กำกับ: จื้อเหล่ย
เขียนบท: อันอี่โม่
แนวละคร: อิงตำนาน, โรแมนติก, แฟนตาซี
จำนวนตอน: 36
ออกอากาศ: จีน - 3 เมษายน 2562 ทางเว็บไซต์อ้ายฉีอี้ (iQiyi)
ไทย - ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.35 น. ทางช่องโมโน29 ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 - 25 ธันวาคม 2562
เรื่องย่อ
เรื่องย่อ
ละคร "ตำนานรักนางพญางูขาว" (The Legend of White Snake) ดัดแปลงจากละครไต้หวันปี 1992 เรื่อง "นางพญางูขาว" (New Legend of Madame White Snake) (นำแสดงโดย จ้าวหย่าจือ และเยี่ยถง) เนื้อหากล่าวถึงตำนานความรักอันลึกซึ้งและมั่นคงระหว่างปีศาจงูขาว "ไป๋ซู่เจิน" กับหมอหนุ่มนามว่า "สวี่เซียน" (ชื่อเดิม "ฮั่นเหวิน")
"ไป๋ซู่เจิน" เป็นงูขาวที่บำเพ็ญตบะตามแนวทางของลัทธิเต๋าบนเขาเอ๋อเหมย* นานนับพันปี หลังจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้วเธอจึงไปฝึกตน (หมายบรรลุเป็นเซียน) ยังเมืองมนุษย์ตามที่พระโพธิสัตว์กวนอิมชี้แนะ และได้พบหมอหนุ่มนามว่า "สวี่เซียน" ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "เสี่ยวฮั่วโถว (ฮัวโต๋หนุ่ม) แห่งเมืองหลินอัน" เธอเข้าใจผิดคิดว่าสวี่เซียนคือหมอลวงโลกที่อ้างตัวเป็นฮั่วโถว (หมอเทวดาฮัวโต๋) จึงคิดเปิดโปงและสั่งสอนสวี่เซียน เธอกับสวี่เซียนพนันกันว่าใครจะรักษามารดาของเด็กชายที่ชื่อ "ฉางเซิง" ได้ก่อน หลังรู้ว่ามารดาฉางเซิงโดนพิษปีศาจงูที่วัดเจ้าแม่หนี่วา ซู่เจินจึงไปหาปีศาจงูตนดังกล่าวเพื่อขอยาถอนพิษและพบว่าปีศาจตนดังกล่าวคืองูเขียวหนุ่มอายุ 500 ปี (งูตัวนี้ชอบซู่เจิน) ภายหลังงูตัวดังกล่าวได้จำแลงกายเป็นสตรีแล้วสาบานเป็นพี่น้องกับซู่เจินโดยใช้ชื่อว่า "เสี่ยวชิง" (แท้จริงแล้วเสี่ยวชิงเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจ เธอเป็นธิดาลับๆ ของ "เจ้ามังกร" แห่งตงไห่ (ทะเลบูรพา) จึงมีสี่เทพตงไห่เป็นผู้ติดตาม)
* เขาเอ๋อเหมย (เขาง้อไบ๊) เป็นหนึ่งในสี่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของจีน
* เขาเอ๋อเหมย (เขาง้อไบ๊) เป็นหนึ่งในสี่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของจีน
หลังปีศาจร้ายออกอาละวาดและมีเด็กหายหลายรายในเมืองหลินอัน ภิกษุ "ฝาไห่" จากวัดจินซานซึ่งได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้เดินทางมาจับปีศาจร้าย เกิดเข้าใจผิดคิดว่าซู่เจินกับเสี่ยวชิงเป็นปีศาจชั่วร้ายจึงตามไล่ล่าทั้งคู่ เขาเชื่อว่าถึงยังไงปีศาจก็คือปีศาจ ขึ้นชื่อว่าปีศาจย่อมชั่วร้ายและไม่มีดี จึงต้องกำจัดออกจากโลกมนุษย์เพราะโลกมนุษย์ไม่ใช่ที่ของปีศาจ แต่หลังจากสองสาวช่วยปราบปีศาจร้าย ฝาไห่จึงเริ่มเรียนรู้ว่าปีศาจไม่ได้ชั่วร้ายเสมอไป ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจจึงคอยจับตาดูทั้งคู่ ครั้นรู้ว่าซู่เจินกับสวี่เซียนรักกัน ปีศาจหนู "จิ่งซง" ซึ่งมีใจให้ซู่เจินมานาน กับ "จินหรูอี้" ซึ่งหลงรักสวี่เซียนข้างเดียว จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางและแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่ทว่า 'สวี่ไป๋' (สวี่เซียน+ไป๋ซู่เจิน) ยังคงรักมั่นและแต่งงานกันในที่สุด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เปิดโรงหมอ "เป่าเหอถัง"
ในเทศกาลตวนอู่ (เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง) ซู่เจินดื่มเหล้า 'สยงหวง' ซึ่งมีส่วนผสมของกำมะถันโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอจึงกลับคืนร่างเดิม สวี่เซียนเห็นดังนั้นก็ถึงกับช็อค (เพราะนึกว่าซู่เจินถูกงูกิน) และเสียชีวิตในที่สุด ซู่เจินหัวใจแตกสลาย เธอตัดสินใจเดินทางไปยังเขาคุนหลุนหมายขโมยหญ้าเซียนมาชุบชีวิตสวี่เซียน กว่าจะได้มาเธอต้องเผชิญกับยากลำบากเพราะเป็นการทำผิดกฏสวรรค์ แต่หลังฟื้นคืนชีพสวี่เซียนกลับลืมเรื่องราวความรักระหว่างตนกับซู่เจินจนหมดสิ้น ทั้งยังปวดหัวหนักทุกครั้งที่พบหน้าซู่เจิน หรูอี้จึงสบโอกาสแทรกกลางระหว่างทั้งคู่โดยใช้ "สวี่เจียวหรง" (พี่สาวสวี่เซียน) เป็นเครื่องมือ และเกือบเข้าพิธีแต่งงานกับสวี่เซียน แต่ความทรงจำทั้งหมดของสวี่เซียนกลับคืนมาเสียก่อน
หลังจากนั้นสวี่ไป๋ก็กลับมาครองคู่กันอีกครั้ง แต่ทว่าอุปสรรคแห่งรักของทั้งคู่ยังไม่หมดสิ้น เพราะหรูอี้ไม่ยอมวางมือซ้ำยังถลำลึกลงไปเรื่อยๆ และทำเรื่องโหดเหี้ยมเลวร้ายไม่ต่างจากปีศาจ ถึงกระนั้นสวี่ไป๋ก็พร้อมทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องช่วยเหลืออีกฝ่าย หลังให้กำเนิดบุตรชายซู่เจินได้ถูกจองจำในเจดีย์เหลยเฟิงเพราะก่อกรรมหนัก สุดท้ายแล้วทั้งคู่จะเอาชนะอุปสรรคขวากหนามและกลับมาครองคู่กันได้หรือไม่ ตามลุ้นกันได้ใน "ตำนานรักนางพญางูขาว" (The Legend of White Snake) ทางช่องโมโน29
ในเทศกาลตวนอู่ (เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง) ซู่เจินดื่มเหล้า 'สยงหวง' ซึ่งมีส่วนผสมของกำมะถันโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอจึงกลับคืนร่างเดิม สวี่เซียนเห็นดังนั้นก็ถึงกับช็อค (เพราะนึกว่าซู่เจินถูกงูกิน) และเสียชีวิตในที่สุด ซู่เจินหัวใจแตกสลาย เธอตัดสินใจเดินทางไปยังเขาคุนหลุนหมายขโมยหญ้าเซียนมาชุบชีวิตสวี่เซียน กว่าจะได้มาเธอต้องเผชิญกับยากลำบากเพราะเป็นการทำผิดกฏสวรรค์ แต่หลังฟื้นคืนชีพสวี่เซียนกลับลืมเรื่องราวความรักระหว่างตนกับซู่เจินจนหมดสิ้น ทั้งยังปวดหัวหนักทุกครั้งที่พบหน้าซู่เจิน หรูอี้จึงสบโอกาสแทรกกลางระหว่างทั้งคู่โดยใช้ "สวี่เจียวหรง" (พี่สาวสวี่เซียน) เป็นเครื่องมือ และเกือบเข้าพิธีแต่งงานกับสวี่เซียน แต่ความทรงจำทั้งหมดของสวี่เซียนกลับคืนมาเสียก่อน
หลังจากนั้นสวี่ไป๋ก็กลับมาครองคู่กันอีกครั้ง แต่ทว่าอุปสรรคแห่งรักของทั้งคู่ยังไม่หมดสิ้น เพราะหรูอี้ไม่ยอมวางมือซ้ำยังถลำลึกลงไปเรื่อยๆ และทำเรื่องโหดเหี้ยมเลวร้ายไม่ต่างจากปีศาจ ถึงกระนั้นสวี่ไป๋ก็พร้อมทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องช่วยเหลืออีกฝ่าย หลังให้กำเนิดบุตรชายซู่เจินได้ถูกจองจำในเจดีย์เหลยเฟิงเพราะก่อกรรมหนัก สุดท้ายแล้วทั้งคู่จะเอาชนะอุปสรรคขวากหนามและกลับมาครองคู่กันได้หรือไม่ ตามลุ้นกันได้ใน "ตำนานรักนางพญางูขาว" (The Legend of White Snake) ทางช่องโมโน29
เนื้อหาตอนที่หนึ่ง
หลังมาที่ตลาดในเมืองหลินอันแล้วพบว่าการแต่งกายของตนมีความโดดเด่นแตกต่างจากหญิงสาวโดยทั่วไป ซู่เจินจึงใช้อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองใหม่เพื่อให้กลมกลืน และไม่ลืมที่จะเด็ดดอกไม้มาประดับผม ในเวลาเดียวกันนั้น สวี่เซียนกำลังตั้งโต๊ะรับตรวจโรค แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ถูกคนของเสินหนงถัง (โรงหมอเสินหนง) ประณามว่าโก่งราคาค่ารักษา (สวี่เซียนคิดค่าตรวจสูงถึงครั้งละหนึ่งตำลึงเงิน) ซ้ำยังบังอาจเข้ามาหากินในถิ่นตน ครั้นเห็นว่าสวี่เซียนไม่ยอมถอยแต่โดยดีชายคนดังกล่าวจึงคิดใช้กำลังสั่งสอน แต่เขากลับถูกสวี่เซียนล็อคแขนอย่างง่ายดาย ชายคนดังกล่าวคิดว่าสวี่เซียนมีวิทยายุทธ สวี่เซียนปฏิเสธก่อนชี้ว่าชีพจรของชายคนดังกล่าวเต้นไม่สม่ำเสมอและความร้อนในร่างกายไม่สมดุล เช่นนี้แล้วแม้แต่เด็กยังล้มเขาได้อย่างง่ายดาย
สวี่เซียนถามชายคนดังกล่าวว่าร่างกายส่วนบนของเขาร้อนขณะที่ส่วนล่างเย็น ซ้ำขายังบวมและมีอาการแน่นหน้าอกใช่หรือไม่ ชายคนดังกล่าวสงสัยว่าสวี่เซียนรู้ได้อย่างไร เขาไม่เชื่อว่าตัวเองกำลังป่วยเพราะเถ้าแก่เคยบอกว่าใบหน้าเขามีเลือดฝาด (หน้าแดง) อาจอยู่ได้นานถึง 99 ปี สวี่เซียนชี้ว่าแม้ใบหน้าเขาจะมีเลือดฝาดแต่ใช่ว่าจะเป็นสัญญาณที่ดี ตอนนี้หลอดเลือดหัวใจเขากำลังอุดตัน หากไม่รีบรักษาเกรงว่าอาจตายได้ทุกเมื่อ พูดจบสวี่เซียนก็เดินกลับไปที่โต๊ะตรวจโรคของตน ชายคนดังกล่าวกลัวตายเลยรีบตามไปขอความช่วยเหลือจากสวี่เซียน ครั้นสวี่เซียนขอให้จ่ายเงินก่อน ชายคนดังกล่าวจึงรีบควักเงินจ่ายทันที
เมื่อเหล่าชาวบ้านรู้ว่าสวี่เซียนมาตั้งโต๊ะตรวจโรคจึงแห่ไปดู ครั้นได้ยินคนพูดยกย่องว่าสวี่เซียนเป็นหมอเทวดาและเป็น "ฮั่วโถว" (หรือ "ฮัวโต๋" ตามสำเนียงฮกเกี้ยน) กลับชาติมาเกิด ซู่เจินนึกว่าสวี่เซียนคือหมอเทวดาฮั่วโถวตัวเป็นๆ จึงคิดที่จะไปคารวะและขอคำชี้แนะ เพราะหลังบำเพ็ญตบะมานานนับพันปีเธอเองก็พอมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง ครั้นไปถึงก็พบว่าสวี่เซียนกำลังเขียนเทียบยาให้ผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งไอไม่หยุดและจับชายโครงด้านขวาตลอดเวลา เมื่อสวี่เซียนมอบเทียบยาให้ชายคนดังกล่าวกลับมีใครคนหนึ่ง (ซึ่งปลอมตัวเป็นชาย) แย่งไปดู ก่อนแย้งว่าผู้ป่วยมีเสมหะ กลัวหนาว ไม่มีเหงื่อ แสดงว่าเป็นโรคไอจากภาวะเย็นชัดๆ เขา (เธอ) กล่าวหาสวี่เซียนว่าสั่งยาผิด เพราะแทนที่จะช่วยขับไล่ความเย็นในร่างกายแต่เทียบยาของ "จี้ซื่อถัง" (โรงหมอจี้ซื่อ) กลับสั่งสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่ขับไฟ ระบายความร้อนภายในให้ผู้ป่วยล้วนๆ
ซู่เจินโล่งใจที่ไม่ถูกจับได้ หลังนึกขึ้นได้ว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมห้ามไม่ให้ใช้พลังปีศาจแทรกแซงกฏของโลกมนุษย์ตามใจชอบ เธอเลยคิดที่จะจัดการคนลวงโลกด้วยวิธีการของมนุษย์แทน (เธอเคยอ่านหนังสือของมนุษย์เลยรู้เรื่องราวต่างๆ) หรูอี้กลับไปนั่งส่องกระจกในห้องดุจต้องมนต์ ครั้นสาวใช้เห็นหรูอี้มองดอกไม้ที่สวี่เซียนทัดผมให้ด้วยความซาบซึ้งใจจึงทักว่าปกติแล้วเธอไม่ชอบดอกไม้ชนิดนี้ หรูอี้ชี้ว่าแม้ไม่ชอบแต่อย่างน้อยมันคือความใส่ใจของพี่ "ฮั่นเหวิน" สาวใช้รีบเตือนให้หรูอี้พูดเบาๆ เพราะหาก "ใต้เท้าจิน" (บิดาหรูอี้) ได้ยินหรูอี้เรียกสวี่เซียนอย่างสนิทสนมเช่นนั้น พวกตนมีหวังโดนตำหนิอีก แต่หรูอี้ไม่สนและยืนกรานว่าเธอเรียกสวี่เซียนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่อาจเปลี่ยนไปเรียกชื่ออื่นได้อีก
ซู่เจินไปหาสวี่เซียนที่จี้ซื่อถัง (โรงหมอจี้ซื่อ) โดยปลอมตัวเป็นชายและติดหนวดปลอมเลียนแบบหรูอี้ สวี่เซียนถามว่าเธอจะมาซื้อยาหรือมาตรวจโรค ซู่เจินตอบว่าเธอตั้งใจมาหาสวี่เซียน จากนั้นก็หยิบยกหลักปรัชญาว่าด้วยความซื่อสัตย์สุจริตของ "เมิ่งจื่อ" (เม่งจื๊อ) มาเตือนสติเขา สวี่เซียนสงสัยว่าซู่เจินอาจจำคนผิด ซู่เจินยืนยันว่าเธอมาหาสวี่เซียน เจ้าของฉายาเสี่ยวฮั่วโถว (ฮัวโต๋หนุ่ม) ที่คิดค่าตรวจครั้งละหนึ่งตำลึง จากนั้นก็เตือนสวี่เซียนว่า การหลอกลวงคนอื่นว่าตนคือฮั่วโถว (หมอฮัวโต๋) กลับชาติมาเกิดเป็นสิ่งที่ผิด สวี่เซียนถามซู่เจินว่า รู้ได้อย่างไรว่าตนไม่ใช่ฮั่วโถวกลับชาติมาเกิด ซู่เจินชี้ว่าเขาแสดงไม่เนียนและไม่เหมือนฮั่วโถวเลยสักนิด ครั้นถูกถามว่าเคยเห็นฮั่วโถวหรือ ซู่เจินดันหลุดปากบอกว่าเคยทั้งๆ ที่ฮั่วโถวตายไปหลายร้อยปีแล้ว
พอตั้งสติได้ซู่เจินจึงเทศนาสวี่เซียนต่อ โดยบอกให้เขาสำนึกในความผิดของตนแล้วกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เธอขอให้สวี่เซียนนำเงินทั้งหมดที่ได้จากการต้มตุ๋นมามอบให้เธอ เพื่อที่เธอจะได้นำไปคืนผู้ที่โดนหลอก สวี่เซียนได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่าซู่เจินเป็นพวกสิบแปดมงกุฏ เขาดึงหนวดปลอมเธอออกเพราะอยากบอกว่ารู้ทัน พอเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซู่เจิน สวี่เซียนก็ถึงกับอึ้งเพราะเธอคือหญิงงามที่มาดูเขาตรวจคนไข้ก่อนหน้านี้ เขาออกตัวว่าเห็นเธอยังเยาว์ตนจึงไม่เอาความ จากนั้นก็ไล่เธอออกจากโรงหมอโดยบอกว่าใกล้ถึงเวลาปิดทำการแล้ว ซู่เจินโวยลั่นเพราะเธอไม่ได้เยาว์วัยอย่างที่เขาคิด เธอจะบอกสวี่เซียนว่าตนอายุกว่าพันปีแล้วแต่ไม่มีโอกาสพูดเพราะถูกสวี่เซียนผลักออกจากโรงหมอเสียก่อน (แต่หลังผลักเธอออกไปแล้วเขาก็แอบยิ้ม) ซู่เจินชักเริ่มโมโหที่สวี่เซียนไม่ยอมรับฟังคำเตือน เธอจึงอำพรางกายแล้วกลับเข้าไปใหม่หมายสั่งสอนสวี่เซียน ถึงกระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะภายในห้องมีรูปปั้นพระพุทธองค์ (ซู่เจินกลัวฤทธานุภาพของพุทธองค์)
ขณะเดินเตร็ดเตร่ซู่เจินรู้สึกแปลกใจที่มีไอปีศาจรุนแรงในเมืองหลินอัน แถมไอปีศาจยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง (ก่อนหน้านี้เพิ่งมีปีศาจบุกมาทำร้ายเด็กๆ) เธอสงสัยว่านี่อาจเป็นปีศาจที่คร่าชีวิตมนุษย์หมายให้ตนมีพลังแก่กล้าดังที่จิ่งซงเคยว่าไว้จึงออกติดตามปีศาจร้ายทันที ขณะเดินหันรีหันขวางเธอบังเอิญถอยไปชนสวี่เซียนซึ่งกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกงานพอดี สวี่เซียนเห็นหญิงสาวเสียหลักจึงรีบเข้าไปช่วยประคองแต่กลับล้มลงทั้งคู่ ต่างคนต่างนึกไม่ถึงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สวี่เซียนเห็นว่าซู่เจินยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วจึงเตือนเธอว่าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้ (เขายังคงเชื่อว่าเธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฏ) ซู่เจินกวาดตามองหาปีศาจร้ายพลางเหน็บว่าสวี่เซียนไร้เหตุผลสิ้นดี สวี่เซียนตำหนิซู่เจินที่พูดจาเหลวไหล ก่อนชี้ว่าเธอนั่นแหล่ะที่ทำตัวน่าสงสัย เขาคว้าแขนซู่เจินพลางบอกให้เธอชี้แจงที่มาที่ไปของตนเอง แต่ซู่เจินไม่มีเวลาต่อปากต่อคำด้วยเพราะต้องรีบตามไปหยุดยั้งปีศาจร้าย สวี่เซียนจับมือเธอแน่นไม่ยอมให้ไปไหนเพราะต้องการคำอธิบาย หลังสวี่เซียนขู่ว่าจะจับตัวเธอส่งทางการ ซู่เจินจึงยื่นหน้าเข้าไปหาสวี่เซียนและร่ายมนต์ใส่เขา สวี่เซียนเห็นซู่เจินทำท่าเหมือนจะจุมพิตตนจึงรีบปล่อยมือแล้วลุกขึ้นด้วยความตกใจทำให้ซู่เจินสบโอกาสหลบหนี สวี่เซียนซึ่งหน้าแดงก่ำได้แต่บ่นว่าซู่เจินร้ายกาจกว่าที่คิด และไม่มีความเป็นกุลสตรีแม้แต้น้อย
"หลี่กงฝู่" ซึ่งกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติเล่าให้ "สวี่เจียวหรง" ผู้เป็นภรรยา (และพี่สาวสวี่เซียน) ฟังด้วยความโมโหว่าเด็กๆ ในเมืองหลินอันที่หายตัวไปล้วนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม แถมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเลือดของเด็กๆ ยังถูกนำมาแขวนเย้ยครอบครัวที่ประตูหน้าบ้าน ช่วงนี้ตนเลยต้องพาพวกพ้องออกลาดตระเวนถี่ขึ้น หากตนกลับบ้านช้าไม่ต้องรอทานข้าวเย็นพร้อมตน เขายังเตือนเธอว่าอย่าช่วยเพื่อนบ้านดูแลลูกหลานอีก เพราะถ้าเด็กหายพวกตนจะรับผิดชอบไม่ไหว เจียวหรงได้ยินคนในละแวกบ้านฟันธงว่าเป็นฝีมือปีศาจที่เลือกกินเฉพาะเด็กผู้ชาย เธอจึงรู้สึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่าสามีจะถูกปีศาจทำร้าย กงฝู่ได้ยินดังนั้นจึงตำหนิภรรยาที่เชื่อเรื่องงมงายไม่เลิก พร้อมยืนยันว่าโลกนี้ไม่มีปีศาจ
สวี่เซียนกลับมาถึงบ้านแล้วได้ยินดังนั้นจึงเข้าข้างพี่เขย ก่อนบอกว่าถึงแม้จะมีปีศาจแต่พี่เขยเป็นคนดีมีคุณธรรมจึงต้องแคล้วคลาดอย่างแน่นอน เจียวหรงแกล้งงอนที่สองหนุ่มเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย กงฝู่จึงรีบลุกไปนวดไหล่ให้ภรรยาพลางขอโทษและพูดเอาอกเอาใจ เจียวหรงถามสวี่เซียน (เธอเรียกเขาว่า "ฮั่นเหวิน") ถึงความคืบหน้าในการรักษา "อวี๋เหนียง" (แม่อวี๋) ที่แท้สวี่เซียนตั้งโต๊ะตรวจโรคครั้งละหนึ่งตำลึงเพราะต้องการหาเงินมาเป็นค่ายารักษาอวี๋เหนียงเพิ่มเติม (เขาต้องการเปลี่ยนวิธีรักษาและหันมาใช้ยาราคาแพงทั้งหมด) ครั้นเห็นว่าอวี๋เหนียงมีโอกาสรอดเจียวหรงจึงรู้สึกโล่งใจ สวี่เซียนเห็นของเล่นไม้ "ฉางเซิง" (ลูกชายอวี๋เหนียง) วางอยู่ในบ้านแต่ไม่เห็นตัวเด็กจึงรู้สึกแปลกใจ ครั้นเจียวหรงบอกว่าฉางเซิงเล่นอยู่ที่ลานหน้าบ้าน สวี่เซียนจึงบอกว่าตอนเดินเข้ามาในบ้านตนไม่เห็นฉางเซิง เจียวหรงได้ยินดังนั้นก็กลัวว่าฉางเซิงจะเป็นเหยื่อปีศาจ เธอจึงรีบวิ่งออกไปดูด้วยความตกใจโดยมีกงฝู่และสวี่เซียนวิ่งตามไปติดๆ
หลังปีศาจงูขาว "ไป๋ซู่เจิน" อุทิศตนบำเพ็ญตบะ ณ เขาเอ๋อร์เหมยมานานนับพันปี ในที่สุดก็สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ขณะลงเล่นน้ำ โดยกลายร่างเป็นหญิงงามสวมชุดขาวบริสุทธิ์ดุจเทพธิดา เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ในร่างมนุษย์เธอจึงยังเดินเหินไม่คล่อง แถมชายกระโปรงยังติดซอกหินทำให้ขึ้นจากน้ำไม่ได้ เธอเลยจำต้องร้องขอความช่วยเหลือจาก "จิ่งซง" เพื่อนสนิทที่คบหากันมานาน ครั้นได้ยินซู่เจินร้องเรียก จิ่งซงในร่างกระรอกน้อย (เดิมเป็นหนูทองหน้าพระพุทธองค์) จึงรีบรุดมาหาในบัดดลและจำแลงกายเป็นชายหนุ่มก่อนใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือเธอ ซู่เจินรู้สึกโล่งใจที่มีจิ่งซงคอยช่วยในยามที่เธอเดือดร้อน หลังลุกขึ้นยืนได้แล้วเธอก็สงสัยว่าจิ่งซงจำเธอได้ไหม จิ่งซง (ซึ่งยืนกินแอปเปิ้ลอย่างเอร็ดอร่อย) กล่าวโดยไม่มองหน้าเธอว่า หนูและงูอย่างพวกตนต่างอาศัยอยู่ที่นี่และเป็นเพื่อนบ้านกันมานานนับพันปีแล้ว เขาหันไปมองหน้าเธอพลางกล่าวว่า "คิดว่าเจ้ากลายร่างแล้ว ข้าจะ...." ครั้นเห็นหน้าซู่เจินชัดๆ เขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาเดินมาสำรวจดูใกล้ๆ พลางชมว่าร่างมนุษย์ของเธองดงามไร้ที่ติ แต่ท่วงท่าดูขัดหูขัดตาชอบกล ซู่เจินจึงสั่งให้เขาหันไปมองทางอื่นโดยบอกว่ารอให้เธอหัดเดินจนคล่องแล้วค่อยหันกลับมา
หลังจากนั้นซู่เจินก็ฝึกเดินอย่างตั้งใจโดยมีจิ่งซงเฝ้าดูและคอยทดสอบอยู่ห่างๆ จิ่งซงกล่าวว่าหลังบำเพ็ญตบะมานานหนึ่งพันปี ในที่สุดซู่เจินก็จำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ มิหนำซ้ำรูปลักษณ์ของเธอยังไม่เป็นสองรองใคร การอยู่ในร่างนี้จะช่วยให้เธอมีพลังตบะแก่กล้าขึ้นง่ายดายกว่าเดิม เขาแนะให้เธอดื่มกินเลือดมนุษย์เพื่อเพิ่มพลัง แต่ซู่เจินปฏิเสธทันควันและชี้ว่าที่ผ่านมาเธอสู้อุตส่าห์บำเพ็ญตบะนานนับพันปีโดยไม่เคยใช้ทางลัด เธอเล่าว่าในปีที่เกิดมหันตภัยแล้ง พระโพธิสัตว์กวนอิมได้ประพรมน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ลงบนโลกมนุษย์ นั่นจึงทำให้เธอเกิดปัญญา หากเธอเบียดเบียนชีวิตมนุษย์หมายเพิ่มพลังตบะของตนก็นับว่าเสียแรงที่พระโพธิสัตว์กวนอิมเคยเมตตาเธอ ในเมื่อกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วเธอจะถือโอกาสไปสักการะและเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์กวนอิมในการยึดถือ "แก้วสามประการ"
* "แก้วสามประการ" หรือ "ซานเป่า" (三宝) ในทางเต๋า หมายถึง ความเมตตา ความมัธยัสถ์ และความถ่อมตน ส่วนในทางพุทธศาสนาหมายถึง "พระรัตนตรัย" (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) การยึดถือแก้วสามประการในทางพุทธ คือ การขอไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง
อีกด้านหนึ่ง "สวี่เซียน" ได้ล่องเรือมาตามแม่น้ำ เขาเพิ่งกลับจากการเดินทางไปเก็บสมุนไพรในที่ห่างไกล ครั้นมาถึงท่าน้ำคนรับจ้างพายเรือกลับไม่ต้องการเงินค่าจ้างจากสวี่เซียน แต่สวี่เซียนไม่เพียงจ่ายค่าจ้างหากยังแบ่งสมุนไพรให้คนพายเรืออีกด้วย และนั่นก็ทำให้คนพายเรือซาบซึ้งใจมาก (เขาเป็นที่รักใคร่นับถือของทุกคน)
พระโพธิสัตว์กวนอิมสงสัยว่าหญิงสาวที่มาสักการะพระองค์ (ณ ศาลเจ้าแม่กวนอิม) คือใคร ซู่เจินกล่าวว่าตนคืองูขาวจากเขาเอ๋อร์เหมยนามไป๋ซู่เจิน ด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิม ตนจึงเกิดการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณและได้เกิดใหม่ในที่สุด (สามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์หลังผ่านการบำเพ็ญตบะมานานนับพันปี) ตนตั้งใจมาขอบคุณพระโพธิสัตว์กวนอิม และปรารถนาที่จะละทางโลก (บรรลุเป็นเซียน) โดยยึดถือแก้วสามประการ (สิ่งประเสริฐสุดตามแนวทางเต๋า) จึงหวังให้พระโพธิสัตว์กวนอิมช่วยชี้นำทาง พระโพธิสัตว์กวนอิมถามซู่เจินว่า รู้ไหมว่าทำไมทุกชีวิตที่บำเพ็ญตนตามแนวทางเต๋าถึงต้องเรียนรู้วิธีการเป็นมนุษย์ก่อน ครั้นซู่เจินตอบไม่ได้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงชี้ว่าเพราะมนุษย์มี 'ชีฉิงลิ่วอวี้' (เจ็ดรู้สึก หกปรารถนา) การจะบรรลุได้นั้นผู้บำเพ็ญเต๋าต้องเอาชนะสิ่งยั่วยุทั้งหลายทั้งปวงให้ได้เสียก่อน โดยเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและมีความเมตตา หลังได้รับคำชี้แนะจากพระโพธิสัตว์กวนอิม ซู่เจินจึงตัดสินใจลงเขาเพื่อเรียนรู้วิถีมนุษย์หมายฝึกตน (พระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋า)
* "ชีฉิงลิ่วอวี้" (七情六欲) ประกอบด้วย "เจ็ดรู้สึก" ได้แก่ ความสุข, ความโกรธ, ความกังวล, ความคิด, ความเศร้า, ความกลัว และความตกใจ ส่วน "หกปรารถนา" คือ สิ่งที่ชวนปรารถนา พาใจให้กำหนัด ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
หลังมาที่ตลาดในเมืองหลินอันแล้วพบว่าการแต่งกายของตนมีความโดดเด่นแตกต่างจากหญิงสาวโดยทั่วไป ซู่เจินจึงใช้อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองใหม่เพื่อให้กลมกลืน และไม่ลืมที่จะเด็ดดอกไม้มาประดับผม ในเวลาเดียวกันนั้น สวี่เซียนกำลังตั้งโต๊ะรับตรวจโรค แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ถูกคนของเสินหนงถัง (โรงหมอเสินหนง) ประณามว่าโก่งราคาค่ารักษา (สวี่เซียนคิดค่าตรวจสูงถึงครั้งละหนึ่งตำลึงเงิน) ซ้ำยังบังอาจเข้ามาหากินในถิ่นตน ครั้นเห็นว่าสวี่เซียนไม่ยอมถอยแต่โดยดีชายคนดังกล่าวจึงคิดใช้กำลังสั่งสอน แต่เขากลับถูกสวี่เซียนล็อคแขนอย่างง่ายดาย ชายคนดังกล่าวคิดว่าสวี่เซียนมีวิทยายุทธ สวี่เซียนปฏิเสธก่อนชี้ว่าชีพจรของชายคนดังกล่าวเต้นไม่สม่ำเสมอและความร้อนในร่างกายไม่สมดุล เช่นนี้แล้วแม้แต่เด็กยังล้มเขาได้อย่างง่ายดาย
สวี่เซียนถามชายคนดังกล่าวว่าร่างกายส่วนบนของเขาร้อนขณะที่ส่วนล่างเย็น ซ้ำขายังบวมและมีอาการแน่นหน้าอกใช่หรือไม่ ชายคนดังกล่าวสงสัยว่าสวี่เซียนรู้ได้อย่างไร เขาไม่เชื่อว่าตัวเองกำลังป่วยเพราะเถ้าแก่เคยบอกว่าใบหน้าเขามีเลือดฝาด (หน้าแดง) อาจอยู่ได้นานถึง 99 ปี สวี่เซียนชี้ว่าแม้ใบหน้าเขาจะมีเลือดฝาดแต่ใช่ว่าจะเป็นสัญญาณที่ดี ตอนนี้หลอดเลือดหัวใจเขากำลังอุดตัน หากไม่รีบรักษาเกรงว่าอาจตายได้ทุกเมื่อ พูดจบสวี่เซียนก็เดินกลับไปที่โต๊ะตรวจโรคของตน ชายคนดังกล่าวกลัวตายเลยรีบตามไปขอความช่วยเหลือจากสวี่เซียน ครั้นสวี่เซียนขอให้จ่ายเงินก่อน ชายคนดังกล่าวจึงรีบควักเงินจ่ายทันที
เมื่อเหล่าชาวบ้านรู้ว่าสวี่เซียนมาตั้งโต๊ะตรวจโรคจึงแห่ไปดู ครั้นได้ยินคนพูดยกย่องว่าสวี่เซียนเป็นหมอเทวดาและเป็น "ฮั่วโถว" (หรือ "ฮัวโต๋" ตามสำเนียงฮกเกี้ยน) กลับชาติมาเกิด ซู่เจินนึกว่าสวี่เซียนคือหมอเทวดาฮั่วโถวตัวเป็นๆ จึงคิดที่จะไปคารวะและขอคำชี้แนะ เพราะหลังบำเพ็ญตบะมานานนับพันปีเธอเองก็พอมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง ครั้นไปถึงก็พบว่าสวี่เซียนกำลังเขียนเทียบยาให้ผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งไอไม่หยุดและจับชายโครงด้านขวาตลอดเวลา เมื่อสวี่เซียนมอบเทียบยาให้ชายคนดังกล่าวกลับมีใครคนหนึ่ง (ซึ่งปลอมตัวเป็นชาย) แย่งไปดู ก่อนแย้งว่าผู้ป่วยมีเสมหะ กลัวหนาว ไม่มีเหงื่อ แสดงว่าเป็นโรคไอจากภาวะเย็นชัดๆ เขา (เธอ) กล่าวหาสวี่เซียนว่าสั่งยาผิด เพราะแทนที่จะช่วยขับไล่ความเย็นในร่างกายแต่เทียบยาของ "จี้ซื่อถัง" (โรงหมอจี้ซื่อ) กลับสั่งสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่ขับไฟ ระบายความร้อนภายในให้ผู้ป่วยล้วนๆ
สวี่เซียนได้ยินดังนั้นจึงลุกมาโต้แย้ง แต่พอหันไปเห็นซู่เจินเขาก็ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ ครั้นถูกคนเดิมที่ปลอมตัวเป็นชายตำหนิว่าไม่ยอมสั่งยาตามที่ระบุไว้ในตำราแพทย์ สวี่เซียนจึงแย้งว่า "แทนที่จะเชื่อตำรา เจ้าควร..." พอเห็นหน้าคนที่มาหาเรื่องชัดๆ แล้วพบว่าเธอคือ "จินหรูอี้" สวี่เซียนก็พูดไม่ออก เขาเดินไปจับบริเวณสีข้างผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด สวี่เซียนชี้ว่าที่ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บบริเวณซี่โครง ผู้ป่วยยอมรับว่าตนทำงานไม่ระวังเลยพลัดตกลงมาจากหลังคา ตอนแรกก็แค่เจ็บซี่โครงแต่ต่อมาเริ่มมีอาการไอ สวี่เซียนกล่าวว่าเพราะซี่โครงถูกกระแทกจนได้รับบาดเจ็บเลยส่งผลกระทบถึงปอด นั่นจึงทำให้เกิดอาการไอ หาได้เป็นโรคไอ (จากภาวะ) ร้อน หรือไอ (จากภาวะ) เย็นอย่างที่หมอกำมะลอบางคนกล่าวอ้าง หรูอี้คืนเทียบยาให้ผู้ป่วยแล้วเดินจากไปทันที ครั้นเห็นความสามารถของสวี่เซียนแล้วเหล่าชาวบ้านก็แห่มารักษากับเขา ซู่เจินรู้สึกแปลกใจที่สวี่เซียนมีท่าทีโอหังแทนที่จะใจกว้างและอ่อนน้อมถ่อมตน ที่สำคัญเธอเคยพบฮั่วโถว (ฮัวโต๋) มาก่อน แต่สวี่เซียนไม่เหมือนฮั่วโถวเลยสักนิด
"ฝาไห่" นั่งบำเพ็ญภาวนากลางป่าไผ่โดยร่ายอาคมคุ้มกันเอาไว้ ครั้นพบว่ามีปีศาจอยู่ไม่ไกลนักเขาจึงรีบไปปราบทันที ปีศาจน้อยในร่างเด็กหญิงชี้ว่าตนเลื่อมใสศรัทธาพุทธองค์ หวังเพียงยึดถือแก้วสามประการ ไม่เคยคิดทำร้ายหรือเบียดเบียนชีวิตใคร ฝาไห่ไม่สนว่าปีศาจตนนี้จะดีหรือชั่ว สำหรับเขาแล้ว "ปีศาจก็คือปีศาจ" ปีศาจน้อยเห็นว่าฝาไห่ไม่ยอมละเว้นตนจึงกลายร่างเป็นเสือน้อย (เสือโคร่งขาว) แล้วกระโจนใส่เขาทันที ฝาไห่ร่ายคาถาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ "โอม มณี ปัทเม หุม" (唵嘛呢叭咪吽) ก่อนซัดอาวุธใส่เสือน้อยแต่เสือน้อยเบี่ยงตัวหลบทัน หลังจากนั้นเสือน้อยก็กระโจนหนีขึ้นไปบนยอดไผ่ ฝาไห่ไล่ตามไปอย่างไม่ยอมลดละ แต่แล้วอยู่ๆ เสือน้อยก็หายตัวไปและกลับกลายเป็นพุทธองค์
* "โอม มณี ปัทเม หุม" เป็นคาถา ๖ พยางค์ ที่พุทธศาสนิกชนชาวทิเบต และผู้นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน นิยมสวดเป็นประจำเพื่อให้ได้บุญมหาศาลหรือช่วยนำพาให้ชีวิตหลุดพ้น และยังเป็นคาถาอาคมสยบสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงอีกด้วย คำว่า "โอม มณี ปัทเม หุม" แปลว่า "โอม มณีอยู่ในดอกบัว" หมายความว่า ถือมณีในดอกบัวเป็นสรณะ เป็นพื้นฐานแห่งวาสนาและปัญญาทั้งปวง
ที่แท้เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นนิมิตสมาธิของฝาไห่ ครั้น "หลิงโย่วฉานซือ" (ภิกษุหลิงโย่ว) ผู้เป็นอาจารย์ถามว่าขณะนั่งสมาธิเขาเห็นอะไร ฝาไห่จึงเล่าว่าตนกำลังจะกำจัดปีศาจ แต่แล้วอยู่ๆ ปีศาจก็จำแลงกายเป็นพระพุทธองค์หมายล่อลวงตน หลิงโย่วฉานซือกล่าวว่าหากฝาไห่ตัดสินถูกผิดจากรูปลักษณ์ภายนอก แล้วจะแยกแยะพระพุทธองค์กับปีศาจได้อย่างไร ฝาไห่กล่าวว่า ปีศาจคือปีศาจ พุทธองค์คือพุทธองค์ ใยต้องแยกแยะ หลิงโย่วฉานซือส่ายหน้าแย้งก่อนชี้ว่า ผู้ที่มีจิตคิดเข่นฆ่าแม้อยู่ในร่างพระก็ไม่ต่างจากปีศาจ ส่วนผู้ที่มีใจเมตตาแม้เป็นปีศาจย่อมสามารถบรรลุธรรม หลังจากนั้นหลิงโย่วฉานซือก็บอกฝาไห่ว่าตนสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้าแล้วพบว่ามีอาเพศ ลักษณะดวงดาวระบุว่าในตอนนี้ปีศาจพันปีอยู่ที่เมืองหลินอัน เขามอบของสองสิ่งให้ฝาไห่นำไปปราบปีศาจพันปี สิ่งแรกคือ 'บาตรจื่อจิน' มีไว้รวบรวมวิญญาณปีศาจชั่วร้าย อีกสิ่งคือ 'คฑาปี้เสีย' ที่สามารถตรวจจับกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าและความโกรธแค้น มันจะหาตามหาวิญญาณปีศาจชั่วร้ายด้วยตัวเองและจะเตือนฝาไห่ทันทีที่เจอ แต่สิ่งที่ฝาไห่ต้องจำไว้ให้มั่นคือถ้าคฑาไม่สั่นห้ามลงมือ ฝาไห่รับปากแต่โดยดี ถึงกระนั้นหลิงโย่วฉานซือก็ยังกำชับว่าอย่าเข่นฆ่าเหล่าปีศาจที่สามารถบรรลุธรรม
ขณะเดินผ่านบ้านสกุลจิน ซู่เจินเห็นหรูอี้ดึงหนวดปลอมออกก่อนวิ่งเข้าไปข้างใน เธอจึงอำพรางกายแล้วตามเข้าไปทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วหรูอี้เป็นสตรี ครั้นแอบฟังหรูอี้พูดคุยกับสาวใช้ ซู่เจินจึงรู้ว่าก่อนหน้านี้หรูอี้แกล้งปลอมตัวเป็นหมอกำมะลอไปหลอกชาวบ้านหมายเปิดโอกาสให้สวี่เซียนได้แสดงความเก่งกาจในฐานะ "เสี่ยวฮั่วโถว (ฮัวโต๋หนุ่ม) แห่งเมืองหลินอัน" เธอรับไม่ได้ที่สวี่เซียนสมคบกับหรูอี้หลอกลวงผู้คนว่าตนเป็นฮั่วโถวกลับชาติมาเกิด และไม่อาจทนนิ่งดูดายจึงคิดสั่งสอนหรูอี้ แต่หรูอี้ได้ยินสวี่เซียนร้องเรียกตนจึงวิ่งออกจากห้องไปเสียก่อน ทำให้รอดตัวหวุดหวิด
ครั้นโดนหรูอี้บ่นว่ากลับมาช้า (และเตือนว่าระวังโดนพ่อเธอหักค่าแรง) สวี่เซียนจึงออกตัวว่าที่ตนกลับมาช้าเพราะมัวแวะซื้อขนมแป้งทอด เขารู้ว่าหรูอี้ชอบขนมดังกล่าวเลยตั้งใจซื้อมาฝากเพื่อแสดงความขอบคุณที่เธอช่วยให้คนแห่มารักษากับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่เธอใช้ก็ตาม ครั้นหรูอี้ขอดูว่าสวี่เซียนหาเงินได้เท่าไหร่ ซู่เจิน (ซึ่งยืนฟังทั้งคู่คุยกันในสภาพล่องหน) จึงใช้อิทธิฤทธิ์ปัดถุงเงินจนหรูอี้เสียหลัก หลังพบว่าปิ่นปักผมร่วงลงพื้นจนแตกหักหรูอี้จึงพาลโกรธสาวใช้ที่ไม่ช่วยพยุงตน สวี่เซียนต้องการระงับโทสะของหรูอี้เลยเด็ดดอกไม้มาประดับผมให้เธอแทนปิ่น (ขณะเด็ดดอกไม้เขาไม่รู้ว่าซู่เจินยืนอยู่ตรงหน้า) หรูอี้บ่นว่าตนไม่ใช่สาวบ้านนอกที่ชอบนำดอกไม้มาทัดผมสักหน่อย (ซู่เจินได้ยินแล้วถึงกับสะดุ้งเพราะเธอเองก็ประดับผมด้วยดอกไม้เช่นกัน) หลังจากนั้นหรูอี้ก็คืนถุงเงินให้สวี่เซียนแล้วเดินจากไปอย่างมีความสุข
ซู่เจินโล่งใจที่ไม่ถูกจับได้ หลังนึกขึ้นได้ว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมห้ามไม่ให้ใช้พลังปีศาจแทรกแซงกฏของโลกมนุษย์ตามใจชอบ เธอเลยคิดที่จะจัดการคนลวงโลกด้วยวิธีการของมนุษย์แทน (เธอเคยอ่านหนังสือของมนุษย์เลยรู้เรื่องราวต่างๆ) หรูอี้กลับไปนั่งส่องกระจกในห้องดุจต้องมนต์ ครั้นสาวใช้เห็นหรูอี้มองดอกไม้ที่สวี่เซียนทัดผมให้ด้วยความซาบซึ้งใจจึงทักว่าปกติแล้วเธอไม่ชอบดอกไม้ชนิดนี้ หรูอี้ชี้ว่าแม้ไม่ชอบแต่อย่างน้อยมันคือความใส่ใจของพี่ "ฮั่นเหวิน" สาวใช้รีบเตือนให้หรูอี้พูดเบาๆ เพราะหาก "ใต้เท้าจิน" (บิดาหรูอี้) ได้ยินหรูอี้เรียกสวี่เซียนอย่างสนิทสนมเช่นนั้น พวกตนมีหวังโดนตำหนิอีก แต่หรูอี้ไม่สนและยืนกรานว่าเธอเรียกสวี่เซียนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่อาจเปลี่ยนไปเรียกชื่ออื่นได้อีก
ซู่เจินทำตามกฏของมนุษย์ด้วยการนำหนังสือร้องเรียนไปยื่นทางการ โดยระบุว่าหมอที่จี้ซื่อถัง (โรงหมอจี้ซื่อ) แอบอ้างว่าตนเป็นฮั่วโถว (หมอฮัวโต๋) กลับชาติมาเกิด จึงขอให้เจ้าหน้าที่ไปจับคนหลอกลวงมาลงโทษ เจ้าหน้าที่สงสัยว่าเธอโดนหลอกเรื่องอะไร จึงถามว่าหมอวินิจฉัยโรคผิดหรือขายยาให้เธอผิดงั้นหรือ ซู่เจินยอมรับว่าตนไม่ได้โดนหลอก เธอชี้ว่าหมอนั่นไม่ใช่ฮั่วโถวกลับชาติมาเกิด แต่เที่ยวหลอกลวงชาวบ้านและอ้างตนเป็นหมอเทวดา แม้เขาไม่ได้หลอกลวงตนแต่การประณามสิ่งเลวร้ายและผดุงคุณธรรมก็เป็นหน้าของพลเมืองดีเช่นตน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับคำร้องเพราะสวี่เซียนเป็นน้องภรรยาของหัวหน้าพวกตน ซ้ำยังขู่ซู่เจินว่าหากไม่ยอมเลิกราเขาจะจับเธอแทน ซู่เจินนึกไม่ถึงว่าสิ่งที่พบจะแตกต่างจากที่เขียนไว้ในตำรา ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ยอมแพ้และคิดสั่งสอนสวี่เซียนด้วยตนเอง
ซู่เจินไปหาสวี่เซียนที่จี้ซื่อถัง (โรงหมอจี้ซื่อ) โดยปลอมตัวเป็นชายและติดหนวดปลอมเลียนแบบหรูอี้ สวี่เซียนถามว่าเธอจะมาซื้อยาหรือมาตรวจโรค ซู่เจินตอบว่าเธอตั้งใจมาหาสวี่เซียน จากนั้นก็หยิบยกหลักปรัชญาว่าด้วยความซื่อสัตย์สุจริตของ "เมิ่งจื่อ" (เม่งจื๊อ) มาเตือนสติเขา สวี่เซียนสงสัยว่าซู่เจินอาจจำคนผิด ซู่เจินยืนยันว่าเธอมาหาสวี่เซียน เจ้าของฉายาเสี่ยวฮั่วโถว (ฮัวโต๋หนุ่ม) ที่คิดค่าตรวจครั้งละหนึ่งตำลึง จากนั้นก็เตือนสวี่เซียนว่า การหลอกลวงคนอื่นว่าตนคือฮั่วโถว (หมอฮัวโต๋) กลับชาติมาเกิดเป็นสิ่งที่ผิด สวี่เซียนถามซู่เจินว่า รู้ได้อย่างไรว่าตนไม่ใช่ฮั่วโถวกลับชาติมาเกิด ซู่เจินชี้ว่าเขาแสดงไม่เนียนและไม่เหมือนฮั่วโถวเลยสักนิด ครั้นถูกถามว่าเคยเห็นฮั่วโถวหรือ ซู่เจินดันหลุดปากบอกว่าเคยทั้งๆ ที่ฮั่วโถวตายไปหลายร้อยปีแล้ว
พอตั้งสติได้ซู่เจินจึงเทศนาสวี่เซียนต่อ โดยบอกให้เขาสำนึกในความผิดของตนแล้วกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เธอขอให้สวี่เซียนนำเงินทั้งหมดที่ได้จากการต้มตุ๋นมามอบให้เธอ เพื่อที่เธอจะได้นำไปคืนผู้ที่โดนหลอก สวี่เซียนได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่าซู่เจินเป็นพวกสิบแปดมงกุฏ เขาดึงหนวดปลอมเธอออกเพราะอยากบอกว่ารู้ทัน พอเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซู่เจิน สวี่เซียนก็ถึงกับอึ้งเพราะเธอคือหญิงงามที่มาดูเขาตรวจคนไข้ก่อนหน้านี้ เขาออกตัวว่าเห็นเธอยังเยาว์ตนจึงไม่เอาความ จากนั้นก็ไล่เธอออกจากโรงหมอโดยบอกว่าใกล้ถึงเวลาปิดทำการแล้ว ซู่เจินโวยลั่นเพราะเธอไม่ได้เยาว์วัยอย่างที่เขาคิด เธอจะบอกสวี่เซียนว่าตนอายุกว่าพันปีแล้วแต่ไม่มีโอกาสพูดเพราะถูกสวี่เซียนผลักออกจากโรงหมอเสียก่อน (แต่หลังผลักเธอออกไปแล้วเขาก็แอบยิ้ม) ซู่เจินชักเริ่มโมโหที่สวี่เซียนไม่ยอมรับฟังคำเตือน เธอจึงอำพรางกายแล้วกลับเข้าไปใหม่หมายสั่งสอนสวี่เซียน ถึงกระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะภายในห้องมีรูปปั้นพระพุทธองค์ (ซู่เจินกลัวฤทธานุภาพของพุทธองค์)
ขณะเดินเตร็ดเตร่ซู่เจินรู้สึกแปลกใจที่มีไอปีศาจรุนแรงในเมืองหลินอัน แถมไอปีศาจยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง (ก่อนหน้านี้เพิ่งมีปีศาจบุกมาทำร้ายเด็กๆ) เธอสงสัยว่านี่อาจเป็นปีศาจที่คร่าชีวิตมนุษย์หมายให้ตนมีพลังแก่กล้าดังที่จิ่งซงเคยว่าไว้จึงออกติดตามปีศาจร้ายทันที ขณะเดินหันรีหันขวางเธอบังเอิญถอยไปชนสวี่เซียนซึ่งกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกงานพอดี สวี่เซียนเห็นหญิงสาวเสียหลักจึงรีบเข้าไปช่วยประคองแต่กลับล้มลงทั้งคู่ ต่างคนต่างนึกไม่ถึงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สวี่เซียนเห็นว่าซู่เจินยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วจึงเตือนเธอว่าไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้ (เขายังคงเชื่อว่าเธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฏ) ซู่เจินกวาดตามองหาปีศาจร้ายพลางเหน็บว่าสวี่เซียนไร้เหตุผลสิ้นดี สวี่เซียนตำหนิซู่เจินที่พูดจาเหลวไหล ก่อนชี้ว่าเธอนั่นแหล่ะที่ทำตัวน่าสงสัย เขาคว้าแขนซู่เจินพลางบอกให้เธอชี้แจงที่มาที่ไปของตนเอง แต่ซู่เจินไม่มีเวลาต่อปากต่อคำด้วยเพราะต้องรีบตามไปหยุดยั้งปีศาจร้าย สวี่เซียนจับมือเธอแน่นไม่ยอมให้ไปไหนเพราะต้องการคำอธิบาย หลังสวี่เซียนขู่ว่าจะจับตัวเธอส่งทางการ ซู่เจินจึงยื่นหน้าเข้าไปหาสวี่เซียนและร่ายมนต์ใส่เขา สวี่เซียนเห็นซู่เจินทำท่าเหมือนจะจุมพิตตนจึงรีบปล่อยมือแล้วลุกขึ้นด้วยความตกใจทำให้ซู่เจินสบโอกาสหลบหนี สวี่เซียนซึ่งหน้าแดงก่ำได้แต่บ่นว่าซู่เจินร้ายกาจกว่าที่คิด และไม่มีความเป็นกุลสตรีแม้แต้น้อย
"หลี่กงฝู่" ซึ่งกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติเล่าให้ "สวี่เจียวหรง" ผู้เป็นภรรยา (และพี่สาวสวี่เซียน) ฟังด้วยความโมโหว่าเด็กๆ ในเมืองหลินอันที่หายตัวไปล้วนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม แถมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเลือดของเด็กๆ ยังถูกนำมาแขวนเย้ยครอบครัวที่ประตูหน้าบ้าน ช่วงนี้ตนเลยต้องพาพวกพ้องออกลาดตระเวนถี่ขึ้น หากตนกลับบ้านช้าไม่ต้องรอทานข้าวเย็นพร้อมตน เขายังเตือนเธอว่าอย่าช่วยเพื่อนบ้านดูแลลูกหลานอีก เพราะถ้าเด็กหายพวกตนจะรับผิดชอบไม่ไหว เจียวหรงได้ยินคนในละแวกบ้านฟันธงว่าเป็นฝีมือปีศาจที่เลือกกินเฉพาะเด็กผู้ชาย เธอจึงรู้สึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่าสามีจะถูกปีศาจทำร้าย กงฝู่ได้ยินดังนั้นจึงตำหนิภรรยาที่เชื่อเรื่องงมงายไม่เลิก พร้อมยืนยันว่าโลกนี้ไม่มีปีศาจ
สวี่เซียนกลับมาถึงบ้านแล้วได้ยินดังนั้นจึงเข้าข้างพี่เขย ก่อนบอกว่าถึงแม้จะมีปีศาจแต่พี่เขยเป็นคนดีมีคุณธรรมจึงต้องแคล้วคลาดอย่างแน่นอน เจียวหรงแกล้งงอนที่สองหนุ่มเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย กงฝู่จึงรีบลุกไปนวดไหล่ให้ภรรยาพลางขอโทษและพูดเอาอกเอาใจ เจียวหรงถามสวี่เซียน (เธอเรียกเขาว่า "ฮั่นเหวิน") ถึงความคืบหน้าในการรักษา "อวี๋เหนียง" (แม่อวี๋) ที่แท้สวี่เซียนตั้งโต๊ะตรวจโรคครั้งละหนึ่งตำลึงเพราะต้องการหาเงินมาเป็นค่ายารักษาอวี๋เหนียงเพิ่มเติม (เขาต้องการเปลี่ยนวิธีรักษาและหันมาใช้ยาราคาแพงทั้งหมด) ครั้นเห็นว่าอวี๋เหนียงมีโอกาสรอดเจียวหรงจึงรู้สึกโล่งใจ สวี่เซียนเห็นของเล่นไม้ "ฉางเซิง" (ลูกชายอวี๋เหนียง) วางอยู่ในบ้านแต่ไม่เห็นตัวเด็กจึงรู้สึกแปลกใจ ครั้นเจียวหรงบอกว่าฉางเซิงเล่นอยู่ที่ลานหน้าบ้าน สวี่เซียนจึงบอกว่าตอนเดินเข้ามาในบ้านตนไม่เห็นฉางเซิง เจียวหรงได้ยินดังนั้นก็กลัวว่าฉางเซิงจะเป็นเหยื่อปีศาจ เธอจึงรีบวิ่งออกไปดูด้วยความตกใจโดยมีกงฝู่และสวี่เซียนวิ่งตามไปติดๆ
ฉางเซิงเห็นแม่ป่วยหนักและไม่มีเงินค่ารักษาจึงนำลูกแก้วไปให้เถ้าแก่โรงรับจำนำตีราคา โดยบอกว่าตนได้ลูกแก้ววิเศษนี้มาจากครรภ์มารดา เถ้าแก่โรงรับจำนำเห็นว่าเป็นของไม่มีค่า จึงคิดว่าฉางเซิงแต่งเรื่องมาหลอกเอาเงินตน ฉางเซิงยืนยันว่าตนไม่ได้โกหก มีคนบอกตนว่าลูกแก้วนี้เป็นของล้ำค่าหายาก จากนั้นก็อ้อนวอนเถ้าแก่ให้รับจำนำลูกแก้วเพราะแม่ของตนกำลังรอเงินค่ารักษา เถ้าแก่ชี้ว่าตนทำมาค้าขายไม่ได้ทำการกุศล เขาไม่เพียงไม่ให้เงินแต่ยังปาลูกแก้วของฉางเซิงทิ้งอีกด้วย ฉางเซิงรีบวิ่งตามไปเก็บลูกแก้วที่กระเด็นออกนอกร้านและเกือบโดนปีศาจร้ายเล่นงาน โชคดีที่ซู่เจินเห็นเข้าเสียก่อนจึงช่วยไว้ได้ทัน
ฉางเซิงบอกซู่เจินว่าลูกแก้วนี้อยู่ในปากตนตอนที่ตนเกิด เขาเชื่อว่ามันคือเครื่องลางคุ้มภัยจึงทำหายไม่ได้ ซู่เจินเห็นแล้วรู้ทันทีว่านี่คือลูกแก้วคู่วิญญาณ (ซึ่งจะตามมาเกิดกับเจ้าของทุกภพทุกชาติ เพื่อทำเรื่องที่ค้างคาให้ลุล่วง) เธอจึงเตือนฉางเซิงว่าไม่ควรนำของล้ำค่ามาอวดคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ ฉางเซิงเล่าว่าพ่อตนขาหักเมื่อเดือนก่อนเลยทำงานไม่ได้ ส่วนแม่ตนกำลังป่วยหนัก ตนเห็นว่าที่บ้านไม่มีเงินเลยคิดที่จะนำลูกแก้วนี้ไปจำนำแล้วนำเงินมารักษาแม่ ซู่เจินได้ยินแล้วรู้สึกประทับใจในความกตัญญูของฉางเซิง เพื่อไม่ให้ลูกแก้วดังกล่าวหล่นหายอีกซู่เจินจึงใช้อิทธิฤทธิ์เสกลูกแก้วให้เป็นสร้อย (ร้อยด้วยด้ายแดง) ก่อนนำมาคล้องคอให้ฉางเซิง ฉางเซิงรีบกล่าวขอบคุณโดยเรียกเธอว่า "พี่เทพธิดา" (เด็กน้อยเห็นว่าซู่เจินมีอิทธิฤทธิ์จึงคิดว่าเธอเป็น "เสินเซียน" (เซียนชั้นสูง) ถึงแม้ซู่เจินจะออกตัวว่าเธอแค่เล่นกลก็ตาม)
ฉางเซิงบอกซู่เจินว่าลูกแก้วนี้อยู่ในปากตนตอนที่ตนเกิด เขาเชื่อว่ามันคือเครื่องลางคุ้มภัยจึงทำหายไม่ได้ ซู่เจินเห็นแล้วรู้ทันทีว่านี่คือลูกแก้วคู่วิญญาณ (ซึ่งจะตามมาเกิดกับเจ้าของทุกภพทุกชาติ เพื่อทำเรื่องที่ค้างคาให้ลุล่วง) เธอจึงเตือนฉางเซิงว่าไม่ควรนำของล้ำค่ามาอวดคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ ฉางเซิงเล่าว่าพ่อตนขาหักเมื่อเดือนก่อนเลยทำงานไม่ได้ ส่วนแม่ตนกำลังป่วยหนัก ตนเห็นว่าที่บ้านไม่มีเงินเลยคิดที่จะนำลูกแก้วนี้ไปจำนำแล้วนำเงินมารักษาแม่ ซู่เจินได้ยินแล้วรู้สึกประทับใจในความกตัญญูของฉางเซิง เพื่อไม่ให้ลูกแก้วดังกล่าวหล่นหายอีกซู่เจินจึงใช้อิทธิฤทธิ์เสกลูกแก้วให้เป็นสร้อย (ร้อยด้วยด้ายแดง) ก่อนนำมาคล้องคอให้ฉางเซิง ฉางเซิงรีบกล่าวขอบคุณโดยเรียกเธอว่า "พี่เทพธิดา" (เด็กน้อยเห็นว่าซู่เจินมีอิทธิฤทธิ์จึงคิดว่าเธอเป็น "เสินเซียน" (เซียนชั้นสูง) ถึงแม้ซู่เจินจะออกตัวว่าเธอแค่เล่นกลก็ตาม)
ซู่เจินจะแย้งว่าตนไม่ใช่เทพธิดา แต่ฉางเซิงชิงกล่าวว่า แม่เคยบอกตนว่าเด็กดีจะได้รับพรจากพระโพธิสัตว์ ตนจึงประพฤติตัวดีมาโดยตลอด เพราะอย่างนี้พี่เทพธิดาถึงลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อช่วยแม่ตนใช่ไหม ซู่เจินได้ยินแล้วไม่อาจทำลายความหวังและความเชื่อของเด็ก แม้รู้สึกผิดและไม่อยากอ้างตนเป็นเทพธิดา แต่การเป็นเทพธิดาในใจเด็กคนนึงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เธอจึงตอบว่า...ใช่ ทั้งยังสัญญาว่าแม่ของฉางเซิงจะต้องหายดี ฉางเซิงดีใจมากจึงจูงมือซู่เจินหมายพากลับบ้านไปรักษาแม่ แต่ทว่าระหว่างทางปีศาจยังคงตามติดฉางเซิงกับซู่เจินไม่เลิกรา ซู่เจินจึงแอบร่ายมนต์ขับไล่ปีศาจ แต่นั่นเป็นการยับยั้งเพียงชั่วคราว เธอเกรงว่าปีศาจจะตามราวีผู้คนไม่เลิกจึงรู้สึกเป็นกังวล
ครั้นได้ยินเสียงคนร้องเรียก ฉางเซิงจึงนึกขึ้นได้ว่าตนออกจากบ้านลุงหลี่ (กงฝู่) โดยลืมบอกทุกคนก่อน เขาบ่นกับซู่เจินว่าป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงตนแย่ ซู่เจินบอกให้ฉางเซิงรีบกลับไปหาคนบ้านสกุลหลี่ก่อน ส่วนเธอจะไปหาแม่ฉางเซิงในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็รีบออกตามหาปีศาจร้ายทันที ฉางเซิงรีบวิ่งไปหาสวี่เซียน เจียวหรง และกงฝู่ ที่กำลังร้องหาตน ครั้นโดนสวี่เซียนตำหนิที่หายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว ฉางเซิงจึงรีบขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก จากนั้นก็บอกสวี่เซียนด้วยความดีใจว่าตนเพิ่งได้พบพี่เทพธิดา นางรับปากว่าจะช่วยรักษาแม่ตนด้วย ฉางเซิงกลัวสวี่เซียนไม่เชื่อเลยชี้ให้ดูว่าพี่เทพธิดาอยู่ตรงไหนแต่กลับไม่พบซู่เจิน สวี่เซียนเตือนฉางเซิงว่าอย่าหลงเชื่อคนที่อ้างตนว่าสามารถใช้พลังวิเศษรักษาโรคได้ ฉางเซิงยืนยันหนักแน่นว่าพี่เทพธิดาไม่หลอกลวงคน เจียวหรงได้ยินแล้วรู้สึกสงสารเพราะนึกว่าฉางเซิงเป็นห่วงแม่จนถึงขั้นมโนไปเอง
ซู่เจินออกติดตามปีศาจร้ายแต่แล้วอยู่ๆ ปีศาจตนดังกล่าวก็หายไป ถึงกระนั้นเธอยังคงรู้สึกถึงไอปีศาจที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เธอจึงปีนกำแพงแล้วชะโงกหน้าออกไปดูโดยไม่รู้ว่ามีไอปีศาจลอยวนเวียนอยู่ทางด้านหลัง ครั้นเห็นฝาไห่เดินผ่านมาเธอจึงรีบหลบด้วยความตกใจ ฝาไห่หยุดเดินแล้วหันไปมองบริเวณที่ซู่เจินยืนอยู่เมื่อครู่ ทันใดนั้น คฑาปี้เสียก็สั่นเตือนว่าในบริเวณดังกล่าวมีปีศาจร้าย เขาจึงรีบตามล่าปีศาจร้ายที่เบียดเบียนชีวิตมนุษย์เพื่อเพิ่มพลังของตน หลังหนีมาอยู่ในจุดที่ปลอดภัยซู่เจินก็บ่นด้วยความตกใจกลัวว่า "พระรูปนี้ท่าทางโหดชะมัด" ครั้นตั้งสติได้เธอก็งงตัวเองว่าวิ่งหนีทำไมในเมื่อฝาไห่เป็นเพียงพระรูปหนึ่ง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังตามล่าตน เธอเลยรีบวิ่งหนีไป
ความจริงแล้วฝาไห่กำลังตามไล่ล่า "ปีศาจตะขาบ" (หรือ "อู๋เหนียงจื่อ" ในร่างคน) ที่อยู่ทางด้านหลังซู่เจิน ปีศาจตนดังกล่าวไม่พอใจที่งูขาวซึ่งมีพลังตบะแค่พันปีอย่างซู่เจินบังอาจมาขวางและคิดต่อกรกับตนซึ่งอยู่มานานสามพันปี จึงจงใจล่อฝาไห่ให้มาจับซู่เจินแทน จิตวิญญาณปีศาจเพศผู้ซึ่งไม่ปรากฏร่าง เกรงว่าปีศาจตะขาบจะนำภัยมาสู่ตนจึงเตือนว่า พระจากวัดจินซานเดินทางมายังเมืองหลินอันพร้อมคฑาปราบปีศาจ แต่ปีศาจตะขาบไม่นึกหวั่นเกรงเพราะเธอเองก็อยากรู้ว่าฝาไห่จะแน่สักแค่ไหน
วันรุ่งขึ้นฉางเซิงตั้งตารอซู่เจินบนต้นไม้หน้าบ้าน เมื่อสวี่เซียนมาถึงพร้อมยาสมุนไพร เขาก็รู้สึกแปลกใจที่ฉางเซิงไม่ดีใจเหมือนเช่นเคย ซ้ำยังมีสีหน้าผิดหวังคล้ายกำลังรอคอยใคร ฉางเซิงกลัวโดนสวี่เซียนตำหนิเลยโกหกว่าตนไม่ได้รอใคร เด็กน้อยกล่าวขอบคุณสวี่เซียนที่หาเงินมาช่วยพวกตน ถึงขนาดแสร้งหลอกผู้คนว่าเป็นฮั่วโถว สวี่เซียนแย้งว่าตนไม่ได้หลอกลวงใครแต่ใช้วิชาความรู้ช่วยเหลือผู้คน อย่างน้อยๆ ตนก็ช่วยรักษาผู้ป่วย เขาจะต้มยาให้อวี๋เหนียง (แม่ฉางเซิง) เลยวานฉางเซิงให้ไปหยิบพัด ฉางเซิงวิ่งไปหยิบพัดในบ้านพลางบ่นอย่างเป็นกังวลว่าเมื่อไหร่พี่เทพธิดาจะมา และหวังว่าพี่เทพธิดาจะไม่โกหกตน ซู่เจินได้ยินดังนั้นจึงปรากฏกายต่อหน้าฉางเซิง ฉางเซิงดีใจมากจึงรีบพาซู่เจินไปดูอาการแม่ทันที ซู่เจินเห็นสภาพแม่ฉางเซิงแล้วก็รู้ทันทีว่านางโดนพิษปีศาจงู
ความจริงแล้วฝาไห่กำลังตามไล่ล่า "ปีศาจตะขาบ" (หรือ "อู๋เหนียงจื่อ" ในร่างคน) ที่อยู่ทางด้านหลังซู่เจิน ปีศาจตนดังกล่าวไม่พอใจที่งูขาวซึ่งมีพลังตบะแค่พันปีอย่างซู่เจินบังอาจมาขวางและคิดต่อกรกับตนซึ่งอยู่มานานสามพันปี จึงจงใจล่อฝาไห่ให้มาจับซู่เจินแทน จิตวิญญาณปีศาจเพศผู้ซึ่งไม่ปรากฏร่าง เกรงว่าปีศาจตะขาบจะนำภัยมาสู่ตนจึงเตือนว่า พระจากวัดจินซานเดินทางมายังเมืองหลินอันพร้อมคฑาปราบปีศาจ แต่ปีศาจตะขาบไม่นึกหวั่นเกรงเพราะเธอเองก็อยากรู้ว่าฝาไห่จะแน่สักแค่ไหน
วันรุ่งขึ้นฉางเซิงตั้งตารอซู่เจินบนต้นไม้หน้าบ้าน เมื่อสวี่เซียนมาถึงพร้อมยาสมุนไพร เขาก็รู้สึกแปลกใจที่ฉางเซิงไม่ดีใจเหมือนเช่นเคย ซ้ำยังมีสีหน้าผิดหวังคล้ายกำลังรอคอยใคร ฉางเซิงกลัวโดนสวี่เซียนตำหนิเลยโกหกว่าตนไม่ได้รอใคร เด็กน้อยกล่าวขอบคุณสวี่เซียนที่หาเงินมาช่วยพวกตน ถึงขนาดแสร้งหลอกผู้คนว่าเป็นฮั่วโถว สวี่เซียนแย้งว่าตนไม่ได้หลอกลวงใครแต่ใช้วิชาความรู้ช่วยเหลือผู้คน อย่างน้อยๆ ตนก็ช่วยรักษาผู้ป่วย เขาจะต้มยาให้อวี๋เหนียง (แม่ฉางเซิง) เลยวานฉางเซิงให้ไปหยิบพัด ฉางเซิงวิ่งไปหยิบพัดในบ้านพลางบ่นอย่างเป็นกังวลว่าเมื่อไหร่พี่เทพธิดาจะมา และหวังว่าพี่เทพธิดาจะไม่โกหกตน ซู่เจินได้ยินดังนั้นจึงปรากฏกายต่อหน้าฉางเซิง ฉางเซิงดีใจมากจึงรีบพาซู่เจินไปดูอาการแม่ทันที ซู่เจินเห็นสภาพแม่ฉางเซิงแล้วก็รู้ทันทีว่านางโดนพิษปีศาจงู
สวี่เซียนเห็นว่าฉางเซิงไปหยิบพัดนานผิดปกติจึงตามเข้าไปดูในบ้าน ครั้นเห็นฉางเซิงอยู่ในบ้านกับซู่เจิน แถมฉางเซิงยังบอกว่าซู่เจินคือพี่เทพธิดาที่จะมาช่วยรักษาแม่ตน เขาก็ยิ่งไม่ไว้ใจและคิดว่าเธอบุกมาถึงที่นี่เพื่อหลอกเด็ก ขณะที่ซู่เจินเองก็เข้าใจผิดคิดว่าสวี่เซียนอ้างตนเป็นหมอเทวดาแล้วมาหลอกรักษาแม่ฉางเซิง เธอกล่าวว่าเขาไม่รู้วิธีรักษาแต่ยังมีหน้ามาขัดขวางและกล่าวหาว่าเธอเป็นคนหลอกลวง ฉางเซิงเห็นทั้งคู่เริ่มเปิดฉากปะทะคารมกันจึงรีบห้ามศึก สวี่เซียนเห็นแก่ฉางเซิงจึงไม่คิดต่อปากต่อคำกับซู่เจินอีก ที่สำคัญเขาเองก็อยากรู้ว่าระหว่างตนกับซู่เจินใครจะรักษาอวี๋เหนียงได้สำเร็จ ครั้นซู่เจินท้าพนัน สวี่เซียนจึงบอกว่าหากซู่เจินรักษาได้ตนจะยอมทำตามทุกอย่าง แต่ถ้าซู่เจินรักษาไม่ได้จงอยู่ให้ห่างฉางเซิง ซู่เจินรับคำท้าเพราะรู้ว่าตนชนะแน่ เธอสงสัยว่าอวี๋เหนียงโดนพิษปีศาจงูจากที่ไหน จึงถามฉางเซิงว่าก่อนล้มป่วยแม่ของเขาไปที่ไหนมาบ้าง ฉางเซิงจำได้ว่าในวันตงจื้อ (วันที่พระอาทิตย์ส่องแสงสั้นที่สุด ตรงกับฤดูหนาว) แม่ของตนไปที่วัดเจ้าแม่หนี่วาบนเนินสือหลี่เพื่อขอพรให้ตน หลังจากนั้นจึงล้มป่วย
ณ วัดเจ้าแม่หนี่วาซึ่งมีสภาพค่อนข้างวังเวง รกร้าง ไร้ซึ่งคนมากราบไหว้บูชา มีชายสี่คนยืนตัวแข็งทื่อประหนึ่งเป็นรูปปั้น พวกเขาคือ "อูกุ้ยเป่า", "อาหลัว", "เซี่ยต้าเฉียน" และ "เหอต้ากู่" ซึ่งแสร้งเป็น (รูปปั้น) เทพที่วัดเจ้าแม่หนี่วาหมายตบตาผู้คน แม้จะแลดูเหมือนหัวขโมยที่แอบมาซ่องสุมในวัดร้าง แต่พวกเขาไม่ใช่โจรและ 'ไม่ใช่มนุษย์' หลังพบว่า 'นาย' ของพวกตนไม่อยู่ในวัดชายทั้งสี่จึงพากันออกตามหาบริเวณด้านนอก ปรากฏว่าบนต้นไม้โบราณมีปีศาจตนหนึ่งซึ่งร่างกายที่ปรากฏแลดูคล้ายเจ้าแม่หนี่วา (ท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นงู) แท้จริงแล้วปีศาจตนดังกล่าวคืองูเขียวหนุ่มที่สามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ และปีศาจตนนี้ก็คือ 'นาย' ที่ชายทั้งสี่กล่าวถึง
ครั้นเห็นผู้เป็นนายนอนแทะผลไม้ปิ้ง (ลูกแพร์) บนต้นไม้จนปากเลอะเทอะ ชายทั้งสี่ก็รู้สึกแปลกใจ หนึ่งในนั้นยกนิ้วให้งูเขียวที่สามารถปิ้งผลไม้กินเองได้ (งูเขียวเห็นว่าผลไม้ล้วนแข็งและเย็นเพราะอากาศหนาวเลยนำมาปิ้งกิน - ปกติแล้วงูมักจำศีลในช่วงฤดูหนาว แต่ในเมื่อไม่ได้จำศีลเขาเลยหาอะไรที่อบอุ่นกิน) งูเขียวอ้างว่าหากไม่ทำเช่นนี้ตนจะผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้อย่างไร สมุนคนหนึ่งแย้งผู้เป็นนายว่าเขาผ่านมาห้าร้อยฤดูหนาวแล้วไม่ใช่หรือ หลังโดนขัดงูเขียวเลยชักเริ่มโมโห ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายดราม่าต่อโดยเพ้อว่า ตนบำเพ็ญตบะมานานห้าร้อยปีและเฝ้ารอวันที่จะได้เกิดใหม่ ทั้งนี้เพราะคนรูปงามเช่นตนมีแต่คนมาชอบพอ การเป็นบุรุษมีแต่จะทำให้เหล่าสตรีหัวใจสลาย เพียงแค่คิดตนก็ไม่อาจรับไหว แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่อาการของเขากลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง (ระริกระรี้และหลงตัวเองสุดๆ)
ครั้นเห็นซู่เจินเดินตรงมาทางตน ปีศาจงูเขียวถึงกับตะลึงในความงามและยอมเป็นรองซู่เจินเรื่องรูปโฉม หลังจากนั้นงูเขียวซึ่งเลือดกำเดาไหลก็เดินเข้าไปหาและพูดจาแทะโลมซู่เจิน ซู่เจินเห็นหางงูเลยรู้ว่าเขาคือปีศาจงูเขียว หลังทนฟังงูเขียวพูดพล่าม ซู่เจินจึงทวงถามยาถอนพิษให้อวี๋เหนียงด้วยสีหน้าจริงจัง แต่งูเขียวหนุ่มยังคงแทะโลมไม่เลิกรา โดยบอกว่าหากซู่เจินยอมเป็นหญิงของตนจะได้ทั้งยาถอนพิษและตนไปครอง ครั้นเห็นว่างูน้อยอายุแค่ห้าร้อยปีตัวนี้ไม่เพียงทำร้ายคน แต่ยังปากกล้ากับตนซึ่งอาวุโสกว่า ซู่เจินจึงคิดสั่งสอนงูเขียวให้สำนึกเพื่อที่จะได้ไม่กลายเป็นปีศาจร้าย สี่องครักษ์พิทักษ์งูเขียวเห็นดังนั้นจึงรีบเผ่น ทิ้งให้งูเขียวหนุ่มรับมือซู่เจินตามลำพัง
ณ วัดเจ้าแม่หนี่วาซึ่งมีสภาพค่อนข้างวังเวง รกร้าง ไร้ซึ่งคนมากราบไหว้บูชา มีชายสี่คนยืนตัวแข็งทื่อประหนึ่งเป็นรูปปั้น พวกเขาคือ "อูกุ้ยเป่า", "อาหลัว", "เซี่ยต้าเฉียน" และ "เหอต้ากู่" ซึ่งแสร้งเป็น (รูปปั้น) เทพที่วัดเจ้าแม่หนี่วาหมายตบตาผู้คน แม้จะแลดูเหมือนหัวขโมยที่แอบมาซ่องสุมในวัดร้าง แต่พวกเขาไม่ใช่โจรและ 'ไม่ใช่มนุษย์' หลังพบว่า 'นาย' ของพวกตนไม่อยู่ในวัดชายทั้งสี่จึงพากันออกตามหาบริเวณด้านนอก ปรากฏว่าบนต้นไม้โบราณมีปีศาจตนหนึ่งซึ่งร่างกายที่ปรากฏแลดูคล้ายเจ้าแม่หนี่วา (ท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นงู) แท้จริงแล้วปีศาจตนดังกล่าวคืองูเขียวหนุ่มที่สามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ และปีศาจตนนี้ก็คือ 'นาย' ที่ชายทั้งสี่กล่าวถึง
ครั้นเห็นผู้เป็นนายนอนแทะผลไม้ปิ้ง (ลูกแพร์) บนต้นไม้จนปากเลอะเทอะ ชายทั้งสี่ก็รู้สึกแปลกใจ หนึ่งในนั้นยกนิ้วให้งูเขียวที่สามารถปิ้งผลไม้กินเองได้ (งูเขียวเห็นว่าผลไม้ล้วนแข็งและเย็นเพราะอากาศหนาวเลยนำมาปิ้งกิน - ปกติแล้วงูมักจำศีลในช่วงฤดูหนาว แต่ในเมื่อไม่ได้จำศีลเขาเลยหาอะไรที่อบอุ่นกิน) งูเขียวอ้างว่าหากไม่ทำเช่นนี้ตนจะผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้อย่างไร สมุนคนหนึ่งแย้งผู้เป็นนายว่าเขาผ่านมาห้าร้อยฤดูหนาวแล้วไม่ใช่หรือ หลังโดนขัดงูเขียวเลยชักเริ่มโมโห ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายดราม่าต่อโดยเพ้อว่า ตนบำเพ็ญตบะมานานห้าร้อยปีและเฝ้ารอวันที่จะได้เกิดใหม่ ทั้งนี้เพราะคนรูปงามเช่นตนมีแต่คนมาชอบพอ การเป็นบุรุษมีแต่จะทำให้เหล่าสตรีหัวใจสลาย เพียงแค่คิดตนก็ไม่อาจรับไหว แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่อาการของเขากลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง (ระริกระรี้และหลงตัวเองสุดๆ)
ครั้นเห็นซู่เจินเดินตรงมาทางตน ปีศาจงูเขียวถึงกับตะลึงในความงามและยอมเป็นรองซู่เจินเรื่องรูปโฉม หลังจากนั้นงูเขียวซึ่งเลือดกำเดาไหลก็เดินเข้าไปหาและพูดจาแทะโลมซู่เจิน ซู่เจินเห็นหางงูเลยรู้ว่าเขาคือปีศาจงูเขียว หลังทนฟังงูเขียวพูดพล่าม ซู่เจินจึงทวงถามยาถอนพิษให้อวี๋เหนียงด้วยสีหน้าจริงจัง แต่งูเขียวหนุ่มยังคงแทะโลมไม่เลิกรา โดยบอกว่าหากซู่เจินยอมเป็นหญิงของตนจะได้ทั้งยาถอนพิษและตนไปครอง ครั้นเห็นว่างูน้อยอายุแค่ห้าร้อยปีตัวนี้ไม่เพียงทำร้ายคน แต่ยังปากกล้ากับตนซึ่งอาวุโสกว่า ซู่เจินจึงคิดสั่งสอนงูเขียวให้สำนึกเพื่อที่จะได้ไม่กลายเป็นปีศาจร้าย สี่องครักษ์พิทักษ์งูเขียวเห็นดังนั้นจึงรีบเผ่น ทิ้งให้งูเขียวหนุ่มรับมือซู่เจินตามลำพัง
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
จวีจิ้งอี
รับบท ไป๋ซู่เจิน
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
อวี๋เหมิงหลง
รับบท สวี่เซียน
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้กำกับเอ็มวี ชาวจีน)
อื่นๆ
เผยจื่อเทียน
รับบท ฝาไห่
(นักแสดง ชาวจีน)
เซียวเยี่ยน
รับบท เสี่ยวชิง
(นักแสดง ชาวจีน)
เนี่ยจื่อฮ่าว
รับบท จิ่งซง
(นักแสดง ชาวจีน)
อวี๋หล่าง
รับบท จินหรูอี้
(นักแสดง ชาวจีน)
เฝิงเจี้ยนอวี่
รับบท จางอวี้ถัง
(นักแสดง / นักร้อง ชาวจีน)
เจิงอวิ้นเจิน
รับบท สวี่เจียวหรง
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
หลี่หลิน
รับบท หลี่กงฝู่
(นักแสดง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)
คลิปตัวอย่างจาก iQIYI
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา