กำกับ: หลินเหอหลง (ชาวไต้หวัน)
เขียนบท: ฟางฮุ่ย, ไฉจื้อผิง
แนวละคร: โรแมนติก
จำนวนตอน: 50 (ทีวี) / 49 (ดีวีดี)
ออกอากาศ: จีน - 9 กรกฎาคม 2561 - 29 สิงหาคม 2561 ทางหูหนานทีวี
ไทย - ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 12.30-13.15 น. ทางช่อง 3 เอชดี (หมายเลข 33) ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2562 - 14 ธันวาคม 2562
ละคร "รักใสใส หัวใจ 4 ดวง (Meteor Garden 2018)" ดัดแปลงมาจากการ์ตูนมังงะเรื่อง "花より男子" (Hana Yori Dango) หรือ "Boys Over Flowers" ของศิลปินและนักเขียนชาวญี่ปุ่น "คามิโอ โยโกะ" ผลิตโดยทีวีโปรดิวเซอร์ชื่อดังชาวไต้หวัน "ไฉจื้อผิง" (Angie Chai) ซึ่งเป็นผู้ผลิตละครไต้หวันชื่อเรื่องเดียวกันเมื่อปี 2001
เนื้อหาในละครกล่าวถึง "ต่งซานไช่" เด็กสาววัย 18 ปีที่ไม่มีอะไรโดดเด่นและมีชีวิตแสนเรียบง่าย แต่หลังสอบติดมหาวิทยาลัยหมิงเต๋อ (ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุด) แล้วเกิดมีเรื่องกับ "เต้าหมิงซื่อ" หัวหน้ากลุ่มเอฟโฟร์ (หรือ "เอฟซื่อ" ในภาษาจีน) ชีวิตที่เคยสงบสุขของซานไช่ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยความที่ซานไช่ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปเต้าหมิงซื่อจึงรู้สึกประทับใจและหลงรักเธอ (หลังโดนถีบหน้า) แต่แล้วเขากลับพบว่าซานไช่หลงรัก "ฮัวเจ๋อเล่ย" หนึ่งในเพื่อนสนิทของตน (ซึ่งมีคนรักแล้ว) หลังรู้จักนิสัยและตัวตนที่แท้จริงของเต้าหมิงซื่อ ซานไช่จึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้าย ซ้ำยังคอยห่วงใยและจริงใจต่อเธอ เธอจึงเปิดใจให้เขาและตกลงคบหากันในที่สุด ถึงกระนั้น ความรักของทั้งคู่ก็ยังมีอุปสรรคและบททดสอบมากมายให้ต้องฝ่าฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ของเต้าหมิงซื่อที่คอยกีดกันและพยายามทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่
* อ่านเรื่องย่อของช่อง 3 ได้ ที่นี่
เนื้อหาตอนที่ 1
"ต่งซานไช่" เป็นเด็กสาววัย 18 ปีที่มีชีวิต ชาติกำเนิด และรูปหน้าตาแสนธรรมดา แม่ของเธอเป็นผู้หญิงแก้มป่อง ขาใหญ่และสั้น ชอบพูดเสียงดัง มีมุมมองชีวิตแบบคิดบวก เธอจึงเป็นคนมองโลกในแง่ดีเหมือนแม่ แม่ของเธอหาเลี้ยงชีพด้วยการขายอาหารแบบเดลิเวอรี่ อาหารจานเด็ดที่ขึ้นชื่อและเป็นซิกเนเจอร์ของสกุลต่งคือ "ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน" หลังทานซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานฝีมือแม่มานาน 18 ปีโดยไม่เคยรู้สึกเบื่อ เธอเลยตัดสินใจว่าจะเรียนต่อสาขาโภชนาการที่มหาวิทยาลัยหมิงเต๋อเพื่อจะได้นำความรู้มาพัฒนาและสานต่อธุรกิจอาหารของครอบครัว ด้วยความที่แม่ของเธอมีเสน่ห์ปลายจวักเธอเลยอยากให้ผู้คนได้มีโอกาสลิ้มรสและอิ่มหนำสำราญกับอาหารฝีมือแม่เธอมากกว่านี้ ส่วนพ่อของซานไช่เป็นพนักงานบริษัทที่หาเงินพอใช้แค่เดือนชนเดือน ถึงกระนั้นเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่รักครอบครัว เป็นสามีที่ดีของภรรยาและพ่อที่ดีของลูก
หลังสอบเอ็นทรานซ์ ซานไช่กับ "เจี่ยงเสี่ยวโยว" เพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนมัธยมซึ่งหลงใหลชา ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านชานม "ทาเลนท์'ส" ด้วยกัน วันหนึ่งทั้งคู่ได้รับข้อความแจ้งผลการสอบเอ็นทรานซ์ ผลปรากฏว่าเสี่ยวโยวสอบติดสาขาวัฒนธรรมชาที่มหาวิทยาลัยเฉาหยาง ส่วนซานไช่สอบติดคณะวิทยาศาสตร์อาหารและโภชนาการที่มหาวิทยาลัยหมิงเต๋อสมใจ พ่อซานไช่ลงทุนจัดงานเลี้ยงฉลองหลังลูกสาวสอบติดมหาวิทยาลัยระดับแถวหน้า ส่วนแม่พาซานไช่มาที่มหาวิทยาลัยพลางบอกให้ตั้งใจเรียนเพราะอนาคตของเธอเริ่มต้นที่นี่
"เฉินชิงเหอ" เพื่อนสนิทอีกคนที่โรงเรียนมัธยมของซานไช่ (ซึ่งเป็นทายาทเจ้าของโรงงานแปรรูปกล้วย) สมัครเรียนสาขาโภชนาการที่มหาวิทยาลัยหมิงเต๋อตามซานไช่และสอบติดเช่นกัน เขากับซานไช่จึงมีความสุขที่จะได้เรียนด้วยกันอีกครั้ง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังรับ "หลี่เจิน" (เพื่อนที่โรงเรียนมัธยมแต่อยู่คนละห้อง และเรียนเก่งสุด) เข้ากลุ่ม ทั้งสามคนจึงสัญญาว่าจะคอยช่วยเหลือและเป็นเพื่อนที่ดีตลอดสี่ปีที่เรียนด้วยกัน หลังเปิดเรียนวันแรกซานไช่หมายมั่นว่าจะตั้งใจเรียนและเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิต ครั้นพบว่าทางมหาวิทยาลัยเชิญแขกผู้มีเกียรติจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียมากล่าวสุนทรพจน์และปาฐกถาพิเศษเนื่องในโอกาสปฐมนิเทศ เหล่านักศึกษาปีหนึ่งจึงพากันตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็น "มร. บ็อบบิท" ตัวเป็นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิงเหอ
หลังปาฐกถาจบสิ้นลง ซานไช่นำรูปมร. บ็อบบิทในมือถือตนมาอวดหลี่เจินกับชิงเหอ ขณะที่ทั้งสามคนกำลังเดินดูรูป อยู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อเหล่านักศึกษาสาวต่างพากันกรีดร้องและวิ่งกรูเข้าไปรุมถ่ายรูปสี่หนุ่มเอฟโฟร์ที่บังเอิญเดินผ่านมา ซานไช่โดนเบียดจนมือถือหลุดมือ เธอพยายามก้มเก็บมือถือที่ตกอยู่บนพื้นและโดนคนเตะไปมา แต่แล้วอยู่ๆ หนึ่งในสมาชิกเอฟโฟร์ที่สวมรองเท้าหนังสีเขียวก็เหยียบโทรศัพท์มือถือของเธอจนหน้าจอแตกร้าว แต่เขายังคงเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นพบว่าโทรศัพท์พังซานไช่จึงรีบวิ่งตามไปหมายเอาเรื่องและทวงถามความรับผิดชอบ เธอไม่เห็นหน้าสี่หนุ่มและไม่รู้ว่าคนที่เหยียบโทรศัพท์เธอเป็นใคร แต่เห็นกับตาว่าพวกเขากำลังจะเดินออกจากตึก (โดยมีสาวๆ ตามกรี๊ด) พอเห็นนักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงและรุมถ่ายรูปใครบางคนแบบรัวๆ ซานไช่จึงแทรกตัวเข้าไปกลางวงแล้วคว้าแขนชายคนหนึ่งทันที ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวคือมร. บ็อบบิทซึ่งเป็นแขกวีไอพีของทางมหาวิทยาลัย ซานไช่ยังไม่ทันกระชากแขนให้เขาหันมาก็โดนบอดี้การ์ดล็อคตัวต่อหน้าธารกำนัล (และสี่หนุ่มเอฟโฟร์) เสียก่อน
หลังจากนั้นวีรกรรมของซานไช่ (ที่คุกคามแขกวีไอพี) ก็เป็นที่กล่าวขวัญทั่วมหาวิทยาลัย ครั้นรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด หลี่เจินกับชิงเหอจึงสงสัยว่าสี่หนุ่มเอฟโฟร์ที่นักศึกษาสาวต่างพากันคลั่งไคล้เป็นใครกันแน่ "กัวไฉ่เจี๋ย" รุ่นพี่ปีสามคณะวารสารศาสตร์ เห็นว่าน้องใหม่ทั้งสามไม่รู้จักหนุ่มๆ เอฟโฟร์ เลยช่วยชี้ว่า สี่หนุ่มเอฟโฟร์เป็นรุ่นพี่ปี 4 ที่ดังสุดๆ ในมหาวิทยาลัย พวกเขามีความสูงโดยเฉลี่ย 185 ซ.ม. ทุกคนล้วนหล่อขั้นเทพ มีพรสวรรค์อันโดดเด่น และอัธยาศัยดี ที่สำคัญแต่ละคนล้วนเป็นหัวกะทิในสาขาวิชาของตน "ฮัวเจ๋อเล่ย" เรียนเอกดนตรี ส่วน "ซีเหมินเยี่ยน", "เฝิงเหม่ยจั้ว" และ "เต้าหมิงซื่อ" เรียนเอกบริหารธุรกิจ พวกเขาได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในมหาวิทยาลัย แต่ละคนพูดได้อย่างน้อยสามภาษา ทุกคนไม่เพียงฉลาดแต่ยังรสนิยมดีและใช้ชีวิตอย่างหรูหรา มองเผินๆ สี่หนุ่มเอฟโฟร์อาจเหมือนคนเจ้าชู้หลายใจแต่ความจริงแล้วพวกเขาให้เกียรติผู้หญิง ทั้งสี่คนสนิทกันมากเพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนใหม่มาร่วมแก๊ง
ไฉ่เจี๋ยยังบอกอีกว่า เหล่าบรรดาเด็กสาวต่างคลั่งไคล้เอฟโฟร์ ขณะเดียวกันก็มีเด็กหนุ่มหลายคนต้องการพิสูจน์ว่าพวกตนมีดีกว่าเอฟโฟร์ พวกเขาจึงขอท้าพิสูจน์ผ่านเกมบริดจ์ (ไพ่ชนิดหนึ่ง ปัจจุบันถือเป็นเกมกีฬา) ซึ่งเป็นเกมไพ่ระดับสากลที่ต้องอาศัยทั้งทักษะและทีมเวิร์ค เอฟโฟร์ไม่ได้เล่นบริดจ์เก่งแค่ในมหาวิทยาลัยแต่พวกเขายังเป็นดาวเด่นบนเวทีโลก ถ้าใครอยากโค่นเอฟโฟร์ก็ต้องเอาชนะผ่านเกมบริดจ์และต้องเจ๋งจริง แต่ทว่านับตั้งแต่เอฟโฟร์ก่อตั้งชมรมบริดจ์ ยังไม่มีเคยมีใครเอาชนะพวกเขาได้เลย แถมสี่หนุ่มยังมีจุดแข็งและยุทธวิธีในการเล่นบริดจ์ที่แตกต่างกัน
"เฝิงเหม่ยจั้ว" ซึ่งชื่นชอบวรรณคดีและศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ ค่อนข้างมีศิลปะและชั้นเชิงในการเล่นบริดจ์ เขาเก่งกาจด้านการวางแผนหลอกล่อและคิดกลอุบาย ทั้งยังมีความจำเป็นเลิศ ขณะแข่งขันเขาชอบเล่นมุกหลอกล่อจนคู่แข่งประมาทและลืมตัว ขณะที่ "ซีเหมินเยี่ยน" เป็นคนสุขุม เขาเกิดในครอบครัวที่ทำธุรกิจชาเลยรู้ลึกรู้จริงเรื่องชา เวลาเล่นบริดจ์เขาจะเชี่ยวชาญด้านการวางกลยุทธ์ ทั้งยังรู้จักฉกฉวยโอกาสและใช้สงครามจิตวิทยา เขามักทำให้คู่แข่งไขว้เขวก่อนลอบตีตลบหลัง ทำให้คู่แข่งพ่ายแพ้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว "ฮัวเจ๋อเล่ย" เป็นอัจฉริยะด้านดนตรีและเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เวลาเล่นบริดจ์เขามักนิ่งเงียบและมีสีหน้าเรียบเฉย คู่แข่งจึงเดาไม่ออกว่าไพ่ในมือเขาดีหรือร้าย กล่าวกันว่าเขาสามารถเดาทางและเดาไพ่ในมือคู่แข่งได้อย่างแม่นยำดุจตาเห็น บ้างก็ว่าหากคู่แข่งได้เห็นรอยยิ้มของเขาจะเคลิบเคลิ้มถึงขั้นยอมเผยไต๋ (ไพ่) เลยทีเดียว ส่วนหัวหน้ากลุ่มเอฟโฟร์ "เต้าหมิงซื่อ" เป็นคนหลักแหลมและมีความสามารถโดดเด่นด้านการเงิน ขณะอายุครบ 18 ปีเขาทำเงินมหาศาลจากการเล่นหุ้น และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นตำนานของมหาวิทยาลัยหมิงเต๋อ ขณะเล่นบริดจ์เขาจะเป็นสายโหดจึงมีคู่แข่งไม่น้อยที่ถูกกดดันจนตัวสั่นลนลานและเล่นผิดพลาด หลังทำไพ่ตายคามือ (มีไพ่เด็ดแต่ไม่ทันได้ใช้) คู่แข่งเหล่านั้นต่างพากันเสียใจและรู้สึกเสียดาย
ไฉ่เจี๋ยกล่าวว่าสี่หนุ่มเอฟโฟร์คว้ารางวัลจากการแข่งขันเกมบริดจ์ในนามมหาวิทยาลัยหมิงเต๋อนับครั้งไม่ถ้วน ทางมหาวิทยาลัยจึงภาคภูมิใจในตัวพวกเขามาก ซานไช่แย้งว่าถึงพวกเขาจะเก่งขั้นเทพก็ควรขอโทษหากทำโทรศัพท์คนอื่นพัง ชิงเหอเห็นด้วยจึงชวนซานไช่ไปหาสี่หนุ่มเอฟโฟร์ที่ชมรมบริดจ์ด้วยกัน หากสี่หนุ่มไม่ยอมขอโทษตนจะท้าประลอง (บริดจ์) กับพวกเขาและจะเอาชนะให้ได้ ไฉ่เจี๋ยชี้ว่าการท้าเอฟโฟร์ไม่ใช่เรื่องที่ใครนึกอยากทำก็ทำได้ ก่อนอื่นต้องได้ไพ่โจ๊กเกอร์ (ซึ่งเปรียบเหมือนบัตรเชิญ) จากเอฟโฟร์ก่อน ที่ผ่านมามีคนแห่มาท้าดวลบริดจ์กับเอฟโฟร์เป็นจำนวนมาก พวกเขารู้สึกรำคาญเลยตั้งกฏนี้ขึ้น ใครก็ตามที่อยากท้าดวลกับเอฟโฟร์จะต้องหาโอกาสบอก (ขอท้า) พวกเขาด้วยตนเอง หากพวกเขาเห็นว่าคนๆ นั้นมีคุณสมบัติเหมาะสมก็จะตอบรับคำท้าผ่านไพ่โจ๊กเกอร์ แต่คนๆ นั้นต้องยอมรับเงื่อนไขของเอฟโฟร์ก่อนเริ่มแข่งขัน (หากผู้ท้าดวลแพ้จะต้องทำในสิ่งที่เดิมพันไว้กับเอฟโฟร์)
หลังสอบเอ็นทรานซ์ ซานไช่กับ "เจี่ยงเสี่ยวโยว" เพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนมัธยมซึ่งหลงใหลชา ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านชานม "ทาเลนท์'ส" ด้วยกัน วันหนึ่งทั้งคู่ได้รับข้อความแจ้งผลการสอบเอ็นทรานซ์ ผลปรากฏว่าเสี่ยวโยวสอบติดสาขาวัฒนธรรมชาที่มหาวิทยาลัยเฉาหยาง ส่วนซานไช่สอบติดคณะวิทยาศาสตร์อาหารและโภชนาการที่มหาวิทยาลัยหมิงเต๋อสมใจ พ่อซานไช่ลงทุนจัดงานเลี้ยงฉลองหลังลูกสาวสอบติดมหาวิทยาลัยระดับแถวหน้า ส่วนแม่พาซานไช่มาที่มหาวิทยาลัยพลางบอกให้ตั้งใจเรียนเพราะอนาคตของเธอเริ่มต้นที่นี่
"เฉินชิงเหอ" เพื่อนสนิทอีกคนที่โรงเรียนมัธยมของซานไช่ (ซึ่งเป็นทายาทเจ้าของโรงงานแปรรูปกล้วย) สมัครเรียนสาขาโภชนาการที่มหาวิทยาลัยหมิงเต๋อตามซานไช่และสอบติดเช่นกัน เขากับซานไช่จึงมีความสุขที่จะได้เรียนด้วยกันอีกครั้ง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังรับ "หลี่เจิน" (เพื่อนที่โรงเรียนมัธยมแต่อยู่คนละห้อง และเรียนเก่งสุด) เข้ากลุ่ม ทั้งสามคนจึงสัญญาว่าจะคอยช่วยเหลือและเป็นเพื่อนที่ดีตลอดสี่ปีที่เรียนด้วยกัน หลังเปิดเรียนวันแรกซานไช่หมายมั่นว่าจะตั้งใจเรียนและเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิต ครั้นพบว่าทางมหาวิทยาลัยเชิญแขกผู้มีเกียรติจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียมากล่าวสุนทรพจน์และปาฐกถาพิเศษเนื่องในโอกาสปฐมนิเทศ เหล่านักศึกษาปีหนึ่งจึงพากันตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็น "มร. บ็อบบิท" ตัวเป็นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิงเหอ
หลังปาฐกถาจบสิ้นลง ซานไช่นำรูปมร. บ็อบบิทในมือถือตนมาอวดหลี่เจินกับชิงเหอ ขณะที่ทั้งสามคนกำลังเดินดูรูป อยู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อเหล่านักศึกษาสาวต่างพากันกรีดร้องและวิ่งกรูเข้าไปรุมถ่ายรูปสี่หนุ่มเอฟโฟร์ที่บังเอิญเดินผ่านมา ซานไช่โดนเบียดจนมือถือหลุดมือ เธอพยายามก้มเก็บมือถือที่ตกอยู่บนพื้นและโดนคนเตะไปมา แต่แล้วอยู่ๆ หนึ่งในสมาชิกเอฟโฟร์ที่สวมรองเท้าหนังสีเขียวก็เหยียบโทรศัพท์มือถือของเธอจนหน้าจอแตกร้าว แต่เขายังคงเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นพบว่าโทรศัพท์พังซานไช่จึงรีบวิ่งตามไปหมายเอาเรื่องและทวงถามความรับผิดชอบ เธอไม่เห็นหน้าสี่หนุ่มและไม่รู้ว่าคนที่เหยียบโทรศัพท์เธอเป็นใคร แต่เห็นกับตาว่าพวกเขากำลังจะเดินออกจากตึก (โดยมีสาวๆ ตามกรี๊ด) พอเห็นนักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงและรุมถ่ายรูปใครบางคนแบบรัวๆ ซานไช่จึงแทรกตัวเข้าไปกลางวงแล้วคว้าแขนชายคนหนึ่งทันที ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวคือมร. บ็อบบิทซึ่งเป็นแขกวีไอพีของทางมหาวิทยาลัย ซานไช่ยังไม่ทันกระชากแขนให้เขาหันมาก็โดนบอดี้การ์ดล็อคตัวต่อหน้าธารกำนัล (และสี่หนุ่มเอฟโฟร์) เสียก่อน
หลังจากนั้นวีรกรรมของซานไช่ (ที่คุกคามแขกวีไอพี) ก็เป็นที่กล่าวขวัญทั่วมหาวิทยาลัย ครั้นรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด หลี่เจินกับชิงเหอจึงสงสัยว่าสี่หนุ่มเอฟโฟร์ที่นักศึกษาสาวต่างพากันคลั่งไคล้เป็นใครกันแน่ "กัวไฉ่เจี๋ย" รุ่นพี่ปีสามคณะวารสารศาสตร์ เห็นว่าน้องใหม่ทั้งสามไม่รู้จักหนุ่มๆ เอฟโฟร์ เลยช่วยชี้ว่า สี่หนุ่มเอฟโฟร์เป็นรุ่นพี่ปี 4 ที่ดังสุดๆ ในมหาวิทยาลัย พวกเขามีความสูงโดยเฉลี่ย 185 ซ.ม. ทุกคนล้วนหล่อขั้นเทพ มีพรสวรรค์อันโดดเด่น และอัธยาศัยดี ที่สำคัญแต่ละคนล้วนเป็นหัวกะทิในสาขาวิชาของตน "ฮัวเจ๋อเล่ย" เรียนเอกดนตรี ส่วน "ซีเหมินเยี่ยน", "เฝิงเหม่ยจั้ว" และ "เต้าหมิงซื่อ" เรียนเอกบริหารธุรกิจ พวกเขาได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในมหาวิทยาลัย แต่ละคนพูดได้อย่างน้อยสามภาษา ทุกคนไม่เพียงฉลาดแต่ยังรสนิยมดีและใช้ชีวิตอย่างหรูหรา มองเผินๆ สี่หนุ่มเอฟโฟร์อาจเหมือนคนเจ้าชู้หลายใจแต่ความจริงแล้วพวกเขาให้เกียรติผู้หญิง ทั้งสี่คนสนิทกันมากเพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนใหม่มาร่วมแก๊ง
ไฉ่เจี๋ยยังบอกอีกว่า เหล่าบรรดาเด็กสาวต่างคลั่งไคล้เอฟโฟร์ ขณะเดียวกันก็มีเด็กหนุ่มหลายคนต้องการพิสูจน์ว่าพวกตนมีดีกว่าเอฟโฟร์ พวกเขาจึงขอท้าพิสูจน์ผ่านเกมบริดจ์ (ไพ่ชนิดหนึ่ง ปัจจุบันถือเป็นเกมกีฬา) ซึ่งเป็นเกมไพ่ระดับสากลที่ต้องอาศัยทั้งทักษะและทีมเวิร์ค เอฟโฟร์ไม่ได้เล่นบริดจ์เก่งแค่ในมหาวิทยาลัยแต่พวกเขายังเป็นดาวเด่นบนเวทีโลก ถ้าใครอยากโค่นเอฟโฟร์ก็ต้องเอาชนะผ่านเกมบริดจ์และต้องเจ๋งจริง แต่ทว่านับตั้งแต่เอฟโฟร์ก่อตั้งชมรมบริดจ์ ยังไม่มีเคยมีใครเอาชนะพวกเขาได้เลย แถมสี่หนุ่มยังมีจุดแข็งและยุทธวิธีในการเล่นบริดจ์ที่แตกต่างกัน
"เฝิงเหม่ยจั้ว" ซึ่งชื่นชอบวรรณคดีและศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ ค่อนข้างมีศิลปะและชั้นเชิงในการเล่นบริดจ์ เขาเก่งกาจด้านการวางแผนหลอกล่อและคิดกลอุบาย ทั้งยังมีความจำเป็นเลิศ ขณะแข่งขันเขาชอบเล่นมุกหลอกล่อจนคู่แข่งประมาทและลืมตัว ขณะที่ "ซีเหมินเยี่ยน" เป็นคนสุขุม เขาเกิดในครอบครัวที่ทำธุรกิจชาเลยรู้ลึกรู้จริงเรื่องชา เวลาเล่นบริดจ์เขาจะเชี่ยวชาญด้านการวางกลยุทธ์ ทั้งยังรู้จักฉกฉวยโอกาสและใช้สงครามจิตวิทยา เขามักทำให้คู่แข่งไขว้เขวก่อนลอบตีตลบหลัง ทำให้คู่แข่งพ่ายแพ้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว "ฮัวเจ๋อเล่ย" เป็นอัจฉริยะด้านดนตรีและเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เวลาเล่นบริดจ์เขามักนิ่งเงียบและมีสีหน้าเรียบเฉย คู่แข่งจึงเดาไม่ออกว่าไพ่ในมือเขาดีหรือร้าย กล่าวกันว่าเขาสามารถเดาทางและเดาไพ่ในมือคู่แข่งได้อย่างแม่นยำดุจตาเห็น บ้างก็ว่าหากคู่แข่งได้เห็นรอยยิ้มของเขาจะเคลิบเคลิ้มถึงขั้นยอมเผยไต๋ (ไพ่) เลยทีเดียว ส่วนหัวหน้ากลุ่มเอฟโฟร์ "เต้าหมิงซื่อ" เป็นคนหลักแหลมและมีความสามารถโดดเด่นด้านการเงิน ขณะอายุครบ 18 ปีเขาทำเงินมหาศาลจากการเล่นหุ้น และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นตำนานของมหาวิทยาลัยหมิงเต๋อ ขณะเล่นบริดจ์เขาจะเป็นสายโหดจึงมีคู่แข่งไม่น้อยที่ถูกกดดันจนตัวสั่นลนลานและเล่นผิดพลาด หลังทำไพ่ตายคามือ (มีไพ่เด็ดแต่ไม่ทันได้ใช้) คู่แข่งเหล่านั้นต่างพากันเสียใจและรู้สึกเสียดาย
ไฉ่เจี๋ยกล่าวว่าสี่หนุ่มเอฟโฟร์คว้ารางวัลจากการแข่งขันเกมบริดจ์ในนามมหาวิทยาลัยหมิงเต๋อนับครั้งไม่ถ้วน ทางมหาวิทยาลัยจึงภาคภูมิใจในตัวพวกเขามาก ซานไช่แย้งว่าถึงพวกเขาจะเก่งขั้นเทพก็ควรขอโทษหากทำโทรศัพท์คนอื่นพัง ชิงเหอเห็นด้วยจึงชวนซานไช่ไปหาสี่หนุ่มเอฟโฟร์ที่ชมรมบริดจ์ด้วยกัน หากสี่หนุ่มไม่ยอมขอโทษตนจะท้าประลอง (บริดจ์) กับพวกเขาและจะเอาชนะให้ได้ ไฉ่เจี๋ยชี้ว่าการท้าเอฟโฟร์ไม่ใช่เรื่องที่ใครนึกอยากทำก็ทำได้ ก่อนอื่นต้องได้ไพ่โจ๊กเกอร์ (ซึ่งเปรียบเหมือนบัตรเชิญ) จากเอฟโฟร์ก่อน ที่ผ่านมามีคนแห่มาท้าดวลบริดจ์กับเอฟโฟร์เป็นจำนวนมาก พวกเขารู้สึกรำคาญเลยตั้งกฏนี้ขึ้น ใครก็ตามที่อยากท้าดวลกับเอฟโฟร์จะต้องหาโอกาสบอก (ขอท้า) พวกเขาด้วยตนเอง หากพวกเขาเห็นว่าคนๆ นั้นมีคุณสมบัติเหมาะสมก็จะตอบรับคำท้าผ่านไพ่โจ๊กเกอร์ แต่คนๆ นั้นต้องยอมรับเงื่อนไขของเอฟโฟร์ก่อนเริ่มแข่งขัน (หากผู้ท้าดวลแพ้จะต้องทำในสิ่งที่เดิมพันไว้กับเอฟโฟร์)
ไฉ่เจี๋ยพาซานไช่ไปส่งที่หน้าชมรมบริดจ์ของสี่หนุ่มเอฟโฟร์และอวยพรให้เธอโชคดี หลังไฉ่เจี๋ยไปแล้วหลี่เจินก็ถามซานไช่แบบกล้าๆ กลัวๆ ว่าจะเข้าไปหาเอฟโฟร์จริงๆ หรือ ซานไช่ลังเลครู่หนึ่งก่อนยืนกรานว่าเธอจะไปหาสี่หนุ่ม เธอไม่กลัวเลยสักนิดเพราะคนที่ทำผิด (เหยียบมือถือเธอพัง) คือหนึ่งในเอฟโฟร์ที่สวมรองเท้าหนังจระเข้สีเขียว ชิงเหอเห็นด้วยและเดินนำไปที่ประตูชมรมทันที หลังจากนั้นซานไช่กับชิงเหอก็พากันร้องเรียกเอฟโฟร์ให้ออกมาชดใช้ มิเช่นนั้น พวกตนจะเข้าไปท้าดวล (หลี่เจินได้แต่ยืนนิ่งด้วยความกลัว ส่วนชิงเหอแม้รู้สึกกลัวแต่ก็ยอมทำเพื่อเพื่อน) หลังไม่มีเสียงตอบรับหลี่เจินกับชิงเหอก็แอบดีใจที่เอฟโฟร์ไม่อยู่ ชิงเหอรีบชวนซานไช่กลับ นึกไม่ถึงว่าสี่หนุ่มเอฟโฟร์จะผ่านมาพอดี ครั้นเห็นเต้าหมิงซื่อสวมรองเท้าสีเขียว ซานไช่จึงเดินไปหาเขาและชูโทรศัพท์ให้ดูพลางบอกว่าเขาทำโทรศัพท์เธอพัง เต้าหมิงซื่อยืนฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนเดินหนีไปอย่างไม่ไยดี ซานไช่เห็นดังนั้นก็ยิ่งโกรธจึงคิดที่จะตามไปเอาเรื่องแต่ชิงเหอห้ามเอาไว้
ซานไช่ไม่มีเงินซื้อของขวัญวันเกิดเลยทำเค้กวันเกิดที่ทานแล้วไม่อ้วนให้หลี่เจิน หลี่เจินซาบซึ้งใจมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำเค้กวันเกิดให้เธอ เธอเลยอยากถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ซานไช่พาหลี่เจินไปหาที่สงบๆ ถ่ายรูปด้วยกัน ขณะกำลังถ่ายภาพบริเวณบันได หลี่เจินเกิดเสียหลักทำให้ขนมเค้กในมือกระเด็นตกใส่หน้าเต้าหมิงซื่อ หลี่เจินรีบขอโทษและบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เต้าหมิงซื่อโกรธจนเกินกว่าจะอภัยให้สองสาว หลี่เจินบอกว่าเธอจะเช็ด (ขนมเค้กที่ติดบนใบหน้า) ออกให้ จากนั้นก็วิ่งลงบันไดไปลูบหน้าเต้าหมิงซื่อทำให้ถูกผลักกระเด็น ซานไช่เห็นดังนั้นจึงโวยลั่น ทั้งยังเรียกเขาว่าหัวสับปะรดและด่าเขาเป็นชุด เต้าหมิงซื่อโกรธจัดแต่เขามีสารพัดวิธีที่จะเอาคืนจึงปล่อยให้ซานไช่ด่าจนหนำใจ หลังจากนั้นเขาก็คว้าคอซานไช่พลางเปรยว่าเธอช่างกล้าและเดินจากไป ซีเหมินเยี่ยนกับเฝิงเหม่ยจั้วเดินตามเต้าหมิงซื่อไปโดยไม่สนใจสองสาว มีเพียงฮัวเจ๋อเล่ยที่หยิบการ์ดอวยพรวันเกิดบนถาดขนมเค้กมาคืนซานไช่ก่อนเดินจากไปเงียบๆ
หลังเปิดตู้ล็อคเกอร์แล้วเจอไพ่โจ๊กเกอร์ของเอฟโฟร์ ซานไช่จึงขึ้นไปตะโกนด่าและสาปแช่งสี่หนุ่มบนดาดฟ้าด้วยความคับแค้นใจ (แต่คำสาปแช่งรัวๆ ของเธอล้วนเป็นเรื่องตลกและเป็นไปไม่ได้) หลังนั่งฟังอยู่นานฮัวเจ๋อเล่ยจึงร้องถามซานไช่ว่าแล้วไงต่อ (ซานไช่แช่งเอฟโฟร์สารพัด แต่จบลงด้วยการแช่งให้สี่หนุ่มขนจมูกยาวเฟื้อยและเลื้อยขึ้นไปพันกับเส้นผมจนแยกไม่ออก) ซานไช่นึกไม่ถึงว่าหนึ่งในเอฟโฟร์จะอยู่ที่นี่และได้ยินทุกอย่าง ฮัวเจ๋อเล่ยเดินมาหาเธอก่อนถามว่าขนจมูกพันเส้นผมแล้วไงต่อ หากพวกตนเป็นเช่นนั้นจริงเธอจะมีความสุขไหม ซานไช่นึกว่าเขาจะข่มเหงเธอเหมือนเต้าหมิงซื่อเพราะเขาเป็นหนึ่งในเอฟโฟร์ แต่ฮัวเจ๋อเล่ยชี้ว่าตนไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นและเดินจากไป
"หลี่ซินฮุ่ย" (เพื่อนร่วมคณะของซานไช่) มายืนดูเต้าหมิงซื่อเล่นบาส ครั้นเห็นซานไช่เดินผ่านมาเธอจึงขอให้ซานไช่ช่วยถ่ายคลิปวิดีโอตอนที่เธออยู่กับเต้าหมิงซื่อ (เธอเตรียมน้ำดื่มไว้ให้เขา) โดยบอกว่าเต้าหมิงซื่อเป็นรุ่นพี่ที่เธอชอบ ซานไช่ปฏิเสธโดยอ้างว่าตนมีธุระ แต่หลังถูกเพื่อนตัดพ้อเธอจึงยอมเป็นตากล้องจำเป็น เต้าหมิงซื่อเห็นดังนั้นก็นึกว่าซานไช่แอบถ่ายตน เขาจึงเดินเข้าไปหาพลางถามว่าถ่ายคลิปตนทำไม ซานไช่ปฏิเสธทันควัน แต่เต้าหมิงซื่อไม่เชื่อเลยยึดมือถือ (ของซินฮุ่ย) ไป
หลังมีลูกค้าโทรฯ มาสั่งอาหาร 20 กล่อง แม่จึงวานให้ซานไช่ช่วยนำไปส่ง ครั้นพบว่าจุดหมายปลายทางเป็นตึกที่ค่อนข้างรกร้างซานไช่ก็รู้สึกแปลกใจ ปรากฏว่าคนที่สั่งอาหารคือเต้าหมิงซื่อ ซานไช่จะรีบกลับ แต่เขาขอตรวจสอบดูก่อนว่าอาหารตรงตามที่สั่งหรือไม่ ครั้นเต้าหมิงซื่อเปรยว่าอาหารไม่น่ากินเลยสักนิด ซานไช่จึงแย่งกล่องอาหารในมือเขากลับคืน ก่อนบอกว่าถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องกินเธอจะได้ขนกลับ เต้าหมิงซื่อแย่งกล่องอาหารกลับพลางแย้งว่าตนเป็นคนจ่ายเงิน จะกินเองหรือให้ใครกินมันก็เรื่องของตน ซานไช่รู้ว่าเขาจงใจกลั่นแกล้งและหาเรื่องเธอ แต่เธอรับไม่ได้ที่เขาไม่เห็นคุณค่าของอาหารที่แม่เธอตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือ ครั้นโดนซานไช่ตำหนิ เต้าหมิงซื่อจึงเตือนว่าตนเป็นลูกค้า ซานไช่ยืนกรานว่าเธอจะรักษากิริยามารยาทกับลูกค้าที่ดีและคู่ควรเท่านั้น หลังถูกประณามว่าเป็นขยะสังคม เต้าหมิงซื่อก็ฟิวส์ขาดถึงขั้นสาดอาหารใส่หน้าซานไช่ ครั้นรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปเขาก็ออกตัวว่าเธอหยามตนก่อน (เขารู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้าเธอ) ซานไช่โกรธจนพูดไม่ออกเลยได้แต่เดินจากไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ซานไช่เห็นก็อกน้ำเลยคิดที่จะแวะทำความสะอาดคราบสกปรกบนเสื้อผ้าและใบหน้าก่อนกลับบ้าน เมื่อชายหนุ่มสองคนผ่านมาเห็น จึงเข้ามาแทะโลมและพยายามฉุดเธอไปลวนลาม โชคดีที่ฮัวเจ๋อเล่ยมาพบเข้าเสียก่อนจึงช่วยเธอไว้ได้ทัน ซานไช่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จึงนั่งร้องไห้ต่อหน้าฮัวเจ๋อเล่ย ก่อนตัดพ้อว่าทำไมเต้าหมิงซื่อถึงใจร้ายกับเธอเช่นนี้ ฮัวเจ๋อเล่ยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ซานไช่ซับน้ำตาและเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้า จากนั้นก็ทำท่าหกสูงพลางแนะว่าเวลาอยากร้องไห้ให้ทำท่านี้ น้ำตาจะได้ไม่ไหลออกมา
คืนนั้นเหล่าเอฟโฟร์ตามมาหลอกหลอนและกลั่นแกล้งซานไช่ถึงในฝัน หลังตื่นนอนตอนเช้าแล้วนึกถึงวีรกรรมของเต้าหมิงซื่อ ซานไช่จึงตัดสินใจที่จะลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญ โดยยึดเอาคำพูดของอาจารย์ที่บอกว่า "ความสามารถของคนเรามีขีดจำกัด แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจไร้ซึ่งขีดจำกัด" เป็นแรงบันดาลใจ ครั้นเห็นเต้าหมิงซื่อที่มหาวิทยาลัยเธอจึงร้องเรียกเขา จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาก่อนกระโดดถีบหน้าเขาท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ เต้าหมิงซื่อถึงกับล้มลงไปนอนแน่นิ่ง ซานไช่ควักไพ่โจ๊กเกอร์ (ของเอฟโฟร์) ออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางบอกว่า "ใครอยากเล่นไพ่กับนาย คนอย่างชั้น..."ต่งซานไช่" ไม่มีวันยอมให้ใครมารังแก" พูดจบเธอก็ปาไพ่ใส่เต้าหมิงซื่อแล้วเดินจากไป
** จบตอนที่หนึ่ง **
รายชื่อนักแสดง
นักแสดงนำ
รับบท ต่งซานไช่
(นักแสดง ชาวจีน)
หวังเฮ่อตี้ (Dylan Wang)
รับบท เต้าหมิงซื่อ
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)
กวนหง (Darren Chen)
รับบท ฮัวเจ๋อเล่ย
(นักแสดง ชาวไต้หวัน)
เหลียงจิ้งคัง (Connor Leong)
รับบท เฝิงเหม่ยจั้ว
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)
อู๋ซีเจ๋อ (Caesar Wu)
รับบท ซีเหมินเยี่ยน
(นักแสดง / นายแบบ ชาวจีน)
อื่นๆ
ลี่เจียฉี
รับบท เจี่ยงเสี่ยวโยว
(นักแสดง ชาวจีน)
ซุนเชียน
รับบท เหอหยวนจือ
(นักแสดง ชาวจีน)
ซุนอีหาน
รับบท เถิงถังจิ้ง
(นักแสดง / นางแบบ ชาวจีน)
ต่งซิน
รับบท หลี่เจิน
(นักแสดง ชาวจีน)
หวังรุ่นเจ๋อ
รับบท เถียนเหยี่ย
(นักแสดง ชาวจีน)
หลิวอิ่นฮ่าว
รับบท เฉินชิงเหอ
(นักแสดง ชาวจีน)
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา