องค์ชายรัชทายาท (องค์ชายฮวอน) จ้องมองร่มสีแดงที่ลอยคว้างกลางอากาศ แล้วคิดว่าปรากฏการณ์ประหลาดนี้อาจเป็นลางบอกเหตุว่าพระองค์จะได้พบยอนอูอีกครั้ง ขณะที่ข้าหลวงประจำพระองค์เห็นแล้วกลับสติแตกเพราะนึกว่าโดนผีหลอก
ยอนอูถึงกับช็อคเมื่อรู้ฐานะที่แท้จริงขององค์ชายฮวอน ระหว่างที่เธอกำลังนั่งครุ่นคิดเรื่ององค์ชายรัชทายาท อยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นที่ข้างกำแพง ยอนอูได้ยินแล้วถึงกับขวัญผวา แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าองค์ชายคงไม่ใจร้ายถึงขั้นส่งนักฆ่ามากำจัดเธอที่บ้านโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง
ด้วยความอยากรู้ว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ ยอนอูจึงเดินออกไปดูและพบว่ามีก้อนหินวางทับจดหมายอยู่ (หินวิเศษรักษาทุกโรคของแก๊งค์ต้มตุ๋น) เมื่อหยิบหินก้อนนั้นขึ้นมาดูก็พบตัวอักษร "เฮ อูซอก" เนื้อความในจดหมายระบุว่า หากมีปัญหาคาใจให้บอกก้อนหินที่ชื่อ "เฮ อูซอก" แล้วหินก้อนที่ว่านี้จะช่วยปัดเป่าความทุกข์และแก้ไขปัญหาให้เอง ดังนั้นเธอจึงควรเข้านอนและหลับให้สบาย ในจดหมายยังบอกด้วยว่า 'หินก้อนนี้คือของฝากจากการเดินทางครั้งล่าสุด' แม้ในจดหมายจะไม่ระบุชื่อผู้ส่ง แต่ยอนอูก็รู้ทันทีว่าเจ้าของจดหมายเป็นใคร (เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์ชายยางมยองปีนกำแพงมาแอบดูยอนอู และก่อนหน้านี้ยอนอูก็เคยโวยวายใส่องค์ชายมาแล้ว)
อีกด้านหนึ่ง "โฮยอม" พี่ชายของยอนอู ก็กำลังประลองดาบไม้กับ "คิม แจอูน" (ซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิท) บริเวณด้านหน้าเรือนที่พัก โดยมี "โซล" ทาสสาวประจำตัวยอนอูแอบซุ่มดูอยู่และลุ้นให้ "ยอม" เป็นฝ่ายชนะ "อูน" รู้สึกได้ว่ามีคนแอบมองเลยเสียสมาธิเล็กน้อย แต่พอรู้ว่าเป็นทาสสาวจอมซนเขาก็แอบยิ้มและแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
หลังการประลองจบลงโดยที่ยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อูนก็ถามยอมด้วยความเป็นห่วงว่า "ท่านเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ...นายน้อย" แม้ยอมจะเกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูง แต่เขาก็ไม่ต้องการแบ่งแยกชนชั้นกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "เพื่อน" เขาจึงขอร้องอูนให้เลิกเรียกตนว่า "นายน้อย" เสียที อูนได้แต่ยืนนิ่งไม่ยอมรับปาก แม้จะอยู่ในสถานะเพื่อนสนิทแต่เขาก็ไม่บังอาจทำตัวตีเสมอยอม
ยอม บ่นกับอูนว่าองค์ชายยางมยองมาถึงช้ากว่าเวลานัดหมาย โดยหารู้ไม่ว่าขณะนั้นองค์ชายกำลังปีนกำแพงและแอบย่องเข้ามาทางด้านหลัง แถมองค์ชายยังห้ามไม่ให้อูนบอกยอมว่าตนมาถึงแล้ว ยอมจึงบ่นต่อว่า "เวลาองค์ชายอยู่ใกล้ๆ ก็น่าหนวกหู แต่พอองค์ชายไม่อยู่กลับรู้สึกเงียบเหงายังไงชอบกล" องค์ชายยางมยองได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า ถ้ารู้แต่แรกว่ายอมคิดถึงตนมากขนาดนี้ ตนคงเลิกท่องเที่ยวแล้วรีบกลับมาหายอมทันที พูดจบองค์ชายก็ตะโกน "โฮยอมที่รัก" จากนั้นก็โผเข้ากอดยอม (ซึ่งไม่ค่อยเต็มใจให้กอดสักเท่าไหร่) พลางกล่าวแสดงความยินดีที่ยอมสอบติดขุนนาง หลังกอดยอมจนหนำใจแล้ว องค์ชายก็หันไปหาอูนและตั้งท่ากระโดดกอด แต่อูนเบี่ยงตัวหลบ องค์ชายเลยต้องตะครุบลมแทน
หลังทักทายกันแล้ว องค์ชายยางมยองก็ชวนทุกคนไปนั่งดื่มและทานอาหารว่าง (เต้าหู้) ภายใต้แสงจันทร์ จากนั้นก็บอกว่าที่ตนมาช้าเพราะต้องแวะไปหา 'คนสำคัญ' ก่อน ยอมเห็นว่าองค์ชายยางมยองไม่เคยมีใคร จึงถามว่าองค์ชายพบรักระหว่างเดินทางหรือ แต่แล้วเขาก็ฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง จึงพูดดักคอองค์ชายว่า "คงไม่ได้ปีนกำแพงขึ้นไปดูน้องสาวตนอีกใช่ไหม" องค์ชายแก้ตัวว่า ตนมีฐานะเป็นถึงองค์ชายจะทำเรื่องน่าอายอย่างนั้นได้ยังไง ยิ่งเป็นน้องสาวเพื่อนด้วยแล้วก็ไม่สมควรเข้าไปใหญ่
ยอมรู้ทันองค์ชายจึงบ่นว่า น้องสาวตนยังเด็กนัก ทั้งยังหยิบยกธรรมเนียมปฏิบัติมากล่าวอ้างเพื่อให้องค์ชายเลิกทำตัวรุ่มร่ามกับน้องสาวตนเสียที องค์ชายฟังยอมบ่นเรื่องนี้หลายครั้งจนเบื่อเลยเอามืออุดหู จากนั้นก็โทษว่า เป็นความผิดของยอมที่หวงน้องสาวจนเกินเหตุ หากยอมเปิดโอกาสให้พระองค์ได้พบกับยอนอูแต่โดยดี พระองค์คงไม่ทำแบบนี้ พอถูกยอมบ่นเรื่องยอนอูมากๆ เข้า องค์ชายยางมยองก็รีบตัดบทด้วยการบอกว่าพระองค์มี 'ของขวัญ' มาฝาก
องค์ชายยางมยองหยิบหินก้อนโตมาวางตรงหน้ายอมและอูน พลางบอกว่า นี่คือหินนำโชคที่จะช่วยให้ทั้งคู่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เห็นหินนี้เมื่อไหร่ให้นึกถึงพระองค์และจงพกติดตัวเอาไว้ อูนมองก้อนหินในมือแล้วพูดว่า หนักขนาดนี้ตนคงพกติดตัวลำบาก องค์ชายเลยหยิบหินก้อนใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าขึ้นมาอวดแล้วมอบให้อูน ก่อนที่จะรำพึงรำพัน (แอบเศร้า) ว่า... ในที่สุดเพื่อนรักทั้งสองคนของพระองค์ก็กลายเป็นคนขององค์ชายรัชทายาท (เหมือนคนอื่นๆ ) อีกแล้ว เมื่อเห็นว่าทั้งยอมและอูนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก องค์ชายก็กลบเกลื่อนความเศร้าด้วยการหัวเราะ แล้วชวนเพื่อนทั้งสองให้ดื่มฉลองต่อ โดยบอกว่า หลังจากทั้งคู่เข้าไปทำงานในวังหลวง คงหาโอกาสเจอกันพร้อมหน้าแบบนี้ได้ยาก
