กำกับ: โน โดชอล, ปาร์ค วอนกุก
เขียนบท: ปาร์ค ฮเยจิน
แนวละคร: ย้อนยุค, การเมือง, เมโลดราม่า, โรแมนติก
จำนวนตอน: 40
ออกอากาศ: เกาหลี - 10 พฤษภาคม 2560 - 13 กรกฎาคม 2560 ทางเอ็มบีซี
ไทย - ทุกวันอังคาร เวลา 23.08-00.50 น. และวันพุธ เวลา 23.08 - 00.08 น. ทางช่อง 3 เอชดี (หมายเลข 33) ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2563 - 10 พฤศจิกายน 2563
เรื่องย่อ
"หน้ากากจอมบัลลังก์" (The Emperor: Owner of the Mask) เป็นละครย้อนยุคที่เนื้อหาถูกแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงโดยไม่ยึดโยงกับบุคคลหรือช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง แต่มีการหยิบยกข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มาอ้างอิง เช่น กรณีที่ขุนนางยุคโชซอนยึดครองบ่อน้ำที่ไม่เคยแห้งเหือดในยามที่เกิดภัยแล้งเพื่อประโยชน์ส่วนตน และกรณีที่มีอำนาจมืดชักใยอยู่เบื้องหลังนโยบายต่างๆ ของพระราชา เรื่องราวกล่าวถึงองค์ชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์โชซอน นาม "ลีซอน" (ออกเสียงว่า "อีซอน") ซึ่งถูกพระบิดาบังคับให้สวมหน้ากากปิดบังรูปโฉมตั้งแต่แบเบาะ หลังโตขึ้นแล้วไม่ได้รับความกระจ่างว่าทำไมตนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา และทำไมคนที่เห็นใบหน้าตนต้องตายสถานเดียว องค์ชายรัชทายาทจึงพยายามสืบหาคำตอบด้วยตัวเอง ครั้นพบว่าคนเดียวที่รู้คำตอบคือ "อูโบ" อดีตขุนนางฝ่ายบัณฑิตและอดีตอาจารย์แห่งสำนักศึกษาซองคยุนกวาน เขาจึงถอดหน้ากากแล้วแอบไปพบอูโบตามลำพัง นั่นจึงทำให้องค์ชายรัชทายาทได้พบและผูกมิตรกับลูกสาวขุนนางใหญ่ "ฮัน กาอึน" และชายหนุ่มฐานะต้อยต่ำที่มีชื่อว่า "อีซอน" เหมือนตน
หลังได้รู้เห็นความเป็นอยู่ของราษฎร องค์ชายรัชทายาทจึงคิดต่อกรกับองค์กรลับที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่าง "พยอนซูฮเว" ด้วยเห็นว่าคนกลุ่มดังกล่าวไม่เพียงเข้าครอบงำราชสำนักและราชบัลลังก์ แต่ยังยึดครองแหล่งน้ำจนราษฎรขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้โดยเฉพาะคนที่เป็นชนชั้นต่ำและยากจน แต่ทว่าการกระทำดังกล่าวกลับทำให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตาย หนึ่งในนั้นคือขุนนางผู้จงรักภักดีอย่าง "ฮัน คยูโฮ" (บิดาของกาอึน) กาอึนจึงโกรธแค้นองค์ชายรัชทายาทเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนลงมือฆ่าบิดาเธอ เพื่อช่วยเหลือราษฎรและต่อกรกับกลุ่มพยอนซูฮเว องค์ชายรัชทายาทและอีซอนจึงสลับฐานะกัน หลังจากนั้นอีซอนก็เข้ากลุ่มพยอนซูฮเวในฐานะองค์ชายรัชทายาท และถูกบังคับให้กินยาพิษ (เพื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุม) ก่อนจับพลัดจับผลูได้เป็นพระราชาองค์ใหม่แทนพระราชาที่ถูกปลงพระชนม์ แม้ "แทมก" (ผู้นำกลุ่มพยอนซูฮเว) จะรู้ว่าอีซอนเป็นองค์ชายรัชทายาทตัวปลอม แต่เขาคิดว่ารัชทายาทตัวจริงถูกพวกตนสังหารแล้ว เลยจับอีซอนใส่หน้ากากแล้วแต่งตั้งเป็นพระราชาหุ่นเชิดหมายกุมอำนาจในโชซอนแบบเบ็ดเสร็จ ครั้นองค์ชายรัชทายาทรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของกลุ่มพยอนซูฮเว ประกอบกับได้เห็นความทุกข์ยากของราษฎร เขาจึงตัดสินใจว่าจะต่อสู้กับกลุ่มพยอนซูฮเว เพื่อปกป้องราษฎร แผ่นดิน และทวงบัลลังก์ของตนกลับคืนมา
หมายเหตุ:
* แม้ชื่อขององค์ชายรัชทายาทและอีซอนจะออกเสียงเหมือนกัน แต่ทว่าเขียนไม่เหมือนกัน ชื่อองค์ชายรัชทายาทเขียนว่า "李煊" (ภาษาจีนอ่านว่า "หลี่เซวียน" ซึ่งก็คือ "ลีซอน" ในภาษาเกาหลี) ส่วนชื่อของอีซอนที่เป็นสามัญชนเขียนว่า "異線" (ภาษาจีนอ่านว่า "อี้เซี่ยน" ส่วนเกาหลีอ่านว่า "อีซอน")
** คำว่า "ลี" ที่เป็นชื่อสกุล (ออกเสียงว่า "อี") มาจากคำว่า "หลี่" (李) หรือ "แซ่หลี่" ในภาษาจีน (นับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงโชซอนตอนต้น เกาหลียังไม่มีอักษรเป็นของตัวเองเลยยืมอักษรจีนมาใช้) ผู้เขียนใช้คำว่า "ลี" แทนชื่อสกุลเพื่อบ่งชี้ว่าเป็นชื่อสกุลที่มาจากอักษร "หลี่" ของจีน แต่ถ้าเป็นคำทั่วไปหรือไม่ใช่ชื่อสกุลที่มาจากคำว่า "หลี่" จะเขียนว่า "อี" ตามการออกเสียงจริง
เนื้อหาตอนที่ 1-2
ละครเปิดฉากด้วยการแนะนำความเป็นมาขององค์กรลับที่มีชื่อว่า "พยอนซูฮเว" ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมานานก่อนที่จะมีการสถาปนาราชวงศ์โชซอน แต่หลังจากองค์กรดังกล่าวมีส่วนร่วมในการสถาปนาพระราชาและมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานบ้านเมือง พวกเขาก็มีอำนาจล้นฟ้าและคอยชักใยอยู่เบื้องหลังพระราชา
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นภายในถ้ำลับของกลุ่มพยอนซูฮเว ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตยาพิษที่เรียกว่า "ชิมกดฮวาน" ยาดังกล่าวทำจากดอกไม้มีพิษ (ดอกชิมกด) อาบด้วยพิษงู จึงมีพิษร้ายแรงยิ่งกว่ายาพิษใดๆ หากกินยาดังกล่าวเข้าไปแล้วจะต้องกินต่อเนื่องทุกๆ คืนเดือนเพ็ญ ถ้าขาดยาจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่หัวใจและถึงแก่ความตายในที่สุด "แทมก" (ผู้นำกลุ่มพยอนซูฮเว) เตือนชายที่มาขอร่วมเป็นสมาชิกถึงพิษภัยของยาดังกล่าว จากนั้นก็ยื่นยาให้เขาพลางถามว่าเช่นนี้แล้วยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของพยอนซูฮเวอยู่ไหม ชายคนดังกล่าวยืนยันความตั้งใจของตน เขาลั่นวาจาว่าหลังจบสิ้นฤดูการล่าจะไม่ฆ่าหมาล่าเนื้อ (จะไม่หักหลัง หรือเสร็จนาไม่ฆ่าโคถึกนั่นเอง) จากนั้นก็กินยาพิษเข้าไป ไม่นานยาก็เริ่มออกฤทธิ์ ครั้นถูกถามชื่อชายคนดังกล่าวจึงตอบว่าตนคือ "กึม-นยองแทกุน" (องค์ชายกึม-นยอง) นาม "ลียูน" (ชื่อ "ยูน" สกุลลี)
* แทกุน เป็นอิสริยยศของพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระราชากับพระมเหสี
หลังกลุ่มพยอนซูฮเวรับเป็นสมาชิก องค์ชายกึม-นยองซึ่งอยู่ในสภาพคล้ายประสาทหลอนจึงสาบานว่าจะเก็บทุกสิ่งที่รู้เห็นเป็นความลับและจะทำตามกฏของพยอนซูฮเว (ขณะกล่าวคำสาบานเขาถูกของแหลมทิ่มบริเวณลำคอสามครั้ง หลังจากนั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มกลับคืนมา) แทมกให้มั่นว่านับจากนี้มีดที่เคยหันเข้าหาองค์ชายจะกลับกลายเป็นอาวุธที่คอยช่วยเหลือเขา กลุ่มพยอนซูฮเวจะเป็นทั้งโล่และอาวุธให้องค์ชายกึม-นยอง แต่ทว่าสักวันองค์ชายจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้พวกตน (ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่านักฆ่าของพยอนซูฮเวได้บุกเข้าไปในวังหลวง เพื่อปลงพระชนม์พระราชาตามคำร้องขอขององค์ชายกึม-นยอง) องค์ชายกึม-นยองไม่เกี่ยงเรื่องค่าตอบแทน ขอเพียงให้ตนได้เป็นพระราชาแห่งโชซอน!!
สิบปีต่อมา
พระสนมลีกำลังจะมีประสูติกาล สำนักโหรหลวงทำนายว่า มังกร (ทารกในครรภ์) มีชะตาที่เกี่ยวพันกับน้ำ หากได้ขึ้นครองบัลลังก์จะเป็นพระราชาที่ดีและยิ่งใหญ่ แต่ความกล้าหาญชาญชัยจะนำภัยมาสู่ตน หากมังกรไม่อาจผงาดฟ้าในเวลาที่เหมาะสมจะประสบเคราะห์ภัย สายน้ำจะเหือดแห้งและมังกรจะถูกฝังภายใต้ปฐพี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หากองค์ชายที่กำลังจะประสูติไม่อาจเอาชนะชะตาอันเลวร้ายจะต้องตายตั้งแต่ยังเยาว์ ดังนั้นเวลาตกฟากจึงสำคัญที่สุด หากเกิดในยามแฮ (หรือ "ยามไฮ่" ในภาษาจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่าง 21.00 - 22.59 น.) เจ้าชะตาจะได้เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่เคารพศรัทธาของราษฎร แต่ถ้าเกิดก่อนหรือหลังช่วงเวลาดังกล่าวจะตายก่อนวัยอันควร หลังทราบคำทำนาย "พระราชา" (องค์ชายกึม-นยอง) ได้แต่นั่งลุ้นให้ลูกน้อยเกิดในช่วงเวลาที่เป็นมงคล (ในตอนนั้นเพิ่งเข้าสู่ยามซุล หรือ "ยามซวี" ในภาษาจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่าง 19.00 - 20.59 น.) พระสนมพยายามอั้นคลอดสุดชีวิต ส่วนแทมกและเหล่าสมาชิกกลุ่มพยอนซูฮเวมาซึ่งรวมตัวกันเพื่อรอฟังข่าวและวางแผนรับมือ ต่างพากันลุ้นให้ทารกเกิดในช่วงเวลาที่ไม่เป็นมงคล (แทมกได้รับรายงานเรื่องคำทำนายเช่นกัน)
ทันทีที่เข้าสู่ยามแฮก็มีเสียงทารกน้อยร้องไห้จ้า ปรากฏว่าพระสนมลีมีประสูติกาลพระโอรสดังคาดจริงๆ พระราชาประกาศว่าโอรสของตนซึ่งเป็นองค์ชายเพียงหนึ่งเดียวบนแผ่นดินนี้ จะเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์โชซอน ครั้นได้รับแจ้งว่าองค์ชายน้อยเกิดในยามแฮ ลิ่วล้อของแทมกต่างพากันผิดหวัง "จู จินมยอง" (เสนาซ้าย / มือขวาของแทมก) ถามแทมกด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่าพวกตนควรทำเช่นไร แทมกกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า "วอนจา" ประสูติทั้งทีพวกตนควรแสดงความยินดีกับพระราชา "ชเว ซองกี" (ผู้บัญชาการทหาร / ญาติของพระมเหสี) ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ แทมกบอกอย่างใจเย็นว่าตนจะใช้วอนจาเป็นเครื่องต่อรองในการยึดครองน้ำของทั้งแปดมณฑล (โชซอนแบ่งออกเป็นแปดมณฑล)
* "วอนจา" เป็นอิสริยยศของพระโอรสองค์แรกที่ประสูติแต่พระราชากับพระสนม
พระราชาตั้งใจว่าจะทำให้องค์ชายน้อยได้เป็นพระราชาอย่างแท้จริง (ไม่เป็นเพียงหุ่นเชิดเหมือนตน) พระองค์ขอบคุณสนมลีที่ทำให้ราชวงศ์แข็งแกร่ง ทั้งยังเลื่อนชั้นเป็นสนมขั้นหนึ่งและตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "ยองพิน" แทมกส่งกระถางดอกไม้มาให้พระราชาในนามกลุ่มพยอนซูฮเว แต่ทว่าข้อความที่ส่งมาด้วยกลับไม่ใช่ถ้อยคำแสดงความยินดี หากเป็นการแสดงเจตจำนงว่าต้องการควบคุมน้ำของโชซอน พระราชาโกรธจนตัวสั่นและลั่นวาจาว่าจะไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องนี้ "ลี บอมอู" (คนสนิทและผู้บัญชาการทหารองครักษ์ หรือ "ผู้บัญชาการลี") เตือนว่าหากคิดแข็งข้อจะทำให้องค์ชายน้อยตกอยู่ในอันตราย พระราชาได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโมโหและมีอาการปวดร้าวที่หน้าอกอย่างรุนแรง บอมอูรีบป้อนยาพิษ "ชิมกดฮวาน" (ที่แทมกส่งมาพร้อมจดหมาย) ให้พระราชาซึ่งมีรอยแดงเป็นจ้ำๆ ปรากฏบนใบหน้า หลังอาการเจ็บปวดและรอยแดงเลือนหายไป พระราชาจึงสั่งให้บอมอูเพิ่มกำลังอารักขาพระโอรส
ครั้นทาสรับใช้กลับมารายงานว่าพระราชายังไม่ให้คำตอบ ซ้ำยังสั่งให้ทหารองครักษ์คอยคุ้มกันวอนจา แทมกจึงสั่งให้ซองกีส่งของขวัญไปให้องค์ชายน้อย... "ชุงจอน" (หรือ "พระมเหสี" ซึ่งไม่มีโอรส และเป็นญาติกับซองกี) ไปเยี่ยมยองพินและวอนจาที่ตำหนัก เธอกล่าวชื่นชมยองพินที่ให้กำเนิดผู้สืบทอดราชบัลลังก์ และแจ้งว่าฝ่าบาทจะเขียนชื่อวอนจาด้วยหมึกผสมโลหิตเสือตอนทำพิธีตั้งชื่อ เธอยังบอกด้วยว่าตนได้กำชับให้เหล่าสาวใช้ในวังจัดเตรียมงานด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดกับโอรสของพวกตน (แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีซังกุงแอบสับเปลี่ยนภาชนะบรรจุโลหิตเสือ)
พระราชาใช้พู่กันเขียนอักษรจีน "煊" ลงบนหลังของวอนจา (ตอนนั้นยังไม่มีการประดิษฐ์อักษรเกาหลี) อักษรตัวดังกล่าวอ่านว่า "ซอน" (หรือ "เซวียน" ในภาษาจีน) ซึ่งเป็นชื่อที่พระราชาตั้งให้วอนจาหมายให้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพาโชซอนไปสู่ความผาสุกและเจริญรุ่งเรือง ขณะนำวอนจาลงไปชำระล้างร่างกายในอ่าง อยู่ๆ องค์ชายน้อยก็ร้องไห้จ้า แถมผิวหนังบริเวณที่มีรอยหมีกยังแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง (มียาพิษผสมอยู่ในโลหิตเสือ) หมอหลวงได้ยินเสียงทารกร้องลั่นเลยรีบวิ่งเข้ามาดูและแจ้งว่าวอนจาถูกวางยาพิษ หลังจากนั้น "อูโบ" แห่งสำนักศึกษาซองคยุนกวานก็เข้ามาตรวจดูอาการองค์ชายน้อย เขายืนยันว่าวอนจาถูกวางยาพิษจริงและต้องรีบหายาถอนพิษก่อนที่จะสายเกินไป ยองพินจะส่งคนไปที่สำนักหมอหลวง แต่อูโบแย้งว่ามีเพียงผู้วางยาเท่านั้นที่มียาถอนพิษ พระราชาได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเจ็บแค้นเพราะรู้ว่าแทมกกำลังเอาชีวิตวอนจามาต่อรองกับการเข้าครอบครองน้ำของโชซอน
พระราชาบุกไปหาแทมกที่บ้านเพื่อต่อรอง โดยกล่าวว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักไม่มีวันยอมยกสิทธิขาดในการบริหารจัดการน้ำให้กลุ่มพยอนซูฮเว แทมกชี้ว่าการประชุมขุนนางในวันนี้จะมีผู้เสนอให้ตั้ง "ยางซูชอง" สิ่งเดียวที่พระองค์ต้องทำคือ...ตอบตกลง ("ยางซูชอง" ในที่นี้ คือ "หน่วยบริหารจัดการน้ำ" มีหน้าที่บริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นการจัดการแหล่งน้ำ วางระบบส่งน้ำ และควบคุมการจ่ายน้ำ แต่กลุ่มพยอนซูฮเวมีแผนใช้ยางซูชองเป็นเครื่องมือในการยึดครองแหล่งน้ำกินน้ำใช้ เรียกได้ว่าเป็นการฉกฉวยทรัพยากรมาหาประโยชน์ส่วนตน) พระราชายอมให้ตั้งยางซูชอง แต่ไม่ให้แทมกและพวกกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ โดยบอกว่าจะแบ่งให้ดูแลบางส่วน แทมกต้องการควบคุมน้ำทั้งหมดในโชซอนเลยทวงหนี้บุญคุณและค่าตอบแทนที่ช่วยให้พระราชาได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขากล่าวว่าช่างน่าเสียดายถ้าหากวอนจาต้องมาตายก่อนวัยอันควร ตนไม่เคยคิดกำจัดวอนจา เพราะอีกหน่อยวอนจาจะต้องมาเป็นสมาชิกกลุ่มพยอนซูฮเวและเป็นเสาหลัก (หุ่นเชิด) ของพวกตน เขานำขวดยาถอนพิษมาล่อพระราชา ก่อนยื่นคำขาดว่าถ้าอยากได้ยาไปช่วยชีวิตพระโอรสต้องมอบอำนาจเต็มในการบริหารยางซูชองให้ตน และจะต้องให้วอนจาเข้ากลุ่มพยอนซูฮเว
ระหว่างการประชุมในท้องพระโรง "ฮอ ยูกอน" (ผู้ช่วยเสนาซ้าย) เสนอให้ตั้งยางซูชองโดยให้กลุ่มพยอนซูฮเวเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ พระราชาไม่มีทางเลือกเลยจำต้องเห็นชอบ หลังจากนั้นพระองค์ก็รีบนำยาถอนพิษไปให้วอนจา แต่พอไปถึงกลับพบยองพินนั่งร่ำไห้กอดลูกน้อย แม้อูโบจะบอกว่าสายเกินไปแต่พระราชายังคงกรอกยาถอนพิษใส่ปากองค์ชายน้อยที่นอนแน่นิ่ง หลังจากนั้นไม่นานวอนจาก็ฟื้นคืนชีพ พระราชารู้สึกตกใจเมื่อเห็นแผ่นหลังพระโอรสมีรอยแดงเป็นรูปอักษรจีน (ชื่อของวอนจาที่พระราชาเขียนด้วยหมึกมีพิษ) อูโบชี้ว่ารอยแดงดังกล่าวเป็นภาวะซ่านพิษ (เป็นปฎิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่กำลังขับพิษออกจากร่างกาย) เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าร่างกายวอนจาจะสร้างภูมิต้านทานพิษขึ้นมา ในภายภาคหน้าหากวอนจาโดนพิษอีกก็จะปรากฏรอยแดงเป็นรูปตัวอักษรเหมือนเช่นวันนี้ ครั้นได้ยินว่าวอนจามีภูมิต้านทานพิษทุกชนิด พระราชาก็ดีใจจนน้ำตาร่วงและกล่าวขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยคุ้มครองพระโอรส
แทมกประกาศข่าวดีต่อหน้าเหล่าสมาชิกกลุ่มพยอนซูฮเว โดยบอกว่าพวกตนมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดน้ำภายใต้หน่วยงานที่เรียกว่ายางซูชอง หน่วยงานดังกล่าวจะมีสาขากระจายอยู่ทั่วท้องที่ในทุกมณฑล สมาชิกกลุ่มพยอนซูฮเวทุกคนจะได้คุมงานในแต่ละสาขา เขาบอกให้ทุกคนไปคัดเลือกคนหาบน้ำ และกล่าวว่าการได้ยึดครองยางซูชองซึ่งเปรียบเสมือนบ่อเงินบ่อทอง จะทำให้พวกตนเงินทองไหลมาเทมา
พระราชาสั่งให้บอมอูตรึงกำลังปิดล้อมตำหนักวอนจานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และห้ามใครเข้าตำหนักโดยไม่ได้รับอนุญาติจากตน ยองพินสงสัยว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ พระราชาชี้ว่าตนทำเพื่อปกป้องลูกน้อย สักวันหนึ่งกลุ่มพยอนซูฮเวจะบังคับให้วอนจาเข้าร่วมเป็นสมาชิก หากวอนจาปฎิเสธจะถูกสังหาร ต่อให้วอนจาต้องการเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อใดที่เข้าร่วมกลุ่มพยอนซูฮเวก็จะถูกควบคุมและกลายเป็นหุ่นเชิดเหมือนตน พระราชาอยากให้พระโอรสได้เป็นพระราชาที่แท้จริงจึงคิดหาทางออกเพื่อไม่ให้วอนจาเข้าร่วมกลุ่มพยอนซูฮเว แผนของพระองค์คือการปิดบังรูปโฉมที่แท้จริงของวอนจา (เพื่อจะได้ส่งคนอื่นไปสวามิภักดิ์กลุ่มพยอนซูฮเวแทน) แต่เนื่องจากกลุ่มพยอนซูฮเวมีสายอยู่ทั่วทุกหนแห่งในวังหลวง พระองค์เลยจำต้องปิดตำหนักวอนจาและสาบานจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องพระโอรส เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลมพระราชจึงบอกบอมอูว่า นับจากนี้คนที่เห็นโฉมหน้าวอนจาจะมีเพียงสามคน นั่นคือตน ยองพิน และบอมอู นอกจากพวกตนแล้วใครก็ตามที่เห็นใบหน้าของวอนจาให้สังหารทันที
พระราชาโกรธมากเมื่อได้รับรายงานว่ายางซูชอง (หน่วยบริหารจัดการน้ำ) เริ่มควบคุมบ่อน้ำแทบทุกแห่ง ซ้ำยังจ้างชาวบ้านจากทั่วสารทิศมาหาบน้ำส่งตามบ้านเรือนแล้วเรียกเก็บเงิน แม้ช่วงแรกทุกคนต่างไม่พอใจที่ต้องจ่ายเงินค่าน้ำ แต่พอเห็นว่าราคาไม่แพงซ้ำยังมีคนหาบน้ำมาส่งถึงที่ ทุกคนเลยมองว่าสะดวกกว่าออกไปตักเอง ตอนนี้ยางซูชองควบคุมการจ่ายน้ำในโชซอนแบบเบ็ดเสร็จแล้ว ครั้นบอมอูแจ้งว่าบ่อน้ำที่พวกยางซูชองเข้ายึดครองยังรวมถึงบ่อน้ำที่ไม่เคยแห้งเหือดแม้ยามหน้าแล้ง พระราชาได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโมโห ทั้งนี้เพราะเวลาเกิดภัยแล้งชาวบ้านจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อน้ำกินน้ำใช้จากยางซูชองเท่านั้น และเมื่อถึงตอนนั้นค่าน้ำที่ยางซูชองเรียกเก็บจะพุ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
พระราชาถามบอมอูว่ากลุ่มพยอนซูฮเวสงสัยเรื่องวอนจาหรือไม่ บอมอูทูลว่าตนได้ให้คนไปปล่อยข่าวลือว่าใบหน้าวอนจาเสียโฉมหลังล้มป่วย ทุกคนในวังต่างเชื่ออย่างสนิทใจ แม้แต่กลุ่มพยอนซูฮเวเองก็ยังเชื่อเรื่องนี้เพราะคิดว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาพิษของพวกตน ในเวลาต่อมา ขันทีคนหนึ่งถูกจับได้ว่าแอบดูโฉมหน้าองค์ชายน้อยจึงถูกบอมอูสังหารทันที เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก พระราชาจึงให้วอนจาสวมหน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้านับแต่นั้นมา โดยหวังว่าวอนจาจะรอดพ้นเงื้อมมือของกลุ่มพยอนซูฮเวและแข็งแกร่งพอที่จะโค่นอำนาจของกลุ่มดังกล่าว เพื่อที่สักวันจะได้ถอดหน้ากากและเป็นพระราชาอย่างแท้จริง
สิบสี่ปีต่อมา
เหล่าราษฎรในโชซอนต่างรู้กันทั่วว่า "เซจา" หรือ "องค์ชายรัชทายาท" ("วอนจา" ถูกแต่งตั้งเป็น "เซจา") ต้องสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตลอดเวลาและไม่เคยมีใครเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพระองค์ เพราะถ้าเกิดใครเห็นเข้าจะถูกสังหารทันที แม้แต่คณะละครเร่ยังนำเรื่ององค์ชายรัชทายาทมาล้อเลียนอย่างสนุกสนาน โดยหาว่าองค์ชายหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเลยต้องสวมหน้ากากปิดบังไว้ ขณะที่เหล่าบรรดาสาวใช้ในวังต่างพากันซุบซิบเรื่องห้องลับในตำหนักทงกุง (ตำหนักองค์ชายรัชทายาท) ซึ่งเป็นเรือนกระจกสำหรับปลูกต้นไม้ขององค์ชายรัชทายาทและเป็นเขตหวงห้าม ลือกันว่าหากใครลอบเข้าไปจะมีโทษถึงตาย และถ้าใครบังอาจสบตาองค์ชายรัชทายาทจะถูกสังหารทันที "ชอนซู" (ขันทีประจำตำหนักองค์ชายรัชทายาท) เห็นเหล่าสาวใช้มาด้อมๆ มองๆ พลางซุบซิบนินทานายของตนเลยเข้าไปตำหนิ ทำให้เหล่าสาวใช้วิ่งหนีกระเจิงด้วยความตกใจกลัว
ชอนซูจะวิ่งตามไปเอาเรื่องแต่องค์ชายรัชทายาทมาพบเข้าเสียก่อนจึงร้องห้าม ก่อนเตือนว่าตนได้มอบหมายงานอื่นที่สำคัญกว่าให้ชอนซูทำ ชอนซูเหลือบมองซ้ายขวาก่อนขยับเข้าไปใกล้ๆ องค์ชายรัชทายาท ครั้นเห็นหนังสือสองเล่มซ่อนอยู่ในแขนเสื้อชอนซู องค์ชายรัชทายาทก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ ครั้นอยู่ในเรือนต้นไม้ตามลำพังองค์ชายรัชทายาทก็ถอดหน้ากากและเสื้อคลุมออก หลังอ่านรายงานของสำนักหมอหลวงและสำนักการแพทย์แล้วไม่พบประวัติการรักษาของตน องค์ชายผู้โดดเดี่ยวก็รู้สึกแปลกใจ เขาเปรยกับหน้ากากของตนว่า ที่ตนต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาเป็นผลมาจากความเจ็บป่วย แต่กลับไม่มีประวัติในการรักษาหรือข้อมูลว่าตนป่วยเป็นโรคอะไร พออ่านรายงานแล้วพบว่าหมอหลวงชื่อ "อูชิม" เคยพาคนอื่นที่ไม่ใช่หมอหลวงมาตรวจดูอาการของตนเลยโดนไล่ออก องค์ชายรัชทายาทจึงนึกสงสัยว่าคนๆ นั้นเป็นใคร
พระราชาคิดที่จะทำการคัดเลือก "เซจาบิน" (อิสริยยศพระชายาขององค์ชายรัชทายาท) จึงสอบถามความเห็นพระโอรสอย่างอารมณ์ดี องค์ชายรัชทายาทย้อนถามด้วยความอัดอั้นว่า แล้วพินกุง (คำเรียก "เซจาบิน") เห็นหน้าตนได้ไหม หรือว่าเธอจะต้องใช้ชีวิตตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวตลอดกาลโดยไม่รู้ว่าสวามีหน้าตาเป็นอย่างไร เขาขอให้พระบิดาบอกตามตรงว่าทำไมตนต้องสวมหน้ากาก และดักคอว่าอย่าได้นำเรื่องความเจ็บป่วยมาเป็นข้ออ้างอีกเพราะตนไม่อยากฟังคำลวงอีกต่อไป พระราชาได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสี พระองค์ไม่ต้องการคุยเรื่องนี้ต่อหน้าเหล่าขันทีและนางใน ทันใดนั้นองค์ชายรัชทายาทก็ทำท่าว่าจะถอดหน้ากาก ทุกคนในที่นั้นจึงรีบก้มหมอบเพราะกลัวตาย องค์ชายรัชทายาทเห็นดังนั้นจึงถามพระบิดาด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า ถ้าตนถอดหน้ากากจะมีคนตายอีกใช่ไหม เขาอยากรู้ว่าทำไมพระบิดาถึงต้องฆ่าทุกคนที่เห็นหน้าตน พระราชายังคงยืนยันคำเดิมว่าองค์ชายรัชทายาทป่วยเป็นโรคบางอย่าง ถ้าหายดีเมื่อไหร่ตนจะให้ถอดหน้ากากเอง
ครั้นไม่ได้คำตอบที่ต้องการองค์ชายรัชทายาทจึงไปนั่งร้องไห้ในห้องลับ พอชอนซูแอบนำหนังสือเล่มใหม่มาส่ง องค์ชายรัชทายาทจึงรีบเปิดอ่านและพบว่าคนที่เคยมาตรวจดูอาการตนพร้อมหมอหลวงคือ ซาซองแห่งสำนักศึกษาซองคยุนกวาน นาม "อูโบ" หลังจากนั้น องค์ชายรัชทายาทก็เรียกอดีตพระอาจารย์มาพบเพื่อหลอกถามข้อมูลเกี่ยวกับชายที่ชื่ออูโบ (มีม่านกั้นกลางระหว่างทั้งคู่) ทำให้รู้ว่าอูโบเป็นขุนนางฝ่ายบัณฑิตและอาจารย์ที่มีความรู้รอบด้านไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ตะวันตก อักษรจีน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ฯลฯ ทั้งยังมีความรู้ด้านการแพทย์ไม่แพ้หมอหลวงอีกด้วย องค์ชายรัชทายาทได้ยินดังนั้นจึงเชื่อว่าอูโบต้องรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากตน
"คิม อูแจ" (ลูกชายแทมก) พา "คิม ฮวากุน" ผู้เป็นบุตรสาวมาเข้าเฝ้าพระมเหสีเพื่อสอบถามเรื่องการคัดเลือกเซจาบิน ในตอนนั้นซองกีซึ่งเป็นญาติของพระมเหสีก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งอูแจและซองกีต่างกลัวว่าหากพระมเหสีไม่ยื่นมือเข้าแทรก องค์ชายรัชทายาทอาจเลือกหญิงสาวที่มาจากตระกูลอื่น แต่พระมเหสี (ซึ่งใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา) บอกเพียงว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระราชา แม้อยู่ต่อหน้าพระมเหสีแต่ฮวากุนกลับไม่รักษากิริยาและแสดงท่าทีเบื่อหน่ายออกมาอย่างชัดเจน ครั้นพระมเหสีถามว่าหากเธอถูกเลือกให้เป็นเซจาบินจะรู้สึกอย่างไร ฮวากุนตอบชัดว่าเธอไม่สนตำแหน่งที่ไร้ค่าอย่างเซจาบิน อูแจรีบหันไปตำหนิลูกสาวและกล่าวขอโทษพระมเหสี แต่พระมเหสีกลับบอกว่าตนชอบความจริงใจและความมั่นหน้าของฮวากุน จากนั้นก็สั่งให้ "ฮันซังกุง" พาฮวากุนไปเดินชมรอบวัง
ขณะเดินผ่านตำหนักองค์ชายรัชทายาทซึ่งมีองครักษ์คุมเข้ม ฮวากุนถามสาวใช้ (ประจำตำหนักพระมเหสี) ว่าตำหนักองค์ชายรัชทายาทเต็มไปด้วยดอกไม้หายากจริงหรือไม่ สาวใช้ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงแต่มีเพียงองค์ชายเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ฮวากุนสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเธอเข้าไปข้างใน สาวใช้ทำหน้าตกใจและเตือนว่าอย่าแม้แต่จะคิด ฮวากุนบอกสาวใช้ว่าตนลืมถุงเงินไว้ที่ตำหนักพระมเหสีและวานให้เธอช่วยไปหยิบมาให้ จากนั้นก็ลอบเข้าไปในเรือนต้นไม้อย่างง่ายดายในช่วงที่มีการผลัดเปลี่ยนเวรยาม
ขณะที่ฮวากุนกำลังเดินสำรวจดอกไม้ อยู่ๆ ก็มีเสียงพูดคุยของชายคนหนึ่ง ที่แท้ตอนนั้นองค์ชายรัชทายาทอยู่ในเรือนต้นไม้ ซ้ำยังถอดเสื้อคลุมและหน้ากากออกแล้วด้วย เขานั่งหันหลังให้ฮวากุนและกำลังคุยกับหน้ากากอย่างออกรสเรื่องอูโบ เขามั่นใจว่าอูโบต้องรู้ความจริงและต้องให้ความกระจ่างแก่ตนได้แน่ เพราะอูโบไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก พูดจบเขาก็ลุกขึ้นอย่างหมายมั่น (ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปถามอูโบ) แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบฮวากุนยืนอยู่ในห้อง แถมเธอยังจ้องมองใบหน้าที่ปราศจากหน้ากากของเขาอย่างเต็มตา และสั่งให้เขาย้ายดอกไม้ลงกระถางให้เธอ
** จบตอนที่หนึ่ง **
องค์ชายรัชทายาทตกใจสุดขีดเมื่อเห็นฮวากุนยืนจ้องหน้าตน ฮวากุนนึกว่าชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้าเป็นข้ารับใช้ในวังจึงไม่พอใจที่เขายังคงยืนนิ่ง เธอเดินไปหาเขาอย่างเอาเรื่องแล้วสั่งคำเดิม (จะขนดอกไม้กลับบ้าน) ครั้นได้ยินเสียงชอนซูร้องเรียกและขออนุญาตเข้ามาด้านใน องค์ชายรัชทายาทจึงรีบพาฮวากุนไปหลบซ่อนตัวและใช้มือปิดปากเธอไว้ ฮวากุนไม่รู้ว่าองค์ชายรัชทายาทกำลังปกป้องตนจึงใช้อาวุธลับ (ลักษณะคล้ายกริชขนาดเล็ก) จิ้มลำคอเขาจนเลือดไหลซิบ องค์ชายรัชทายาทสะดุ้งเฮือกแต่ไม่ยอมปล่อยตัวเธอ ฮวากุนพยายามดิ้นและทำท่าว่าจะแทงซ้ำแต่องค์ชายรัชทายาทส่งสายตาและส่ายหน้าห้ามเธอ หลังหลับตาร้องเรียกองค์ชายรัชทายาทแล้วไม่มีเสียงตอบ ชอนซูก็ค่อยๆ ลืมตาและกลับออกไป พอชอนซูออกไปแล้วองค์ชายรัชทายาทก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและปล่อยมือจากปากฮวากุน ฮวากุนรีบผลักเขาออกแล้ววิ่งหนีไป
ทหารองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูเห็นฮวากุนเดินออกมาจากเรือนต้นไม้จึงหันปลายกระบี่ไปที่เธอ องครักษ์นายหนึ่งถามว่าเธอเป็นใคร ก่อนชี้ว่าที่นี่เป็นเขตหวงห้ามผู้บุกรุกมีโทษถึงตาย เมื่อสาวใช้ประจำตำหนักพระมเหสี (ที่โดนฮวากุนหลอกให้ไปหยิบถุงเงิน) มาพบเข้าจึงรีบวิ่งกลับไปรายงานนายตน สององครักษ์พยายามเค้นถามฮวากุนว่าเธอเป็นใครแต่ฮวากุนยังคงยืนนิ่ง องค์ชายรัชทายาท (ซึ่งสวมเสื้อคลุมและหน้ากากเรียบร้อย) แสร้งทำทีว่าเพิ่งมาถึงและแกล้งไม่พอใจที่มีคนบุกรุกเรือนต้นไม้ของตน เขาใช้กระบี่ขององครักษ์จ่อไปที่ลำคอฮวากุน พลางโวยลั่นว่าใครก็ตามที่บังอาจบุกรุกจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต เมื่อพระมเหสีมาถึงจึงออกตัวว่าตนเป็นคนเชิญฮวากุนเข้าวัง คาดว่าเธอคงหลงทางเพราะไม่คุ้นเคยกับวังหลวงจึงขอให้ละเว้นเธอสักครั้ง องค์ชายรัชทายาทบอกฮวากุนว่าครั้งนี้ตนจะไม่เอาความเพราะเห็นแก่พระมเหสี แต่ยังคงเตือนเสียงเข้มว่าห้ามแพร่งพรายสิ่งที่พบเห็นในเรือนต้นไม้โดยเด็ดขาด เมื่อฮวากุนพยักหน้ารับพระมเหสีจึงรีบพาเธอกลับไป
องค์ชายรัชทายาทโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีและไม่ต้องมีใครตายเพราะตนอีก เมื่อฮวากุนหันกลับไปมององค์ชายรัชทายาทแล้วเห็นรอยเลือดที่คอ เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือชายหนุ่มที่อยู่ในเรือนต้นไม้นั่นเอง คืนนั้นฮวากุนยังคงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนต้นไม้ ครั้นนึกถึงใบหน้าองค์ชายเธอก็ถึงกับหน้าแดง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเธอทำร้ายเขาจนเลือดออก เธอจึงใช้อาวุธลับอันเดิมแทงที่ด้านหลังใบหูตนเองบ้าง
แทมก (ปู่ของฮวากุน) เรียกฮวากุนไปพบเพื่อสอบถามว่าวันนี้พระมเหสีคุยอะไรกับเธอบ้าง ครั้นรู้ว่าพระมเหสีต้องการหยั่งเชิงว่าฮวากุนว่าสนใจตำแหน่งเซจาบิน (พระชายาองค์ชายรัชทายาท) หรือไม่ แทมกจึงฟันธงว่าหลานสาวไม่สนใจ แต่ฮวากุนกลับบอกหน้าตาเฉยว่าตนอยากเป็นเซจาบิน... แทมกรู้สึกผิดหวังจึงย้ำเตือนสิ่งที่ตนพร่ำสอน เขาวางถ้วยน้ำชาตรงหน้าฮวากุนก่อนเปรียบเปรยว่า ถ้าถ้วยชาใบนี้คืออาณาจักรโชซอน น้ำเปรียบดังราษฎร ส่วนใบชาที่ลอยอยู่คือพระราชา พวกตนต้องคว้าถ้วยชาเอาไว้ในกำมือแทนที่จะเป็นใบชาเสียเอง ฮวากุนเข้าใจดีว่าพวกตนจะเปลี่ยนใบชาเมื่อถึงเวลา แต่ยังคงถามด้วยความเสียดายว่าเธอเป็นเซจาบินไม่ได้เลยหรือ แทมกไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ หลานสาวถึงสนใจองค์ชายที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ฮวากุนกล่าวว่าเรื่ององค์ชายรัชทายาทเสียโฉมอาจเป็นเพียงข่าวลือ ความจริงเขาอาจเป็นชายหนุ่มรูปงาม เธอถามปู่ว่าเคยเห็นหน้าองค์ชายรัชทายาทไหม แทมกยอมรับว่าไม่เคยเห็นและถามกลับด้วยคำถามเดียวกัน ฮวากุนตอบทันควันว่าเคยเห็น ครั้นปู่ถามซ้ำฮวากุนก็นึกถึงคำเตือนขององค์ชายรัชทายาท เธอจึงปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นและออกตัวว่าแค่นึกสงสัย หลังได้คุยกับฮวากุน แทมกชักเริ่มเอะใจจึงถามหา "กน" ทันที
ในตอนนั้นกนกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของบอมอูอยู่ห่างๆ จากบนหลังคา และพบว่าบอมอูลอบมาพบเด็กหนุ่มคนหนึ่งในสถานที่ลับ ที่แท้บอมอูกับพระราชาได้เตรียมเด็กหนุ่มเอาไว้คนหนึ่ง หมายให้สวมรอยเป็นองค์ชายรัชทายาทและให้เข้ากลุ่มพยอนซูฮเวแทน (ต้องกินยาพิษก่อนเข้ากลุ่มตามธรรมเนียม) เมื่อกนรายงานว่าบอมอูซ่อนเด็กหนุ่มเอาไว้คนหนึ่ง แทมกจึงสั่งให้ไปสืบว่าเด็กหนุ่มคนดังกล่าวเป็นใคร
หลังอดีตพระอาจารย์บอกว่าอูโบจะยอมตอบทุกคำถามหากนำตำราแพทย์หายากไปแลก องค์ชายรัชทายาทจึงลอบเข้าไปในห้องทรงพระอักษรกลางดึกเพื่อขโมยตำราแพทย์ที่มีเพียงเล่มเดียวในโชซอนไปให้อูโบ ขณะกำลังจะกลับเขาสังเกตเห็นกระบอกไม้ไผ่ (ที่แทมกใช้ใส่จดหมายและยาพิษ) วางอยู่บนกระถางดอกไม้เลยหยิบขึ้นมาดู เมื่อพระราชาเข้ามาในห้องแล้วพบเข้าจึงรู้สึกโกรธ พระองค์ตำหนิองค์ชายรัชทายาทที่ลอบเข้ามาในห้องของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตและแย่งกระบอกใส่ยากลับคืน จากนั้นก็บอกให้องค์ชายกลับไปเตรียมตัวทำพิธีขอฝนในวันรุ่งขึ้น องค์ชายรัชทายาทตั้งใจว่าจะไปหาอูโบเลยทำท่าอิดออด แต่พอเห็นสายตาอันคมกริบของพระบิดาเขาก็ได้แต่เชื่อฟังและเดินออกจากห้องไป
ขณะที่พระราชาและองค์ชายรัชทายาทเคลื่อนขบวนออกจากวังเพื่อไปทำพิธีขอฝน เหล่าราษฎรต่างพากันซุบซิบและมโนเรื่องใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากขององค์ชายรัชทายาท บ้างก็ว่าองค์ชายใบหน้าเสียโฉม บ้างบอกว่าเป็นโรคเรื้อน บ้างโทษว่าองค์ชายรัชทายาททำให้เกิดภัยแล้ง เพราะนับตั้งแต่องค์ชายประสูติ ภัยแล้งก็ยาวนานและหนักหนาขึ้นราวกับเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ องค์ชายรัชทายาทฟังแล้วได้แต่กัดฟันทน ครั้นเห็นเด็กร้องไห้จ้าเพราะกลัวตนเขาเลยรีบควบม้าหนีไป ครั้นไปถึงชงมโย (ศาลเจ้าของราชวงศ์ ภายในมีห้องประทับและห้องบูชาอดีตพระราชา/พระมเหสีผู้ล่วงลับ) องค์ชายรัชทายาทก็บังคับให้ชอนซูถอดชุดขันทีออก แล้วให้สวมเสื้อผ้า/หน้ากากของตนแทน
ครั้นพบว่าเด็กหนุ่มที่บอมซูซ่อนตัวไว้มีชื่อเดียวกับองค์ชายรัชทายาท แทมกและลิ่วล้อถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาพระราชาแอบวางแผนลับหลัง ทั้งยังปิดบังใบหน้าองค์ชายรัชทายาทหมายส่งตัวปลอมมาให้พวกตนควบคุมแทน เพื่อสกัดแผนการของพระราชา แทมกและพวกจึงคิดที่จะให้องค์ชายรัชทายาทมาเป็นสมาชิกกลุ่มพยอนซูฮเวโดยเร็วที่สุด แทมกรู้ว่าตอนนี้องค์ชายรัชทายาทอยู่ที่ชงมโยจึงสั่งให้ซองกีนำกำลังทหารปิดล้อมชงมโยเอาไว้ หากองค์ชายออกมาเมื่อไหร่ให้จับเป็นแล้วพามาพบตนที่นี่ เขายังสั่งให้ยูกอนคอยจับตาความเคลื่อนไหวของบอมอูและทหารองครักษ์ ส่วนจินมยองให้คอยสอดส่องพระราชา
คืนนั้น องค์ชายรัชทายาท (ซึ่งสวมชุดขันทีของชอนซู) หนีออกนอกศาลเจ้าก่อนที่ซองกีจะเคลื่อนกำลังพลมาปิดล้อมแบบฉิวเฉียด หลังกระโดดข้ามกำแพงออกมาแล้วเขาก็มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านของอูโบด้วยเสื้อผ้าแบบสามัญชน ในเวลาเดียวกันนั้นแทมกได้ส่งข้อความมาบอกพระราชาว่าพวกตนจะรับองค์ชายรัชทายาทเข้ากลุ่มเร็วขึ้น พระราชาสงสัยว่าแทมกอาจรู้เท่าทันแผนของตนจึงคิดเดินเกมเร็วขึ้นเช่นกัน พระองค์เป็นห่วงพระโอรสเลยไปหาที่ห้อง แต่กลับพบชอนซูนั่งตัวสั่นภายใต้เสื้อคลุมและหน้ากากขององค์ชายรัชทายาท ทั้งยังหลับตาปี๋พลางพูดพร่ำตลอดเวลาว่าตนไม่รู้เห็นอะไร ครั้นพบว่าองค์ชายรัชทายาทหายตัวไปพระราชาก็รู้สึกโกรธ
หลังเดินทางจนสว่างคาตา ในที่สุดองค์ชายรัชทายาทก็มาถึงตลาดของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ครั้นพบว่าตนอยู่ท่ามกลางฝูงชน องค์ชายรัชทายาทก็รีบเอามือปิดบังใบหน้าอย่างลืมตัว แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนกำลังปลอมตัว (ถึงไม่ปลอมตัวก็ไม่มีใครรู้จักอยู่ดี) อีกด้านหนึ่ง "ฮัน กาอึน" กำลังเก็บดอกไม้และสมุนไพรอยู่บนเชิงเขา ทันใดนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาขอให้เธอช่วยลูกชายที่ล้มป่วย หลังพบว่าเด็กกินพืชมีพิษเข้าไปเธอจึงชวนแม่เด็กซึ่งฐานะยากจนไปซื้อยาแก้พิษที่ตลาดโดยบอกว่าจะออกเงินให้ องค์ชายรัชทายาทเดินชมตลาดอย่างมีความสุข นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ สามารถพบเจอผู้คนโดยไม่ต้องสวมหน้ากาก และได้สัมผัสวิถีชาวบ้านอย่างใกล้ชิด ทุกสิ่งที่สุดแสนธรรมดาในสายตาคนทั่วไปกลับกลายเป็นประสบการณ์ใหม่อันน่าตื่นตาตื่นใจขององค์ชายอย่างเขา
ณ ยางซูชอง (หน่วยบริหารจัดการน้ำ) สาขาย่อยประจำหมู่บ้าน หัวหน้าสาขานาม "โช แทโฮ" บอกเหล่าคนงานว่า แม้เวลานี้จะเกิดภัยแล้งรุนแรงจนชาวบ้านต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า แต่การที่มีคนขโมยน้ำในเขตรับผิดชอบของตนทำให้ตนงานเข้า เขากำชับคนงานและคนหาบน้ำให้ระวังพวกหัวขโมย หากใครโดนปล้นน้ำจะถูกหักค่าแรง แต่ถ้าจับคนขโมยน้ำได้จะตบรางวัลให้สิบเท่า และถ้ามีใครหน้าไหนกล้าโวยวายว่าค่าน้ำแพงให้ฆ่าทิ้งได้ทันที "อีซอน" ชายหนุ่มจากชนชั้นชอนมิน (ชนชั้นต่ำสุดในโชซอน) มาทำงานที่ยางซูชองกับพ่อ ก่อนออกไปทำงานพ่อเตือนเขาให้อดทนอดกลั้นและอย่ามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร แต่อีซอนกลับบอกอย่างไม่สบอารมณ์ว่าพ่อควรห่วงตัวเองมากกว่า (อีซอนเป็นคนงานที่ตักน้ำในบ่อขายให้ชาวบ้าน ส่วนพ่อเขาเป็นคนหาบน้ำส่งตามบ้านเรือน)
หลังเดินชมตลาดด้วยความตื่นตาตื่นใจ องค์ชายรัชทายาทกลับได้พบความจริงอีกมุมหนึ่ง เขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นราษฎรจำนวนหนึ่งไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน พวกเขาต้องทนทุกข์กับความเหน็บหนาวและอดอยากหิวโหย ขณะที่บางคนล้มป่วยและกำลังจะตาย ในเวลาเดียวกันนั้นอีซอนและพวกมาไขกุญแจเปิดบ่อน้ำ จากนั้นก็ตักน้ำในบ่อใส่ภาชนะให้ชาวบ้านที่มาเข้าแถวรอซื้อน้ำ องค์ชายรัชทายาทเห็นเด็กชายคนหนึ่งท่าทางอ่อนแรงเลยรีบแบกเด็กมาที่บ่อน้ำ เขาจะตักน้ำในถังให้เด็กดื่มแต่หนึ่งในคนงานของยางซูชองห้ามไว้ เด็กน้อยเลยยกขันไม้ขึ้นมาดื่มด้วยความกระหาย ครั้นอีซอนแบมือขอเงินเด็กน้อยจึงวิ่งหนีไป หลังถูกอีซอนทวงเงินหนึ่งพุน* สำหรับน้ำเพียงหนึ่งขัน องค์ชายรัชทายาทก็รู้สึกตกใจ เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าราษฎรต้องซื้อน้ำกินน้ำใช้ อีซอนชี้ว่าค่าน้ำถังละ 3 พุน แต่เด็กกินไปหนึ่งขันตนเลยคิดแค่หนึ่งพุน องค์ชายรัชทายาทถามชาวบ้านคนหนึ่ง (ซึ่งมารอซื้อน้ำ) ว่าได้ค่าแรงวันละเท่าไหร่ ครั้นรู้ว่าชาวบ้านได้ค่าแรงเพียงวันละ 10 พุนแต่ต้องซื้อน้ำกินน้ำใช้ในราคาถังละ 3 พุน องค์ชายรัชทายาทก็ยิ่งตกใจ
* "พุน" (สตางค์) มาจากคำว่า "เฟิน" (分)ในภาษาจีน
ครั้นองค์ชายรัชทายาทชี้ว่าค่าน้ำแพงเกินไปอีซอนก็ไล่ให้ไปซื้อที่อื่นและทวงค่าน้ำหนึ่งพุน เหล่าชาวบ้านซึ่งถูกขูดเลือดขูดเนื้อมานานชักเริ่มหมดความอดทนเลยเข้ามารุมกระทืบอีซอน องค์ชายรัชทายาทคิดจะห้ามแต่ห้ามไม่ไหวเลยได้แต่ยืนดูด้วยความตกใจ อีซอนตะโกนถามเหล่าชาวบ้านว่าสะใจหรือยังที่ระบายความแค้นลงที่ตน จากนั้นก็ประณามคนที่เข้ามารุมกระทืบตนว่าเป็นพวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าต่อกรกับยางซูชอง และนั่นก็ทำให้ชาวบ้านยิ่งโมโหเลยปรี่เข้าไปหาคนงานของยางซูชอง แต่คนงานหยิบท่อนไม้ขึ้นมาสู้ องค์ชายรัชทายาทไม่อยากให้มีเหตุรุนแรงเลยแย่งไม้ในมือคนงานมาถือไว้เอง หลังเหตุการณ์เริ่มบานปลายเหล่าชาวบ้านจึงแย่งกันตักน้ำในบ่อไปใช้ฟรีๆ จนเกิดการทะเลาะวิวาทและต่อสู้กันเอง องค์ชายรัชทายาทร้องห้ามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามแต่ไม่มีใครฟัง เขาคาดไม่ถึงว่าชาวบ้านจะตะลุมบอนกันเพียงเพราะแย่งน้ำ
เหล่าชาวบ้านต่างหนีกระเจิงเมื่อเห็นแทโฮและสมุนควบม้าตรงมาที่พวกตน แม้แต่แม่ค้าซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องยังเก็บของแล้วรีบเผ่น มีเพียงองค์ชายรัชทายาทที่ยืนถือท่อนไม้แบบงงๆ แทโฮนึกว่าองค์ชายเป็นหัวโจกเลยยิงธนูเข้าที่กลางหน้าอกทันที ปรากฏว่าลูกธนูปักคาห่อผ้าแต่ไม่ทะลุเข้าหน้าอก องค์ชายรัชทายาทจึงดึงลูกธนูออกแล้ววิ่งหนีไปโดยมีแทโฮและพวกไล่ตามไปติดๆ กาอึนซึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายยา ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกเลยหันไปดูและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีการไล่ล่าสุดชีวิต องค์ชายรัชทายาทมัวแต่หันหลังกลับไปมองเลยวิ่งชนคนที่เดินสวนมา เขาจึงเสียหลักและเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของกาอึนพอดี
** จบตอนที่สอง **
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเอ็มบีซี
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
ยู ซึงโฮ
รับบท องค์ชายรัชทายาท ลีซอน
คิม โซฮยอน
รับบท ฮัน กาอึน
คิม มยองซู ("แอล" วงอินฟินิต)
รับบท อีซอน
ยูน โซฮี
รับบท คิม ฮวากุน
ฮอ จุนโฮ
รับบท แทมก
ปาร์ค ชอลมิน
รับบท อูโบ
คนใกล้ตัว องค์ชายรัชทายาท
ชิน ฮยอนซู
รับบท ลี ชองอุน
แพ ยูรัม
รับบท ปาร์ค มูฮา
ลี แชยอง
รับบท แมชาง
คนใกล้ตัว แทมก
คิม พยองชอล
รับบท คิม อูแจ
คิม จงซู
รับบท จู จินมยอง
โด ยงกู
รับบท ชเว ซองกี
ชอง กยูซู
รับบท ฮอ ยูกอน
คิม ยองอุง
รับบท โช แทโฮ
คิม ซอคยอง
รับบท กน
ตัวละครในวัง
คิม มยองซู
รับบท พระราชา
คิม ซองยอง
รับบท ชุงจอน (พระมเหสี)
ชเว จีนา
รับบท ลียองพิน (พระสนมจากตระกูลลี)
ชอง ดูฮง
รับบท ลี บอมอู
ซง อินกุก
รับบท ฮยอนซ็อก
ชอง อามี
รับบท ฮันซังกุง
ลี แทโร
รับบท ซังซอน
อื่นๆ
ชอน โนมิน
รับบท ฮัน คยูโฮ
ปาร์ค ฮยอนซุก
รับบท ยู ซอนแต่ก
ชอง แฮคยุน
รับบท พ่ออีซอน
โก นาฮี
รับบท โกมูล
รวมคลิปจาก MBCdrama
รวมคลิปจาก DanalEntertainment
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา