบิกจ่ายเงินจากท้องพระคลัง 

* "ซ่งฮุยจง" เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 8 และจักรพรรดิที่อ่อนแอที่สุดของราชวงศ์ซ่งเหนือ เพราะมัวหลงใหลด้านศิลปะจนละเลยราชกิจและไม่ใส่ใจเรื่องการทหาร

หลังฟื้นคืนสติ แม่ทัพหลิวเก๋อก็กล่าวชมเชยและขอบคุณเยว่เฟย [งักฮุย] ที่ช่วยชีวิตตน เยว่เฟย [งักฮุย] แย้งว่าถ้าไม่ได้แม่ทัพหลิวเก๋อช่วยคุ้มกันก่อนหน้านี้ตนคงตายไปนานแล้ว แม่ทัพหลิวเก๋อเห็นว่าเยว่เฟย [งักฮุย] เพิ่งออกรบเป็นครั้งแรกจึงถามว่าเขารู้สึกอย่างไรตอนเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบ เยว่เฟย [งักฮุย] ตอบว่าตอนแทงทวนเข้าที่หน้าอกของศัตรูแล้วเห็นแววตาที่สิ้นหวังของเขา ตนรู้สึกว่าทวนหนักอึ้งและไม่อยากฆ่าคนอีก แม่ทัพหลิวเก๋อกล่าวว่าสงครามก็เป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ฆ่าเขาเราก็ตาย แม่ทัพหลิวเก๋อเห็นว่าที่บ้านเมืองมักถูกข้าศึกรุกรานเป็นเพราะขาดทหารฝีมือดี เขาจึงฝากความหวังเอาไว้ที่คนรุ่นใหม่อย่างเยว่เฟย [งักฮุย]


จางห่านรายงานฮ่องเต้ "จินไท่จง" (หรือ "อู๋ฉีหม่าย" จักรพรรดิองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จิน / พระอนุชาของปฐมจักรพรรดิ "จินไท่จู่") ว่าหลังฮ่องเต้เทียนจั้วแห่งต้าเหลียวถูกทหารแคว้นจินตีพ่ายก็พาทหารส่วนหนึ่งหนีขึ้นไปกบดานบนเขาเจียซานและปักหลักอยู่บนนั้นเป็นเวลานานหลายเดือน ตนจึงทำได้เพียงนำกำลังปิดล้อมไว้โดยไม่อาจบุกจู่โจมเพราะสภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวย "ทั่วป๋าเยอู" หนึ่งในแม่ทัพของจางห่านกล่าวเสริมว่ากำลังหลักของพวกชิตัน (ต้าเหลียว) ถูกกำจัดจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนทหารที่เหลือรอดอยู่ถ้าไม่บาดเจ็บก็อ่อนแรงเต็มทนจนไม่สามารถสู้รบได้อีก ฮ่องเต้ไท่จงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ และกล่าวว่าชัยชนะของพวกตนอยู่ใกล้แค่เอื้อม

เมื่อฮ่องเต้ถามถึงทัพซ่ง จางห่าน (ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของฮ่องเต้) ก็ตอบอย่างดูแคลนว่าทัพซ่งยิ่งน่าสมเพชเข้าไปใหญ่ เขาเล่าว่าถงก้วนนำทหาร 150,000 นายโอบล้อมและโจมตีเยี่ยนโจว ด้วยความที่อยากสร้างชื่อจึงคิดใช้กำลังเข้ากวาดล้างโดยไม่เปิดโอกาสให้ทหารเหลียวยอมจำนน เมื่อถงก้วนนำทหารบุกจู่โจม แม่ทัพต้าเหลียวเลยจำต้องสู้ตายทั้งที่มีกำลังน้อยกว่า นึกไม่ถึงว่าทหารที่อ่อนล้าเพียงไม่กี่พันนายของต้าเหลียวจะปราบทัพใหญ่ของซ่งได้อย่างราบคาบ เพราะทัพจินของพวกตนไปถึงทันเวลาจึงสามารถปราบทัพเหลียวได้

ฮ่องเต้จินไท่จงกล่าวว่าราชวงศ์ซ่งที่ชอบคุยโวนักหนา ความจริงแล้วกลับอ่อนปวกเปียกเพราะเหล่าทหารขาดการฝึกฝน ยิ่งตอนนี้มีทั้งฮ่องเต้และกองทัพที่อ่อนแอไร้ประสิทธิภาพเลยทำให้น่าสมเพชหนัก ในหัวของฮ่องเต้ซ่งมีแต่งานศิลปะและบทกวี ไม่เคยสนใจเรื่องสงครามและการปกครอง ทหารที่เลี้ยงไว้คงทำได้แค่ช่วยขนหินเท่านั้น จางห่านเห็นว่าหลังโค่นล้มราชวงศ์เหลียวได้สำเร็จ เป้าหมายต่อไปควรเป็นราชวงศ์ซ่ง เขาถามฮ่องเต้จินไท่จงว่าในเมื่อฮ่องเต้เทียนจั้วแห่งต้าเหลียวไม่ยอมจำนวน และพวกตนก็ไม่สามารถยกทัพขึ้นไปปราบบนเขาสูงชันได้ พวกตนควรจัดการอย่างไรต่อไปดี ฮ่องเต้จินไท่จงกล่าวว่าในเมื่อพวกตนทำอะไรไม่ได้ก็ให้ฝ่ายซ่งหาทางเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้เทียนจั้วยอมจำนน ไว้พวกเหลียวลงจากเขาเองเมื่อไหร่พวกตนค่อยฉวยโอกาสบุกโจมตี หลังจากนั้น ฮ่องเต้จินไท่จงก็ชี้ว่าบริเวณที่ราบภาคกลางนั้นยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่ไพศาล หากพวกตนต้องการขยายอาณาเขตจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากราชวงศ์ซ่ง ฮ่องเต้จินไท่จงมอบหมายให้จางห่านรับผิดชอบในการเกณฑ์ไพร่พลและทหารของ 16 เมือง (ที่เพิ่งยึดมาจากต้าเหลียว) มาประจำการในกองทัพ และให้ยึดของมีค่าทั้งหมดมาเป็นของพวกตน


"หานเซียวโจ้ว" เจ้าเมืองเซียงโจว มาพบแม่ทัพหลิวเก๋อที่ค่ายทหารหมายขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าแม่ทัพหลิวเก๋อได้รับบาดเจ็บเขาจึงได้แต่บ่นว่าเสนาบดีไช่จิงเรียกตนเข้าเมืองหลวงเพื่อหารือกับ "วังป๋อเยี่ยน" (อาจารย์ของ "ฉินฮุ่ย") เรื่องการเป็นคนกลางในภารกิจยอมจำนน เขาชี้ว่าแคว้นจินต้องการให้ทางซ่งส่งคนไปที่เขาเจียซานเพื่อเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้เทียนจั้วแห่งต้าเหลียวให้ยอมจำนน หลิวเก๋อสงสัยว่าทำไมท่านเสนาฯ ถึงมอบหมายภารกิจดังกล่าวให้ใต้เท้าหาน ใต้เท้าหานกล่าวว่าเมื่อหลายปีก่อนตนเคยสนิทสนมกับฮ่องเต้เทียนจั้ว พอเสนาบดีไช่จิงรู้เข้าเลยคิดว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวจะช่วยให้การเกลี้ยกล่อมง่ายขึ้น แต่นั่นมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว แถมตอนนี้ต้าซ่งยังจับมือแคว้นจินปราบเหลียวทำให้ตนและฮ่องเต้เทียนจั้วกลายเป็นศัตรูกัน ใต้เท้าหานไม่อาจขัดคำสั่งเสนาบดีไช่จิงจึงขอให้แม่ทัพหลิวเก๋อช่วยส่งทหารคอยคุ้มกันตนระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวง ด้วยเห็นว่าเส้นทางจากเซียงโจวไปยังเปี้ยนจิงเต็มไปด้วยอันตรายเพราะมีโจรชุกชุม แม่ทัพหลิวเก๋อจึงมอบหมายให้เยว่เฟย [งักฮุย] กับหวังกุ้ยเดินทางไปคุ้มกันใต้เท้าหาน 


ในขณะที่ "หลี่เซี่ยวเอ๋อร์" ไปไหว้พระขอพรที่วัด แม่ของเธอก็นำป้ายหยกคุ้มภัยมาให้พลางบอกให้เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี โดยบอกว่าพระอาจารย์เห็นเธอเป็นคนดีมีวาสนาเลยให้ตนนำมามอบให้ ขณะที่เธอกับแม่กำลังจะออกจากวัดได้มีทหารนอกรีตจำนวนหนึ่งหนีการจับกุมเข้ามาในวัดแล้วจับเธอกับสาวใช้ นามว่า "เสี่ยวฮุ่ย" เป็นตัวประกัน แม่ของเธอพยายามเข้าช่วยเหลือจึงถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม เมื่อใต้เท้าหานและผู้ติดตามผ่านมาที่วัดแล้วพบว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจึงหยุดสังเกตการณ์ หลังเยว่เฟย [งักฮุย] กับหวังกุ้ยรู้ว่าทหารหนีทัพจับหญิงสาวสองคนเป็นตัวประกันในห้องพระ แถมทหารต้นสังกัดที่ตรึงกำลังอยู่หน้าวัดยังคิดจับตายทหารหนีทัพโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวประกัน ทั้งคู่จึงไม่อาจนิ่งดูดาย เมื่อทหารทางด้านนอกเริ่มระดมยิงธนูเข้าไปในห้องพระ เยว่เฟย [งักฮุย] กับหวังกุ้ยก็รีบบุกเข้าไปช่วยสองสาวก่อนที่คนร้ายจะใช้พวกเธอเป็นโล่มนุษย์ ทั้งยังเล่นงานคนร้ายจนอยู่หมัด 

หลังสูญเสียมารดากระทันหัน เซี่ยวเอ๋อร์ก็คิดที่จะไปพึ่งพาญาติในเมืองหลวง ใต้เท้าหานรับปากว่าจะใช้เส้นสายจัดการขุนนางท้องถิ่นที่รักตัวกลัวตายแล้วปล่อยให้ทหารนอกรีตมาทำกร่างในเมืองจนเกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้า จากนั้นก็ชวนเธอร่วมเดินทางไปเมืองหลวงกับพวกตน เยว่เฟย [งักฮุย] นำทางใต้เท้าหานและผู้ติดตามจนมาถึงหุบเขา  จากนั้นก็บอกให้หวังกุ้ยรับผิดชอบเรื่องการตั้งค่ายพักแรม ส่วนตัวเขาจะออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบและเส้นทางเบื้องหน้า เมื่อเห็นโจรภูเขาสองคนคอยจับตาดูพวกตนอยู่ทางด้านบนเขาจึงสะกดรอยตามไปดูรังโจรบนยอดเขา



เมื่อลูกสมุนเข้ามารายงานเรื่องจำนวนเหยื่อที่เดินทางผ่านมา "จางเชา" (หัวหน้าโจรภูเขาแห่งล่วนเฉากัง) ก็ถามว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน พอรู้ว่าเหยื่อรายใหม่ของพวกตนกำลังจะปักหลักพักแรมบนเนินล่วนเฉากัง (ช่องสามเรียกว่า "เนินหญ้ารก") ซึ่งเป็นถิ่นของตน จางเชาก็อดชมไม่ได้ว่าเหยื่อของตนฉลาดในการเลือกทำเลเพราะบริเวณนั้นยากแก่การโจมตี จางเชาเห็นว่าไหนๆ เหยื่อรายใหม่ก็ไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือตนจึงบอกให้ลูกน้องเตรียมบุกปล้นในตอนเช้า เมื่อเยว่เฟย [งักฮุย] กลับมายังจุดพักแรมในตอนค่ำ ใต้เท้าหานก็เข้ามาถามว่าแถวนี้อันตรายไหม เยว่เฟย [งักฮุย] โกหกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง จากนั้นก็ลากหวังกุ้ยไปคุยตามลำพังและบอกว่าข้างหน้ามีกลุ่มโจรคอยดักปล้นจริงดังคาด พอรู้ว่ากลุ่มโจรมีประมาณ 30 คนหวังกุ้ยก็รู้สึกเป็นกังวลจึงเร่งให้ เยว่เฟย [งักฮุย] คิดหาวิธีรับมือ แต่เยว่เฟย [งักฮุย] กลับยังคงใจเย็นและทำเหมือนไม่มีอะไรน่าห่วง

เช้าวันรุ่งขึ้น จางเชาพาสมุนบุกไปยังจุดพักแรมของใต้เท้าหานและคณะ แต่กลับไม่พบใครทั้งที่กระโจมและม้ายังอยู่ พอเห็นว่าลูกน้องกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในกระโจมแล้วหายจ้อย ไม่มีใครกลับออกมา  จางเชาก็พาลูกน้องอีกกลุ่มตามเข้าไปดูทำให้รู้ว่าเป็นกับดัก เยว่เฟย [งักฮุย] ซึ่งยืนอยู่บนที่สูงแนะนำตัวก่อนประกาศว่าตนมีหน้าที่คุ้มกันใต้เท้าหานเข้าเมืองหลวงตามคำสั่งของทางการจึงขอร้องให้ช่วยเปิดทางให้ จางเชายืนกรานว่าถ้าไม่จ่ายค่าธรรมเนียมก็อย่าหวังว่าจะผ่านไปได้และสั่งให้ลูกน้องรุมสังหารเยว่เฟย [งักฮุย] ทันที ในเมื่อขอร้องกันดีๆ แล้วไม่ฟัง เยว่เฟย [งักฮุย] จึงสั่งสอนเหล่าโจรจนเจ็บหนักไปตามๆ กัน ทั้งยังเล่นงานจางเชาจนถึงกับฉี่ราด ใต้เท้าหานและเซี่ยวเอ๋อร์เห็นฝีมือเยว่เฟย [งักฮุย] แล้วก็รู้สึกชื่นชม



ณ จวนขององค์ชายเก้า "จ้าวโก้ว" ในเมืองเปี้ยนจิง... หลังองค์ชายเก้าถูกพระบิดาเรียกตัวเข้าวังอย่างกระทันหันเป็นครั้งแรก "สิงเฟย" (ชายาองค์ชายเก้า) ก็ช่วยองค์ชายแต่งตัวพลางเตือนให้สำรวมกิริยาวาจา องค์ชายเก้ารู้ดีว่าที่พระบิดาเรียกใช้ตนเป็นเพราะองค์ชายรัชทายาทเป็นไข้หวัด แต่สิงเฟยแย้งว่าที่ผ่านมาองค์ชายตั้งใจเรียนรู้ทั้งบุ๋นและบู๊ ฮ่องเต้เลยทรงยอมรับในที่สุดเพราะเห็นถึงความตั้งใจ ดังนั้นองค์ชายจึงต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าและทำหน้าที่ให้ดีที่สุด องค์ชายเก้ารู้สึกเห็นใจชายาที่ต้องพลอยลำบากไปกับตน (พระมารดาขององค์ชายไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ องค์ชายจึงไม่เป็นที่ยอมรับ) แต่สิงเฟยไม่กลัวความยากลำบากขอเพียงได้อยู่เคียงข้างองค์ชายเก้าเธอก็เป็นสุขใจ องค์ชายจึงสัญญาว่าสักวันจะทำให้เธอเป็นชายาอย่างสมเกียรติ

ในขณะที่ฮ่องเต้ฮุยจงกำลังชื่นชมก้อนหินขนาดยักษ์ที่เพิ่งถูกส่งเข้ามาในวัง ขันที "หยวนเหอ" ก็เข้ามาทูลว่าองค์ชายเก้ามาถึงแล้ว ปรากฏว่าฮ่องเต้จำชื่อโอรสของตนไม่ได้ หยวนเหอเลยต้องเตือนว่าองค์ชายเก้าชื่อจ้าวโก้ว ฮ่องเต้เห็นว่าทูตแคว้นจินใกล้มาถึงแล้วจึงกำชับองค์ชายให้พยายามเอาใจและทำตามข้อเรียกร้องของแคว้นจิน องค์ชายเก้าได้ยินดังนั้นก็อดห่วงไม่ได้ว่าถ้าพวกตนยอมก้มหัวให้แคว้นจินจะยิ่งได้ใจและเอาเปรียบพวกตน แต่ฮ่องเต้ไม่สนและกล่าวว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ต้องยอม พูดจบพระองค์ก็ชวนหยวนเหอเดินชมสวนหินโดยไม่สนใจองค์ชาย

เมื่อคณะของใต้เท้าหานเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ต้องหยุดรอและหลีกทางให้คณะทูตของแคว้นจินที่กำลังมุ่งหน้าเข้าประตูเมือง ใต้เท้าหานเห็นคณะทูตของแคว้นจินแล้วก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม เยว่เฟย [งักฮุย] นึกว่าคณะทูตจินมาที่นี่เพียงเพื่อหารือกับใต้เท้าหานเรื่องเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ต้าเหลียวให้ยอมจำนน พอรู้ว่าทูตแคว้นจินยังมาเพื่อรีดค่าไถ่ 16 เมืองที่ฮ่องเต้ซ่งทั้งในอดีตและปัจจุบันอยากได้คืนนักหนา เยว่เฟย [งักฮุย] ก็มีลางสังหรณ์ว่าสงครามระหว่างซ่งและจินคงปะทุขึ้นในไม่ช้า (ใต้เท้าหานบอกเขาว่าฮ่องเต้ซ่งใช้เงินมือเติบทำให้ตอนนี้ท้องพระคลังว่างเปล่า)



เมื่อคณะทูตแคว้นจินมาถึงเรือนรับรอง "หลิงเฟย" ซึ่งร่วมเดินทางมากับจางห่านและทั่วป๋าเยอูก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของช่างแกะสลักชาวซ่ง ทั้งยังตื่นตาตื่นใจในบรรยากาศและความหรูหราของสถานที่ จางห่านจึงเหน็บว่าซ่งอ่อนด้อยเรื่องการทำศึกเพราะมัวเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หลังองค์ชายเก้ากล่าวต้อนรับและนำดื่มสุราเพื่อเป็นเกียรติและเชื่อมไมตรี จางห่านก็ชมว่าสุราที่นี่รสชาติไม่เลว องค์ชายเก้าต้องการเอาใจจางห่านจึงเสนอให้เขานำสุราติดไม้ติดมือกลับไปด้วย เมื่อจางห่านขอสุราหนึ่งพันไห ขันที "คังหลี่ว์" จึงชี้ว่านี่คือสุราบรรณาการซึ่งปีหนึ่งๆ จะผลิตเพียง 200 ไหเท่านั้น ทั่วป๋าเยอูแย้งอย่างมีอารมณ์ว่าพวกตนใช้กำลังทหารเป็นจำนวนมากในการยึด 16 เมืองรวมเยี่ยนอวิ๋นคืนจากต้าเหลียว ถ้าไม่ยอมมอบสุราแล้วพวกตนจะเอาอะไรไปเป็นรางวัลให้เหล่าทหารกล้า องค์ชายเก้าไม่อยากให้เสียบรรยากาศจึงบอกให้คังหลี่ว์รีบออกไปจัดหาสุรามาให้คณะทูตแคว้นจิน



หลังถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ใต้เท้าหานก็บอกเยว่เฟย [งักฮุย] ว่าไม่ต้องรอตน เขามอบเงินให้เยว่เฟย [งักฮุย] กับหวังกุ้ยจำนวนหนึ่งแล้วบอกให้พาเซี่ยวเอ๋อร์ไปตามหาญาติ จากนั้นค่อยกลับมาหาตนก่อนตะวันตกดิน เมื่อวังป๋อเยี่ยนพาใต้เท้าหานเข้าไปในห้องรับรองคณะทูตองค์ชายเก้าก็รีบปรี่มาต้อนรับ ใต้เท้าหานคารวะจางห่านแต่จางห่านไม่แม้แต่จะชายตามอง พอรู้ว่าใต้เท้าหานคือคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้เทียนจั้วแห่งต้าเหลียวบนเขาเจียซาน จางห่านจึงตบโต๊ะด้วยความอัดอั้นแล้วสั่งให้ใต้เท้าหานไปบอกฮ่องเต้เทียนจั้วว่า ขนาดทหารเหลียวแปดแสนนายพวกตนยังปราบจนหมดสิ้น แล้วทหารแค่ไม่กี่พันคนบนเขาจะต้านทานได้อีกนานแค่ไหนกัน ถ้าไม่อยากตายอย่างทรมานก็จงวางอาวุธแล้วคุกเข่ายอมจำนน วังป๋อเยี่ยนเห็นจางห่านระเบิดอารมณ์แล้วชักเริ่มใจไม่ดี เขาจึงฝากความหวังไว้ที่ใต้เท้าหาน 

เมื่อถูกจางห่านคาดคั้นว่าจะขึ้นเขาเมื่อไหร่ ใต้เท้าหานก็เริ่มไอและบอกว่าโรคเก่าตนเพิ่งกำเริบเมื่อไม่นานมานี้ แถมระหว่างเดินทางมาที่นี่ตนยังเจอเรื่องที่ทำให้ตื่นตระหนกและขวัญหนีดีฝ่อหลายครั้ง นับว่ายังโชคดีที่มีคนคอยดูแลปกป้องเลยมาถึงอย่างราบรื่น หากดันทุรังขึ้นเขาเจียซานอีก เกรงว่ายังไม่ทันได้พบฮ่องเต้เทียนจั้วตนคงหมดลมเสียก่อน  "ฉินฮุ่ย" ซึ่งก้มหน้าก้มตาจดบันทึกการเจรจาอยู่ทางด้านหลังได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง

หวังกุ้ยเห็นร้านอาหารเลื่องชื่อของเมืองหลวงจึงชวนทุกคนแวะทาน แต่ยังไม่ทันเข้าไปในร้านก็พบชายสองคนจากแคว้นจินมากินเหล้าแล้วชักดาบ เมื่อเด็กในร้านวิ่งตามมาทวงค่าเหล้าก็โดนรุมทำร้าย เยว่เฟย [งักฮุย] จะเข้าไปช่วย แต่ "หนิวเกา" ชิงเข้าไปสั่งสอนชาวจินเสียก่อน พอเห็นว่าชาวจินคนหนึ่งกำลังจะใช้ไหเหล้าทุบศีรษะหนิวเกา เยว่เฟย [งักฮุย] จึงเข้าไปขวางไว้ ทั้งสองคนช่วยกันเล่นงานคนต่างแคว้นจนน่วม ชาวจินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหนีไป เยว่เฟย [งักฮุย] เห็นว่าหนิวเกาฝีมือดีจึงชวนมาเป็นทหาร หนิวเกาอยากเป็นทหารมานานจึงบอกว่าเสร็จธุระเรื่องแม่แล้วตนจะไปหาเยว่เฟย [งักฮุย] ที่ค่ายทหารในเหอเป่ย



จางห่านผิดหวังและโกรธมากเมื่อรู้ว่าราชวงศ์ซ่งหวังพึ่งพาคนแก่ขี้โรคให้ทำงานใหญ่ เขาโวยลั่นว่าพวกตนตกลงเป็นพันธมิตรหมายช่วยกันส่งทหารไปปราบต้าเหลียว แต่จนบัดนี้ซ่งยังยึดเหลียวไม่ได้สักเมืองเดียว พอขอให้ไปเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้เทียนจั้วแห่งต้าเหลียวกลับอ้างโน่นอ้างนี้แล้วจะเป็นพันธมิตรไปเพื่ออะไร เขาขู่ว่าจะแก้ไขสัญญาการเป็นพันธมิตรก่อนลุกหนีด้วยความโกรธ องค์ชายเก้ารีบวิ่งไปขวางแล้วขอร้องให้อยู่ต่อจากนั้นก็ให้คนขนของขวัญ (บรรณาการ) มามอบให้ หลิงเฟยเห็นทองและของประดับมีค่าเต็มหีบก็รู้สึกตื่นเต้น จางห่านแย้งว่าของพวกนี้แทบไม่มีความหมายเมื่อเทียบกับของที่อยู่ในวัง และกล่าวอย่างหมายมั่นว่าสักวันของทุกอย่างที่นี่จะตกอยู่ในมือพวกตน (เขาไม่รู้ว่าท้องพระคลังของราชวงศ์ซ่งเริ่มว่างเปล่า) พูดจบจางห่านก็เดินออกจากห้องทันที ทั่วป๋าเยอูจึงสั่งให้ลูกน้องขนของทั้งหมดกลับไปด้วย องค์ชายเก้าพูดไล่หลังอย่างเอาใจว่าตนจะจัดการเรื่องเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้เทียนจั้วให้ ก่อนมองตามจางห่านและคณะด้วยสีหน้าเจ็บแค้น

ใต้เท้าหานเห็นเซี่ยวเอ๋อร์และสาวใช้รอตนอยู่กับเยว่เฟย [งักฮุย] และหวังกุ้ยก็รู้สึกแปลกใจ พอรู้ว่าญาติของเซี่ยวเอ๋อร์ไปจากเมืองหลวงนานแล้วและไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหนใต้เท้าหานก็รู้สึกเห็นใจที่เธอกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร เขากล่าวว่าตนเคยทำงานในราชสำนักกับพ่อของเซี่ยวเอ๋อร์และรู้จักกันดีจึงชวนเธอกลับเซียงโจวพร้อมพวกตน



จางเชารู้สึกเจ็บแค้นที่โดนเยว่เฟย [งักฮุย] เล่นงานเลยขอให้ "จางย่ง" ช่วยหาคนฝีมือดีมาแก้แค้นแทนตน จางย่งแย้งว่าตนเคยเจอเยว่เฟย [งักฮุย] แล้ว เพลงทวนของเขาทั้งร้ายกาจและแม่นยำ ทุกกระบวนท่าหมายเล่นงานให้เจ็บหนักหรือพิการแต่ไม่ประสงค์เอาชีวิต ฝีมือเขานับว่าไม่ธรรมดาและหาคนต่อกรได้ยาก แต่ตนรู้จักคนหนึ่งที่ช่วยจางเชาได้  หลังรีดค่าจ้างจากจางเชาแล้ว จางย่งก็พาจางเชาไปที่ค่ายโจรของ "เฉาเฉิง"  หลังเล่าวีรกรรมของเยว่เฟย [งักฮุย] ให้เฉาเฉิงและพวกฟังแล้ว เขาก็ประกาศว่าจะมอบเงินทั้งหีบให้กับผู้กล้าที่อาสาไปเล่นงานเยว่เฟย [งักฮุย] ให้ตน "หยางไจ้ซิง" ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจด้านเพลงทวน มั่นใจว่าตนสามารถปราบเยว่เฟย [งักฮุย] ได้จึงอาสารับงานนี้

หลังได้รับรายงานเกี่ยวกับของล้ำค่าที่ราชวงศ์ซ่งมอบให้เป็นเครื่องบรรณาการ ฮ่องเต้จินไท่จงแห่งแคว้นจินก็รู้สึกหงุดหงิดที่มีแต่ของแบบเดิมๆ  จางห่านทูลว่าของเหล่านี้แม้จะมีค่าแต่ก็นับว่าเล็กน้อยมากสำหรับราชวงศ์ซ่ง ทั่วป๋าเยอูเสริมว่าตาแก่ "จ้าวจี" (ชื่อจริงของฮ่องเต้ซ่งฮุยจง)  บ้าสะสมหิน แค่ขนต้นไม้และหินจากซูโจวกับหังโจวมาแต่งสวนก็สังเวยชีวิตคนงานไปแล้วหลายพันคน ทั้งยังสิ้นเปลืองเงินเป็นจำนวนมหาศาล เขาเปรียบว่าแพะไม่ให้นมถ้าเราไม่บีบเค้น  พวกตนจึงต้องบีบซ่งเพื่อให้ได้นมเพิ่ม วิธีนี้จะทำให้พวกตนอิ่มท้องโดยถ้วนหน้า


ฮ่องเต้ไท่จงหันไปถามองค์ชายรอง "โว่หลีปู้" (หรือ "หวันเหยียนจงวั่ง" ซึ่งเป็นพระโอรสของปฐมจักรพรรดิจินไท่จู่) ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร เมื่อเห็นองค์ชายรองได้แต่ยิ้ม จางห่านจึงเร่งให้พูดมา องค์ชายรองจึงบอกจางห่านว่าถึงแม้พวกตนจะชนะเหลียว แต่ก็ใช่ว่าจะปราบซ่งได้เช่นกัน ชนเผ่าหนี่ว์เจินอย่างพวกตนเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีประชากรไม่มาก ผืนแผ่นดินก็แห้งแล้งไม่อุดมสมบูรณ์ แถมสงครามครั้งล่าสุดยังทำให้พวกตนบอบช้ำและเสียกำลังไปไม่น้อย แม้ซ่งจะมีศึกนอกศึกในมากมาย แต่นับจากราชวงศ์ฮั่นและถังเป็นต้นมา พวกเขาก็ปกครองดินแดนที่ราบภาคกลาง (หรือ "จงหยวน" ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของชาวฮั่น) มาโดยตลอด ที่สำคัญวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของราชวงศ์ซ่ง (ซึ่งเป็นชาวฮั่น) ได้รับการถ่ายทอดและปลูกฝังมาช้านานจึงประมาทไม่ได้ เขาชี้ว่าสมัยก่อนฮ่องเต้ต้าเหลียวก็เคยทำศึกกับซ่ง ถึงจะยึดเมืองหลวงได้แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตายบนแผ่นดินตัวเอง สรุปก็คือควรหาหญ้าให้เหมาะสมกับจำนวนแพะ (อย่าโลภหรือคิดการใหญ่จนเกินกำลัง) เรื่องง่ายๆ แค่นี้แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังรู้

จางห่านได้ยินดังนั้นก็โวยลั่นด้วยความโกรธ ฮ่องเต้จึงตัดบทด้วยการบอกว่าที่ชาวหนี่ว์เจินอย่างพวกตนสามารถแข็งข้อและยึดดินแดนต้าเหลียวได้สำเร็จ (ชนเผ่าหนี่ว์เจินเคยอยู่ภายใต้เหลียว) เป็นเพราะพวกตนมีน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหลียวหรือซ่งก็คงจับแพะทั้งหมดของพวกเรามากินได้ไม่ยาก หลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็ขอเวลาพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน หลังนึกขึ้นได้ว่าพวกตนกำลังหารือเรื่องการทหารแต่กลับไม่เห็นองค์ชายสี่ "จินอู้จู"  (หรือ "หวันเหยียนจงปี้" พระโอรสองค์ที่สี่ของปฐมจักรพรรดิจินไท่จู่) ฮ่องเต้ไท่จงจึงบอกให้จางห่านไปตามองค์ชายสี่มาพบตน เพราะตนอยากฟังความเห็นในเรื่องนี้


ที่แท้องค์ชายสี่ออกไปล่ากวางเพื่อนำศีรษะมาถวายฮ่องเต้ เมื่อถูกถามว่าหลังปราบต้าเหลียวได้แล้ว เป้าหมายต่อไปควรเป็นซ่งหรือไม่ องค์ชายสี่ก็ทูลว่าตอนนี้ราชวงศ์ซ่งมีฮ่องเต้และราชสำนักที่อ่อนแอ แล้วพวกตนจะมัวชักช้าอยู่ใย ฮ่องเต้ยอมรับตามตรงว่าตนกลัวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และทำให้ราชวงศ์ล่มสลาย องค์ชายสี่จึงทูลว่าแค่ได้ 16 เมืองรวมเยี่ยนอวิ๋นคืนราชวงศ์ซ่งก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว ไว้พวกตนจะลองหาข้ออ้างในการโจมตีซ่งดูสักครั้งเพื่อประเมินท่าที

หลังกลับถึงจวนโจวจินถัง (จวนเจ้าเมือง) ในเมืองเซียงโจว ใต้เท้าหานก็บอกให้เซี่ยวเอ๋อร์พักอยู่กับตนในฐานะลูกสาวเพราะตนไม่มีลูก เมื่อจางย่งแอบมาดูลาดเลาที่จวนใต้เท้าหานแล้วเห็นว่าเยว่เฟย [งักฮุย] กับหวังกุ้ยยังไม่กลับเข้าค่ายทหารก็รู้สึกตกใจ ที่แท้ใต้เท้าหานยังไม่ยอมให้เยว่เฟย [งักฮุย] กลับเพราะอยากเลี้ยงอาหารค่ำและตบรางวัลเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยปกป้องตน อยู่ๆ ก็มีคนยิงธนูพร้อมข้อความเข้ามาในจวนใต้เท้าหานเพื่อเตือนว่าจางเชากับหยางไจ้ซิงจะมาบุกปล้นที่นี่ เยว่เฟย [งักฮุย] บอกให้หวังกุ้ยรีบกลับค่ายเพื่อขอกำลังเสริมจากแม่ทัพหลิวเก๋อส่วนตนจะเตรียมตั้งรับพวกโจร ปรากฏว่าระหว่างทางมีคนร้ายกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางหวังกุ้ย จางย่ง (ซึ่งใช้ผ้าดำอำพรางใบหน้า) จึงช่วยจัดการคนร้ายและเตือนให้หวังกุ้ยรีบเดินทางต่อ


เยว่เฟย [งักฮุย] เห็นข้อความในจดหมายก็จำได้ว่าเป็นลายมือของจินย่ง เพราะเมื่อก่อนตัวเขา จินย่ง หวังกุ้ย และเยว่เสียง (น้องชายเยว่เฟย) เคยสาบานเป็นพี่น้องกัน เมื่อหวังกุ้ยเดินทางมาถึงค่ายทหารของแม่ทัพหลิวเก๋อก็พบว่าหนิวเกามาเป็นทหารตามที่รับปากพวกตนไว้จริงๆ  แม่ทัพหลิวเก๋อโกรธมากเมื่อรู้ว่าจางเชาเหิมเกริมถึงขั้นตามมาปล้นที่จวนใต้เท้าหานหลังพยายามปล้นครั้งหนึ่งแล้วไม่สำเร็จ แต่ที่เขาห่วงคือการรับมือกับหยางไจ้ซิง เพราะหยางไจ้ซิงเป็นนักรบที่เก่งกาจของเฉาเฉิง ครั้งหนึ่งเฉาเฉิงเคยนำกองกำลังไปบุกปล้นสะดมแถบหลินอัน ในตอนนั้นหยางไจ้ซิงเป็นทัพหน้าบุกเดี่ยวเข้าไปแดนศัตรูโดยมีทวนเป็นอาวุธ ไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็ยึดได้ถึงสองเมืองจนมีชื่อเสียงเลื่องลือในที่สุด  แม่ทัพหลิวเก๋อเกรงว่าจะไม่ทันการจึงสั่งให้หวังกุ้ยกับหนิวเกานำกำลังทหารสองพันนายไปที่จวนใต้เท้าหานกับตน

จางเชา หยางไจ้ซิง และจางย่ง นำกำลัง (โจร) ราวหนึ่งพันนาย มาประชิดที่หน้าจวนใต้เท้าหาน จางเชาบอกให้ใต้เท้าหานส่งเงินและเยว่เฟย [งักฮุย] มาให้ตนแต่โดยดี  หลังขึ้นไปสังเกตการณ์บนป้อม เยว่เฟย [งักฮุย] ก็บอกใต้เท้าหานว่าตนจะออกไปรับมือพวกโจรตามลำพังเพื่อถ่วงเวลา ทั้งยังกำชับทุกคนในจวนว่าห้ามออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด เมื่อหยางไจ้ซิงเห็นเยว่เฟย [งักฮุย] ขี่ม้าออกมาจากจวน เขาจึงตรงเข้าไปท้าประลองโดยลั่นวาจาว่าหากเยว่เฟย [งักฮุย] เอาชนะตนได้ ตนสัญญาว่าเขาจะปลอดภัย เยว่เฟย [งักฮุย] กล่าวว่าหากตนแพ้ยินดีแลกชีวิตของตนกับคนในจวน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มต่อสู้กัน


ในที่สุดเยว่เฟย [งักฮุย] ก็เป็นฝ่ายชนะ หยางไจ้ซิงยอมรับความพ่ายแพ้และบอกให้เยว่เฟย [งักฮุย] สังหารตน เยว่เฟย [งักฮุย] เห็นว่าหยางไจ้ซิงเป็นลูกผู้ชายที่ยึดมั่นในสัจจะจึงไม่คิดสังหาร จางเชาเห็นหยางไจ้ซิงเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจึงสั่งให้สมุนโจรของตนรุมเล่นงานเยว่เฟย [งักฮุย] โดยนำเงินรางวัลมาล่อ แต่สุดท้ายทุกคนรวมทั้งจางเชาก็ถูกหยางไจ้ซิงสังหารโดยที่เยว่เฟย [งักฮุย] ไม่ทันได้ลงมือ (หยางไจ้ซิงทำตามสัญญา) เมื่อแม่ทัพหลิวเก๋อนำกำลังทหารมาถึง เยว่เฟย [งักฮุย] ก็ขอให้ละเว้นหยางไจ้ซิงโดยบอกว่าพวกตนทำสัญญาลูกผู้ชายว่าจะใช้การประลองตัดสินแพ้ชนะ หยางไจ้ซิงเป็นคนมีสัจจะและไม่คิดหักหลังตนทั้งที่นำกำลังมาด้วยมากมาย จึงสมควรให้โอกาสเขาได้กลับเนื้อกลับตัว เมื่อแม่ทัพหลิวเก๋อยอมทำตามคำขอ หยางไจ้ซิงจึงบอกเยว่เฟย [งักฮุย] ว่าวันนี้ตนยอมรับพ่ายแพ้ แต่คราวหน้าตนจะมาแก้มือใหม่

จางย่งแอบฉวยหีบใส่เงินของจางเชาแล้วรีบปลีกตัวไปอีกทางแต่ถูกหวังกุ้ยจับได้เสียก่อน เขาไม่อยากให้เยว่เฟย [งักฮุย] รู้ว่าตนมามั่วสุมอยู่กับพวกโจรเลยขอให้หวังกุ้ยลดเสียงลง พอโดนหวังกุ้ยตำหนิที่หายไปหนึ่งปีแล้วริอ่านเป็นโจร จางย่งก็ออกตัวว่าตนเป็นโจรที่มีคุณธรรมและเป็นคนช่วยชีวิตหวังกุ้ยเอาไว้ตอนที่อยู่ในป่าเมื่อคืน หวังกุ้ยบอกให้จางย่งเลิกเป็นโจรแล้วมาช่วยเยว่เฟย [งักฮุย] กอบกู้บ้านเมือง แต่จางย่งยังมีเรื่องมากมายต้องสะสางเพราะหยางไจ้ซิงเพิ่งสังหารจางเชา หวังกุ้ยจึงบอกว่าตนกับเยว่เฟย [งักฮุย] จะรอวันที่เขากลับมา



หลังเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ใต้เท้าหานก็เชิญแม่ทัพหลิวเก๋อและเยว่เฟย [งักฮุย] มาร่ำสุราพลางต่อบทกวีคลอเคล้าเสียงดนตรีที่บรรเลงโดยเซี่ยวเอ๋อร์ ใต้เท้าหานและเซี่ยวเอ๋อร์ได้ฟังเยว่เฟย [งักฮุย] ร่ายบทกวีก็ต่างรู้สึกชื่นชมที่เขาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทันใดนั้น ใต้เท้าหานก็ได้รับรายงานว่ามีคนจากอำเภอทางอิงมารออยู่ทางด้านนอกและบอกว่าเป็นแม่ของเยว่เฟย [งักฮุย]  เยว่เฟย [งักฮุย] ได้ยินดังนั้นก็ทั้งดีใจและประหลาดใจจึงรีบวิ่งออกไปคุกเข่าต่อหน้า "เยว่เหยา" ผู้เป็นแม่ "เยว่เสียง" (น้องชาย) เล่าว่าแม่น้ำหวงโหไหลทะลักเข้าท่วมหมู่บ้านของพวกตนจนบ้านหายไปทั้งหลัง พอได้ยินว่าเยว่เฟย [งักฮุย] อยู่ที่นี่ ตนกับแม่และหลานๆ จึงดั้นด้นมาหาด้วยความยากลำบาก พอรู้ว่าแม่ไม่สบายมาหลายวันแล้วแต่ไม่มีเงินไปหาหมอ เยว่เฟย [งักฮุย] ก็ร่ำไห้และรู้สึกผิด ครั้นพอเห็นหน้าลูกตัวน้อย "เยว่อวิ๋น" [งักฮุง] (ลูกชายคนโต) กับ "เยว่อันเหนียง" [งักอางเนี้ย] (ลูกสาว) เยว่เฟย [งักฮุย] ก็ยิ้มออก แต่เนื่องจากอันเหนียงไม่คุ้นเคยกับพ่อ (ตอนเธอเกิดพ่อก็ไปเป็นทหารแล้ว) เธอจึงไม่ยอมเข้าหาเยว่เฟย [งักฮุย] 

ใต้เท้าหานดูแลต้อนรับครอบครัวเยว่เฟย [งักฮุย] เป็นอย่างดี ทั้งยังให้คนต้มยามาให้เยว่เหยาดื่ม พอเห็นว่าเยว่เฟย [งักฮุย] เป็นลูกกตัญญูเขาก็ยิ่งรู้สึกประทับใจ เยว่เฟย [งักฮุย] ถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเห็นว่าแม่อุตส่าห์หยิบมันฮ่อ (วอลนัท) ซึ่งเป็นของโปรดของตนหนีน้ำท่วมออกมาด้วย ทั้งยังเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี พอรู้ว่าอาจารย์ "โจวต้ง" เสียชีวิตแล้วเยว่เฟย [งักฮุย] ก็รู้สึกตกใจ ก่อนสิ้นใจอาจารย์โจวต้งฝากจดหมายไว้ให้เยว่เฟย [งักฮุย] หนึ่งฉบับ เนื้อหาในจดหมายระบุว่า ที่ผ่านมาตนเคยฝึกทหารนับแปดแสนนายแต่ไม่มีใครเทียบเยว่เฟย [งักฮุย] ได้ เพราะเขามีทักษะอันยอดเยี่ยม ทั้งยังแข็งแกร่งเกินใคร เรียนรู้ได้เร็ว ความจำดี มีหัวคิดจึงสามารถคิดแผนการต่างๆ ได้อย่างแยบยล แต่เขามักทะนงตนและเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป ทำให้มักมีเรื่องกับผู้อื่นโดยปราศจากความยั้งคิด ทั้งยังมีทิฐิดื้อรั้น ยอมหักไม่ยอมงอ และไม่ฟังคำแนะนำของใคร ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายและอาจเป็นได้ทั้งจุดแข็งจุดอ่อน แต่ถ้าอยากก้าวหน้าโดยไม่ยอมฟังใครก็จะพบอุปสรรคมากมายรออยู่ตรงหน้า อาจารย์ยังให้ข้อคิดด้วยว่านกที่ไม่กล้าโบยบินข้ามเขาสูงจะติดอยู่ท่ามกลางขุนเขาตลอดไป  และศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดหาใช่กองทัพนับพันนับหมื่นของข้าศึกแต่เป็นตัวเราเอง

เนื่องจากเยว่เฟย [งักฮุย] ต้องสร้างบ้านใหม่และดูแลสุขภาพแม่ เขาจึงไม่อาจกลับค่ายทหารพร้อมแม่ทัพหลิวเก๋อ หวังกุ้ย และหนิวเกาได้ ถึงกระนั้นเขาก็สัญญากับทุกคนว่าจะรีบกลับไปช่วยปกป้องและกอบกู้บ้านเมือง



จางห่านเห็นจินอู้จูกับหลิงเฟยกำลังพรอดรักกันในป่าจึงเข้ามาขวางด้วยความโกรธ หลังจากนั้นสองหนุ่มก็เริ่มต่อสู้กัน (จินอู้จูมีกำลังเหนือกว่าแต่ไม่อยากสู้) จางห่านเกรงว่าจินอู้จูจะเห็นหลิงเฟย (ซึ่งตนรักดุจและดูแลน้องสาว) เป็นของเล่น แต่จินอู้จูยืนยันว่าตนรักจริงหวังแต่งและจะดูแลหลิงเฟยเป็นอย่างดี นอกจากหลิงเฟยแล้วตนจะไม่แต่งงานกับใคร หากหลิงเฟยมาอยู่เคียงข้างตน ตนจะทนุถนอมและไม่ทำให้เธอร้องให้จึงขอให้จางห่านส่งเสริมพวกตน จางห่านถือคำพูดของจินอู้จูเป็นคำมั่นและบอกว่าตนยังมีเงื่อนไขอีกข้อ เขากล่าวว่าฮ่องเต้อนุญาตให้ตนฝึกทหารเพื่อเตรียมบุกซ่งแล้ว เมื่อถึงวันนั้นจินอู้จูจะต้องมาเป็นรองแม่ทัพและช่วยตนขยายดินแดน หลังจินอู้จูรับปากทั้งเรื่องดูแลหลิงเฟยและเรื่องรบกับซ่ง จางห่านจึงอนุญาตให้ทั้งคู่แต่งงานกัน



เยว่เหยาเห็นว่าบ้านเกิดของตนเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ แถมลูกสะใภ้ยังทิ้งลูกสองคนเอาไว้แล้วหนีไปทำให้เด็กๆ ไม่มีคนดูแล ส่วนตนก็แก่ลงทุกวัน จึงคิดหาภรรยาใหม่ให้เยว่เฟย [งักฮุย] เธอเห็นเซี่ยวเอ๋อร์แล้วถูกใจจึงคิดทำตัวเป็นแม่สื่อให้ทั้งคู่ ไม่นึกว่าใต้เท้าหานเองก็อยากได้เยว่เฟย [งักฮุย] เป็นลูกเขยเช่นกัน ทั้งคู่จึงร่วมมือกันหว่านล้อมคนของตน ปรากฏว่าเซี่ยวเอ๋อร์ไม่ขัดข้องแม้รู้ดีว่าถ้าแต่งงานกับเยว่เฟย [งักฮุย] แล้วเขาจะไม่ได้อยู่ดูแลเธอ แถมเธอยังต้องรับภาระในการดูแลแม่และลูกๆ ของเยว่เฟย [งักฮุย] อีกด้วย ความจริงแล้วเยว่เฟย [งักฮุย] เองก็มีใจให้เซี่ยวเอ๋อร์แต่เขาไม่อยากให้เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาและต้องรับภาระในการดูแลครอบครัวของตนจึงปฏิเสธเสียงแข็งว่ายังไม่อยากแต่งงานใหม่ ครั้นโดนแม่หว่านล้อมและกดดันมากๆ เข้าเขาจึงยอมตอบตกลง 

* เนื้อหาโดย luvasianseries  





นักแสดง

ครอบครัวเยว่เฟย [งักฮุย] 


 

หวงเสี่ยวหมิง
รับบท เยว่เฟย [งักฮุย]
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)


 

เจิ้งเพ่ยเพ่ย
รับบท เยว่เหยา (มารดาเยว่เฟย [งักฮุย])
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หลินซินหยู
รับบท หลี่เซี่ยวเอ๋อร์ (ภรรยาเยว่เฟย [งักฮุย])
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้ผลิตละคร ชาวไต้หวัน)


 

หยางเจิ้ง
รับบท เยว่เสียง (น้องชายเยว่เฟย [งักฮุย])
(นักแสดง ชาวจีน)


 

โจวปิน
รับบท เยว่อวิ๋น (บุตรชายคนโตของเยว่เฟย [งักฮุย])
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จางจื่อซี
รับบท เยว่อันเหนียง (ลูกสาวของเยว่เฟย [งักฮุย])
(นักแสดง ชาวจีน)


คนใกล้ชิดและลูกน้องของเยว่เฟย [งักฮุย]



 

อู๋ซิ่วโป
รับบท เกาฉ่ง
(นักแสดง / นักร้อง / นักเขียนบท ชาวจีน)


 

หลิวซือซือ
รับบท เกาหยาง  (ภรรยาเกาฉ่ง)
(นักแสดง ชาวจีน)


 

อวี๋หรงกวง
รับบท โจวต้ง (อาจารย์เยว่เฟย [งักฮุย])
(นักแสดง / ผู้กำกับ ชาวจีน)


 

คังข่าย
รับบท หนิวเกา
(นักแสดง ชาวจีน)


 

หวังไห่เสียง
รับบท หยางไจ้ซิง
(นักแสดง ชาวจีน)


 

ชุยหลิน
รับบท จางเซี่ยน
(นักแสดง ชาวจีน)


 

เหยียนเยี่ยนหลง
รับบท หวังกุ้ย
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จางอวิ๋น
รับบท ฟู่ชิ่ง
(นักแสดง / ผู้กำกับ ชาวจีน)


 

หวังจวี
รับบท จางย่ง
(นักแสดง ชาวฮ่องกง)


 

เส้าปิง
รับบท หานซื่อจง
(นักแสดง ชาวจีน)


 

จางซินอวี่
รับบท เหลียงหงอวี้ (ภรรยาหานซื่อจง)
(นักแสดง / นักร้อง / นางแบบ ชาวจีน)


 

จางเจียหนี
รับบท อู๋ซู่ซู่
(นักแสดง / นักร้อง / นางแบบ / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)


ราชวงศ์ซ่ง [ซ้อง]

 

ติงจื่อจวิ้น (อัลเลน ติง)
รับบท จ้าวโก้ว / องค์ชายเก้า (จักรพรรดิซ่งเกาจง)
(นักแสดง / นักร้อง ชาวฮ่องกง)

ซ่งเกาจง เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ซ่ง และปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ *


 

หลอเจียเหลียง
รับบท ฉินฮุ่ย
(นักแสดง / นักร้อง ชาวฮ่องกง)


 

หวังโอว
รับบท จ้าวเสี่ยวหม่าน
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)

ราชวงศ์จิน [กิม]

 

ยู ซึงจุน (สตีฟ ยู / หลิวเฉิงจวิ้น)
รับบท จินอู้จู (หวันเหยียนจงปี้)
(นักร้อง / นักเต้น / นายแบบ ชาวเกาหลีใต้)


 

อันเจ๋อหาว
รับบท ฮาหมีชือ
(นักแสดง ชาวจีน)


 

อู๋จั๋วฮั่น
รับบท จางห่าน (หวันเหยียนจงห่าน)
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)


 

เจียงเจิ้งหยาง
รับบท หลิงเฟย (ชายาจินอู้จู)
(นักแสดง ชาวจีน)


อื่นๆ

 

หลิวหลานฟาง
รับบท นักเล่านิทาน
(นักเล่าเรื่องชื่อดัง ชาวจีน)


 

หวังจื่อเซวียน
รับบท อูซือหม่า (หญิงสาวจากอาณาจักรซีเซี่ย (เซี่ยตะวันตก) / ภรรยาจางย่ง)
(นักแสดง ชาวจีน)







*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

1 ความคิดเห็น:

  1. อ้วนง้วนอั้งเลียกได้เปาเสว่รั่วไปตอนนี้แหละ พอเยว่เฟยตายก็มีเรื่องมังกรหยก
    หลีเพ้งหนีตายไปอยู่กับค่ายของพวกเหมิงกู่ แต่ทำไม ฉินฮุ่ยถึงตายดีแล้วมีคนอวยยศให้ มันคือความอยุติธรรม ที่คนจีนยุคนี้ก่นด่าสาปแช่ง โดยเฉพาะประธานเหมา ชี้นำให้คนจีนสาปแช่งคนที่ทำให้เยว่เฟยตาย

    ตอบลบ

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา