เมื่อจางมูยอลถูกจับกุม ขุนนางที่ร่วมก่อการจึงคิดจะทำลายหลักฐานแต่ถูกพระเจ้าซุกจงกับซอโยงกีจับ ได้ สุดท้ายจึงถูกลงโทษประหารชีวิต ด้านพระเจ้าซุกจงก็ยังคิดจะสละราชบัลลังก์ แต่พระมเหสีอินวอนได้คิดวิธีรับองค์ชายยอนอิงเป็นลูกบุญธรรม เพื่อให้พระเจ้าซุกจงไม่ต้องทิ้งราชสมบัติ
“ว่ายังไงนะ พระมเหสีมีรับสั่งให้มาจับข้างั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ นั่นต้องไม่ใช่โองการของพระมเหสีแน่ มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ ต้องไม่ใช่อย่างนั้น พระมเหสีไม่มีทางรับสั่งอย่างนั้นแน่ นั่นเป็นของปลอม ต้องเป็นของปลอมแน่”
“ข้าเป็นคนสั่งเอง และนี่คือโองการฝ่ายในที่ข้ามีคำสั่งออกมา” อินวอนยืนยัน
“พระมเหสี พระมเหสี นี่มัน นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงทำกับกระหม่อมอย่างนี้”
“ท่านรองเจ้ากรม ยอมรับซะดีกว่า ไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึไง?” อินวอนตวาด
ทหารกรูเข้าจับกุมมูยอล มูยอลขัดขืนหันไปโกรธใส่ทงอี
“นี่มันอะไรกัน ทุกอย่างกลายเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ท่านใช้แผนการอะไร ท่านใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรกันแน่?”
“นี่มันอะไรกัน ทุกอย่างกลายเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ท่านใช้แผนการอะไร ท่านใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรกันแน่?”
“คนที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมคือท่านต่างหากใต้เท้า ท่านยังมีหน้ามาย้อนถามข้าอีกรึ? ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่ใช่คนทุกคนบนโลกจะเหมือนท่าน ท่านยังจำได้รึเปล่า คนที่เอาแต่ไขว่คว้าผลประโยชน์โดยไม่เลือกวิธีการ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ นี่คือการเมืองอย่างนั้นรึ ท่านเข้าใจผิดแล้ว การเมืองก็คือการลงโทษคนเลวพวกนั้น การเมืองก็เป็นอย่างนี้ไม่มีทางเลือก ผิดอย่างที่สุด ความจริงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความจริงใจ ดังนั้นใต้เท้าจะได้เห็นกับตาว่าอะไรถึงจะเรียกว่า พลังที่แท้จริง”
“คิดว่าทำแบบนี้ แล้วจะจับข้าไปลงโทษได้อย่างนั้นหรือ มีหลักฐานรึ ท่านจะมีหลักฐานยัดเยียดความผิดทั้งหมดให้ข้าได้เหรอ ท้ายที่สุดคนที่ตายจะเป็นท่าน เข้าใจรึยังหา เพราะว่าท่านบังอาจวางแผนคิดร้ายองค์รัชทายาท” มูยอลพยายามดิ้นหาทางรอด
“จนป่านนี้ท่านยังคิดว่า ข้าไม่รู้แผนการที่ท่านซ่อนเอาไว้อีกงั้นเหรอ ท่านคิดอย่างนั้นจริงหรือ?” ทงอียิ้มเยาะ
“หม่อมฉันอยากจะทูลถามพระองค์เรื่องเดียว ที่รับสั่งให้หม่อมฉันออกจากวังทันที นี่เป็นเพราะจางมูยอลใช่มั้ยเพคะ พระองค์ยังคิดว่าหม่อมฉันยังคิดร้ายกับรัชทายาท ใช่รึเปล่าเพคะ พระมเหสี เมื่อคืนหม่อมฉันยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่กราบทูล จำได้มั้ยเพคะ พระมเหสี ตอนนี้พระราชา กำลังจะสละราชสมบัติ เพื่อปกป้ององค์รัชทายาทและองค์ชายยอนอิง พระองค์ถึงตัดสินพระทัยที่จะทำแบบนี้เพคะ”
“อะไรนะ สละบัลลังก์” อินวอนตกใจมาก
“แล้วจางมูยอลก็รู้เรื่องนี้แล้วเพคะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จางมูยอลกลัวที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันคิดจะทำร้ายองค์รัชทายาท แต่เค้ากลัวว่าหากองค์ชายยอนอิงได้ขึ้นครองราชย์ในอนาคตจะเป็นภัยต่อเค้าเท่านั้นเพคะ” ทงอีบอก
“ซุกบิน อะไรเนี่ยซุกบิน?”
“จางมูยอลอยากจะให้หม่อมฉันออกจากวัง แปลว่า เค้าต้องมีแผนการอะไรอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นหม่อมฉันยินดีออกจากวังไป และปล่อยให้แผนการของจางมูยอลค่อย ๆ เปิดเผยความจริงนั้นออกมาเองเพคะ แต่ว่าก่อนที่จะทำอย่างนั้น หม่อมฉันอยากขอให้พระมเหสีทรงเชื่อความจริงที่หม่อมฉันทูล เพราะทั้งหมดนี้เป็นความจริง ได้โปรดประทานอนุญาตด้วยเถอะเพคะ ให้เวลาหม่อมฉันหน่อย หม่อมฉันขอเวลาสักหน่อยได้มั้ยเพคะ พระมเหสี หม่อมฉันจะพยายามสืบให้รู้ให้ได้ว่าแผนการที่จางมูยอลกำลังทำคืออะไรกันแน่” ทงอีอ้อนวอน
ทงอีให้นางในช่วยสืบหาข้อมูลและนำมาให้พระมเหสี โดยในงานเลี้ยงของขุนนางปลดเกษียณ เส้นทางที่องค์รัชทายาทเสด็จผ่าน ควรจะผ่านโคทงและทับทง จากนั้นจึงค่อยไปถึงยอน ฮวาบัง แต่เส้นทางเสด็จ กลับถูกเปลี่ยนกะทันหัน เป็นเส้นทางเดียวกับที่ทงอีต้องผ่านไปตำหนักลีฮยอน ซึ่งมูยอลต้องมีแผนการอะไรแอบแฝงอยู่
พระมเหสีนึกถึงตอนที่มูยอลมากราบทูลว่าทงอีคิดจะลอบปลงพระชนม์รัชทายาท ทำให้ตอนนั้นอินวอนลังเลว่าจะเชื่อใครดี
“ข้าก็ไม่รู้ ว่าทำไมในตอนนั้นข้าถึงได้ ตัดสินใจอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นถึงได้เลือกสั่งจับจางมูยอลแทน เพราะเจ้าบอกข้าว่าเจ้าต้องการปกป้ององค์รัชทายาทละมั้ง ดังนั้นจะต้องมีใครคนนึงโกหกแน่ แต่ข้าเชื่อว่าสิ่งที่เจ้าบอกมันมาจากความจริงใจ มันดูไม่เหมือนการโกหก” อินวอนบอก
“พระมเหสี”
“ดังนั้นช่วยพิสูจน์ให้ข้าเห็นซุกบิน ว่าความจริงที่แทบไม่น่าเชื่อนั้น เป็นความจริงซักแค่ไหน”
“เพคะ หม่อมฉันจะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่ายังไงหม่อมฉันก็จะไม่ทำลายความเชื่อถือของพระมเหสีเพคะ” ทงอีกล่าวอย่างมุ่งมั่น
“ในตอนแรกที่จางมูยอลกุมอำนาจทหารในวัง ข้าบอกพี่ชอนซูไปว่าจางมูยอลมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยมาก มันจะต้องมีแผนการอะไรแน่ค่ะพี่ คนฉลาดอย่างเค้าไม่มีทางทำอะไรโดยไม่เหลือทางถอยให้ตัวเอง ดังนั้นเค้าไม่มีทางคิดลงมือฆ่าข้ากับองค์ชายยอนอิงแน่”
“คิดว่า เค้าไม่มีทางกล้าทำอะไรในวังหรือพ่ะย่ะค่ะ” ชอนซูถาม
“ใช่ ข้าคิดว่าอย่างนั้น ดังนั้นจะให้ทหารองครักษ์ กลับวังมาเวลานี้ไม่ได้”
“ถ้างั้น ทหารองครักษ์คงจะมีงานอื่นที่ต้องทำ”
“พี่ชอนซูคะ ข้าอยากขอให้ท่าน รีบส่งม้าเร็วนำจดหมายไปส่งที”
“พ่ะย่ะค่ะพระสนม”
พระเจ้าซุกจงได้รับจดหมายจากทงอีก็ดีพระทัยมาก
“นี่มันลายมือทงอีนี่ เป็นจดหมายที่ทงอีให้คนนำมาเพื่อมอบให้กับข้า ท่านคิดว่ายังไงท่านแม่ทัพ”
“นี่มันลายมือทงอีนี่ เป็นจดหมายที่ทงอีให้คนนำมาเพื่อมอบให้กับข้า ท่านคิดว่ายังไงท่านแม่ทัพ”
“กระหม่อมว่า พระสนมทรงคาดเดาถูก พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าจางมูยอลคงไม่มีทางบุ่มบ่ามคิดปลงพระชนม์ โดยเฉพาะยามที่ฝ่าบาทประทับนอกวังและเค้ากุมอำนาจทางทหารอยู่ ฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้นในตอนนี้พระสนม…” ใต้เท้าซอกราบทูล
“ซุกบินกับองค์ชายยอนอิงน่าจะยังไม่มีอันตรายหรอก เพราะฉะนั้น ข้าคิดว่าซุกบินน่าจะ ต้องการให้พวกเราตามสืบความเคลื่อนไหวของพวกนั้น แบบนี้น่าจะได้หลักฐานมัดตัวเค้า แต่ถ้ามีคนจากในวังออกมาตรวจสอบต้องไม่พ้นหูตาของคนพวกนั้นแน่ แต่ถ้าเป็นทหารองครักษ์ที่อยู่นอกวังอยู่แล้วล่ะ ท่านเข้าใจความหมายของข้ารึเปล่า?”
“พ่ะย่ะค่ะ หมายความว่าทหารองครักษ์ฝีมือดีที่สุด สามารถลงมือสืบสวนเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่มีใครรู้และสังเกตเห็น”
ทงอีสืบทราบว่าในน้ำที่คนแบกเกี้ยวดื่มเข้าไปมียาพิษเจือปนอยู่ โดยมีเป้าหมายเพื่อจะถ่วงเวลาให้ทงอีออกจากวังช้าลง ขณะที่ซางฮอนก็คิดจะทำลายหลักฐานให้หมด และให้ลูกน้องหนีไปกบดานที่อื่น แต่ผู้ช่วยใต้เท้าซอจับกุมได้เสียก่อน
หลังจากลูกน้องซางฮอนถูกจับกุม ซางฮอนจะรีบไปรายงานพระมเหสีก่อนที่พระเจ้าซุกจงจะเสด็จกลับ แต่พระเจ้าซุกจงเสด็จมาพบซางฮอนเสียก่อน
“ต่อไปนี้พวกท่าน ไม่ต้องใส่ชุดขุนนางกันอีกแล้ว เสนาขวา ท่านเจ้ากรม แล้วก็ผู้คุมศาลไต่สวน พวกท่านคงต้องกลับไปพร้อมกับทหารองครักษ์พวกนี้”
“เอ่อ ๆ ฝ่าบาท ๆๆๆ…”
“ฝ่าบาท ทำไมถึงตรัสอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม ไม่เข้าใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ว่าทรงหมายความว่ายังไง” ซางฮอนงง
“หุบปากซะ ข้าขอเตือนเจ้าว่า อย่าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียวท่านเสนาฯ ถ้าท่านยังอยากจะมีชีวิตผ่านวันนี้ไป” พระเจ้าซุกจงตวาดเสียงดัง
“ไม่เพคะ ยังสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรเลย”
“ข้าขอโทษนะ ข้าน่าจะคิดได้แต่แรกว่า ถ้าทิ้งเจ้าไว้ในวังคนเดียว จะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ เรื่องทั้งหมดเป็น ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันเอาไว้ไม่ใช่หรือ?”
“ทงอี ข้าไม่มีวัน ไม่มีวันให้อภัยพวกเค้าแน่ กล้าคิดร้ายกับเจ้า องค์ชายแถมยังรัชทายาท ข้าไม่มีวันปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่แน่” พระเจ้าซุกจงตรัสด้วยความพิโรธ
ชอนซูทรมานมูยอลเพื่อให้สารภาพ พระราชาเสด็จมาดู มูยอลร้องตะโกนกล่าวแก้ตัว
“ฝ่าบาท กระหม่อม ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งหมดนี้เป็น แผนชั่วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อม..ไม่มีทาง วางแผนคิดร้ายองค์รัชทายาทแน่ ทั้งหมดเป็นแผนของพระสนมซุกบิน ที่วางแผนชั่ว เพื่อใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท กระหม่อม ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งหมดนี้เป็น แผนชั่วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อม..ไม่มีทาง วางแผนคิดร้ายองค์รัชทายาทแน่ ทั้งหมดเป็นแผนของพระสนมซุกบิน ที่วางแผนชั่ว เพื่อใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่คงยังไม่รู้ตัวว่าทำไมข้าถึงมาที่นี่สินะท่านรองเจ้ากรม เจ้าฟังเอาไว้ให้ดี ข้าไม่ได้จะมาฟังคำแก้ตัวของเจ้า และก็ไม่ได้มาฟังคำสารภาพของเจ้าด้วย เพื่อประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ถึงกลับกล้าปองร้ายเชื้อพระวงศ์ ลบหลู่เกียรติยศพระราชา รู้มั้ยว่าผลตอบแทนของมันคืออะไร ผลตอบแทนคือ ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น ทุกคนฟังให้ดี ทรมานต่อไปให้เต็มที่” พระเจ้าซุกจงตรัสและเสด็จกลับไป
“พ่ะย่ะค่ะ ทรมานมันต่อไป” ชอนซูออกคำสั่ง
ทงอีมาพบพระมเหสีอินวอน อินวอน กล่าวชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของทงอี
“ในที่สุดเจ้าก็พิสูจน์ให้ข้าเห็น ว่าเจ้ามองออกแต่แรกทั้งยังแอบเตรียมซ้อนแผนไว้ เจ้าทำได้ยังไงกันเนี่ย”
“ในที่สุดเจ้าก็พิสูจน์ให้ข้าเห็น ว่าเจ้ามองออกแต่แรกทั้งยังแอบเตรียมซ้อนแผนไว้ เจ้าทำได้ยังไงกันเนี่ย”
“ที่หม่อมฉันสามารถทำอย่างนี้ได้ เป็นพระคุณพระมเหสีเพคะ ถ้าพระมเหสีไม่ยอมเชื่อความจริงใจของหม่อมฉัน เรื่องนี้ ก็คงจะไม่สามารถจบลงได้เพคะ”
“เจ้าอย่าถ่อมตัวเลยซุกบิน คนที่รู้สึกขอบคุณควรเป็นข้าต่างหาก ข้าเกือบสร้างตราบาปที่ไม่อาจลบล้างต่อราชวงศ์แล้ว คนที่ยอมเชื่อใจข้าและใช้ความจริงใจยับยั้งข้าไว้ได้ ก็คือเจ้าต่างหาก” อินวอนกล่าวอย่างจริงใจ
“พระมเหสี”
“ไม่ว่าจะเป็นฎีกา หรือว่าคำขอร้องอะไรข้าก็ไม่ฟัง พวกเค้าที่กล้าทำคิดร้ายต่อราชวงศ์อย่างไม่อาจให้อภัยได้ ข้าจะลงโทษทุกคนไม่ให้รอดซักคนเดียว โทษครั้งนี้ จะไม่มีการให้ความปรานีเป็นอันขาด เข้าใจรึยัง ท่านราชเลขา อ่านคำตัดสินโทษได้”
“พ่ะย่ะค่ะ นักโทษ รองเจ้ากรมกลาโหมจางมูยอล เสนาขวาอินซางฮอน เจ้ากรมกลาโหมคังโอจู ผู้คุมศาลไต่สวนอีซังจุน ร่วมกันก่อความผิดร้ายแรงคิดร้ายต่อราชวงศ์และราชสำนัก ข้าจึงตัดสิน ลงโทษพวกเค้าด้วยโทษสูงสุดตามกฎหมายประเทศโชซอน โดยให้ประหารชีวิตจางมูยอล และผู้คุมศาลไต่สวนอีซังจุนให้ตกตายในทันที และนำศีรษะไปแขวนไว้หน้าประตูเมือง เพื่อให้ประชาชนได้เห็นผลของการทำผิดคิดชั่วในครั้งนี้ ต่อไป เสนาขวาอิมซางฮอน และคังโอจู รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด ตัดสินให้เนรเทศไปชายแดนแล้วจากนั้นให้ฆ่าตัวตายเพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศแห่งราชวงศ์”
พระเจ้าซุกจงยังตรัสสละราชบัลลังก์ท่ามกลางความตกใจของของทุกคนในท้องพระโรง และยังมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งองค์ชายลียูนรัชทายาทสืบราชบัลลังก์ต่อไปด้วย
“ฝ่าบาท จะทรงสละราชบัลลังก์ ทรงทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด พวกกระหม่อมไม่มีทางยอมรับราชโองการนี้เด็ดขาด
ขอให้ทรงพิจารณาใหม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อินกุ๊กคัดค้าน
“ข้าบอกเจตนาไปแล้ว และไม่ใช่การลองใจด้วย และไม่ใช่เพื่อจะสร้างความวุ่นวายให้กับราชสำนัก แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อราชสำนัก ในฐานะที่ข้าเป็นพระราชา ขอให้ทุกท่านจงจำไว้ว่า ราชโองการนี้จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงโดยเด็ดขาด” พระราชาตรัสย้ำหนักแน่น
ทุกคนต่างก็คัดค้าน อินกุ๊กได้ฟังเรื่องราวจากวูนเทคว่าพระราชาทรงตัดสินในพระทัยมานานแล้ว และได้บอกเรื่องนี้กับทงอีแล้วด้วย แต่อินกุ๊กก็ยังคัดค้าน
“ต่อให้พระราชาทรงทำไปเพื่อองค์ชาย แต่สละราชบัลลังก์ มันจะเป็นไปได้ไง ต่อให้สละราชบัลลังก์แล้วยังช่วยดูแลราชกิจ แต่ก็คงหลีกเลี่ยงความวุ่นวายไม่ได้แน่ เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นต่อขุนนาง หรือว่าต่อราชสำนัก ก็จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้”
ทุกคนคัดค้านเพื่อให้พระราชาเปลี่ยนพระทัย พระเจ้าซุกจงตรัสว่าการสละราชบัลลังก์ของพระองค์เป็นทางเดียวที่จะหยุดการแก่งแย่ง ซึ่งหากแต่งตั้งลียูนขึ้นเป็นกษัตริย์ และให้ยอนอิงขึ้นเป็นรัชทายาทจะทำให้ปัญหาต่าง ๆ จบลง องค์ชายลียูนพอทราบข่าวก็มานั่งคุกเข่าที่พระตำหนักใหญ่เพื่อให้พระเจ้าซุกจงเปลี่ยนพระทัย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอกตัญญู หม่อมฉันไม่สามารถรับราชโองการนี้ได้ ขอให้เสด็จพ่อ ได้โปรดถอนราชโองการด้วย ขอให้พระองค์ปกครองบ้านเมืองต่อไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฮือ ๆ ฝ่าบาท ขอให้ทรงถอนราชโองการด้วย ฮือ ๆ ฝ่าบาท ได้โปรดถอนราชโองการด้วย ฝ่าบาท”
ด้านพระมเหสีอินวอนได้เสด็จไปดูการเรียนการสอนของยอนอิง ก็เห็นว่ายอนอิงมีความฉลาดหลักแหลม เต็มไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ นางจึงคิดตัดสินใจบางอย่าง ด้านทงอีพอทราบว่าพระมเหสีเสด็จไปดูยอนอิงก็แปลกใจและร้อนใจจึงมาเข้าเฝ้า
“ขอประทานอภัยเพคะ เสด็จไปหาองค์ชายยอนอิงทำไมหรือเพคะ หรือว่าเค้าทำอะไรผิดไป”
“ไม่ใช่หรอก ข้าก็แค่อยากจะไปดูการเรียนขององค์ชายก่อนที่จะตัดสินใจบางอย่างเท่านั้นเอง ที่เจ้ามาหาข้าในวันนี้ อยากให้ข้าช่วยพูดกับพระราชา ใช่มั้ย ไปขอให้อย่าสละบัลลังก์ ใช่แล้วซุกบิน ข้าเองก็คิดเหมือนกันว่าไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ถ้าอยากจะให้ทรงเปลี่ยนพระทัย ก่อนตอนนั้น ข้าต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างก่อน” อินวอนกล่าว
“ตัดสินพระทัยอะไรหรือเพคะ พระมเหสีหมายความว่ายังไงเพคะ?” ทงอีถามอย่างแปลกใจ
ทงอีตกใจที่มเหสีอินวอนมีพระเสาวนีย์ที่จะรับองค์ชายยอนอิงเป็นโอรสบุญธรรม
“แบบนี้หลังจากรัชทายาทขึ้นครองราชย์ องค์ชายยอนอิงก็จะมีศักดิ์เต็มที่ ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ในฐานะที่เป็นโอรสพระพันปี เจ้าคิดว่ายังไงซุกบิน เจ้ายินดีจะฝากองค์ชายยอนอิงไว้กับข้ามั้ย?
มเหสีอินวอนยังได้นำการตัดสินใจไปบอกพระเจ้าซุกจง
“นี่เป็นการตัดสินใจที่หม่อมฉัน คิดทบทวนอย่างดีแล้วเพคะฝ่าบาท ถ้าฐานันดรขององค์ชายยอนอิงมั่นคงแล้ว ฝ่าบาทจะสละราชบัลลังก์ตอนนี้หรือไม่ ก็ยังคงปกป้องรัชทายาทกับองค์ชายยอนอิงได้ทั้งคู่”
“นี่เป็นการตัดสินใจที่หม่อมฉัน คิดทบทวนอย่างดีแล้วเพคะฝ่าบาท ถ้าฐานันดรขององค์ชายยอนอิงมั่นคงแล้ว ฝ่าบาทจะสละราชบัลลังก์ตอนนี้หรือไม่ ก็ยังคงปกป้องรัชทายาทกับองค์ชายยอนอิงได้ทั้งคู่”
“แต่ว่าทำไมล่ะ ทำไมเจ้าถึงตัดสินใจทำแบบนี้?”
“คงเป็นเพราะพระสนมซุกบินกระมังเพคะ”
ทงอีถามเห็นผลว่าทำไมพระมเหสีอินวอนจึงตัดสินใจทำเพื่อองค์ชายยอนอิงเช่นนี้
“อาจจะเป็นเพราะว่าข้าไม่อยากจะแพ้เจ้าละมั้ง ในตอนที่ข้ารู้ว้าเจ้ายอมทิ้งตำแหน่งสูงสุดของผู้หญิงในประเทศนี้เพื่อจะปกป้องรัชทายาทเอาไว้ ข้าก็รู้สึกละอายใจอย่างมาก ข้าไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย ว่าจะมีคนที่ตัดสินใจแบบนี้”
“พระมเหสี”
“ในเมื่อเจ้ายอมทิ้งตำแหน่งพระมเหสีเพื่อปกป้องรัชทายาท เช่นนั้นข้าที่มาอยู่ในตำแหน่งนี้แทนเจ้า ก็จะช่วยเจ้าปกป้ององค์ชายยอนอิงให้เจ้าเอง ตอนนี้ข้าก็เพิ่งจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำที่เจ้าบอกว่า ไม่ใช่การเสียสละ เพราะหลังจากที่ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ข้ารู้สึกมีความสุขที่สุดเลย เป็นสิ่งที่ข้าเรียนรู้จากเจ้า และต้องขอบคุณเจ้ามาก” อินวอนยิ้มให้ทงอี
ด้านพระราชา เมื่อทราบการตัดสินใจของอินวอนก็อึ้งเช่นกัน
“รับองค์ชายยอนอิงเป็นลูกบุญธรรม เพื่อปกป้องเค้าไว้ ทำไมพระมเหสีคิดอย่างนี้ได้”
“รับองค์ชายยอนอิงเป็นลูกบุญธรรม เพื่อปกป้องเค้าไว้ ทำไมพระมเหสีคิดอย่างนี้ได้”
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะน้ำพระทัยที่บริสุทธิ์ของพระสนมซุกบินทำให้ซาบซึ้งพระทัย ก็เหมือนที่ฝ่าบาท รวมถึงทุก ๆ คนที่เคยรับใช้พระสนมนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจเสนอว่า ฝ่าบาทควรจะยกเลิกการสละราชสมบัติได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งองค์รัชทายาท พระมเหสี ก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน โปรดเชื่อน้ำพระทัยนั้น เพราะนอกจากทำเพื่อรัชทายาทและองค์ชายยอนอิงแล้ว ยังเป็นการทำเพื่อรากฐานของแผ่นดินอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงกล่าว
“ทงอี ถึงจะบอกว่าทำอย่างนี้เพื่อองค์ชายยอนอิง แต่ถ้าให้กึมไปเป็นลูกบุญธรรมของพระมเหสี เจ้าไม่เสียดายเค้ารึไง?” พระเจ้าซุกจงตรัสถาม
“ไม่เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นแม่ที่ให้กำเนิดเค้ามา นี่เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน แปลง สำหรับองค์ชายเท่ากับเค้าจะมีแม่สองคนที่รักเค้าไม่ใช่หรือ อีกอย่างพระเมตตาที่พระมเหสียินดีรับองค์ชายเป็นโอรสบุญธรรม หม่อมฉันสำนึกพระคุณจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงเพคะ”
“นี่ก็มืดแล้ว อากาศชักจะเริ่มเย็นขึ้นทุกที เราเข้าไปข้างในดื่มชาให้ตัวอุ่นกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนเพคะฝ่าบาท ฝ่าบาทช่วยอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันตรงนี้อีกหน่อยได้มั้ยเพคะ”
“อะไรนะ?”
ทงอีมองไปรอบ ๆ ตำหนัก “หม่อมฉัน อยากจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ไว้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เคยพูดคุยกับฝ่าบาท หรือว่าสิ่งที่เคยทำด้วยกัน หม่อมฉันอยากเก็บทุกอย่างไว้”
“นี่เจ้าพูดอะไรน่ะทงอี เจ้าอยากจะเก็บทุกอย่างเอาไว้ ที่นี่เราจะมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ทำไมพูดเหมือนจะไม่ได้มาตรงนี้อีกล่ะ ทงอี” ตรัสถามอย่างแปลกพระทัย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันจะออกไปอยู่นอกวังตามกำหนดเดิมเพคะ หม่อมฉันจะไปอยู่ตำหนักลีฮยอน ตามที่ฝ่าบาทเคยรับสั่งเอาไว้”
“หา? ทงอี” พระเจ้าซุกจงตกพระทัยเป็นอย่างมาก “ไม่ได้หรอก ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด”
“ฝ่าบาท”
“ที่เคยบอกจะให้เจ้าออกจากวัง เพราะคิดว่าจะไปกับเจ้าด้วย แต่นี่ เจ้าจะมาออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียวได้ยังไง”
“เพราะมีเพียงทำอย่างนี้ องค์ชายยอนอิง ถึงจะกลายเป็นโอรสของพระมเหสีอย่างเต็มตัว” ทงอีบอก
“แต่ว่าทงอี”
“ฝ่าบาท นับแต่นี้ต่อไปคนที่องค์ชายยอน อิง จะต้องเชื่อฟังและกตัญญูก็คือ พระมเหสีนะ เพคะ เพื่อให้องค์ชายทำหน้าที่ให้เต็มที่ และตอบแทนพระคุณพระมเหสีโดยไม่ต้องแบ่งใจ ได้โปรดอนุญาตให้หม่อมฉัน ได้ไปอยู่ข้างนอกเถอะเพคะ”
พระเจ้าซุกจงยังทำพระทัยไม่ได้ “ไม่ได้ ข้าไม่มีวันยอมแน่ แล้วเจ้าจะทำยังไง เจ้าจะทำยังไงล่ะ จะยกทุกอย่างที่ควรจะได้ให้คนอื่น ทั้งความสุขของตัวเจ้า รวมถึงลูกของเจ้าเหรอ ถ้างั้น ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเพื่อเจ้าเลย ข้าไม่ได้พาเจ้าอยู่ข้างกายเพื่อลงท้ายด้วยการปล่อยเจ้าออกไปมือเปล่าแบบนี้นะ”
“ฝ่าบาท ทรงคอยเป็นทุกข์เสียใจเพราะหม่อมฉัน นับตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ ก็ยังคงทะนุ ถนอมหม่อมฉันเสมอ แล้วจะบอกว่าไม่เคยทำอะไรเพื่อหม่อมฉันได้ไงเพคะ” ทงอียิ้ม
“ทงอี” พระเจ้าซุกจงตรัสไม่ออก
“ทำไมหม่อมฉันยอมสละทุกอย่างหรือเพคะ เพราะใจของหม่อมฉันมันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว พระทัยที่ฝ่าบาททรงมอบให้ มันเติมหัวใจหม่อมฉันจนเต็ม แค่มีหัวใจดวงนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่สิ สำหรับหม่อมฉันต้องบอกว่าเกินพอแล้วเพคะ ขอให้หม่อมฉันได้ทำอะไร เพื่อฝ่าบาทและองค์ชายยอนอิง ให้หม่อมฉันได้ออกไปทำอะไรข้างนอกด้วยเถอะเพคะ ให้หม่อมฉันนำสิ่งที่ได้รับ ไปตอบแทนให้กับฝ่าบาทและประชาชนของบ้านเมืองนี้ ได้โปรดเถอะเพคะ”
“ทงอี” พระเจ้าซุกจงจำนนด้วยเหตุผล
“ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่สุดท้ายพระองค์จะต้องอนุญาต เพราะทรงรู้ดีว่าทำแบบนี้จึงจะเป็นการทำเพื่อข้า ตอนนี้ดูเหมือนข้ามักจะคอยขอร้องอย่างเอาแต่ใจ อยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทอยู่ตลอดเวลาเลยนะพี่”
“ท่านจะต้องทำอย่างนี้ให้ได้หรือ ต่อให้ท่านไม่ออกจากวังก็ยังสามารถ...” ชอนซูพยายามคัดค้าน
“ไม่ได้ จากนี้ไป แม่ขององค์ชายยอนอิงในวังจะมีเพียงพระมเหสีคนเดียว ข้าเชื่อมั่นว่าพระมเหสี จะต้องทรงรักและปกป้ององค์ชายยอนอิง อย่างเต็มที่อย่างแน่นอน ข้าอยากจะกอดเค้า ได้เฝ้ามองเค้า..เติบโตขึ้นทุกวัน ข้าไม่อยากพลาดการเห็นทุกขั้นตอนการเติบโตของเค้าแม้แต่นิดเดียว แต่ถึงตอนนี้ สำหรับองค์ชายยอนอิงแล้ว สิ่งที่คนเป็นแม่ควรจะทำ ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว”
“พระสนม”
“ถ้าเด็กคนนั้นได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น ถ้าเค้าได้เป็นพระราชาเป็นพ่อของประชาชน เรื่องนี้จะสอนให้เค้ารู้ถึงภาระหน้าที่ของเค้า สอนให้เค้ารู้ว่าเลือดในตัวเค้ามีเลือดของชนชั้นต่ำอยู่ด้วย จงอย่าได้ลืมสายเลือดตนเอง และจะต้องรู้จักนึกถึงผู้คนเหล่านั้น” ทงอีบอกจนชอนซูไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรแล้ว
* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
น้ำเน่าเหลือเกินนน ให้ตาย
ตอบลบ