หมายเหตุ: ถึงแม้จะเป็นเพื่อนรักแต่ทั้งสามหนุ่มก็อยู่ต่างชนชั้นกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ยอมและอูนจึงพูดกับองค์ชายยางมยองด้วยภาษาสุภาพ ขณะที่องค์ชายพูดกับทั้งคู่แบบปกติธรรมดา
วันต่อมา เหล่าขุนนางในราชสำนักนำรายชื่อว่าที่พระอาจารย์ (ขององค์ชายรัชทายาท) มาถวายพระเจ้าซองโจเพื่อให้พระองค์ทรงคัดเลือก โดยอ้างว่ารายชื่อดังกล่าวล้วนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบจากพระอาจารย์ใหญ่แล้ว เมื่อพระราชาทอดพระเนตรก็พบว่าผู้ที่ถูกเสนอชื่อเข้ามาเป็นลำดับต้นๆ ล้วนเป็นคนของสกุลยูน (เครือญาติใต้เท้ายูนและพระพันปี) เหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้มีรายชื่อขุนนางหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงติดเข้ามาในโผ (ตามพระบัญชา) ให้ทรงคัดเลือกด้วย
ขณะที่องค์ชายฮวอนกำลังเตรียมตัวเข้าเรียนกับพระอาจารย์คนใหม่ ซึ่งจะมาสอนเนื้อหาด้านวิชาการเป็นวันแรก ข้าหลวงฮยองซอน (ซึ่งถูกองค์ชายใช้ให้ไปสืบดูว่าขุนนางคนไหนบ้างที่ผ่านการเลือกจากพระราชา) ก็กลับมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ โดยรายงานว่าแม้ตนจะยังไม่ทราบว่าพระราชาทรงเลือกใคร แต่ก็มีรายชื่อตัวเก็งที่ถูกเสนอชื่อเข้ามาเป็น 3 อันดับแรก (ของแต่ละตำแหน่ง)
ข้าหลวงฮยองซอนชูกระดาษให้องค์ชายฮวอนดู แล้วบอกว่าตนได้มาด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็เริ่มอ่านรายชื่อให้องค์ชายฟัง แต่องค์ชายกลับท่องรายชื่อดังกล่าวได้ทั้งหมด (ส่วนใหญ่เป็นคนของสกุลยูน) พระองค์รู้ดีว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเสนอรายชื่อดังกล่าวคือ พระพันปีและใต้เท้ายูน จึงกล่าวว่าพระอาจารย์คนใหม่จะเป็นใครไม่สำคัญ ในเมื่อทุกคนล้วนเป็นคนแก่หัวโบราณที่ต้องการใช้พระองค์เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ
ถึงแม้องค์ชายฮวอนจะไม่มีอำนาจในการเลือกหรือสั่งปลดพระอาจารย์ด้วยตนเอง แต่พระองค์ก็พร้อมแล้วที่จะสร้างความปั่นป่วนให้กับเหล่าขุนนางที่ต้องการแสวงหาอำนาจบาตรใหญ่ โดยเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้คณะอาจารย์ชุดใหม่ทนไม่ไหวและพากันลาออกไปเองภายในเวลาไม่นาน ระหว่างที่องค์ชายเดินหน้าเข้มไปยังห้องเรียน เหล่านางในต่างพนันกันว่าพระอาจารย์คนใหม่ที่จะมาสอนในวันนี้คงทนอยู่ได้ไม่ถึงเดือนอย่างแน่นอน
ถึงแม้องค์ชายฮวอนจะไม่มีอำนาจในการเลือกหรือสั่งปลดพระอาจารย์ด้วยตนเอง แต่พระองค์ก็พร้อมแล้วที่จะสร้างความปั่นป่วนให้กับเหล่าขุนนางที่ต้องการแสวงหาอำนาจบาตรใหญ่ โดยเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้คณะอาจารย์ชุดใหม่ทนไม่ไหวและพากันลาออกไปเองภายในเวลาไม่นาน ระหว่างที่องค์ชายเดินหน้าเข้มไปยังห้องเรียน เหล่านางในต่างพนันกันว่าพระอาจารย์คนใหม่ที่จะมาสอนในวันนี้คงทนอยู่ได้ไม่ถึงเดือนอย่างแน่นอน
ทันทีที่โฮยอมปรากฏตัวในวังหลวง เหล่านางในต่างพากันใจละลายเพราะไม่นึกฝันว่าพระอาจารย์คนใหม่ขององค์ชายรัชทายาทจะเป็นชายหนุ่มรูปงามหน้าใสไร้ที่ติ และเมื่อยอมเข้ารายงานตัวกับองค์ชายฮวอนในฐานะพระอาจารย์คนใหม่* องค์ชายฮวอนก็ตกตะลึงตาค้างเมื่อเห็นว่าพระอาจารย์คนใหม่ไม่ใช่ขุนนางแก่หัวโบราณ แต่เป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีออร่าเปล่งประกาย
* โฮยอม ได้รับการคัดเลือกจากพระราชาให้เป็นหนึ่งในผู้สอน แต่หลังจากสอนได้ระยะหนึ่งแล้ว จะมีการประเมินผลอีกครั้ง จึงเปรียบเสมือนอาจารย์พิเศษที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งหรือบรรจุให้เป็นพระอาจารย์อย่างเป็นทางการ
ยอนอูถึงกับอึ้งเมื่อทราบข่าวจากมารดาว่า พี่ชายของเธอได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้สอนหนังสือองค์ชายรัชทายาท เธออดเป็นกังวลและนึกสงสัยไม่ได้ว่า
องค์ชายฮวอนจะรู้หรือไม่ว่าเธอเป็นน้องสาวของยอม
ด้านองค์ชายฮวอนก็อึ้งไม่แพ้กันเมื่อรู้ว่าพระอาจารย์คนใหม่มีอายุเพียง 17 ปี (พระองค์อายุ 15 ปี) ข้าหลวงฮยองซอนเตือนองค์ชายให้แสดงความเคารพอาจารย์ แต่องค์ชายไม่สนใจและไม่ยอมรับ ทั้งยังพูดเหน็บแนมยอมว่า เขาคงเส้นใหญ่เอามากๆ จึงเข้ามารับหน้าที่นี้ได้ทั้งที่ยังอายุน้อย พูดจบองค์ชายก็นั่งลงแล้วเปิดตำราดูอย่างเซ็งๆ โดยไม่สนใจยอมที่นั่งอึ้งตรงหน้า เพราะเข้าใจว่ายอมเป็นคนที่ใต้เท้ายูนส่งมา
พระพันปีโกรธมากเมื่อรู้ว่าพระเจ้าซองโจเลือกยอมให้เป็นครูสอนเนื้อหาด้านวิชาการ แทนที่จะเป็นคนของฝ่ายสกุลยูน หลังโดนตำหนิชุดใหญ่ใต้เท้ายูนพยายามปลอบใจพระพันปีโดยอ้างว่ายอมเป็นเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์คงรับมือองค์ชายไม่ไหวและเชื่อว่าน่าจะสอนได้ไม่นาน พระพันปีฟังแล้วยิ่งอารมณ์เสีย จึงตำหนิใต้เท้ายูนที่อ่านเกมไม่ออก จากนั้นก็บอกว่าพระราชากำลังลดบทบาทขั้วอำนาจฝ่ายพระพันปี ด้วยการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของพระองค์เอง
พระพันปีโกรธมากเมื่อรู้ว่าพระเจ้าซองโจเลือกยอมให้เป็นครูสอนเนื้อหาด้านวิชาการ แทนที่จะเป็นคนของฝ่ายสกุลยูน หลังโดนตำหนิชุดใหญ่ใต้เท้ายูนพยายามปลอบใจพระพันปีโดยอ้างว่ายอมเป็นเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์คงรับมือองค์ชายไม่ไหวและเชื่อว่าน่าจะสอนได้ไม่นาน พระพันปีฟังแล้วยิ่งอารมณ์เสีย จึงตำหนิใต้เท้ายูนที่อ่านเกมไม่ออก จากนั้นก็บอกว่าพระราชากำลังลดบทบาทขั้วอำนาจฝ่ายพระพันปี ด้วยการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของพระองค์เอง
ความจริงแล้ว เหตุผลหลักที่พระเจ้าซองโจเลือกโฮยอมให้มาทำหน้าที่สอนหนังสือองค์ชายรัชทายาท เนื่องจากเขาเป็นคนดีมีความรู้จึงน่าจะช่วยส่งเสริมองค์ชายให้เป็นพระราชาที่ดีได้ ที่สำคัญ พระองค์ต้องการให้ยอมเป็นเพื่อนคู่คิดขององค์ชาย เพื่อที่องค์ชายจะได้ไม่เหงา ไม่ทำตัวเหลวไหล และไม่หนีออกนอกวังเพื่อไปหาองค์ชายยางมยองอีก
องค์ชายฮวอนโกรธมากที่พระเจ้าซองโจส่งอาจารย์หน้าใสวัยละอ่อนมาสอนพระองค์ จึงสั่งให้ข้าหลวงฮยองซอนไปสืบประวัติยอมว่าเป็นใครมาจากไหน ข้าหลวงฮยองซอนกลับมารายงานว่า ยอมคือผู้ที่สอบขุนนาง (ฝ่ายบุ๋น) ได้ที่หนึ่ง และมีชื่อเสียงโดดเด่นตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นบัณฑิตของ (มหาวิทยาลัย) ซองยุนกวาน... ไม่ว่าจะด้านรูปร่างหน้าตาหรือวิชาความรู้ ยอมล้วนอยู่แถวหน้า แถมยังมีบุคลิกและนิสัยที่ดีอีกต่างหาก สรุปก็คือ ดีชนิดหาที่ติไม่ได้ในทุกๆ ด้าน จนใครๆ ต่างยอมรับนับถือและหลงใหลในเสน่ห์ของเขา
ข้าหลวงฮยองซอนยังบอกด้วยว่า ยอมเป็นเลิศทั้งในด้านอักษรศาสตร์ ปรัชญา การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ องค์ชายฮวอนฟังข้าหลวงฮยองซอนชื่นชมยอมเป็นชุดๆ โดยไม่มีทีท่าว่าหยุดก็ยิ่งรู้สึกโกรธ จึงสั่งให้ข้าหลวงฮยองซอนหุบปากและออกไปให้พ้นหูพ้นตา ข้าหลวงฮยองซอนจึงเดินคอตกไปหลบอยู่ตรงมุมห้องแล้วหันหน้าเข้าหาผนังเพื่อรอรับคำสั่ง
ขณะที่ยอมกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะกลุ้มใจเรื่ององค์ชายรัชทายาท ยอนอูก็เข้ามาหาเพราะได้เวลาเรียนหนังสือกับพี่ชาย (ยอมจะสอนหนังสือยอนอูทุกคืน) เมื่อเห็นหน้าน้องสาวยอมก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู แต่ยอนอูรู้ว่าพี่ชายมีเรื่องไม่สบายใจเลยถามว่าองค์ชายรัชทายาททำอะไรให้ยอมไม่สบายใจหรือเปล่า ยอมตอบว่าองค์ชายไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ตนกำลังเผชิญกับงานที่ยากและท้าทาย เพราะองค์ชายเข้าใจตนผิด และตนก็คิดไม่ตกว่าจะเปิดใจองค์ชายได้ยังไง ที่สำคัญ องค์ชายคงทำใจยอมรับไม่ได้ที่มีเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ยอนอูอาสาช่วยพี่ชายวางแผนรับมือองค์ชายฮวอน เพราะคิด (ไปเอง) ว่าเธอคือต้นเหตุที่ทำให้องค์ชายมีอคติกับยอม
วันรุ่งขึ้น องค์ชายฮวอนยังคงทำสงครามประสาทกับยอมด้วยการพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจยอมที่นั่งตรงหน้า ยอมปล่อยให้องค์ชายทำตามใจชอบแล้วนั่งมองอย่างอดทน เมื่อเวลาผ่านเลยไประยะหนึ่ง ยอมจึงบอกองค์ชายฮวอนว่าหมดเวลาเรียนแล้ว ขณะที่ยอมลุกขึ้นถวายความเคารพ องค์ชายฮวอนก็ตำหนิยอมว่า น่าไม่อาย กินเงินหลวงแล้วไม่รับผิดชอบ ยังไม่ทันเริ่มสอนแต่ดันมีหน้ามาบอกว่าหมดเวลาเรียนแล้ว
ยอมตอบว่า นั่นเป็นเพราะองค์ชายยังไม่พร้อมที่จะเรียนหนังสือ องค์ชายย้อนว่าอาจเป็นยอมเองที่ไม่พร้อมจะทำการสอน ยอมเสนอองค์ชายให้มาทำข้อตกลงระหว่างกัน โดยบอกว่าตนจะตั้งคำถาม หากองค์ชายตอบถูกตนจะยอมแพ้และจะสละตำแหน่งอาจารย์ แต่ถ้าองค์ชายตอบผิด พระองค์ต้องยอมรับนับถือตนในฐานะอาจารย์และตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
เมื่อองค์ชายยอมรับข้อเสนอ ยอมจึงถามองค์ชายว่า "อะไรที่ทำให้โลกมืดหรือสว่างได้ในชั่วพริบตา?" องค์ชายฮวอนหัวเราะแล้วบอกว่า "คำถามง่ายๆ เนี่ยนะ?" แต่ยอมทำหน้าจริงจังแล้วบอกว่า "คำตอบไม่ง่ายอย่างที่คิด" เขาบอกองค์ชายว่าจะมาฟังคำตอบคราวหน้า องค์ชายสวนทันควันว่า อีกหน่อยคงไม่ได้เจอกันแล้ว (มั่นใจสุดๆ ว่าตอบได้แน่นอน)
ยอมตอบว่า นั่นเป็นเพราะองค์ชายยังไม่พร้อมที่จะเรียนหนังสือ องค์ชายย้อนว่าอาจเป็นยอมเองที่ไม่พร้อมจะทำการสอน ยอมเสนอองค์ชายให้มาทำข้อตกลงระหว่างกัน โดยบอกว่าตนจะตั้งคำถาม หากองค์ชายตอบถูกตนจะยอมแพ้และจะสละตำแหน่งอาจารย์ แต่ถ้าองค์ชายตอบผิด พระองค์ต้องยอมรับนับถือตนในฐานะอาจารย์และตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
เมื่อองค์ชายยอมรับข้อเสนอ ยอมจึงถามองค์ชายว่า "อะไรที่ทำให้โลกมืดหรือสว่างได้ในชั่วพริบตา?" องค์ชายฮวอนหัวเราะแล้วบอกว่า "คำถามง่ายๆ เนี่ยนะ?" แต่ยอมทำหน้าจริงจังแล้วบอกว่า "คำตอบไม่ง่ายอย่างที่คิด" เขาบอกองค์ชายว่าจะมาฟังคำตอบคราวหน้า องค์ชายสวนทันควันว่า อีกหน่อยคงไม่ได้เจอกันแล้ว (มั่นใจสุดๆ ว่าตอบได้แน่นอน)
แท้จริงแล้วองค์ชายฮวอนแกล้งทำเป็นมั่นใจต่อหน้ายอม ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้คำตอบ พระองค์จึงสั่งให้เหล่าขันทีช่วยกันขนตำราในห้องสมุดมาใว้ที่ตำหนักเพื่อจะได้ค้นคว้าหาคำตอบ องค์หญิงมินฮวา (พระขนิษฐา หรือน้องสาวขององค์ชายฮวอน) กำลังจะเสด็จไปพบพระมเหสี แต่พอเห็นเหล่าขันทีช่วยกันขนหนังสือกองโตไปยังตำหนักองค์ชายฮวอนก็รู้สึกสงสัย เลยวิ่งตามไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ครั้นพอเห็นพระเชษฐานั่งอยู่ท่ามกลางหนังสือกองโต องค์หญิงมินฮวาก็รู้สึกทึ่ง ทั้งยังแปลกใจว่าทำไมอยู่ๆ องค์ชายฮวอนก็เปลี่ยนไป พอรู้ว่าองค์ชายฮวอนกำลังหาคำตอบว่า "อะไรทำให้โลกมืดหรือสว่างได้ในชั่วพริบตา" องค์หญิงจึงครุ่นคิดสักครู่แล้วบอกว่าคำตอบก็คือ "เปลือกตา" จากนั้นก็กระพริบตาปริบๆ เพื่อสาธิตให้ดู แต่องค์ชายฮวอนคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ จึงไล่องค์หญิงออกจากตำหนักไป
ในที่สุดองค์ชายฮวอนก็ตอบว่า สิ่งที่ทำให้โลกมืดหรือสว่างได้ในชั่วพริบตา คือ "หลักการปกครองของพระราชา" จากนั้นก็หยิบยกข้อความในตำราที่ว่าด้วยหลักการปกครองมากล่าวอ้าง สรุปใจความได้ว่าการตัดสินใจของพระราชาอาจให้คุณหรือโทษกับประชาชน ซึ่งเปรียบเสมือนการทำให้โลกมืดหรือสว่างได้ (ระหว่างที่องค์ชายตอบคำถาม พระเจ้าซองโจก็เสด็จผ่านห้องเรียนพร้อมเหล่าขุนนาง จึงหยุดฟังบริเวณด้านนอก)
ยอม ทูลว่าพระองค์ "ตอบผิด" และเฉลยว่าคำตอบที่ถูกต้องก็คือ "เปลือกตา"
เมื่อได้ยินคำตอบของยอม ข้าหลวงฮยองซอนที่ยืนฟังอยู่ทางด้านนอกถึงกับเข่าทรุด เช่นเดียวกับเหล่าข้าราชบริพารและทหารองครักษ์ที่ต่างพากันตกใจ ใต้เท้ายูนมองหน้าราชบัณฑิตโฮ (พ่อของโฮยอม) แบบอึ้งๆ กึ่งเยาะเย้ย ราชบัณฑิตเองก็คาดไม่ถึงว่าบุตรชายจะมาไม้นี้จึงรีบเบือนหน้าหนี คงมีเพียงพระเจ้าซองโจเท่านั้นที่แอบยิ้มอย่างพึงพอใจ
องค์ชายฮวอนโกรธมากจึงโวยวายเสียงดังว่ายอมกำลังเล่นตลกกับพระองค์ ยอมถามองค์ชายอย่างใจเย็นว่า หากคำตอบไม่ถูกใจองค์ชายรัชทายาท แสดงว่าเป็นเรื่องตลกอย่างนั้นหรือ และถ้าคำตอบไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในตำรา ก็ถือเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญาใช่ไหม
องค์ชายฮวอนย้อนว่าคำเฉลยแบบเด็กอมมือจะถือเป็นคำตอบในชั้นเรียน (ของว่าที่พระราชา) ได้อย่างไร ยอมอธิบายว่าหากมองโลกในมุมมองของเด็กๆ จะเห็นว่าโลกใบนี้เป็นได้ทั้งปัญหา (คำถาม) และคำตอบในขณะเดียวกัน (เด็กไม่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ) เขายังบอกด้วยว่า มีสองสิ่งที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้ สิ่งแรกก็คือ 'ต้องไม่อวดเก่งและคิดว่าตนรู้ไปเสียทุกเรื่อง' อีกสิ่งหนึ่งก็คือ 'ต้องไม่ตอบคำถามด้วยทิฐิและความมีอคติ' เพราะทิฐิและอคติจะบดบังสายตา หัวใจ และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตขององค์ชายให้มืดมิด องค์ชายจึงควรตระหนักในเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี
ราชบัณฑิตโฮรีบขอพระราชทานอภัยโทษ แต่พระเจ้าซองโจส่งสัญญาณให้เงียบๆ เพราะอยากฟังยอมสอนองค์ชายฮวอน
ยอม ทูลองค์ชายฮวอนว่า ความจริงแล้วคำตอบของพระองค์นับว่าถูกต้อง แต่ถ้าพระองทรงปิดหูปิดตาตนเองแล้ว จะรับรู้ทุกข์สุขของประชาชนและจะเป็นพระราชาที่ดีได้อย่างไร ดังนั้น สิ่งที่พระองค์ต้องทำก่อนเป็นลำดับแรกคือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเรียนรู้ให้ถูกต้อง องค์ชายฮวอนได้ฟังดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์นัก จากนั้นเรียกหาข้าหลวงทันที
แทนที่จะโกรธ
องค์ชายฮวอนกลับสั่งให้ข้าหลวงฮยองซอนไปบอกห้องเครื่องให้เตรียมของว่าง เพราะหลังจากเรียนหนังสือแล้วพระองค์อยากคุยกับยอมต่อ ข้าหลวงฮยองซอนได้ยินแล้วถึงกับปลื้ม นอกจากนี้ องค์ชายฮวอนยังก้มศีรษะคำนับยอมในฐานะพระอาจารย์คนใหม่ พลางบอกว่าต่อไปนี้จะตั้งใจเรียน ทั้งยังกล่าวขอโทษที่ทำไม่ตัวดีกับยอมก่อนหน้านี้
พระเจ้าซองโจได้ยินองค์ชายฮวอนพูดแล้วรู้สึกดีใจ จึงตรัสกับข้าหลวงประจำพระองค์ว่า ในที่สุดองค์ชายรัชทายาทก็ได้พบอาจารย์คู่ใจเสียที (ใต้เท้ายูนฟังแล้วได้แต่ทำหน้าเซ็งๆ)
พระเจ้าซองโจได้ยินองค์ชายฮวอนพูดแล้วรู้สึกดีใจ จึงตรัสกับข้าหลวงประจำพระองค์ว่า ในที่สุดองค์ชายรัชทายาทก็ได้พบอาจารย์คู่ใจเสียที (ใต้เท้ายูนฟังแล้วได้แต่ทำหน้าเซ็งๆ)
องค์หญิงมินฮวาขำกลิ้งเมื่อรู้ว่าองค์ชายฮวอนถูกพระอาจารย์คนใหม่กำราบเสียจนอยู่หมัด ทั้งๆ ที่องค์ชายขึ้นชื่อเรื่องการสร้างความปั่นป่วนหัวหมุนให้กับเหล่าอาจารย์และข้าราชบริพารมาโดยตลอด แถมที่ผ่านมายังไม่เคยมีใคร "เอาอยู่" ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงมินฮวาจึงอยากเห็นหน้าและตบรางวัลให้พระอาจารย์คนเก่ง แม้นางในพี่เลี้ยงจะพยายามห้ามปรามโดยบอกว่าการออกไปพบผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องและคนในครอบครัวเป็นเรื่องไม่เหมาะสมก็ตาม
องค์หญิงตั้งใจจะไปคุยอวดพระอาจารย์คนใหม่ เรื่องที่พระองค์ทายคำตอบได้อย่างถูกต้อง ครั้นพอเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของยอมแล้ว องค์หญิงแสนซนกลับทำได้แค่ยืนตะลึง เมื่อยอมหันหน้ามาทางองค์หญิงมินฮวา องค์หญิงก็รีบหันหลังให้แล้วเอามือปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอาย
องค์หญิงตั้งใจจะไปคุยอวดพระอาจารย์คนใหม่ เรื่องที่พระองค์ทายคำตอบได้อย่างถูกต้อง ครั้นพอเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของยอมแล้ว องค์หญิงแสนซนกลับทำได้แค่ยืนตะลึง เมื่อยอมหันหน้ามาทางองค์หญิงมินฮวา องค์หญิงก็รีบหันหลังให้แล้วเอามือปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอาย
ระหว่างดื่มน้ำชาและทานอาหารว่าง องค์ชายฮวอนถามยอมว่า ถ้าพระองค์ตอบคำถามถูก ยอมจะลาออกจากตำแหน่งจริงๆ หรือ ยอมตอบว่าถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังมีแผนสองไว้คอยรองรับอยู่ดี องค์ชายจึงชมว่ายอมเข้มแข็งกว่าที่คิด ยอมทูลองค์ชายตามตรงว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้น้องสาวช่วยชี้แนะ โดยบอกว่าองค์ชายเป็นคนฉลาด การทำตัวประจบสอพลอไม่มีทางเปิดใจองค์ชายได้ จึงต้องใช้ความจริงใจเป็นที่ตั้งและคำนึงถึงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับองค์ชายก่อนเป็นลำดับแรก (ทำในสิ่งที่ควรทำเพราะหวังดี แทนที่จะทำแต่สิ่งองค์ชายชอบเพื่อเอาใจ)
พอรู้ว่าน้องสาวยอมอายุแค่ 13 ปี องค์ชายฮวอนก็รู้สึกทึ่งในความชาญฉลาด เมื่อเห็นยอมกำลังจะหยิบขนม (ลูกอมสีดำ)ใส่ปาก องค์ชายก็แย่งขนมในมือยอมแล้วบอกว่า คนที่คู่ควรกับของอร่อยๆ อย่างนี้น่าจะเป็นอาจารย์ตัวจริงมากกว่า พูดจบองค์ชายก็สั่งให้ข้าหลวงนำขนมดังกล่าวไปห่อ เพื่อเป็นของฝากสำหรับน้องสาวยอม
ระหว่างเสด็จกลับตำหนัก องค์ชายฮวอนนึกสงสัยว่าทำไมเด็กผู้หญิงอายุแค่ 13 ปีถึงได้เฉลียวฉลาดปานนี้ ข้าหลวงฮยองซอนทูลว่า เพราะนางเป็นน้องของพระอาจารย์โฮ (ยอม) ที่เพิ่งสอบขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ที่หนึ่งมาหมาดๆ ทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 17 ปี พอรู้ว่ายอมได้ที่หนึ่งจากการสอบครั้งล่าสุด พระองค์ก็นึกถึงคำพูดของยอนอู (ที่เคยบอกว่าพี่ชายเธอสอบขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ที่หนึ่ง) เมื่อรู้ว่าน้องสาวของพระอาจารย์คนใหม่ คือสาวน้อยที่เคยกล่าวหาว่าพระองค์เป็นขโมย องค์ชายก็ตำหนิข้าหลวงที่ไม่ยอมบอกข้อมูลสำคัญตั้งแต่ทีแรก ข้าหลวงอธิบายว่าตนพยายามทูลเรื่องนี้แล้ว แต่พระองค์นั่นแหล่ะที่สั่งให้ตนหุบปาก
ระหว่างเสด็จกลับตำหนัก องค์ชายฮวอนนึกสงสัยว่าทำไมเด็กผู้หญิงอายุแค่ 13 ปีถึงได้เฉลียวฉลาดปานนี้ ข้าหลวงฮยองซอนทูลว่า เพราะนางเป็นน้องของพระอาจารย์โฮ (ยอม) ที่เพิ่งสอบขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ที่หนึ่งมาหมาดๆ ทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 17 ปี พอรู้ว่ายอมได้ที่หนึ่งจากการสอบครั้งล่าสุด พระองค์ก็นึกถึงคำพูดของยอนอู (ที่เคยบอกว่าพี่ชายเธอสอบขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ที่หนึ่ง) เมื่อรู้ว่าน้องสาวของพระอาจารย์คนใหม่ คือสาวน้อยที่เคยกล่าวหาว่าพระองค์เป็นขโมย องค์ชายก็ตำหนิข้าหลวงที่ไม่ยอมบอกข้อมูลสำคัญตั้งแต่ทีแรก ข้าหลวงอธิบายว่าตนพยายามทูลเรื่องนี้แล้ว แต่พระองค์นั่นแหล่ะที่สั่งให้ตนหุบปาก
คืนนั้น ยอมนำของฝากจากองค์ชายรัชทายาทมามอบให้ยอนอู ทำให้ยอนอูรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะไม่รู้ว่าองค์ชายจะถือโทษโกรธเธอหรือไม่ ทั้งยังไม่แน่ใจว่าองค์ชายมอบขนมเพราะต้องการบอกว่าพระองค์ทรงยกโทษให้ หรือกำลังแกล้งให้เธอรู้สึกหวาดกลัวกันแน่ (ยอนอูนึกว่าองค์ชายรู้แต่แรกว่าเธอเป็นน้องสาวยอม เพราะครั้งแรกที่พบกันเธอเคยบอกองค์ชายว่า พี่ชายสอบขุนนางได้ที่หนึ่ง)
ขณะเดียวกัน บรรดาขุนนางที่เป็นเบี้ยล่างของใต้เท้ายูนและพระพันปี ต่างมารวมตัวและพากันโวยวายพระเจ้าซองโจที่หักหน้าใต้เท้ายูนด้วยการเลือกบุตรชายของราชบัณฑิตโฮให้มาทำหน้าที่พระอาจารย์คนใหม่ แทนที่จะเป็นคนของสกุลยูนซึ่งช่วยสนับสนุนและผลักดันให้พระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เหล่าขุนนางเสนอให้รีบกำจัดท่านราชบัณฑิตก่อนที่ฝ่ายตนจะสูญเสียอำนาจ แต่ใต้เท้ายูนไม่เห็นด้วย ทั้งยังบอกอย่างใจเย็นว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำอะไรในตอนนี้
ใต้เท้ายูนกลับถึงบ้านในสภาพเมามาย และถามโบยองซึ่งเป็นลูกสาวว่า 'อยากเข้าวังไหม' เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้างงๆ ใต้เท้ายูนก็บอกว่าตนมีวิธีทำให้ลูกเข้าไปอยู่ในวังได้... และนี่ก็คือเหตุผลที่ใต้เท้ายูนไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อถูกพระราชามองข้ามความสำคัญ เพราะเป้าหมายของเขายิ่งใหญ่กว่านั้น และนั่นก็คือการได้เป็น "บิดาของพระมเหสี"
วันรุ่งขึ้น ยอนอูออกไปเลือกซื้อกระดาษราคาแพงเพื่อนำมาเขียนจดหมายขอโทษองค์ชายฮวอน โซล สงสัยว่าทำไมต้องเขียนจดหมายขอโทษบนกระดาษราคาแพงให้ยุ่งยาก แทนที่จะเดินไปกล่าวขอโทษด้วยตนเอง ยอนอูบอกว่า 'เขาไม่ใช่คนที่อยากพบเมื่อไหร่ก็ได้พบ' แต่โซลยังคงยืนยันความคิดเดิมโดยบอกว่า แม้จะเป็นพระราชาหรือองค์ชายรัชทายาทเธอก็ควรกล้าที่จะเอ่ยปากขออภัย หรือไม่ก็ยอมโดนโบยสักทีสองทีให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ยอนอูบอกว่าเธอไม่กลัวถูกลงโทษแต่กลัวพี่ชายเดือดร้อนเพราะเธอมากกว่า
ระหว่างกำลังพูดคุยกัน โซลได้ยินเสียงตีเหล็กเลยขอตัวออกไปดูช่างตีเหล็กทำงานสักครู่ องค์ชายยางมยองจึงถือโอกาสเข้ามาพูดคุยกับยอนอู โดยทักว่าเธอไปทำอะไรผิดมา...
ระหว่างกำลังพูดคุยกัน โซลได้ยินเสียงตีเหล็กเลยขอตัวออกไปดูช่างตีเหล็กทำงานสักครู่ องค์ชายยางมยองจึงถือโอกาสเข้ามาพูดคุยกับยอนอู โดยทักว่าเธอไปทำอะไรผิดมา...
โซลรีบวิ่งไปยังโรงเหล็กจึงชนโบยองอย่างจังจนล้มลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ เธอรีบกล่าวขอโทษโบยองและช่วยปัดกระโปรงให้ แต่กลับถูกพี่เลี้ยงของโบยองดุด่า โบยองเห็นชาวบ้านแถวนั้นกำลังมองดูอยู่จึงแกล้งทำเป็นไม่ถือสา ทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกเคียดแค้น หลังแยกทางกับโซลแล้ว โบยองและพี่เลี้ยงก็ตรงไปยังร้านค้า แต่แล้วกลับพบว่าถุงเงินหายไป พี่เลี้ยงโบยองเข้าใจผิดคิดว่าโซลเป็นหัวขโมยจึงรีบออกตามหา ระหว่างรอพี่เลี้ยงโบยองพบถุงเงินตกอยู่ที่พื้น เธอจึงหยิบขึ้นมาดูและยิ้มอย่างมีเลศนัย
ขณะที่โซลกำลังนั่งดูช่างตีเหล็กทำเคียวด้วยความสนใจ พี่เลี้ยงของโบยองก็ลากตัวเธอออกมาและตบจนล้มคว่ำ จากนั้นก็ถามหาถุงเงิน โซลปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง แต่พี่เลี้ยงจอมโหดไม่เชื่อเลยพยายามค้นตัว ขณะที่พี่เลี้ยงคนดังกล่าวกำลังจะทุบตีโซลอีกครั้ง โบยองก็แกล้งทำเป็นเข้ามาห้าม โซลรีบยืนยันว่าเธอไม่ได้เป็นขโมยโบยองจึงบอกให้โซลพิสูจน์ว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
ยอนอูยังคงเลือกกระดาษลายดอกไม้อย่างพิถีพิถัน องค์ชายยางมยองอยากมีส่วนร่วมและต้องการชวนคุยจึงแกล้งแหย่ยอนอูโดยบอกว่า กระดาษลายดอกไม้ไม่เหมาะที่จะนำมาเขียนหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษจากพระราชา ยอนอูโวยวายว่าเธอไม่ได้เลือกกระดาษสำหรับพระราชาสักหน่อย องค์ชายได้ทีจึงกล่าวว่า ถ้าเธอมองหากระดาษสำหรับองค์ชายรัชทายาทก็ขอให้วางใจ เพราะพระองค์เป็น 'พี่ชาย' ขององค์รัชทายาท พูดจบองค์ชายก็ช่วยเลือกกระดาษเป็นการใหญ่ พลางถามว่ายอนอูไปทำความผิดอะไรมา ยอนอูรู้สึกรำคาญและไม่อยากต่อปากต่อคำกับองค์ชายยางมยองอีก จึงเดินหนีออกจากร้านไป
องค์ชายยางมยองพายอนอูมาหลบในเรือนต้นไม้ (หรือเรือนกระจกในปัจจุบัน แต่สมัยนั้นใช้กระดาษเคลือบน้ำมันเพื่อรับแสงอาทิตย์และป้องกันลมแทนกระจก) ยอนอูเห็นแล้วถึงกับอึ้ง เพราะเธอเคยอ่านพบเรื่องราวเกี่ยวกับเรือนต้นไม้ในหนังสือแต่ยังไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน หลังมองดูจนทั่วแล้วยอนอูก็ถามว่า ที่นี่เป็นเรือนต้นไม้ขององค์ชายใช่ไหม องค์ชายโกหก (แบบไม่เนียน) ว่าเป็นของญาติคนหนึ่งที่ชอบปลูกต้นไม้แต่ไร้อนาคตเพราะไม่อาจเป็นขุนนาง เขาจึงระบายความคับแค้นใจด้วยการนำเงินมาสร้างเรือนต้นไม้หลังนี้
ยอนอูฟังองค์ชายยางมยองพูดประชดตัวเองแล้วรู้สึกสงสาร เธอนึกถึงคำพูดขององค์ชายรัชทายาทที่กล่าวว่า พระองค์เป็นต้นเหตุที่ทำให้ 'พี่ชาย' ต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้ ยอนอูเลียบๆ เคียงๆ ถามองค์ชายยางมยองว่า พระองค์ไม่ได้กลับเข้าวังนานแล้วใช่ไหม แต่องค์ชายกลับหยิบกระถางต้นเก๊กฮวย (หรือที่คนไทยเรียกว่าเบญจมาศหนู) ขึ้นมาอวดพลางบอกว่านี่เป็นหนึ่งในดอกไม้ที่พระราชาทรงโปรด ทั้งยังบอกยอนอูว่าการถวายดอกเก๊กฮวยน่าจะดีกว่าเขียนจดหมายขอโทษ
ยอนอูถามว่าพระราชาเป็นคนแบบไหน องค์ชายยางมยองทำท่าเขินๆ ก่อนตอบว่า พระราชามีพระพักตร์ที่แจ่มใส มักคำนึงประชาชนและข้ารับใช้ของพระองค์เสมอ แม้ค่อนข้างเคร่งครัดในกฏระเบียบ แต่ก็ไม่ยึดติดหลักการ (ระหว่างที่พูดพระองค์นึกถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กที่พระราชามักแสดงทีท่าเกรี้ยวกราดและเย็นชากับพระองค์เสมอ แต่กลับอ่อนโยนกับองค์ชายรัชทายาทและเหล่าข้าราชบริพาร)
ยอนอูยังคงถามต่อว่า
องค์ชายยางมยองจะไม่เสด็จกลับวังอีกแล้วหรือ เธอรู้ว่าองค์ชายรัชทายาทอยากพบพระองค์มาก (ถึงขนาดแอบปีนรั้ววัง) เลยบอกว่าอาจมีใครบางคนรอพระองค์อยู่ที่นั่น องค์ชายยางมยองถามกลับว่า "ใคร" ยอนอูเกือบหลุดปากพูดว่าองค์ชายรัชทายาท แต่แล้วเธอก็ตอบเลี่ยงๆ ว่า ทั้งพระราชาและองค์ชายรัชทายาทต่างก็กำลังรอพระองค์
องค์ชายยางมยองกล่าวว่า พระราชาและองค์ชายรัชทายาทต่างก็มีเรื่องต้องทำมากมาย คงไม่มีเวลามานั่งรอพระองค์ ยอนอูยืนยันหนักแน่นว่ามีคนรอองค์ชายอยู่ในวังจริงๆ เมื่อเห็นองค์ชายไม่เชื่อ ยอนอูก็ถามว่า คนที่ชอบเขียนบทกวีอย่างพระองค์ไม่รู้จักแรงปรารถนาจริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้น ทำไม... (ยอนอูได้แต่พูดในใจต่อว่า '...องค์ชายรัชทายาทถึงได้แอบปีนกำแพงวัง') องค์ชายยางมยองได้ทีจึงย้อนว่า ถ้าอย่างนั้นยอนอูคงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพระองค์ถึงชอบปีนกำแพงรั้วบ้านเธอในยามค่ำคืน
ยอนอูเริ่มหงุดหงิดที่องค์ชายทำเป็นเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง เลยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่าสองเรื่องนี้ไม่เหมือนกันสักนิด องค์ชายยางมยองยื่นหน้าเข้าไปหายอนอูพลางจ้องตาเขม็ง จากนั้นก็ถามว่า "แล้วมันต่างกันยังไง" ยอนอูรีบหลบตาแล้วบอกให้พระองค์ไปเข้าเฝ้าพระราชาและองค์ชายรัชทายาทที่ในวัง องค์ชายหัวเราะ แล้วพูดว่า นานมากแล้วที่ยอนอูไม่ได้มองหน้าและพูดกับพระองค์นานๆ อย่างนี้ พระองค์ขอบใจยอนอูที่เป็นห่วง จากนั้นก็ใช้นิ้วดีดหน้าผากยอนอูอย่างแรงแล้วบอกให้เธอห่วงแต่เรื่องของตัวเองดีกว่า
ยอนอูเริ่มหงุดหงิดที่องค์ชายทำเป็นเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง เลยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่าสองเรื่องนี้ไม่เหมือนกันสักนิด องค์ชายยางมยองยื่นหน้าเข้าไปหายอนอูพลางจ้องตาเขม็ง จากนั้นก็ถามว่า "แล้วมันต่างกันยังไง" ยอนอูรีบหลบตาแล้วบอกให้พระองค์ไปเข้าเฝ้าพระราชาและองค์ชายรัชทายาทที่ในวัง องค์ชายหัวเราะ แล้วพูดว่า นานมากแล้วที่ยอนอูไม่ได้มองหน้าและพูดกับพระองค์นานๆ อย่างนี้ พระองค์ขอบใจยอนอูที่เป็นห่วง จากนั้นก็ใช้นิ้วดีดหน้าผากยอนอูอย่างแรงแล้วบอกให้เธอห่วงแต่เรื่องของตัวเองดีกว่า
ขณะนั้น โซลกำลังถูกทุบตีอย่างหนักภายในบ้านของโบยอง พี่เลี้ยงโบยองพยายามคาดคั้นว่าใครเป็นนายของเธอ (จะได้ตามไปทวงเงินคืน) แต่โซลไม่ยอมปริปากทั้งๆ ที่สภาพร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก โบยองซึ่งทำทีเป็นนั่งอ่านหนังสือภายในบ้าน พูดพึมพำว่า "สมน้ำหน้าวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ นึกเหรอว่าทำชุดโปรดของข้าสกปรกแล้วจะรอดตัวไปได้ง่ายๆ "
ยอนอูและองค์ชายยางมยองไปตามหาโซลที่โรงเหล็ก แต่แล้วกลับพบว่าโซลถูกลากตัวไปลงโทษที่บ้านของเสนาบดีกรมวัง (พี่เลี้ยงโบยองจะจับโซลส่งกองปราบ แต่โบยองสั่งให้ลากตัวโซลไปสอบสวนที่บ้าน)
พี่เลี้ยงโบยองสั่งทาสในบ้านให้นำเสื่อมาห่อตัวโซลเพื่อจะได้ทุบตีอีกครั้ง โชคดีที่ยอนอูมาถึงเสียก่อน เมื่อเห็นสภาพอันยับเยินของโซลแล้ว ยอนอูก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความห่วงใย จากนั้นก็หันไปตำหนิพี่เลี้ยงจอมโหดด้วยสีหน้าท่าทางเอาเรื่อง ยอนอูแนะนำตัวกับโบยองว่าตนเป็นลูกสาวท่านราชบัณฑิต เรื่องของหายคงเป็นการเข้าใจผิดกัน พอรู้ว่ายอนอูเป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่ในราชสำนักเช่นกัน โบยองก็หันไปดุด่าพี่เลี้ยงและเหล่าทาสที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ (ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนสั่งให้เหล่าทาสตีโซลจนตายคามือ) พี่เลี้ยงแกล้งทำเป็นขอโทษโบยองที่ขัดคำสั่ง แต่โบยองกลับบอกให้พี่เลี้ยงขอโทษยอนอู
พี่เลี้ยงโบยองสั่งทาสในบ้านให้นำเสื่อมาห่อตัวโซลเพื่อจะได้ทุบตีอีกครั้ง โชคดีที่ยอนอูมาถึงเสียก่อน เมื่อเห็นสภาพอันยับเยินของโซลแล้ว ยอนอูก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความห่วงใย จากนั้นก็หันไปตำหนิพี่เลี้ยงจอมโหดด้วยสีหน้าท่าทางเอาเรื่อง ยอนอูแนะนำตัวกับโบยองว่าตนเป็นลูกสาวท่านราชบัณฑิต เรื่องของหายคงเป็นการเข้าใจผิดกัน พอรู้ว่ายอนอูเป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่ในราชสำนักเช่นกัน โบยองก็หันไปดุด่าพี่เลี้ยงและเหล่าทาสที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ (ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนสั่งให้เหล่าทาสตีโซลจนตายคามือ) พี่เลี้ยงแกล้งทำเป็นขอโทษโบยองที่ขัดคำสั่ง แต่โบยองกลับบอกให้พี่เลี้ยงขอโทษยอนอู
หลังจากนั้น โบยองก็แกล้งทำเป็นขอโทษยอนอูเรื่องที่คนของตนทำเกินกว่าเหตุ และกล่าวว่าการควบคุมข้าทาสบริวารไม่ใช่เรื่องง่าย เธอแสดงความเห็นใจที่ยอนอูมีทาสชอบลักเล็กขโมยน้อยอย่างโซล ทั้งยังแนะนำให้เธอขายโซลทิ้งก่อนที่โซลจะกลายเป็นหัวขโมยไปจริงๆ ยอนอูรู้ว่าโซลไม่ได้ขโมย จึงพูดตัดบทโดยบอกว่าจะคืนเงินที่หายไปให้โบยอง แต่โบยองไม่รับ โดยอ้างว่าเธอเองก็ทำให้ของๆ ยอนอูเสียหายเช่นกัน ดังนั้น เธอจึงขอให้ยอนอูลืมเรื่องนี้เสีย (โบยองดูถูกโซลว่าไม่ใช่คนแต่เป็นสิ่งของ เพราะโซลเกิดมาในชนชั้นทาส)
ยอนอูแย้งว่า โซลไม่ใช่สิ่งของที่จะใครซื้อขายได้ตามใจชอบ สำหรับเธอแล้วโซลเป็นทั้งเพื่อนและคนในครอบครัว เธอไม่รู้ว่าเงินของโบยองหายไปเท่าไหร่ แต่เงินจำนวนนั้นคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจที่โซลได้รับในวันนี้ พูดจบยอนอูก็ขอตัวและประคองโซลกลับบ้านอย่างทะนุถนอม
ยอนอูแย้งว่า โซลไม่ใช่สิ่งของที่จะใครซื้อขายได้ตามใจชอบ สำหรับเธอแล้วโซลเป็นทั้งเพื่อนและคนในครอบครัว เธอไม่รู้ว่าเงินของโบยองหายไปเท่าไหร่ แต่เงินจำนวนนั้นคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจที่โซลได้รับในวันนี้ พูดจบยอนอูก็ขอตัวและประคองโซลกลับบ้านอย่างทะนุถนอม
วันต่อมา ยอมนำกล่องขนมไปคืนองค์ชายรัชทายาทพลางบอกว่าเป็นของขวัญจากน้องสาวตน เมื่อองค์ชายเปิดออกดูก็พบว่ากล่องขนมกลายเป็นกล่องเพาะเมล็ดพันธุ์พืช องค์ชายเลยถามยอมว่าต้นอะไร ยอมทูลว่าตนเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นต้นอะไรกันแน่ รู้เพียงว่าน้องสาวนำมาจากเรือนต้นไม้ และเธอก็ฝากบอกให้องค์ชายนำไปวางไว้บนพื้นอุ่นๆ
หลังได้รับของขวัญจากยอนอู องค์ชายฮวอนก็ตื่นเต้นดีใจจนไม่มีสมาธิในการเรียน ขณะที่ยอมกำลังจะสอนหนังสือ องค์ชายก็ถามว่าน้องสาวยอมเป็นคนยังไง ยอมแย้งว่าได้เวลาเรียนแล้ว แต่องค์ชายอ้างว่ายอมและน้องสาวสนิทกันมากจนพระองค์รู้สึกอิจฉา ยอมเลยทูลว่าตนอ่านหนังสือกับน้องสาวทุกคืน ทำให้มีโอกาสปรึกษาหารือเรื่องราวต่างๆ บ่อยครั้ง องค์ชายฟังแล้วรู้สึกทึ่งที่ยอนอูเป็นเด็กฉลาดและใฝ่รู้ จึงอดบ่นไม่ได้ว่าน้องสาวยอมแตกต่างจากองค์หญิงมินฮวาราวฟ้ากับเหว เพราะองค์หญิงรู้จักพยัญชนะเพียงไม่กี่ตัว แถมยังเป็นเด็กขี้แงอีกต่างหาก
ทันใดนั้น องค์หญิงมินฮวาก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องเรียนขององค์ชายรัชทายาท ซ้ำยังร้องไห้งอแงและเดินตรงเข้าไปหาองค์ชาย พลางบอกว่า "น้องเกลียดเสด็จพี่" องค์ชายตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าองค์หญิงเป็นอะไร ในที่สุด องค์หญิงก็บอกว่า พระองค์เสียใจที่องค์ชายพูดถึงตนในทางที่ไม่ดีต่อหน้ายอม (ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่องค์หญิงปลื้ม)
หลังต่อว่าเสด็จพี่แล้ว องค์หญิงก็ตรงรี่เข้าไปหายอม จากนั้นก็เอามือทั้งสองประคองใบหน้ายอมแล้วร้องไห้งอแงพลางบอกว่าองค์ชายรัชทายาทโกหก พระองค์ไม่ใช่เด็กขี้แงแต่เป็นผู้หญิงที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์ แถมยังจำตัวอักษรได้เกือบหมดแล้วด้วย ยอมรีบปลอบพระทัยองค์หญิงและบอกให้องค์หญิงหยุดร้องไห้ เพราะถ้าไม่หยุดร้องใบหน้าสวยๆ ขององค์หญิงจะหม่นหมอง องค์หญิงสะอื้นไห้ขณะถามว่า "ข้าสวยเหรอ?" เมื่อเห็นว่ายอมได้ยินไม่ถนัด องค์หญิงก็ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วถามใหม่ว่า "ข้าสวยจริงๆ หรือ?" ยอมถึงกับอึ้ง เพราะใจจริงแค่ต้องการปลอบเด็กขี้แงให้หยุดร้องไห้ โชคดีที่นางในพี่เลี้ยงนำตัวองค์หญิงออกไปเสียก่อน
หลังจบชั้นเรียน องค์ชายรัชทายาทนำจดหมายของยอนอูมาเปิดอ่าน และถึงกับตะลึงเมื่อพบว่ากระดาษถูกย้อมสีและประดับประดาด้วยดอกไม้แห้งอย่างสวยงาม มิหนำซ้ำ ลายมือ (อักษรจีน) ของยอนอูยังสวยงามจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นผลงานของเด็กหญิงวัย 13 ปี ส่วนเนื้อความในจดหมายเป็นบทกลอนของกวีเอกชื่อดังในยุคโกรยอ (อี กิวโบ) ซึ่งกล่าวถึงนักบวชบนเขาที่หมายปองดวงจันทร์ ครั้นพอเห็นเงาจันทร์ในกระบอกน้ำก็นึกว่าพระจันทร์หล่นลงมาอยู่ในกระบอก แต่พอเอียงกระบอกและเทน้ำออกกลับพบว่าพระจันทร์หายไป
ยอนอูกล่าวในจดหมายว่า การนำพระจันทร์มาใส่ขวดเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ (เช่นเดียวกับการที่เธอได้พบและพูดคุยกับองค์ชายรัชทายาทอย่างใกล้ชิดโดยบังเอิญ ซ้ำยังกล่าวหาว่าพระองค์เป็นขโมย ซึ่งนับเป็นเรื่องไม่สมควรและไม่ควรเกิดขึ้น) เธอจึงขอร้ององค์ชายให้ลืมเรื่องราวในครั้งนั้น และในตอนนี้เธอก็สำนึกผิดแล้ว องค์ชายรู้ทันทีว่ายอนอูไขปริศนาของพระองค์ได้แล้ว พระองค์จึงหันไปมองกล่องเพาะเมล็ดพันธุ์ของยอนอูแล้วยิ้ม จากนั้นก็นึกในใจว่า "จะให้ข้าลืมเจ้าได้อย่างไร"
วันรุ่งขึ้น องค์หญิงมินฮวารีบวิ่งไปเฝ้าพระราชาถึงหน้าท้องพระโรง โดยทูลว่าพระองค์อยากหัดอ่านหนังสือกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท แต่พระราชาปฏิเสธโดยบอกว่าอาจารย์โฮ (โฮยอม) เป็นครูขององค์ชายรัชทายาท เมื่อถูกเสด็จพ่อขัดใจองค์หญิงก็เริ่มเบะปาก จากนั้นก็ร้องไห้เสียงดังลั่นแล้วเดินจากไป
วันรุ่งขึ้น องค์หญิงมินฮวารีบวิ่งไปเฝ้าพระราชาถึงหน้าท้องพระโรง โดยทูลว่าพระองค์อยากหัดอ่านหนังสือกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท แต่พระราชาปฏิเสธโดยบอกว่าอาจารย์โฮ (โฮยอม) เป็นครูขององค์ชายรัชทายาท เมื่อถูกเสด็จพ่อขัดใจองค์หญิงก็เริ่มเบะปาก จากนั้นก็ร้องไห้เสียงดังลั่นแล้วเดินจากไป
เห็นว่าองค์หญิงอยากเรียนหนังสือ ใต้เท้ายูนก็ถือโอกาสกราบทูลพระเจ้าซองโจให้หาพระสหายมาเรียนเป็นเพื่อนและช่วยติวหนังสือให้องค์หญิง โดยเสนอให้คัดเลือกบุตรสาวของขุนนางในราชสำนักที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อยและฉลาดหลักแหลม เมื่อมีผู้เสนอชื่อบุตรสาวของใต้เท้ายูน (โบยอง) พระราชาทรงยิ้มอย่างรู้ทันแต่ก็ยอมรับข้อเสนอ ทำให้ใต้เท้ายูนและเหล่าลิ่วล้อพากันยิ้มปลื้ม แต่แล้วอยู่ๆ พระราชาก็หักหน้าใต้เท้ายูนอีกครั้งด้วยการเลือกบุตรสาวของราชบัณฑิตโฮ (ยอนอู) ให้มาเป็นพระสหายและผู้ช่วยด้านการเรียนขององค์หญิงอีกคน
คืนนั้น ราชบัณฑิตโฮบอกยอนอูเรื่องที่พระราชาทรงมีรับสั่งให้เธอเข้าไปเรียนหนังสือในวังเป็นเพื่อนองค์หญิงทุกๆ 3 วัน โดยให้ยอนอูตัดสินใจเองว่าจะรับหน้าที่นี้หรือไม่ซึ่งยอนอูก็ไม่ปฏิเสธ หลังจากลูกทั้งสองคนต่างก็ถูกพระราชาเรียกให้เข้าไปทำหน้าที่ในวัง ราชบัณฑิตโฮก็รู้สึกหนักใจและเป็นห่วงลูกๆ ที่อาจตกเป็นเหยื่อของเกมการเมืองเข้าสักวัน ภรรยาท่านราชบัณฑิตเห็นสามีวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ จึงปลอบใจว่ายอนอูเกิดมาพร้อมดวงชะตาของหญิงสูงศักดิ์ และเธอจะอยู่รอดปลอดภัย เพราะมีใครบางคนสัญญาเอาไว้ว่าจะปกป้องเธอด้วยชีวิต
วันต่อมา พระมเหสีเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพันปีและกล่าวแสดงความเป็นห่วงเรื่องที่องค์หญิงมินฮวาชอบทำตัวเป็นเด็กๆ พระพันปีหัวเราะและกล่าวว่าถ้าองค์หญิงมีพระสหายเป็นบุตรสาวของใต้เท้ายูนแล้ว อีกไม่นานองค์หญิงก็จะดีขึ้นเอง พระพันปียังมีรับสั่งให้ธิดาเทพจากซองซูชองเข้าวังหลวง เพื่อตรวจสอบรูปร่างลักษณะพระสหายขององค์หญิงทั้งสองคน (ที่กำลังเดินทางมาเข้าวัง) พระมเหสีรู้สึกสงสัยจึงทูลถามว่า ทำไมต้องให้ธิดาเทพมาตรวจสอบพระสหายขององค์หญิง พระพันปีตอบว่า เพราะอาจมีใครคนใดคนหนึ่งได้เป็น 'ชายา' ขององค์ชายรัชทายาท!!
วันต่อมา พระมเหสีเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพันปีและกล่าวแสดงความเป็นห่วงเรื่องที่องค์หญิงมินฮวาชอบทำตัวเป็นเด็กๆ พระพันปีหัวเราะและกล่าวว่าถ้าองค์หญิงมีพระสหายเป็นบุตรสาวของใต้เท้ายูนแล้ว อีกไม่นานองค์หญิงก็จะดีขึ้นเอง พระพันปียังมีรับสั่งให้ธิดาเทพจากซองซูชองเข้าวังหลวง เพื่อตรวจสอบรูปร่างลักษณะพระสหายขององค์หญิงทั้งสองคน (ที่กำลังเดินทางมาเข้าวัง) พระมเหสีรู้สึกสงสัยจึงทูลถามว่า ทำไมต้องให้ธิดาเทพมาตรวจสอบพระสหายขององค์หญิง พระพันปีตอบว่า เพราะอาจมีใครคนใดคนหนึ่งได้เป็น 'ชายา' ขององค์ชายรัชทายาท!!
ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าธิดาเทพ (รวมทั้งนกยอง) ต่างเดินทางมาถึงด้านหน้าประตูวัง ขณะที่นกยองเดินลงมาจากเกี้ยว ยอนอูก็เดินทางมาถึงพอดี นกยองมองยอนอูด้วยสีหน้าตกตะลึง เธอรู้แล้วว่ายอนอูคือเด็กที่อารีฝากฝังให้เธอช่วยปกป้อง เพราะยอนอูถูกดวงชะตากำหนดให้อยู่เคียงข้างพระอาทิตย์ (พระราชา) แต่ถ้ายอนอูเข้าใกล้พระอาทิตย์เมื่อไหร่ ก็จะประสบเคราะห์กรรมอันใหญ่หลวง
ไม่นานโบยองก็เดินทางมาถึง นกยองหันไปมองโบยองแล้วก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นลำแสงสีดำเปล่งประกายออกมาจากตัวโบยอง หลังจ้องมองใบหน้าโบยองครู่หนึ่ง นกยองก็อุทานออกมาว่า "มีพระจันทร์สองดวงรึนี่"
ไม่นานโบยองก็เดินทางมาถึง นกยองหันไปมองโบยองแล้วก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นลำแสงสีดำเปล่งประกายออกมาจากตัวโบยอง หลังจ้องมองใบหน้าโบยองครู่หนึ่ง นกยองก็อุทานออกมาว่า "มีพระจันทร์สองดวงรึนี่"
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ลิขิตรัก ตะวันและจันทรา (The Moon That Embraces the Sun) ตอนที่ 1
- เรื่องย่อ ลิขิตรัก ตะวันและจันทรา (The Moon That Embraces the Sun)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา