ห้องทดลองเกิดระเบิดขึ้น โดยังหมดสติลง ชักแท ซ๊อกรัน และฮวางจอง ได้ยินเสียงระเบิดจึงรีบวิ่งมาดู เจอุ๊ก บอกว่า โดยังยังอยู่ข้างในฮวางจองจึงรีบเข้าไปช่วย พบว่าหมดสติจึงรีบนำตัวไปที่ห้องพยาบาล หมออัลเลนรีบเข้ามาช่วยดูอาการ
“เค้าอาการหนักมากค่ะ” ซ๊อกรัน กล่าว
“ระวังหน่อย อย่าให้แผลผุพองแตก เอาน้ำกลั่นมา อีกสักพักความร้อนก็จะลด มีวิธีอะไรดี ๆ รึเปล่า” หมออัลเลน กล่าว
“โอ๊ย..” โดยัง ร้อง
“รู้สึกตัวแล้วครับ”
“คุณชายคะ” ซ๊อกรัน เรียก
“โดยัง ๆ นี่ข้าเจอุ๊กนะ” เจอุ๊ก กล่าว
“นักศึกษาเบ๊ก จำผมได้รึเปล่าครับ” หมออัลเลน ถาม
“ครับ ท่านผอ. นี่มันเรื่องอะไรกัน?” โดยัง กล่าว
“ตอนที่ข้าเข้าไปในห้องทดลอง ท่านหมดสติอยู่ในนั้นน่ะ” ฮวางจอง กล่าว
“มีอะไรบางอย่างระเบิด” โดยัง กล่าว
“จำได้มั้ยว่าอะไร?”
“ตอนนี้ต้องเริ่มทายาแล้ว นักศึกษาฮวาง หยิบขี้ผึ้งกำมะถันให้ผมที มันใกล้จะหมดแล้ว ช่วยไปเอาที่ห้องทำยามาอีก” หมออัลเลน กล่าว
“มันเหลือแค่นี้แล้วครับ” ฮวางจอง กล่าว
“หะ หมายความว่ายังไง หลายวันก่อนยังมีอยู่เลยนี่นา”
“เมื่อเช้าตอนที่ข้าเข้าไปตรวจดู ข้าไม่เห็นเลยสักกระปุก” ฮวางจอง กล่าว
มองชง นำเรื่องที่ห้องทดลองระเบิดไฟไหม้มาบอกผู้จัดการโอ และคูฮอนที่หอนางโลม ทั้งหมดจึงรีบกลับไปดู
“โถ โดยัง นี่มันอะไรกัน พี่ใหญ่เพิ่งจากไปได้ไม่นาน” คูฮอน กล่าว
“เค้าคงไม่เป็นอะไรมากหรอก รีบเดินเถอะ” โอ กล่าว
“ครับ ตอนนี้หมออัลเลนกำลังรักษาเค้าอยู่แล้ว” มองชง กล่าว
“ใช่แล้ว ต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว แผลไฟไหม้นิดเดียว แค่ทาขี้ผึ้งกำมะถันนิดหน่อยก็หายแล้ว” คูฮอน กล่าว
“ท่านพูดถึงขี้ผึ้งกำมะถันเหรอ ตอนนี้กำลังโกลาหลใหญ่เพราะขาดเจ้านี่แหละ” มองชง กล่าว
“เป็นไปได้ยังไง เฮ้ ผู้จัดการเบ๊ก นั่นท่านจะไปไหนน่ะ”
คิมโทนกลับมารายงานทูตญี่ปุ่นกับวาตานาเบ้ว่า การวางระเบิดทำให้โดยังบาดเจ็บ และถ้าตู้ยาไม่ถูกระเบิดไป ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือร่องรอยหลักฐานไว้รึเปล่า วาตานาเบ้จึงสั่งให้รีบกลับไปทำลายหลักฐานโดยเร็ว ส่วนที่เจจุงวอน โอถามสาเหตุการระเบิดของห้องทดลองกับหมออัลเลน
“ตอนนี้ยังไม่รู้สาเหตุ อาจเพราะการทดลองทำให้ระเบิด แต่ปริมาณไม่มาก ไม่น่าจะทำให้เกิดระเบิดแรงขนาดนี้ แต่ในห้องทดลองก็มีสารเคมีอยู่มาก ไม่มีใครรู้เลยว่า มันเกิดอะไรขึ้น” หมออัลเลน กล่าว
“อะไรเรียกว่าไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าน ผอ.อัลเลนดูแลห้องทดลองเคมีอย่างนี้เหรอ?”
“ผู้จัดการโอ ตอนนี้ ผอ.กำลังทำแผลให้ข้าอยู่” โดยัง กล่าว
“ถ้าเกิดระเบิดในตอนที่นักเรียนทุกคนอยู่กันหมดจะทำยังไง”
“ผมขอโทษด้วย เป็นความเลินเล่อของผมเอง พรุ่งนี้ผมจะไปแจ้งกองปราบให้มาสอบสวนเรื่องนี้”
“ท่านจะไปป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ได้ยังไง ถ้าเกิดพระราชาทรงทราบเราจะไปรับผิดชอบเรื่องนี้กันยังไงไหว” คูฮอน กล่าว
“ก็นั่นสิ ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก”
“ให้พวกข้าไปตรวจสอบกันเองก่อน แล้วค่อยไปแจ้งกองปราบ นักศึกษาเบ๊ก การใช้ห้องทดลองจะสลับกันใช้ทีละกลุ่ม กลุ่มที่ใช้ห้องก่อนพวกเจ้าคือใคร”
“อ้อใช่ เป็นกลุ่มของนักศึกษาฮวาง” เจอุ๊ก กล่าว
“ถ้าเจ้าแซ่ฮวางเป็นคนเข้าไปใช้ก่อนหน้าเจ้า หรือเจ้านั่นคิดจะฆ่าเจ้า” คูฮอน กล่าว
“ลองคิดดูให้ละเอียดสิ เจ้านึกถึงหลักฐานอะไรได้บ้าง?”
“ข้านึกอะไรไม่ออกเลย แล้วก็ไม่อยากจะนึกถึงด้วย” โดยัง กล่าว
“เฮ้อ เจ้าพูดอะไรอย่างนั้นเล่า เจ้าลองช่วยย้อนนึกทบทวนดูหน่อยสิ”
“ในช่วงความเป็นความตาย ฮวางจองเป็นคนช่วยข้าออกมา ดังนั้นข้าคงจะยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้แน่ คงจะดีถ้ามันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เป็นเค้าจงใจที่จะทำให้เกิดระเบิดขึ้น แล้วก็เล่นละครเข้าไปช่วยข้าออกมา ท่านเข้าใจที่ข้าพูดรึเปล่า?”
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุธรรมดาจริง ข้าจะต้องควานหาตัวคนร้ายมาให้ได้”
ฮวางจอง ถูกซ้อมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำให้ห้องทดลองระเบิด
“ระเบิดอาจเป็นความผิดของข้าก็ได้ อาจเป็นเพราะว่าตอนผสมยาข้าตวงสัดส่วนผิด จนกระทั่งมันระเบิด แล้วกระจายไประเบิดส่วนอื่น ๆ”
“เจ้าบอกว่าตวงสัดส่วนผิดเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อก่อนเวลาเจ้าตัดเนื้อถ้าบอกให้เจ้าตัดมาหนึ่งโลก็ออกมาหนึ่งโลเป๊ะ คนอย่างเจ้าวัดสัดส่วนไม่ถูกเหรอ อีกอย่างต่อให้เจ้าทำพลาดไปจริง ก็ไม่ควรไปปล่อยให้เค้ารุมกระทืบกันอย่างนั้นนี่ สู้กลับไปสิ คราวหน้าพวกมันจะได้ไม่กล้าหาเรื่อง ข้าเห็นแล้วมันอึดอัดแทบตายแน่ะ” ชักแท กล่าว
“อืม เจ้านี่เป็น...คนเดียวที่ห่วงใยข้า”
“จะไปไหน เราไม่ได้คุยกันนานแล้วนะ”
“ข้าต้องไปที่ที่นึง”
ซ๊อกรันอยู่เฝ้าไข้โดยัง ด้านฮวางจอง เห็นคนแอบเข้ามาที่เจจุงวอนแล้วทิ้งโคมไฟ เป็นโคมไฟที่ถูกเอามาจากห้องสมุด หมออัลเลนคิดว่าอาจจะเป็นฝีมือคนในเจจุงวอน
“เหอะ ๆ ดูนี่สิ หลังจากงัดกุญแจแล้วยังพยายามจะซ่อมกลับไปเหมือนเดิม อา นี่เค้าใช้ค้อนงัดกุญแจออก งั้นถ้าเราหาค้อนที่ตรงกับรอยนี้เจอก็เจอตัว ผอ. ในนี้เก็บอะไรเอาไว้” โอ กล่าว
“ต้องใช่แน่ เพราะว่าในตู้นี้ใช้เก็บกรดดินประสิวอยู่ด้วย เขาคงเอาไปทำไนโตรกลีเซอรีน เพื่อทำให้เกิดการระเบิด” หมออัลเลน กล่าว
“แต่ว่า ถ้าจะทำก็ต้องใช้กลีเซอรีนด้วยไม่ใช่เหรอครับ? แต่ข้าจำได้ว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น” ฮวางจอง กล่าว
“กลีเซอรีนมันอยู่ในห้องทำยาน่ะ” หมออัลเลน กล่าว
ฮวางจองปฏิเสธว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของตน แต่มีกลีเซอรีนหายไปขวดหนึ่ง โอ คิดว่าคนร้ายขโมยสารเคมีจากห้องนี้และห้องทดลอง ไปทำระเบิด แปลว่า ต้องเป็นฝีมือของคนในแน่นอน ฮวางจองบอกหมออัลเลนว่า ช่วงนี้ยาในห้องนี้มักหายไปบ่อย ๆ คนที่ขโมยยาพวกนั้นไปอาจเป็นคนร้ายก็ได้ ในตลาดมีการพูดถึงยาฝรั่งกันอยู่ไม่น้อย ถ้าไปตามสืบคนที่เอายาไปขาย ก็อาจเจอคนร้ายได้
คูฮอน รีบปรึกษาโอ ว่าจะทำอย่างไร เพราะตนเป็นคนขโมยเอายาไปขายเอาเงินมากินเหล้า ด้านฮวางจอง เข้าเอายามาให้โดยังบอกว่า เหตุระเบิดมีคนจงใจทำขึ้นพบหลักฐานบางอย่างแล้ว แต่โดยังคิดว่าฮวางจองมาบอกเพราะต้องการให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนร้าย และก็ขอบใจที่ได้เข้ามาช่วยจากกองไฟ ซ๊อกรัน บอกฮวางจองว่าอย่าใส่ใจ โดยังกำลังเสียใจ ที่มาบาดเจ็บเลยพูดไปอย่างนั้น
วาตานาเบ้ มาหาหมออัลเลนถามเรื่องอุบัติเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
“คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ?”
“ฮะ ๆ พวกข่าวลือมันแพร่สะพัดไปตามลมมันไปเร็วจะตาย ฮึ่ม ได้ยินว่าเบ๊กโดยังได้รับบาดเจ็บ ผมก็เลยอยากจะเยี่ยมเค้าหน่อย อ้อ แล้วก็ อยากจะมาขอวัคซีนป้องกันตูชังกับคุณด้วย”
“ตูชัง?”
“เค้าหมายถึง โรคฝีดาษน่ะครับท่าน ผอ. พวกชาวบ้านมักจะเรียกกันว่ามามาซองงิม ฮูกูมามา เพียซองมามา บางพวกก็เรียกว่าตูชังน่ะครับท่าน” ฮวางจอง อธิบาย
“อ้อ ที่แท้ก็คือโรคฝีดาษนั่นเอง แต่ว่า...น่าเสียดายที่เจจุงวอนไม่มีวัคซีนโรคนี้อยู่เลย”
“ไม่มีเหรอ เหอะ โรงพยาบาลอันดับหนึ่งของโชซอนกลับไม่มีวัคซีนโรคฝีดาษเหรอเนี่ย นึกไม่ถึงเลย”
“เราเคยส่งมาจากอเมริกา แต่มันกลับเสื่อมสภาพระหว่างทาง เลยเอามาใช้ไม่ได้ แต่ว่าทางเราส่งคนไปขอที่โรงพยาบาลในแจมัลโปแล้ว” หมออัลเลน กล่าว
“ไม่รู้พวกเค้าจะยอมให้ง่าย ๆ รึเปล่าน่ะสิ เหอะ มันเป็นเรื่องคับขันจริง ๆ โรคฝีดาษระบาด แต่กลับไม่มีวัคซีนเลย อ้อ แล้วคุณเบ๊กอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
วาตานาเบ้ เข้ามาที่ห้องผู้ป่วยพิเศษเพื่อเยี่ยมโดยัง
“เรื่องของพ่อคุณตอนนั้นผมรู้สึกเสียใจมากจริง ๆ เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับจักรวรรดิญี่ปุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่กลุ่มปฏิวัติก่อเรื่องขึ้นมาเองทั้งนั้น”
“ท่านมาวันนี้เพื่อพูดเรื่องนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าได้ยินข่าวว่าคุณเบ๊กบาดเจ็บก็เลยมาเยี่ยม เพราะยังไงเราก็เคยมีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ที่จะเขียนประวัติศาสตร์โชซอนสมัยใหม่ด้วยกันจริงมั้ย คุณยังไม่เปลี่ยนอุดมการณ์ใช่มั้ย จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังคงรอคุณเบ๊กอยู่เสมอ ถ้าคุณอยากไปเรียนต่อญี่ปุ่น ผมจะช่วยคุณเต็มที่เลย อย่างเหมือนที่คุณรู้แหละ เรื่องการแพทย์จักรวรรดิญี่ปุ่นเราเก่งที่สุดอยู่แล้ว ฮะ ๆ”
“ฮะ ๆ ๆ แต่ว่าข้าชอบเจจุงวอนมากกว่า และข้าก็ต้องการเป็นหมอที่นี่”
“ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาผมได้ตลอด อ้ออีกอย่างนึง ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ผมก็อยากจะเจอกับคุณบ่อย ๆ”
“เรื่องที่อุตส่าห์ตั้งใจมาเยี่ยมข้า ต้องขอบคุณมาก”
คิมโทน มาบอกวาตานาเบ้ ว่าตนเองทำงานไม่สำเร็จถูกฮวางจองมาพบเข้าซะก่อน แต่ตอนนั้นมืดมาก คงมองไม่เห็นหน้าตน เรื่องที่จะทำให้เข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุคงจะยากแล้ว วาตานาเบ้ บอกว่าให้โยนความผิดให้ ฮวางจองเป็นแพะรับบาปแทน
แม่ของซ๊อกรัน ทำอาหารเพื่อไปเยี่ยมโดยัง เห็นลูกสาวกลับมาเร็วก็ชวนไปด้วย มักเช็งบอกว่าที่เจจุงวอนมีข้าว โดยตนเป็นคนทำเหมือนกับที่บ้าน ซ๊อกรันถามหาพ่อ แม่ของนางจึงบอกว่ายูเดินทางไปโรงพยาบาลในแจมัลโปเพื่อเอาวัคซีนวันนี้คงกลับมาถึง
หมออัลเลนบอกกับพวกนักเรียนว่า จนถึงปัจจุบันนี้ โรคฝีดาษยังไม่มีวิธีรักษาหายขาดได้
“ไม่มีวิธีเลยจริง ๆ เหรอครับ” ฮวางจอง ถาม
“ถ้าหากติดเชื้อนี้เมื่อไหร่ ก็ได้แต่รอโชคชะตาเท่านั้น เพราะฉะนั้น การไม่ติดเชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าไม่อยากจะติดเชื้อ มีทางเดียวเท่านั้นคือมีภูมิคุ้มกัน มีเรื่องที่สำคัญมากก็คือ คนที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ก็จะไม่ติดโรคอีกเป็นครั้งที่สอง นี่เรียกว่ามีภูมิคุ้มกัน วัคซีนคือการใช้เชื้อที่ฤทธิ์อ่อน มาทำเป็นยาสร้างภูมิคุ้มกัน”
“เอ่อ หมายความว่า จงใจทำให้คนติดเชื้อฝีดาษอย่างนั้นหรือ?” เจอุ๊ก ถาม
“เค้าจะไม่ได้ติดเชื้อฝีดาษจริง ๆ หรอก แต่เป็นเชื้อปลอม เชื้อที่อ่อนแรง พูดง่าย ๆ ก็คือการให้เชื้อโรคไว้ก่อนที่คนเราจะไปติดโรคจริง เมื่อได้วัคซีนจากแจมัลโป ผมจะนำมาฉีดให้พวกคุณที่ต้องคอยดูแลคนไข้ก่อน เว้นแต่คนที่เคยติดเชื้อโรคนี้มาก่อนแล้ว”
ยู กลับมาถึงเจจุงวอน บอกกับหมออัลเลนว่า ตนไม่ได้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษมา โรงพยาบาลญี่ปุ่นที่แจมัลโปปฏิเสธไม่ยอมให้ท่าเดียว แต่ได้ผงหนองที่ได้มาจากทางต้าชิง
“ในผงนี้ ยังมีเชื้อโรคฝีดาษอยู่ ดังนั้น ถ้าสูดผงนี้เข้าไปก็จะให้ผลที่คล้ายกับการฉีดวัคซีนน่ะ”
“อ้อ เป็นวิธีที่ฉลาดมาก แต่ว่า...จะรับผงนี้เข้าไปยังไงล่ะ?” หมออัลเลน ถาม
หมออัลเลน ให้นักเรียนนำผงหนอง มาทำภูมิคุ้มกัน โดยการหย่อนเข้าไปในรูจมูก ใช้วิธีผสมน้ำ หรือว่าใช้วิธีสูดแห้ง ฮวางจองไม่ทำเพราะตนเองเคยติดโรคฝีดาษมาแล้วตอนเด็ก จึงจะไม่ติดอีก ส่วนคิมโทนเลือกวิธีผสมน้ำ
คิมโทน เข้ามาที่ห้องของฮวางจอง พอดีกับนังนังนำเสื้อผ้าที่ซักแล้วมาคืนให้
“ทำไมท่านถึงได้เข้ามาอยู่ในนี้ละคะ?”
“คือข้าจะมายืมหนังสือนักศึกษาฮวาง แต่ไม่มีใครอยู่”
“อ้อ แล้วท่านถือค้อนมาทำไมคะ?” นังนังสงสัย
“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอก” คิมโทน กล่าว
“นักศึกษาฮวาง กำลังให้ยาป้องกันโรคฝีดาษที่อยู่ลานด้านหน้าน่ะ ท่านไม่เห็นเหรอคะ
“ไม่เห็น ข้ายังไม่ได้ไป เจ้าทำงานไปเถอะ”
ยู เข้ามาหาโดยังเห็น ภรรยา และซ็อกรันกำลังดูแลและนำอาหารให้ทาน ก็บอกซ็อกรันให้ออกไปช่วยฮวางจองสร้างภูมิต้านทานฝีดาษ ให้กับพวกนักศึกษาแพทย์ จากนั้นโดยังก็บอกยู ว่า วาตานาเบ้มาหาตนที่นี่
“ทำไมเค้าถึงต้องมาที่นี่ล่ะ?”
“เค้าอ้างว่า จะมาเยี่ยมไข้ผมน่ะ แต่ผมคิดว่าคงจะมาดูว่าที่นี่มีวัคซีนโรคฝีดาษรึเปล่า”
“เพราะว่าญี่ปุ่น ครอบครองวัคซีนไว้เพียงผู้เดียว คิดว่าคงคิดจะใช้โอกาสนี้ ดึงผู้ป่วยให้ไปที่โรงพยาบาลในสถานทูต โรงพยาบาลญี่ปุ่นที่เจมัลโปก็ไม่ยอมให้วัคซีนเรามาเลย”
“นี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะฝีดาษดูเหมือนจะระบาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ” โดยัง กล่าว
“ที่พวกเราได้มาครั้งนี้ก็มีแค่ผงหนอง แต่นั่นคงจะเอามาเทียบกับวัคซีนไม่ได้ แล้วก็ยืนยันไม่ได้ว่าผงหนองพวกนี้ ถูกผลิตขึ้นมาเมื่อไหร่อีกต่างหาก”
“ยิ่งผลิตนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผลน้อยลง”
“ท่านยังเก็บหนังสือโรคฝีดาษของจีซ๊อกยองที่ข้าเคยให้ไว้อยู่รึเปล่า ถ้าเล่มนั้นยังอยู่ คิดว่าเราอาจทำวัคซีนกันเองได้”
“มันถูกเผาตอนที่พ่อของข้าเผาหนังสือไปหมด คงหาหนังสือเล่มนั้นไม่ได้แล้ว”
“เพราะจีซ๊อกยอง มีความสนิทสนมอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มปฏิรูปของคิมอ๊กกุน ก็เลยทำให้ เบื้องบนไม่ค่อยพอใจ และตอนนี้ถูกเนรเทศไปที่เกาะซินจี ในเจินลาแล้ว หนังสือของเค้าก็คงจะถูกทำลายไปด้วย”
นังนัง มาบอกฮวางจอง ว่านางเห็นนักศึกษาคิมโทนเข้าไปห้องของฮวางจอง ตอนตนไปทำความสะอาดห้อง เห็นว่าจะไปยืมหนังสือ ฮวางจองจึงบอกว่าได้เจอตอนเค้ามารับผงหนองแล้ว นังนังสงสัยว่าคิมโทนโกหกเรื่องที่พูดในห้อง
คิมโทนสงสัยว่านังนังจะรู้ความลับของตน จึงวางแผนใส่ร้ายนังนังว่าเป็นคนขโมยยาไปขายในตลาด โดยเขียนกระดาษมาแปะไว้หน้าห้องของโอ และคูฮอน ทั้งสองจึงคิดว่าจะโยนความผิดเรื่องยาให้กับนังนังเลย จึงนำตัวนังนังมาสอบสวน ไล่ออกจากโรงพยาบาล แม้ว่านังนังจะปฏิเสธไม่ได้ทำ
พิธีบวงสรวง ที่ทำในขณะที่เกิดโรคระบาด ในสมัยโชซอนมักจะคิดว่าฝีดาษเป็นผีที่มาสิง และจะมีการติดยันต์เอาไว้ที่หน้าหมู่บ้าน เพื่อเป็นการป้องกันผีฝีดาษ แต่เพราะมีการล้มตายของผู้ป่วยมาก ทำให้มีการนำเอาศพเด็กมามัดเชือกผูกไว้กับต้นไม้ เรียกว่าฝังลม
หมออัลเลน มาเข้าเฝ้าพระเจ้าโกจงเรื่องมีคนเสียชีวิตเพราะฝีดาษไปเป็นจำนวนมาก พระเจ้าโกจงตรัสว่าได้ทำพิธีบวงสรวงไปแล้ว สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลยรึ
“ไม่ว่าจะเป็นการบวงสรวง หรือการสวดของหมอผี คงไม่มีผลอะไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ถ้าไม่ทำพิธีนั้น อาจจะมีคนที่ติดโรคมากกว่านี้ก็ได้ หลายปีก่อน รัชทายาทติดโรคนี้แล้วก็หายด้วยการทำพิธีน่ะ” พระมเหสี ตรัส
“ตอนพิธีรัชทายาทเราใช้เครื่องเซ่นอายุยืนไปสิบอย่าง แล้วก็ยังได้หมอฝีดาษมารักษา แต่โชคร้ายที่หมอรักษาโรคฝีดาษคนนั้น เค้าได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้วน่ะ”
“ในตะวันตก โรคฝีดาษเป็นโรคที่ได้คร่าชีวิตคนไปถึงหนึ่งในสิบ เป็นโรคที่น่ากลัวมาก ปัจจุบัน โรคฝีดาษยังไม่มีวิธีที่รักษาได้อย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้น การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด” หมออัลเลน ทูล
“ถ้างั้น มีวิธีไหนที่จะป้องกันได้ล่ะ?”
“จะต้องฉีดวัคซีนพ่ะย่ะค่ะ”
“วัคซีน มันคือตัวอักษรตัวไหนเหรอ?”
“วัคซีน ไม่ใช่ภาษาโชซอนพ่ะย่ะค่ะ วัคซีนฝีดาษ คือการนำเอาเชื้อจากผู้ป่วยมาทำให้อ่อนแรง ที่นี่น่าจะเรียกว่ายาป้องกันฝีดาษ เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว จะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด”
“เรื่องนี้ จีซ๊อกยองก็เคยถวายฎีกาให้ข้าเหมือนกัน แต่การใช้มูลสัตว์มาฉีดเข้าร่างกาย ข้าก็รู้สึกไม่วางใจ”
“ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เค้าว่ากันว่าถ้าฉีดไปแล้ว จะมีเขาวัวงอกขึ้นมา แถมพวกผู้หญิงยังจะคลอดลูกออกมาเป็นวัวด้วย” มเหสี ตรัส
ระหว่างทางเดินทางกลับจากเข้าเฝ้า หมออัลเลน และหมอฮอร์ตั้น เห็นชาวบ้านเอาผู้ป่วยที่ยังไม่ตายก็เอาไปทิ้งด้วย ฮวางจอง จึงอธิบายว่า ทำเพื่อป้องกันการระบาด แล้วก็ประหยัดค่าทำศพด้วย ถึงได้เอาคนป่วยไปโยนทิ้ง
“ที่จริงควรจะเอาผู้ป่วยที่ถูกโยนทิ้ง เอามาดูแลถึงจะถูก ต่อให้เรารักษาไม่ได้ แต่ถ้าดูแลอย่างดี ก็อาจจะพอทำให้บางคนพอรอดชีวิตได้ เราจะให้นักศึกษาแพทย์ออกไปรับตัวคนป่วยที่ถูกทิ้งนั่นมา จริงสิ นักศึกษาที่รับผงหนองไปได้ผลยังไงบ้าง?” หมออัลเลน ถาม
“มีคนครึ่งนึงที่มีอาการไข้อ่อน ๆ แต่คนอื่นไม่เป็นอะไร คาดว่าผงหนองนั่นคงจะเก็บเอาไว้นานเกินไป”
“มีแต่วัคซีนฝีดาษถึงแก้ปัญหานี้ได้ ถ้างั้นก็พานักเรียนที่มีภูมิแล้วไปทำงานนี้เถอะ”
“แต่จะพาออกมาแบบนี้ได้ยังไง โรคฝีดาษ ติดต่อทางลมหายใจได้ เราต้องมีผ้าปิดปาก” หมอฮอร์ตั้น กล่าว
“เรื่องผ้าปิดปากข้าจะทำให้เองค่ะ” ซ๊อกรัน กล่าว
คูฮอน กับโอ กำลังเดินคุยกัน ก็มีคนมาขวาง นำจดหมายมาให้ เมื่อเปิดดู ก็พบว่าเขียนถึงการเปิดโปงความชั่วร้ายของเจ้าฮวางจอง จึงคิดจะนำเรื่องนี้ไปบอกโดยัง เมื่อฮวางจอง กลับมาจากการออกไปดูชาวบ้านที่ป่วย ก็พบว่า คูฮอน และทุกคนมารออยู่
“ทุกคน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” ฮวางจอง ถาม
“นักศึกษาฮวาง ของพวกนี้ เราหาเจอในห้องของเจ้า” คูฮอน กล่าว
“ของพวกนี้มันอะไรห้า? นี่มันเป็นกลีเซอรีนที่หายไปจากห้องทำยาไม่ใช่รึไง ส่วนนี่ก็เป็นค้อน มันเป็นค้อนที่ใช้ทุบกุญแจตู้เก็บดินประสิวที่อยู่ในห้องทดลองไม่ใช่เหรอ?” โอ กล่าว
“แล้วทำไม มันมาอยู่ในห้องของข้าล่ะ?” ฮวางจอง กล่าว
“เจ้าต้องอธิบายมาสิว่าทำไมยังมีหน้ามาถามเราอีก ข้าบอกให้ก็ได้ ค้อนอันนี้เอาออกมาจากที่นอนของเจ้า ส่วนขวดยา ก็เอามาจากมุมห้องของเจ้า”
“มันจะเกินไปแล้วนะ” ฮวางจอง กล่าว
“เรื่องนี้ ต้อง...ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่” โก กล่าว
“นักศึกษาโก เจ้าก็มีส่วนรู้เห็นเหรอ?” เจอุ๊ก ถาม
“โอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“ความจริงก็เห็นอยู่นี่แล้วไงล่ะ” คูฮอน กล่าว
“คนร้ายเป็นนักศึกษาแพทย์เหรอ มันช่างน่าละอายจริง ๆ ดูเหมือนจะเอาขวดนี้มาทำเป็นโถฉี่นะ” คิมโทน กล่าว
“เฮ้อ นั่นสิ ๆ ถึงว่ากลิ่นมันถึงได้แรงนัก” คูฮอน กล่าว
“แปลว่าค้อนนี่ก็เป็นของนักศึกษาฮวางด้วยสิ แถมมันยังมีรอยที่ตรงกับตู้ในห้องทดลองพอดีด้วย” คิมโทน กล่าว
“ถูกต้อง ทุกอย่างมันลงตัวพอดีเลย”
“นี่เจ้าเป็นฆาตกรใช่มั้ย?” คิมโทน ถาม
“ค้อนอันนั้น เป็นของนักศึกษาคิมค่ะ ข้าเคยเห็นมาก่อน” นังนังกล่าว
“นี่ เจ้าพูดอะไรของเจ้าเนี่ย?” คิมโทน ถาม
“ท่านเคยเอามัน เข้ามาในห้องของนักศึกษาฮวางไม่ใช่เหรอ?”
“เหอะ เชื่อเลย นี่คิดจะใส่ร้ายข้าเหรอ หึ มันจะเกินไปแล้วนะ”
“นี่มันหมายความว่ายังไง?” โอ ถาม
“อย่าเข้ามานะ ๆ ฮึ่ย ๆ หลีกไป ๆ” คิมโทน ตะโกน
“จับมันไว้” หลายคนตะโกน
“เพราะอะไรหะ?” ฮวางจอง ถาม
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก” คิมโทน กล่าว
“บอกข้ามานะ” ฮวางจอง กล่าวแล้วทั้งสองก็ต่อสู้
“ให้พวกข้าไปตรวจสอบกันเองก่อน แล้วค่อยไปแจ้งกองปราบ นักศึกษาเบ๊ก การใช้ห้องทดลองจะสลับกันใช้ทีละกลุ่ม กลุ่มที่ใช้ห้องก่อนพวกเจ้าคือใคร”
“อ้อใช่ เป็นกลุ่มของนักศึกษาฮวาง” เจอุ๊ก กล่าว
“ถ้าเจ้าแซ่ฮวางเป็นคนเข้าไปใช้ก่อนหน้าเจ้า หรือเจ้านั่นคิดจะฆ่าเจ้า” คูฮอน กล่าว
“ลองคิดดูให้ละเอียดสิ เจ้านึกถึงหลักฐานอะไรได้บ้าง?”
“ข้านึกอะไรไม่ออกเลย แล้วก็ไม่อยากจะนึกถึงด้วย” โดยัง กล่าว
“เฮ้อ เจ้าพูดอะไรอย่างนั้นเล่า เจ้าลองช่วยย้อนนึกทบทวนดูหน่อยสิ”
“ในช่วงความเป็นความตาย ฮวางจองเป็นคนช่วยข้าออกมา ดังนั้นข้าคงจะยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้แน่ คงจะดีถ้ามันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เป็นเค้าจงใจที่จะทำให้เกิดระเบิดขึ้น แล้วก็เล่นละครเข้าไปช่วยข้าออกมา ท่านเข้าใจที่ข้าพูดรึเปล่า?”
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุธรรมดาจริง ข้าจะต้องควานหาตัวคนร้ายมาให้ได้”
ฮวางจอง ถูกซ้อมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำให้ห้องทดลองระเบิด
“ระเบิดอาจเป็นความผิดของข้าก็ได้ อาจเป็นเพราะว่าตอนผสมยาข้าตวงสัดส่วนผิด จนกระทั่งมันระเบิด แล้วกระจายไประเบิดส่วนอื่น ๆ”
“เจ้าบอกว่าตวงสัดส่วนผิดเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อก่อนเวลาเจ้าตัดเนื้อถ้าบอกให้เจ้าตัดมาหนึ่งโลก็ออกมาหนึ่งโลเป๊ะ คนอย่างเจ้าวัดสัดส่วนไม่ถูกเหรอ อีกอย่างต่อให้เจ้าทำพลาดไปจริง ก็ไม่ควรไปปล่อยให้เค้ารุมกระทืบกันอย่างนั้นนี่ สู้กลับไปสิ คราวหน้าพวกมันจะได้ไม่กล้าหาเรื่อง ข้าเห็นแล้วมันอึดอัดแทบตายแน่ะ” ชักแท กล่าว
“อืม เจ้านี่เป็น...คนเดียวที่ห่วงใยข้า”
“จะไปไหน เราไม่ได้คุยกันนานแล้วนะ”
“ข้าต้องไปที่ที่นึง”
ซ๊อกรันอยู่เฝ้าไข้โดยัง ด้านฮวางจอง เห็นคนแอบเข้ามาที่เจจุงวอนแล้วทิ้งโคมไฟ เป็นโคมไฟที่ถูกเอามาจากห้องสมุด หมออัลเลนคิดว่าอาจจะเป็นฝีมือคนในเจจุงวอน
“เหอะ ๆ ดูนี่สิ หลังจากงัดกุญแจแล้วยังพยายามจะซ่อมกลับไปเหมือนเดิม อา นี่เค้าใช้ค้อนงัดกุญแจออก งั้นถ้าเราหาค้อนที่ตรงกับรอยนี้เจอก็เจอตัว ผอ. ในนี้เก็บอะไรเอาไว้” โอ กล่าว
“ต้องใช่แน่ เพราะว่าในตู้นี้ใช้เก็บกรดดินประสิวอยู่ด้วย เขาคงเอาไปทำไนโตรกลีเซอรีน เพื่อทำให้เกิดการระเบิด” หมออัลเลน กล่าว
“แต่ว่า ถ้าจะทำก็ต้องใช้กลีเซอรีนด้วยไม่ใช่เหรอครับ? แต่ข้าจำได้ว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น” ฮวางจอง กล่าว
“กลีเซอรีนมันอยู่ในห้องทำยาน่ะ” หมออัลเลน กล่าว
ฮวางจองปฏิเสธว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของตน แต่มีกลีเซอรีนหายไปขวดหนึ่ง โอ คิดว่าคนร้ายขโมยสารเคมีจากห้องนี้และห้องทดลอง ไปทำระเบิด แปลว่า ต้องเป็นฝีมือของคนในแน่นอน ฮวางจองบอกหมออัลเลนว่า ช่วงนี้ยาในห้องนี้มักหายไปบ่อย ๆ คนที่ขโมยยาพวกนั้นไปอาจเป็นคนร้ายก็ได้ ในตลาดมีการพูดถึงยาฝรั่งกันอยู่ไม่น้อย ถ้าไปตามสืบคนที่เอายาไปขาย ก็อาจเจอคนร้ายได้
คูฮอน รีบปรึกษาโอ ว่าจะทำอย่างไร เพราะตนเป็นคนขโมยเอายาไปขายเอาเงินมากินเหล้า ด้านฮวางจอง เข้าเอายามาให้โดยังบอกว่า เหตุระเบิดมีคนจงใจทำขึ้นพบหลักฐานบางอย่างแล้ว แต่โดยังคิดว่าฮวางจองมาบอกเพราะต้องการให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนร้าย และก็ขอบใจที่ได้เข้ามาช่วยจากกองไฟ ซ๊อกรัน บอกฮวางจองว่าอย่าใส่ใจ โดยังกำลังเสียใจ ที่มาบาดเจ็บเลยพูดไปอย่างนั้น
วาตานาเบ้ มาหาหมออัลเลนถามเรื่องอุบัติเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
“คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ?”
“ฮะ ๆ พวกข่าวลือมันแพร่สะพัดไปตามลมมันไปเร็วจะตาย ฮึ่ม ได้ยินว่าเบ๊กโดยังได้รับบาดเจ็บ ผมก็เลยอยากจะเยี่ยมเค้าหน่อย อ้อ แล้วก็ อยากจะมาขอวัคซีนป้องกันตูชังกับคุณด้วย”
“ตูชัง?”
“เค้าหมายถึง โรคฝีดาษน่ะครับท่าน ผอ. พวกชาวบ้านมักจะเรียกกันว่ามามาซองงิม ฮูกูมามา เพียซองมามา บางพวกก็เรียกว่าตูชังน่ะครับท่าน” ฮวางจอง อธิบาย
“อ้อ ที่แท้ก็คือโรคฝีดาษนั่นเอง แต่ว่า...น่าเสียดายที่เจจุงวอนไม่มีวัคซีนโรคนี้อยู่เลย”
“ไม่มีเหรอ เหอะ โรงพยาบาลอันดับหนึ่งของโชซอนกลับไม่มีวัคซีนโรคฝีดาษเหรอเนี่ย นึกไม่ถึงเลย”
“เราเคยส่งมาจากอเมริกา แต่มันกลับเสื่อมสภาพระหว่างทาง เลยเอามาใช้ไม่ได้ แต่ว่าทางเราส่งคนไปขอที่โรงพยาบาลในแจมัลโปแล้ว” หมออัลเลน กล่าว
“ไม่รู้พวกเค้าจะยอมให้ง่าย ๆ รึเปล่าน่ะสิ เหอะ มันเป็นเรื่องคับขันจริง ๆ โรคฝีดาษระบาด แต่กลับไม่มีวัคซีนเลย อ้อ แล้วคุณเบ๊กอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
วาตานาเบ้ เข้ามาที่ห้องผู้ป่วยพิเศษเพื่อเยี่ยมโดยัง
“เรื่องของพ่อคุณตอนนั้นผมรู้สึกเสียใจมากจริง ๆ เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับจักรวรรดิญี่ปุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่กลุ่มปฏิวัติก่อเรื่องขึ้นมาเองทั้งนั้น”
“ท่านมาวันนี้เพื่อพูดเรื่องนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าได้ยินข่าวว่าคุณเบ๊กบาดเจ็บก็เลยมาเยี่ยม เพราะยังไงเราก็เคยมีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ที่จะเขียนประวัติศาสตร์โชซอนสมัยใหม่ด้วยกันจริงมั้ย คุณยังไม่เปลี่ยนอุดมการณ์ใช่มั้ย จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังคงรอคุณเบ๊กอยู่เสมอ ถ้าคุณอยากไปเรียนต่อญี่ปุ่น ผมจะช่วยคุณเต็มที่เลย อย่างเหมือนที่คุณรู้แหละ เรื่องการแพทย์จักรวรรดิญี่ปุ่นเราเก่งที่สุดอยู่แล้ว ฮะ ๆ”
“ฮะ ๆ ๆ แต่ว่าข้าชอบเจจุงวอนมากกว่า และข้าก็ต้องการเป็นหมอที่นี่”
“ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาผมได้ตลอด อ้ออีกอย่างนึง ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ผมก็อยากจะเจอกับคุณบ่อย ๆ”
“เรื่องที่อุตส่าห์ตั้งใจมาเยี่ยมข้า ต้องขอบคุณมาก”
คิมโทน มาบอกวาตานาเบ้ ว่าตนเองทำงานไม่สำเร็จถูกฮวางจองมาพบเข้าซะก่อน แต่ตอนนั้นมืดมาก คงมองไม่เห็นหน้าตน เรื่องที่จะทำให้เข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุคงจะยากแล้ว วาตานาเบ้ บอกว่าให้โยนความผิดให้ ฮวางจองเป็นแพะรับบาปแทน
แม่ของซ๊อกรัน ทำอาหารเพื่อไปเยี่ยมโดยัง เห็นลูกสาวกลับมาเร็วก็ชวนไปด้วย มักเช็งบอกว่าที่เจจุงวอนมีข้าว โดยตนเป็นคนทำเหมือนกับที่บ้าน ซ๊อกรันถามหาพ่อ แม่ของนางจึงบอกว่ายูเดินทางไปโรงพยาบาลในแจมัลโปเพื่อเอาวัคซีนวันนี้คงกลับมาถึง
หมออัลเลนบอกกับพวกนักเรียนว่า จนถึงปัจจุบันนี้ โรคฝีดาษยังไม่มีวิธีรักษาหายขาดได้
“ไม่มีวิธีเลยจริง ๆ เหรอครับ” ฮวางจอง ถาม
“ถ้าหากติดเชื้อนี้เมื่อไหร่ ก็ได้แต่รอโชคชะตาเท่านั้น เพราะฉะนั้น การไม่ติดเชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าไม่อยากจะติดเชื้อ มีทางเดียวเท่านั้นคือมีภูมิคุ้มกัน มีเรื่องที่สำคัญมากก็คือ คนที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน ก็จะไม่ติดโรคอีกเป็นครั้งที่สอง นี่เรียกว่ามีภูมิคุ้มกัน วัคซีนคือการใช้เชื้อที่ฤทธิ์อ่อน มาทำเป็นยาสร้างภูมิคุ้มกัน”
“เอ่อ หมายความว่า จงใจทำให้คนติดเชื้อฝีดาษอย่างนั้นหรือ?” เจอุ๊ก ถาม
“เค้าจะไม่ได้ติดเชื้อฝีดาษจริง ๆ หรอก แต่เป็นเชื้อปลอม เชื้อที่อ่อนแรง พูดง่าย ๆ ก็คือการให้เชื้อโรคไว้ก่อนที่คนเราจะไปติดโรคจริง เมื่อได้วัคซีนจากแจมัลโป ผมจะนำมาฉีดให้พวกคุณที่ต้องคอยดูแลคนไข้ก่อน เว้นแต่คนที่เคยติดเชื้อโรคนี้มาก่อนแล้ว”
ยู กลับมาถึงเจจุงวอน บอกกับหมออัลเลนว่า ตนไม่ได้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษมา โรงพยาบาลญี่ปุ่นที่แจมัลโปปฏิเสธไม่ยอมให้ท่าเดียว แต่ได้ผงหนองที่ได้มาจากทางต้าชิง
“ในผงนี้ ยังมีเชื้อโรคฝีดาษอยู่ ดังนั้น ถ้าสูดผงนี้เข้าไปก็จะให้ผลที่คล้ายกับการฉีดวัคซีนน่ะ”
“อ้อ เป็นวิธีที่ฉลาดมาก แต่ว่า...จะรับผงนี้เข้าไปยังไงล่ะ?” หมออัลเลน ถาม
หมออัลเลน ให้นักเรียนนำผงหนอง มาทำภูมิคุ้มกัน โดยการหย่อนเข้าไปในรูจมูก ใช้วิธีผสมน้ำ หรือว่าใช้วิธีสูดแห้ง ฮวางจองไม่ทำเพราะตนเองเคยติดโรคฝีดาษมาแล้วตอนเด็ก จึงจะไม่ติดอีก ส่วนคิมโทนเลือกวิธีผสมน้ำ
คิมโทน เข้ามาที่ห้องของฮวางจอง พอดีกับนังนังนำเสื้อผ้าที่ซักแล้วมาคืนให้
“ทำไมท่านถึงได้เข้ามาอยู่ในนี้ละคะ?”
“คือข้าจะมายืมหนังสือนักศึกษาฮวาง แต่ไม่มีใครอยู่”
“อ้อ แล้วท่านถือค้อนมาทำไมคะ?” นังนังสงสัย
“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอก” คิมโทน กล่าว
“นักศึกษาฮวาง กำลังให้ยาป้องกันโรคฝีดาษที่อยู่ลานด้านหน้าน่ะ ท่านไม่เห็นเหรอคะ
“ไม่เห็น ข้ายังไม่ได้ไป เจ้าทำงานไปเถอะ”
ยู เข้ามาหาโดยังเห็น ภรรยา และซ็อกรันกำลังดูแลและนำอาหารให้ทาน ก็บอกซ็อกรันให้ออกไปช่วยฮวางจองสร้างภูมิต้านทานฝีดาษ ให้กับพวกนักศึกษาแพทย์ จากนั้นโดยังก็บอกยู ว่า วาตานาเบ้มาหาตนที่นี่
“ทำไมเค้าถึงต้องมาที่นี่ล่ะ?”
“เค้าอ้างว่า จะมาเยี่ยมไข้ผมน่ะ แต่ผมคิดว่าคงจะมาดูว่าที่นี่มีวัคซีนโรคฝีดาษรึเปล่า”
“เพราะว่าญี่ปุ่น ครอบครองวัคซีนไว้เพียงผู้เดียว คิดว่าคงคิดจะใช้โอกาสนี้ ดึงผู้ป่วยให้ไปที่โรงพยาบาลในสถานทูต โรงพยาบาลญี่ปุ่นที่เจมัลโปก็ไม่ยอมให้วัคซีนเรามาเลย”
“นี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะฝีดาษดูเหมือนจะระบาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ” โดยัง กล่าว
“ที่พวกเราได้มาครั้งนี้ก็มีแค่ผงหนอง แต่นั่นคงจะเอามาเทียบกับวัคซีนไม่ได้ แล้วก็ยืนยันไม่ได้ว่าผงหนองพวกนี้ ถูกผลิตขึ้นมาเมื่อไหร่อีกต่างหาก”
“ยิ่งผลิตนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผลน้อยลง”
“ท่านยังเก็บหนังสือโรคฝีดาษของจีซ๊อกยองที่ข้าเคยให้ไว้อยู่รึเปล่า ถ้าเล่มนั้นยังอยู่ คิดว่าเราอาจทำวัคซีนกันเองได้”
“มันถูกเผาตอนที่พ่อของข้าเผาหนังสือไปหมด คงหาหนังสือเล่มนั้นไม่ได้แล้ว”
“เพราะจีซ๊อกยอง มีความสนิทสนมอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มปฏิรูปของคิมอ๊กกุน ก็เลยทำให้ เบื้องบนไม่ค่อยพอใจ และตอนนี้ถูกเนรเทศไปที่เกาะซินจี ในเจินลาแล้ว หนังสือของเค้าก็คงจะถูกทำลายไปด้วย”
นังนัง มาบอกฮวางจอง ว่านางเห็นนักศึกษาคิมโทนเข้าไปห้องของฮวางจอง ตอนตนไปทำความสะอาดห้อง เห็นว่าจะไปยืมหนังสือ ฮวางจองจึงบอกว่าได้เจอตอนเค้ามารับผงหนองแล้ว นังนังสงสัยว่าคิมโทนโกหกเรื่องที่พูดในห้อง
คิมโทนสงสัยว่านังนังจะรู้ความลับของตน จึงวางแผนใส่ร้ายนังนังว่าเป็นคนขโมยยาไปขายในตลาด โดยเขียนกระดาษมาแปะไว้หน้าห้องของโอ และคูฮอน ทั้งสองจึงคิดว่าจะโยนความผิดเรื่องยาให้กับนังนังเลย จึงนำตัวนังนังมาสอบสวน ไล่ออกจากโรงพยาบาล แม้ว่านังนังจะปฏิเสธไม่ได้ทำ
พิธีบวงสรวง ที่ทำในขณะที่เกิดโรคระบาด ในสมัยโชซอนมักจะคิดว่าฝีดาษเป็นผีที่มาสิง และจะมีการติดยันต์เอาไว้ที่หน้าหมู่บ้าน เพื่อเป็นการป้องกันผีฝีดาษ แต่เพราะมีการล้มตายของผู้ป่วยมาก ทำให้มีการนำเอาศพเด็กมามัดเชือกผูกไว้กับต้นไม้ เรียกว่าฝังลม
หมออัลเลน มาเข้าเฝ้าพระเจ้าโกจงเรื่องมีคนเสียชีวิตเพราะฝีดาษไปเป็นจำนวนมาก พระเจ้าโกจงตรัสว่าได้ทำพิธีบวงสรวงไปแล้ว สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลยรึ
“ไม่ว่าจะเป็นการบวงสรวง หรือการสวดของหมอผี คงไม่มีผลอะไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ถ้าไม่ทำพิธีนั้น อาจจะมีคนที่ติดโรคมากกว่านี้ก็ได้ หลายปีก่อน รัชทายาทติดโรคนี้แล้วก็หายด้วยการทำพิธีน่ะ” พระมเหสี ตรัส
“ตอนพิธีรัชทายาทเราใช้เครื่องเซ่นอายุยืนไปสิบอย่าง แล้วก็ยังได้หมอฝีดาษมารักษา แต่โชคร้ายที่หมอรักษาโรคฝีดาษคนนั้น เค้าได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้วน่ะ”
“ในตะวันตก โรคฝีดาษเป็นโรคที่ได้คร่าชีวิตคนไปถึงหนึ่งในสิบ เป็นโรคที่น่ากลัวมาก ปัจจุบัน โรคฝีดาษยังไม่มีวิธีที่รักษาได้อย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้น การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด” หมออัลเลน ทูล
“ถ้างั้น มีวิธีไหนที่จะป้องกันได้ล่ะ?”
“จะต้องฉีดวัคซีนพ่ะย่ะค่ะ”
“วัคซีน มันคือตัวอักษรตัวไหนเหรอ?”
“วัคซีน ไม่ใช่ภาษาโชซอนพ่ะย่ะค่ะ วัคซีนฝีดาษ คือการนำเอาเชื้อจากผู้ป่วยมาทำให้อ่อนแรง ที่นี่น่าจะเรียกว่ายาป้องกันฝีดาษ เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว จะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด”
“เรื่องนี้ จีซ๊อกยองก็เคยถวายฎีกาให้ข้าเหมือนกัน แต่การใช้มูลสัตว์มาฉีดเข้าร่างกาย ข้าก็รู้สึกไม่วางใจ”
“ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เค้าว่ากันว่าถ้าฉีดไปแล้ว จะมีเขาวัวงอกขึ้นมา แถมพวกผู้หญิงยังจะคลอดลูกออกมาเป็นวัวด้วย” มเหสี ตรัส
ระหว่างทางเดินทางกลับจากเข้าเฝ้า หมออัลเลน และหมอฮอร์ตั้น เห็นชาวบ้านเอาผู้ป่วยที่ยังไม่ตายก็เอาไปทิ้งด้วย ฮวางจอง จึงอธิบายว่า ทำเพื่อป้องกันการระบาด แล้วก็ประหยัดค่าทำศพด้วย ถึงได้เอาคนป่วยไปโยนทิ้ง
“ที่จริงควรจะเอาผู้ป่วยที่ถูกโยนทิ้ง เอามาดูแลถึงจะถูก ต่อให้เรารักษาไม่ได้ แต่ถ้าดูแลอย่างดี ก็อาจจะพอทำให้บางคนพอรอดชีวิตได้ เราจะให้นักศึกษาแพทย์ออกไปรับตัวคนป่วยที่ถูกทิ้งนั่นมา จริงสิ นักศึกษาที่รับผงหนองไปได้ผลยังไงบ้าง?” หมออัลเลน ถาม
“มีคนครึ่งนึงที่มีอาการไข้อ่อน ๆ แต่คนอื่นไม่เป็นอะไร คาดว่าผงหนองนั่นคงจะเก็บเอาไว้นานเกินไป”
“มีแต่วัคซีนฝีดาษถึงแก้ปัญหานี้ได้ ถ้างั้นก็พานักเรียนที่มีภูมิแล้วไปทำงานนี้เถอะ”
“แต่จะพาออกมาแบบนี้ได้ยังไง โรคฝีดาษ ติดต่อทางลมหายใจได้ เราต้องมีผ้าปิดปาก” หมอฮอร์ตั้น กล่าว
“เรื่องผ้าปิดปากข้าจะทำให้เองค่ะ” ซ๊อกรัน กล่าว
คูฮอน กับโอ กำลังเดินคุยกัน ก็มีคนมาขวาง นำจดหมายมาให้ เมื่อเปิดดู ก็พบว่าเขียนถึงการเปิดโปงความชั่วร้ายของเจ้าฮวางจอง จึงคิดจะนำเรื่องนี้ไปบอกโดยัง เมื่อฮวางจอง กลับมาจากการออกไปดูชาวบ้านที่ป่วย ก็พบว่า คูฮอน และทุกคนมารออยู่
“ทุกคน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” ฮวางจอง ถาม
“นักศึกษาฮวาง ของพวกนี้ เราหาเจอในห้องของเจ้า” คูฮอน กล่าว
“ของพวกนี้มันอะไรห้า? นี่มันเป็นกลีเซอรีนที่หายไปจากห้องทำยาไม่ใช่รึไง ส่วนนี่ก็เป็นค้อน มันเป็นค้อนที่ใช้ทุบกุญแจตู้เก็บดินประสิวที่อยู่ในห้องทดลองไม่ใช่เหรอ?” โอ กล่าว
“แล้วทำไม มันมาอยู่ในห้องของข้าล่ะ?” ฮวางจอง กล่าว
“เจ้าต้องอธิบายมาสิว่าทำไมยังมีหน้ามาถามเราอีก ข้าบอกให้ก็ได้ ค้อนอันนี้เอาออกมาจากที่นอนของเจ้า ส่วนขวดยา ก็เอามาจากมุมห้องของเจ้า”
“มันจะเกินไปแล้วนะ” ฮวางจอง กล่าว
“เรื่องนี้ ต้อง...ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่” โก กล่าว
“นักศึกษาโก เจ้าก็มีส่วนรู้เห็นเหรอ?” เจอุ๊ก ถาม
“โอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“ความจริงก็เห็นอยู่นี่แล้วไงล่ะ” คูฮอน กล่าว
“คนร้ายเป็นนักศึกษาแพทย์เหรอ มันช่างน่าละอายจริง ๆ ดูเหมือนจะเอาขวดนี้มาทำเป็นโถฉี่นะ” คิมโทน กล่าว
“เฮ้อ นั่นสิ ๆ ถึงว่ากลิ่นมันถึงได้แรงนัก” คูฮอน กล่าว
“แปลว่าค้อนนี่ก็เป็นของนักศึกษาฮวางด้วยสิ แถมมันยังมีรอยที่ตรงกับตู้ในห้องทดลองพอดีด้วย” คิมโทน กล่าว
“ถูกต้อง ทุกอย่างมันลงตัวพอดีเลย”
“นี่เจ้าเป็นฆาตกรใช่มั้ย?” คิมโทน ถาม
“ค้อนอันนั้น เป็นของนักศึกษาคิมค่ะ ข้าเคยเห็นมาก่อน” นังนังกล่าว
“นี่ เจ้าพูดอะไรของเจ้าเนี่ย?” คิมโทน ถาม
“ท่านเคยเอามัน เข้ามาในห้องของนักศึกษาฮวางไม่ใช่เหรอ?”
“เหอะ เชื่อเลย นี่คิดจะใส่ร้ายข้าเหรอ หึ มันจะเกินไปแล้วนะ”
“นี่มันหมายความว่ายังไง?” โอ ถาม
“อย่าเข้ามานะ ๆ ฮึ่ย ๆ หลีกไป ๆ” คิมโทน ตะโกน
“จับมันไว้” หลายคนตะโกน
“เพราะอะไรหะ?” ฮวางจอง ถาม
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก” คิมโทน กล่าว
“บอกข้ามานะ” ฮวางจอง กล่าวแล้วทั้งสองก็ต่อสู้
เนื้อหา: เดลินิวส์ / ภาพจากละคร (เอสบีเอส)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา