วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

เรื่องย่อ ห้าดรุณแห่งฉางอัน (The Chang'an Youth)




กำกับ: โจวเจียเหวิน
เขียนบท: สยงเฉิง, ซ่งจิ้นชวน, กัวฉี, จางฮั่น, เมิ่งหยวน
แนวละคร: ย้อนยุค, โรแมนติก
จำนวนตอน: 24
ออกอากาศ: จีน - 20 เมษายน 2563 ทางเถิงซวิ่น วิดีโอ (Tencent Video)
                  ไทย - ออกอากาศครบทุกตอนทาง WeTV.vip  และทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 14.20 น. ทางช่อง 8 (หมายเลข 27) ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2565 - 4 มิถุนายน 2565





เรื่องย่อ



ละคร "ห้าดรุณแห่งฉางอัน" (The Chang'an Youth) นำเสนอเรื่องราวของ "เสิ่นอีอี" เด็กกำพร้าที่เติบโตในตลาดและถูกสกุลเสิ่นรับไปเลี้ยงดู เธอกับคุณหนูสกุลเสิ่น "เสิ่นเตี๋ยอี" เติบโตมาด้วยกันและรักใคร่ดูแลกันดุจพี่น้อง โชคร้ายที่เตี๋ยอีป่วยตายกระทันหันเลยไม่ทันได้แต่งงานกับคนรักที่หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังตายโดยไม่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตน เพื่อตอบแทนบุญคุณสกุลเสิ่นและตอบแทนน้ำใจของเตี๋ยอี อีอีจึงเดินทางไปฉางอันเพื่อทำภารกิจสองประการ ประการแรกคือสวมรอยเป็นเตี๋ยอีแล้วแต่งงานกับคุณชายสกุลถังตามสัญญา (สัญญาแต่งงานระหว่างคุณหนูสกุลเสิ่น (เตี๋ยอี) กับคุณชายสกุลถัง (ถังจิ่วหัว)) ประการที่สองคือสืบหาบิดามารดาที่แท้จริงของเตี๋ยอี

อีอีไม่อาจผิดต่อเตี๋ยอีเลยพยายามหลีกเลี่ยงการแต่งงาน สุดท้ายต้องปลอมตัวเป็นบุรุษหลังจับพลัดจับผลูได้เข้าเรียนที่ซ่างอี้ก่วนพร้อม "ถังจิ่วหัว" (คู่หมั้นของเตี๋ยอี) ขณะเรียนที่นั่นอีอี (ซึ่งสวมรอยเป็นเตี๋ยอี) และถังจิ่วหัวได้พบกับ "หยางจื่ออัน" บุตรนอกสมรสของเสนาบดีหยาง ซึ่งแฝงตัวมาทำภารกิจลับตามพระบัญชาของฮ่องเต้ โดยปกปิดสถานะ (ผู้ตรวจราชการ) ของตน ตลอดจน "หลี่ซินหย่วน" (เซียวซินหย่วน) องค์ชายรองที่ปลอมตัวเป็นสามัญชน และยอดนักกระบี่  "ตู๋กูมู่เสวี่ย" ทั้งห้าคนต่างมีความลับที่เก็บงำเอาไว้ แต่ต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อใจ และกลายเป็นมิตรแท้ที่คอยปกป้องซึ่งกันและกัน 

พวกเขาไม่เพียงช่วยกันคลี่คลายคดีปริศนาและเปิดโปงความผิดของขุนนางฉ้อฉล แต่ยังเป็นตัวแทนเข้าแข่งขันกับทูตของอาณาจักรตะวันออกในนาม "ซ่างอี้ก๋วนอู๋จื่อ" (ห้าศิษย์ซ่างอี้ก่วน) โดย อีอี เป็นตัวแทนแข่งทำอาหาร, จื่ออัน เป็นตัวแทนแข่งหมากล้อม, จิ่วหัว เป็นตัวแทนแข่งร่ายรำ, ซินหย่วน เป็นตัวแทนแข่งคำนวณ ส่วนมู่เสวี่ย เป็นตัวแทนแข่งต่อสู้ นอกจากนี้ พวกเขายังอาสาไปร่วมรบโดยใช้ความถนัดของแต่ละคนช่วยวางแผนและเสริมประสิทธิภาพด้านการทหาร หลังผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขายิ่งแน่นแฟ้น หลังสงครามยุติบ้านเมืองกลับยังไม่สงบสุข เพราะศึกในที่ใหญ่กว่าเพิ่งเริ่มต้นขึ้น แถมตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ ยังเป็นคนใกล้ตัวของห้าศิษย์ซ่างอี้ก่วน เพื่อไม่ให้ขุนนางชั่วใช้ชาติกำเนิดของเตี๋ยอีเป็นข้ออ้างในการโค่นราชบัลลังก์ อีอีจำต้องเผยความจริงต่อหน้าฮ่องเต้ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นสตรี 

เนื้อหาตอนที่หนึ่ง



เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในตลาดเหยาเฉิงซึ่งอยู่ห่างจากชานเมืองฉางอัน 300 ลี้ (150 กม.)  เด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่งถูกขอทานเด็กรุมทำร้ายหมายแย่งหมั่นโถ โชคดีที่คุณหนูสกุลเสิ่น "เสิ่นเตี๋ยอี" มาพบและช่วยเธอเอาไว้ ทั้งยังพาไปอยู่ด้วยกันที่บ้านสกุลเสิ่น หลังจากนั้นเด็กกำพร้าคนดังกล่าวก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ในนาม "เสิ่นอีอี" แม้มีสถานะที่เหนือกว่าแต่เตี๋ยอีไม่เคยคิดว่าอีอีเป็นบ่าวไพร่ ทั้งยังช่วยสอนหนังสืออีอีตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เติบโตมาด้วยกันทั้งคู่จึงรักกันดุจพี่น้อง 


สิบปีต่อมา สกุลถัง (ซึ่งอยู่ในเมืองฉางอัน) ได้ส่งรถม้ามารับตัวเจ้าสาวที่บ้านสกุลเสิ่น ทว่าเตี๋ยอีซึ่งเป็นว่าที่เจ้าสาวเกิดป่วยตายกระทันหัน (เตี๋ยอีกับคุณชายสกุลถัง "ถังจิ่วหัว" หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเยาว์ ซ้ำยังมีใจให้กัน แต่ยังไม่ทันได้ครองคู่เตี๋ยอีก็มาด่วนจากไปเสียก่อน) ใต้เท้าเสิ่นทั้งเสียใจและกลัดกลุ้ม เขาบอกอีอีว่าความจริงแล้วเตี๋ยอีไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตน  แม่เตี๋ยอีฝากฝังลูกไว้กับตนก่อนตาย และได้มอบ 'ซือหนานเพ่ย' (เครื่องประดับสำหรับคาดเอว ทำมาจากหยก) ไว้เป็นหลักฐานแสดงชาติกำเนิดของเตี๋ยอี ครั้นโตขึ้นแล้วพบว่าซือหนานเพ่ยชิ้นนี้มาจากฉางอัน เตี๋ยอีจึงฝันว่าสักวันจะได้แต่งเข้าจวนสกุลถังที่ฉางอัน แต่สุดท้ายต้องมาตายก่อนแต่ง ซ้ำยังตายโดยไม่รู้ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของตนเป็นใคร 



เพื่อตอบแทนสกุลเสิ่นและเตี๋ยอี อีอีจึงอาสาเดินทางไปฉางอันแทน (สกุลเสิ่นจะได้ไม่ผิดสัญญา (แต่งงาน) เพราะสกุลถังส่งสินสอดทองหมั้นมาก่อนหน้านี้แล้ว) และใช้โอกาสนี้สืบเรื่องชาติกำเนิดของเตี๋ยอี หลังขันอาสาแล้วอีอีก็แอบหนักใจ เพราะเธอไม่สามารถแต่งงานกับถังจิ่วหัว (ไม่อาจผิดต่อเตี๋ยอี) และไม่อาจทำให้ใต้เท้าเสิ่นเดือดร้อนเช่นกัน (บิดาของถังจิ่วหัวเป็นรองเจ้ากรมกลาโหม) เธอมีแผนการบางอย่างจึงคิดว่าจะลองเสี่ยงดูสักตั้ง ก่อนขึ้นรถม้าอีอีมอบอาหารมื้อสุดท้าย (ที่ทำเองกับมือ) ให้ใต้เท้าเสิ่น และบอกว่าเธอยังเป็นคนสกุลเสิ่นเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หลังส่งอีอีขึ้นรถม้าแล้ว ใต้เท้าเสิ่นก็อดเป็นห่วงอีอีไม่ได้ (วันนั้นสกุลเสิ่นต้องจัดทั้งงานศพและงานส่งตัวเจ้าสาว ทว่าตอนเคลื่อนโลงศพของเตี๋ยอีออกทางประตูหลัง ใต้เท้าเสิ่นทำได้เพียงมองดูห่างๆ เพราะตอนนั้นรถม้าที่สกุลถังส่งมารับเตี๋ยอีเดินทางมาถึงหน้าบ้านสกุลเสิ่นพอดี)


ณ วังหลวงในเมืองฉางอัน... ฮ่องเต้เรียก "หยางจื่ออัน" มาเข้าเฝ้าเพื่อมอบหมายภารกิจลับ ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งจื่ออันเป็น "ผู้ตรวจราชการ" และจะต้องประกาศ (แต่งตั้ง) อย่างเป็นทางการในที่ประชุมขุนนางเช้าวันนี้ แต่พระองค์ได้เลื่อนการประกาศออกไป เพราะอยากให้ให้จื่ออันแฝงตัวเข้าไปสืบหาข่าวในสำนักศึกษา "ซ่างอี้ก่วน" (ที่พระองค์ทรงก่อตั้งขึ้น) ก่อน โดยเขาจะต้องปกปิดฐานะและต้องสอบเข้าเหมือนคนอื่นๆ ทั้งนี้เพราะพระองค์ได้ยินว่ามีขุนนางในราชสำนักฉ้อราษฎร์บังหลวงเพิ่มขึ้น และขุนนางใหญ่หลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กำลังลักลอบทำสิ่งผิดกฎหมาย พระองค์ชี้ว่าแม้สำนักศึกษาซ่างอี้ก่วนจะเปิดรับนักศึกษาจากทั่วประเทศอย่างเท่าเทียม (ไม่คำนึงถึงชนชั้น ฐานะ) แต่นักศึกษาส่วนใหญ่มักมาจากตระกูลขุนนางที่เรืองอำนาจ หรือไม่ก็มาจากตระกูลพ่อค้าที่มั่งคั่ง  หากจื่ออันได้คบหาสมาคมกับคนเหล่านี้จะต้องรู้ข่าววงในอย่างแน่นอน (หลังสืบเรื่องขุนนางฉ้อฉลจนกระจ่างแล้ว พระองค์จะออกราชโองการแต่งตั้งจื่ออันเป็น "ผู้ตรวจราชการ" อย่างเป็นทางการ)

* "ผู้ตรวจราชการ" (เจียนฉาอวี้ฉื่อ) มีหน้าที่ตรวจสอบพฤติกรรมและการทำงานของเหล่าขุนนาง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่มีอำนาจและขอบเขตการทำงานกว้างขวาง ทั้งยังขึ้นตรงต่อฮ่องเต้

ขณะเดินทางผ่านป่าเขาใกล้เมืองฉางอัน เหล่าสาวใช้สกุลเสิ่น (ผู้ติดตามอีอี) แอบสุมหัวนินทาว่าที่เจ้าบ่าว (ถังจิ่วหัว) สาวใช้คนหนึ่งได้ยินว่า นายน้อยสกุลถังมีฉายาว่า "คุณชายฮวงถัง" (คุณชายไร้สาระ) ลือกันว่าเขาเป็นคนเจ้าสำราญที่ชอบขลุกอยูในหอคณิกาและร้องรำทำเพลงกับเหล่านางรำ แต่สาวใช้อีกคนกลับได้ยินมาว่าคุณชายถังหน้าตาอัปลักษณ์ ร่างกายไม่สมประกอบ 


ทันใดนั้นก็มีโจรป่าบุกมาชิงตัวเจ้าสาวไป ที่แท้ทั้งหมดเป็นการจัดฉากสร้างสถานการณ์ของอีอี เธอวางแผนให้คนรู้จักปลอมตัวเป็นโจรป่าแล้วลักพาตัวเธอไป เพื่อที่เธอจะได้หลบหนีการแต่งงานโดยไม่ทำให้ใต้เท้าเสิ่นเดือดร้อน (เป็นเหตุสุดวิสัยและเกิดเหตุขณะใกล้ถึงที่หมาย จึงไม่อยู่ในความรับผิดชอบของใต้เท้าเสิ่น) นอกจากนี้ อีอียังได้เตรียมแผนสองโดยแกล้งปลอมเป็นสตรีหน้าตาอัปลักษณ์ เผื่อว่าหนีไม่สำเร็จและถูกพาไปฉางอันจะได้แกล้งบ้าเพื่อให้คุณชายถังหนีเตลิดไปเอง จากนั้นก็รอให้เรื่องเงียบแล้วค่อยสืบหาที่มาของหยกคาดเอวซือหนาน และหางานทำในเมืองฉางอัน



ณ จวนสกุลถังในเมืองฉางอัน ถังจิ่วหัวร่ายรำกับเหล่านางรำเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเขากำลังจะแต่งงานกับเตี๋ยอีซึ่งเป็นนางในดวงใจที่เขาเฝ้าถวิลหา ถึงแม้ว่าเขาจะรักศิลปะการร่ายรำเป็นชีวิตจิตใจแต่ไม่มีสิ่งใดสำคัญมากไปกว่าเตี๋ยอี (ทั้งคู่เคยคบหากันตอนเด็ก และยังคงส่งจดหมายติดต่อกันเรื่อยมา แต่ไม่เคยพบหน้ากันตอนโต) ครั้นรู้ว่าเจ้าสาวของตนถูกโจรป่าลักพาตัวไป จิ่วหัวจึงรีบนำคนออกตามหาและแจ้งทางการทันที (เขาลอบออกจากจวนทั้งที่โดนบิดากักบริเวณ แต่เกิดข้อเท้าพลิกระหว่างออกตามหาเลยไม่อาจไปต่อ) คืนเดียวกันนั้น อีอี (ซึ่งยังคงอยู่ในป่า) เผาเงินกระดาษส่งไปให้เตี๋ยอีพลางนึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่เคยอยู่ด้วยกัน ครั้นได้ยินเสียงคนร้องเรียกและเห็นเจ้าหน้าที่ถือคบเพลิงออกตามหา อีอีจึงรีบใช้น้ำดับกองไฟแล้ววิ่งหนีไป หลังพบว่ากองไฟเพิ่งดับและมีชุดเจ้าสาวถูกวางทิ้งไว้ เจ้าหน้าที่ทางการจึงไล่ตามไปติดๆ แม้อีอีจะหลบหลีกเจ้าหน้าที่ได้โดยบังเอิญหลังกลิ้งตกเนินเขา แต่เธอกลับทำหยกคาดเอวซือหนานหายเลยต้องย้อนกลับไปหาทางเดิม ทันทีที่หาเจอเธอก็ถูกเจ้าหน้าที่พบตัวพอดี



ครั้นหนีการแต่งงานไม่สำเร็จอีอีเลยจำต้องใช้แผนสอง เมื่อจิ่วหัวมารับเตี๋ยอีเข้าเมืองฉางอันในวันรุ่งขึ้นแล้วพบว่าเตี๋ยอีกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบเขาก็รู้สึกตกใจ สาวใช้สกุลเสิ่นอ้างว่าคุณหนูของพวกตนป่วยหนักขณะเดินทางมาที่นี่ พอหายป่วยก็มีสภาพเช่นนี้ จิ่วหัวตำหนิสาวใช้ที่ไม่ดูแลเจ้าสาวของตนให้ดี เขาไม่เพียงไม่รังเกียจเตี๋ยอี (อีอี) แต่ยังคิดที่จะหาหมอเก่งสุดในฉางอันมาช่วยรักษา โดยสัญญาว่าจะรักษาเธอให้หาย อีอีนึกไม่ถึงว่าจิ่วหัวจะรักมั่นถึงขนาดยอมรับหญิงหน้าตาอัปลักษณ์และสติเลอะเลือนเป็นเจ้าสาว เมื่อแผนสองล้มเหลวอีอีเลยจำต้องตามจิ่วหัวเข้าเมืองฉางอันก่อน จากนั้นจึงค่อยคิดหาหนทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงาน



ณ ประตูจูเชวี่ย (ประตูวังฉางอันด้านทิศใต้) องค์ชายรอง "เซียวซินหย่วน" ตัดสินใจว่าจะสอบเข้าสำนักศึกษาซ่างอี้ก่วนอย่างลับๆ จึงไปหาพระมารดา (พระสนมหยาง) เพื่อแจ้งเรื่องนี้ (แต่ไม่บอกพระบิดา) อีกด้านหนึ่งในเมืองฉางอัน จิ่วหัวจ้องมองหน้าต่างรถม้าอย่างไม่วางตามาตลอดทาง เมื่ออีอีเปิดม่านหน้าต่างดูบรรยากาศทางด้านนอก เธอก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจในความเจริญรุ่งเรืองของเมืองฉางอัน จิ่วหัวเห็นดังนั้นจึงตกอยู่ในภวังค์ อีอีเห็นความรักและความจริงใจที่จิ่วหัวมีต่อเตี๋ยอีแล้วใจหนึ่งรู้สึกชื่นชม แต่อีกใจคิดว่าเขาช่างโง่เขลา เธอเห็นว่าใกล้ถึงจวนสกุลถังแล้วจึงคิดหาทางหลบหนี เพราะรู้ดีว่าเข้าจวนสกุลถังแล้วจะหนีออกมาได้ยาก 

ครั้นอีอีบ่นว่าหิวจัดจนหน้ามืดตาลายและไปต่อไม่ไหว จิ่วหัวเลยจำต้องพาเธอไปทานอาหารที่ร้านหรู หลังทานเสร็จอีอีออกความเห็นว่าอาหารฉางอันรสชาติใช้ได้ แต่มีอยู่สองจานที่ไม่ผ่าน เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งแย้งว่าอีอีพูดจาเหลวไหล เขาชี้ว่าที่นี่เป็นร้านเก่าแก่คู่เมืองฉางอันมานานนับร้อยปี แถมพ่อครัวของพวกตนยังเคยทำงานในครัวหลวง อีอีได้ยินดังนั้นจึงแจกแจงอย่างไม่ไว้หน้าว่าเพราะเหตุใดอาหารทั้งสองจานจึงไม่ผ่านในสายตาเธอ จิ่วหัวสงสัยว่าทำไมเตี๋ยอีถึงรู้ลึกรู้จริงเรื่องการทำอาหาร อีอีออกตัวว่าตนเป็นคุณหนูสกุลเสิ่นแห่งเหยาเฉิงจึงคุ้นเคยกับอาหารรสเลิศทุกชนิด ครั้นสบโอกาสอีอีจึงขอตัวไปทำธุระส่วนตัวทันที จิ่วหัวรู้สึกแปลกใจที่เตี๋ยอีเรียกตนอย่างสนิทสนมว่า "เสี่ยวถัง" ทั้งยังบอกตรงๆ ว่าจะไป "เข้าส้วม" (เตี๋ยอีที่เขาเคยรู้จักเป็นกุลสตรี และเธอเรียกเขาว่า "จิ่วหัว") ถึงกระนั้นเขายังคงมองแง่ดีว่าการที่เตี๋ยอี๋เป็นม้าดีดกะโหลกเช่นนี้ก็น่ารักดี




หลังรู้ว่าเตี๋ยอีหายตัวไป จิ่วหัว (ซึ่งยังคงเดินขากะเผลก) รีบสั่งคนออกตามหาทันที ในตอนนั้นอีอีได้ปลอมตัวเป็นบุรุษแล้วออกไปชมตลาดและเดินกินของอร่อยในเมืองฉางอัน แต่แล้วอยู่ๆ ชายคนหนึ่งก็เข็นรถส่งของพุ่งตรงมาที่อีอี เมื่ออีอีเบี่ยงตัวหลบก็ชนพ่อค้าขายถั่วโดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นเหล่าพ่อค้าก็เสียหลักล้มชนกันเป็นทอดๆ จนถั่ว ผัก และผลไม้ชนิดต่างๆ ตกกระจายเกลื่อนพื้น อีอีเกือบลื่นหงายหลัง โชคดีที่มีชายคนหนึ่งพุ่งตัวมาประคองเธอไว้ได้ทัน ปรากฏว่าชายผู้นี้คือ...หยางจื่ออัน ทั้งคู่จ้องตากันดุจต้องมนตร์ เมื่ออีอีกระพริบตาจื่ออันก็ตื่นจากภวังค์ เขาขมวดคิ้วพลางตำหนิอีอีที่ทำตัวไม่เหมาะสม และปล่อยมือทันที (เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นสตรี) 

ครั้นพบว่าชุดของตนเลอะเต้าหู้เหม็น (อีอีเดินกินก่อนหน้านี้ ทั้งยังถือไม้จิ้มเป็นหลักฐานคามือ) จื่ออันก็รู้สึกไม่พอใจ หลังล้มก้นกระแทกพื้นอีอีจึงโวยจื่ออันที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษ จื่ออันเห็นอีอีก้มเก็บข้าวของจึงตำหนิเธอที่คิดหนีหลังก่อเรื่อง เขาชี้ว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป เธอก่อเรื่องวุ่นวายในตลาดเมืองฉางอัน (เมืองหลวง) จึงสมควรถูกลงโทษ อีอีสวนกลับว่าเขาดีแต่พูด แทนที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือกลับเอาแต่ยืนบ่น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ปะทะคารมกัน จื่ออันไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำด้วยเลยเดินหนีโดยไม่รู้ว่าทำถุงเงินตก อีอีก้มเก็บของใส่ห่อผ้าพลางบ่นจื่ออันไม่หยุด ทันใดนั้นก็มีเสียงคนร้องเรียก "เตี๋ยอี!" อีอีเห็นจิ่วหัวออกตามหาตนเลยรีบเก็บของใส่ห่อผ้า ด้วยความเร่งรีบเธอจึงเผลอหยิบถุงเงินของจื่ออันติดมือไปด้วย



ในเวลาเดียวกันนั้น ซินหย่วน (องค์ชายรอง) เพิ่งออกจากวังและกำลังเดินทางผ่านตลาดฉางอัน ขณะอยู่บนรถม้าเขาใช้กระดองเต่าทำนายดวงชะตา คำทำนายระบุว่าวันนี้เขาจะได้พบใครคนหนึ่ง เป็นการพบที่ต้องแยกทาง ไม่สนิทสนม ไม่เหินห่าง ถึงตัวไกลแต่ใจเชื่อมถึงกัน เป็นคนที่ฟ้าลิขิตให้พบเจอแต่ไม่มีวาสนาได้ครองคู่ ขณะที่ซินหย่วนกำลังครุ่นคิดเรื่องคำทำนาย อยู่ๆ อีอีก็โผล่พรวดเข้ามาในรถม้าของเขา แม้ไม่รู้ว่าอีอีเป็นใครแต่ซินหย่วนกลับยอมให้เธอหลบซ่อนตัวในรถม้า หลังหนีจิ่วหัวพ้นแล้วอีอีจึงกล่าวขอบคุณซินหย่วนและขอตัวทันที ซินหย่วนเห็นว่าอีอีเป็นบุรุษจึงไม่น่าใช่คนที่ "ฟ้าลิขิตให้มาพบเจอ แต่ไม่มีวาสนาได้ครองคู่" เขาเลยสงสัยว่าคำทำนายอาจผิดพลาด  



อีอีเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในชุมชนคนยากไร้ ครั้นเห็นสภาพความเป็นอยู่อันแร้นแค้นของผู้คนเธอจึงรู้สึกเวทนา บังเอิญว่าตอนนั้นจื่ออันอยู่ที่นั่นพอดี เขากำลังแนะช่องทางทำมาหากินให้กลุ่มเด็กขอทาน แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร หลังจากนั้นเขาก็ประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า ใต้เท้าถังได้เปิดโรงทานเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้หลายแห่ง นอกจากการปันส่วนอาหารรายวันแล้ว หากใครอยากทำงานแลกค่าตอบแทนเล็กน้อยๆ สามารถลงทะเบียนเพื่อช่วยทำข้าวต้มและทำความสะอาดได้   ครั้นได้ยินว่าอีอีแจกเงิน เด็กขอทานทั้งหมดจึงพากันวิ่งไปหาอีอี จื่ออันไม่พอใจที่อีอีนำเงินมาแจกเด็กขอทาน เพราะเขาอยากสอนวิธีหาเงินให้เด็กเหล่านี้มากกว่า (เขาอยากให้เด็กๆ รู้จักพึ่งพาตนเอง จะได้เลิกเป็นขอทาน) แต่อีอีเคยอดอยากหิวโหยมาก่อนเลยอยากช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ (เธอเพิ่งมาฉางอันเลยไม่รู้ว่ามีการตั้งโรงทาน)

ครั้นรู้ว่าเงินที่อีอีนำมาแจกจ่ายเป็นเงินของตน (เขาเพิ่งรู้ตัวว่าถุงเงินหาย) จื่ออันจึงคิดว่าอีอีเป็นขโมย อีอีไม่รู้มาก่อนว่าถุงเงิน (ที่บังเอิญหยิบติดมือมา) เป็นของจื่ออัน เธอรีบคืนถุงเงินให้เขาพลางรับปากว่าจะชดใช้เงินส่วนที่ขาดหาย จากนั้นจึงควักเงินในกระเป๋าของตนมาแจกเด็กๆ แทน จื่ออันยังไม่วายตำหนิอีอีที่ช่วยเหลือคนแบบผิดๆ อีอีแย้งว่าจื่ออันไม่เคยลำบากเลยชอบอ้างหลักการและคุณธรรมอันสูงส่ง หลังปะทะคารมเพราะมองต่างมุม จื่ออันจึงแนะว่าทางที่ดีอีอีควรสอนพวกเขาจับปลา แทนที่จะเอาปลามาแจก เธออาจช่วยพวกเขาได้ตอนนี้แต่ไม่สามารถช่วยได้ตลอดไป หลังพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้วจื่ออันก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดี (เขายังคงไม่รู้ว่าอีอีเป็นสตรี) 



อีอีแอบสะใจที่คนถือดีอย่างนาย "เต้าหู้เหม็น" (หยางจื่ออัน) เถียงสู้ตนไม่ได้ (เธอหยิบยกบทกวีที่เตี๋ยอีเคยสอนมาเถียงสู้) หลังอีอีเดินจากไปแล้ว "ตู๋กูมู่เสวี่ย" ซึ่งแอบงีบอยู่ในบริเวณดังกล่าวก็แหวกเสื่อออกมาบิดขี้เกียจ อีอีไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสืบหาชาติกำเนิดของเตี๋ยอีจากจุดใดเลยคิดที่จะไปตั้งหลักที่โรงเตี๊ยม ทว่าจิ่วหัวมาพบเธอเข้าเสียก่อน เขาดีใจมากที่หาเตี๋ยอี (อีอี) เจอเลยเผลอแตะเนื้อต้องตัว ก่อนถามว่าตนทำอะไรผิดเธอถึงคิดหนีตนไป อีอีชี้ว่าจิ่วหัวไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เป็นเธอที่ผิดเอง จิ่วหัวสงสัยว่าทำไมเตี๋ยอี (อีอี) ถึงแต่งกายคล้ายบุรุษ อีอีไม่รู้จะตอบยังไงเลยแกล้งป่วย จิ่วหัวเห็นดังนั้นเลยรีบพาเธอกลับจวนสกุลถัง



"ใต้เท้าถัง" (รองเจ้ากรมกลาโหม) เห็นว่าที่ลูกสะใภ้สวมเสื้อผ้าของบุรุษจึงถามจิ่วหัวว่าเกิดอะไรขึ้น จิ่วหัวกล่าวว่าปกติแล้วเตี๋ยอีไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เธอป่วยหนักระหว่างเดินทางมาที่นี่เลยมีสภาพเช่นนี้ มารดาจิ่วหัวได้ยินดังนั้นจึงถามว่าตอนนี้เตี๋ยอีหายป่วยแล้วหรือยัง จิ่วหัวเองก็ไม่แน่ใจจึงตอบว่าน่าจะยัง ใต้เท้าถังได้ยินแล้วไม่พอใจ เขารู้ว่าจิ่วหัวชอบทำอะไรแบบสุกเอาเผากิน แต่นี่เป็นเรื่องของภรรยาในอนาคตเขากลับไม่รู้ว่าเธอหายป่วยหรือยัง จิ่วหัวบอกบิดาว่าเตี๋ยอีอ่อนล้าจากการเดินทางไกล ตนมั่นใจว่าเตี๋ยอีจะดีขึ้นหากได้พักผ่อนสักวันสองวัน มารดาจิ่วหัวได้ยินดังนั้นจึงตัดบทด้วยการสั่งให้สาวใช้พาเตี๋ยอีไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ หลังบุตรชายลอบพาว่าที่เจ้าสาวเข้าเมืองฉางอันโดยไม่ขออนุญาตและไม่หารือกันก่อน ใต้เท้าถังกลับไม่คิดขัดขวางและไม่เอาเรื่อง เพราะเห็นว่าจิ่วหัวร่ำร้องอยากแต่งงานกับเตี๋ยอีมาตั้งแต่เด็ก แต่มีข้อแม้ว่าจิ่วหัวจะต้องสอบเข้าสำนักศึกษาซ่างอี้ก่วนตามสัญญา 



จิ่วหัวนำเครื่องประดับล้ำค่าราคาแพงมาให้เตี๋ยอี (อีอี) ที่ห้อง อีอีเห็นเขาใช้เงินเป็นเบี้ยโดยไม่สนว่าพ่อค้าจะโก่งราคาหรือไม่ เลยถามหยั่งเชิงว่าของจริงหรือปลอมก็ไม่เกี่ยงงั้นหรือ จิ่วหัวคิดว่าเตี๋ยอีหมายถึงเครื่องประดับแต่อีอีบอกว่าเธอหมายถึงตัวเอง จิ่วหัวนึกว่าเตี๋ยอีพูดเพ้อเจ้อเพราะยังไม่หายป่วยเลยคิดว่าควรเชิญหมอมารักษาเธอ เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะคุยเรื่องจริงจังกับเตี๋ยอีแต่พอเห็นเธอพูดจาแปลกๆ เขาจึงเปลี่ยนใจและบอกให้เธอพักผ่อน อีอีถามจิ่วหัวว่าหากตนไม่ใช่ "เสิ่นเตี๋ยอี" จะเป็นเช่นไร จิ่วหัวยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความเอ็นดูว่า "หากไม่ใช่เตี๋ยอีแล้วเจ้าเป็นใคร?" อีอีได้แต่อึกอักเพราะไม่รู้จะตอบเช่นไร จิ่วหัวตัดบทโดยบอกว่าอย่าฟุ้งซ่าน เขาตั้งใจว่าจะปล่อยให้เธอพักผ่อนแล้วค่อยมาหาเธอใหม่วันรุ่งขึ้น อีอีรวบรวมความกล้าแล้วร้องบอกจิ่วหัวว่า "เสิ่นเตี๋ยอีตายแล้ว" จิ่วหัวได้ยินดังนั้นจึงตำหนิเธอที่พูดจาเหลวไหล อีอีกล่าวว่า ทุกคนล้วนต้องตาย หากเป็นเช่นนั้นจริง (เตี๋ยอีตาย) เขาจะทำเช่นไร จิ่วหัวตอบว่า "หากทุกคนล้วนต้องตาย ข้าขอตายก่อนเจ้า"

จิ่วหัวบอกเตี๋ยอี (อีอี) ว่าอย่ากังวล เขารอเธอมาสิบปีแล้ว รอต่ออีกสี่ปีไม่เห็นเป็นไร ที่แท้เมื่อสองสามปีก่อนเตี๋ยอีเคยเขียนจดหมายไปขอให้จิ่วหัวช่วยสืบหาเจ้าของที่คาดเอวซือหนาน (เธออยากรู้ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของตนเป็นใคร) แต่จิ่วหัวรู้เพียงว่าที่คาดเอวซือหนานของเตี๋ยอีมาจากฉางอัน เขากล่าวว่าหยกคาดเอวชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากเมื่อหลายปีก่อน เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงแทบทุกคนในฉางอันต่างมีคนละชิ้น เนื่องจากหยกคาดเอวชนิดนี้มีผู้ครอบครองมากมาย แถมเวลายังล่วงเลยมานาน การสืบหาเจ้าของจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าจิ่วหัวคิดได้วิธีหนึ่ง เขาเชื่อว่าหากตนกับเตี๋ยอีได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาซ่างอี้ก่วนจะต้องได้เบาะแสเพิ่มขึ้น เพราะนักเรียนที่นี่ล้วนมากจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ไม่ก็เป็นลูกหลานพ่อค้าที่มั่งคั่ง หรือผู้กล้าที่กว้างขวางในยุทธภพ หากพวกตนสืบหาข้อมูลจากคนเหล่านี้จะต้องพบเบาะแสบางอย่างแน่นอน



เนื่องจากเตี๋ยอีเคยบอกจิ่วหัวว่าอยากเป็นศิษย์สำนักศึกษาซ่างอี้ก่วน จิ่วหัวเลยลงชื่อสมัครสอบให้เตี๋ยอี  และมั่นใจว่าคนฉลาดอย่างเธอต้องสอบผ่านแน่ ที่สำคัญพวกตนจะได้ใช้เวลาร่วมกันตลอดสี่ปีที่ซ่างอี้ก่วน จิ่วหัวบอกเตี๋ยอี (อีอี) ว่าสำนักศึกษาซ่างอี้ก่วนไม่รับศิษย์ที่เป็นสตรี เขาเลยแก้ประวัติของเตี๋ยอีในทะเบียนราษฎร์ให้เป็นเพศชาย ดังนั้น เตี๋ยอี (อีอี) จะต้องแต่งกายเป็นบุรุษ และต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ มิเช่นนั้นจะถูกตัดหัวโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้ อีอีกลัวถูกจับได้เลยไม่ยอมไป จิ่วหัวได้ทีจึงกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นก็มาแต่งงานกัน อีอีได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนใจและเลือกที่จะไปสอบ หลังจิ่วหัวออกจากห้องไปแล้วอีอีก็วางแผนรับมือทันที เธอตั้งใจว่าจะให้จิ่วหัวเข้าเรียนที่สำนักศึกษาซ่างอี้ก่วนคนเดียว เพราะถ้าหากจิ่วหัวสอบผ่านแต่ตนสอบไม่ผ่าน สัญญาแต่งงานของพวกตนจะสิ้นสุดไปโดยปริยาย หลังแก้ปัญหาเรื่องแต่งงานได้แล้วค่อยช่วยเตี๋ยอีตามหาบิดามารดา

** จบตอนที่หนึ่ง **

* เนื้อหาโดย luvasianseries / ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่





รายชื่อนักแสดง


นักแสดงนำ


หวังอวี้เหวิน
รับบท เสิ่นอีอี
(นักแสดง ชาวจีน)




อู๋ซีเจ๋อ
รับบท หยางจื่ออัน
(นักแสดง ชาวจีน)




หลิวอี้ช่าง
รับบท ตู๋กูมู่เสวี่ย
(นักแสดง ชาวจีน)




เซี่ยปินปิน
รับบท ถังจิ่วหัว
(นักแสดง / นักร้อง / ผู้ดำเนินรายการ ชาวจีน)




ชีเผยซิน
รับบท หลี่ซินหย่วน (เซียวซินหย่วน)
(นักแสดง ชาวจีน)

อื่นๆ



หลี่ปั๋วหยาง
รับบท หานอวี้เอ๋อร์
(นักแสดง ชาวจีน)




จินจง
รับบท หยางจื่อซวี่
(นักแสดง ชาวจีน)




เวินฉิง
รับบท หนิงเซียง
(นักแสดง ชาวจีน)




เซี่ยซืออวี้
รับบท เซียวหลิงจวิน (ไท่จื่อ)
(นักแสดง ชาวจีน)





* ดูคลิปตัวอย่างและไฮไลต์ทาง WeTV Thailand ได้ ที่นี่

*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา