วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องย่อ ยอดขุนพลคู่แผ่นดิน (Gye Baek)




กำกับ: คิม กึนฮง, ชอง แดยุน
เขียนบท: ชอง ฮยองซู
แนวละคร: ย้อนยุค, อิงประวัติศาสตร์
จำนวนตอน: 36
ออกอากาศ: เกาหลี - 25 กรกฎาคม 2554 - 22 พฤศจิกายน 2554 ทางเอ็มบีซี
                   ไทย - ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00-20.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2559 - 25 พฤศจิกายน 2559

เรื่องย่อ



ละคร "ยอดขุนพลคู่แผ่นดิน (Gye Baek)" นำเสนอเรื่องราวของแม่ทัพ "คเยแพค" นักรบคนสุดท้ายของอาณาจักรแพคเจที่ยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังพันธมิตร "ชิลลา-ราชวงศ์ถัง" ในศึกฮวางซานพอล (ปัจจุบันคือ "เมืองนนซาน" ในจังหวัดชุงชองนัมโด หรือชุงชองใต้) เมื่อปี ค.ศ. 660 (พ.ศ. 1203) ก่อนที่อาณาจักรแพคเจจะล่มสลาย (อาณาจักรแพคเจ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อนคริสตกาลโดย "พระเจ้าอนจอ" ซึ่งเป็นพระโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าดงเมียงซองแห่งโกคูรยอ (จูมง) กับโซซอโน)

เหตุการณ์ในตอนนั้นเกิดขึ้นหลังจาก "พระเจ้ามูยอลแห่งอาณาจักรชิลลา" (นามเดิมคือ "คิม ชุนชู" เป็นโอรสขององค์หญิงชอนมยอง กับคิม ยองซู ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชินีซอนต็อก) ซึ่งร่วมมือกับ "จักรพรรดิถังเกาจง" (จักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ถัง) ส่งกองกำลัง 5 หมื่นนายมาทำสงครามกับแพคเจ โดยมอบหมายให้ แม่ทัพ "คิม ยูชิน" เป็นผู้นำทัพ  และมีทหารราชวงศ์ถังเกือบ 1.3 แสนนายเป็นกองหนุน เมื่อ "พระเจ้าอึยจา" (พระราชาองค์ที่ 31 และองค์สุดท้ายของอาณาจักรแพคเจ) ทราบข่าวจึงรีบสั่งให้แม่ทัพ "คเยแพค" นำกำลังทหาร 5 พันนายไปรับมือแม่ทัพยูชิน (ในตอนนั้นแพคเจกำลังเผชิญทั้งศึกนอกศึกใน ด้วยความที่เหล่าขุนนางต่างพากันหันหลังให้พระเจ้าอึยจา พระองค์จึงมีทหารในมือเพียง 5 พันนาย) ทหารแพคเจเดินทางไปถึงฮวางซานพอลก่อนและได้ตั้งค่ายรอทัพใหญ่ของชิลลา-ถัง ระหว่างนั้นคเยแพคได้พูดปลุกใจเหล่าทหารเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ทำให้เหล่าทหารกล้าของแพคเจเกิดความฮึกเหิมและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูที่มีกำลังเหนือกว่าถึงสิบเท่า




เมื่อกองกำลังของแม่ทัพยูชินมาถึงก็บุกเข้าโจมตีกองทัพของแพคเจทันที แม้จะมีกำลังน้อยกว่าแต่ทหารแพคเจมีขวัญและกำลังใจดี ทั้งยังพร้อมสู้ตาย จึงเอาชนะและขับไล่ทหารชิลลาให้ถอยร่นออกไปได้หลายครั้งจนทหารชิลลาเริ่มหมดกำลังใจ หลังจากนั้นชิลลาจึงส่งนักรบหนุ่มกลุ่มฮวารังมาต่อกรกับทัพของแพคเจแต่ก็ยังไม่วายพ่ายให้คเยแพค แม่ทัพยูชินจึงเรียกขวัญและกำลังใจทหารชิลลากลับคืนมา ก่อนเดินหน้าบุกโจมตีทหารของแพคเจ (ที่กำลังพลเริ่มร่อยหรอ) แบบเต็มกำลัง ทหารแพคแจซึ่งกรำศึกมาจนเหนื่อยล้า ทั้งยังมีกำลังน้อยกว่าและถูกโอบล้อม จึงทำได้เพียงต่อสู้จนตัวตายและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 660 หลังจากนั้น แม่ทัพยูชินแห่งชินลาและแม่ทัพของราชวงศ์ถังจึงผนึกกำลังเข้าโอบล้อมและยึดเมืองซาบี (เมืองหลวงของแพคเจ)   เป็นเหตุให้อาณาจักรแพคเจล่มสลายลง



ภาพจาก วิกิพีเดีย

เนื้อหาในละครกล่าวถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 612 (พ.ศ. 1155 หรือช่วงกลางศตวรรษที่ 7) ซึ่งเป็นยุคที่สามอาณาจักรของเกาหลี ได้แก่ โกคูรยอ แพคเจ และชิลลา ต่างเปิดศึกรบราฆ่าฟันกันเอง อีกทั้งยังเป็นปีที่ราชวงศ์สุยของจีนส่งกองทัพนับล้านมาโจมตีโกคูรยออย่างต่อเนื่อง (แต่กลับพ่ายแพ้โกคูรยออย่างยับเยินในอีกสองปีต่อมาและล่มสลายลงในปี ค.ศ. 618 หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคของราชวงศ์ถัง) ในช่วงนั้นอาณาจักรชินลากำลังเรืองอำนาจทางตอนใต้และตอนกลางของคาบสมุทรเกาหลี ในขณะที่อาณาจักรแพคเจเริ่มฉายแววอ่อนแอและเสื่อมถอย


ละครเปิดฉากขึ้น ณ เมืองซาบี องครักษ์ "มูจิน" ควบม้ากลับไปหา  "มยองจู" ผู้เป็นภรรยา (ซึ่งกำลังท้องแก่) ที่บ้านตอนเช้ามืด แต่ไม่อาจอยู่กับเธอและลูกในท้องได้นานนักเพราะต้องกลับไปถวายการอารักขา "พระมเหสีซอนฮวา" (ธิดาพระเจ้าชินพยองแห่งชิลลาและน้องสาวซอนต็อก) กับ "องค์ชายอึยจา" ทั้งๆ ที่เป็นช่วงออกเวร เพราะเกรงว่ากลุ่ม "วีเจ" (กลุ่มปฏิรูปแพคเจ) จะฉวยโอกาสช่วงที่ "พระเจ้ามู" (พระราชาองค์ที่ 30 ของแพคเจ) เสด็จออกไปทรงงานนอกวัง ลอบปลงพระชนม์พระมเหสีและพระโอรส (โทษฐานที่เป็นเสี้ยนหนาม และเป็นสายเลือดศัตรูอย่างชิลลา)


ก่อนกลับไปทำหน้าที่ มูจินแวะไปที่โรงผลิตอาวุธเพื่อทวงดาบเล่มใหม่จาก "ชอนดล" หลังได้ดาบเล่มใหม่มาหมาดๆ ก็มีคนหลั่งเลือดสังเวยดาบของมูจินทันที เพราะเขาถูกนักฆ่ากลุ่ม "วีเจ" สะกดรอยตามและลอบทำร้ายขณะเดินทางไปยังตำหนักพระสนม ปรากฏว่ากลุ่มวีเจวางแผนกำจัดพระมเหสีและองค์ชายอึยจาดังที่มูจินคาดการณ์เอาไว้จริงๆ แม้กลุ่มนักฆ่าจะสร้างสถานการณ์ด้วยการเผาคลังเสบียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเหล่าทหารองครักษ์ ทั้งยังพยายามสกัดไม่ให้มูจินเข้าวังไปช่วยเหลือ แต่สุดท้ายมูจินก็กำจัดเหล่านักฆ่าและมาช่วยทั้งสองพระองค์ได้ทันเวลา (องค์ชายอึยจาไม่รู้สึกตกใจกลัวเพราะมั่นใจในตัวมูจิน)

แม้จะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระมเหสีและพระโอรสถูกลอบปลงพระชนม์ แต่พระเจ้ามูกลับไม่อาจทำอะไรได้ เพราะตลอด 12 ปีที่ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักถูกเสนาบดี "ซาแทค ชอกต็อก" (บิดาของพระสนม "ซาแทค พี") และเหล่าขุนนางเข้าครอบงำ พระองค์จึงเป็นพระราชาเพียงแค่ในนามที่ไม่มีทั้งกำลัง อำนาจ และไม่อาจสั่งการหรือทำอะไรได้ตามอำเภอใจ (ต้องผ่านความเห็นชอบจากเหล่าขุนนาง หรือได้รับความยินยอมจากพระสนมซาแทคก่อน) สิ่งเดียวที่พระเจ้ามูทรงทำได้จึงมีเพียงการ...เชือดไก่ให้ลิงดู!


หลังสังหารแม่ทัพ "แพคยอน" โทษฐานที่ไม่ทำงานตามรับสั่งและบกพร่องต่อหน้าที่ พระองค์ก็ถูกพระสนมซาแทคตำหนิที่กระทำการโดยวู่วาม เพราะการสังหารขุนนางใหญ่อย่างแม่ทัพแพคยอนก็เท่ากับเป็นการเปิดศึกกับเหล่าขุนนางและชนชั้นสูง พระสนมยังชี้ด้วยว่ากลุ่มวีเจก็เป็นราษฎรชาวแพคเจ และคงไม่มีชาวแพคเจคนไหนทำใจยอมรับองค์ชายรัชทายาทที่มีสายเลือดของชิลลาได้  พระเจ้ามูตัดพ้อเรื่องที่ไม่มีใครเห็นใจพระมเหสีซอนฮวา โดยกล่าวว่าพระมเหสีจำต้องทิ้งบ้านเมืองและราษฎรเพื่อมาอยู่กับตน และนางก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อตำแหน่งพระมเหสี เพราะตอนนั้นตนเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญที่ชื่อ "พูยอ ชาง" ดังนั้น นางจึงไม่ใช่คนของแพคเจหรือชิลลาแต่เป็นเพียงคนของตน



เมื่อพระเจ้ามูประกาศว่าจะแต่งตั้งองค์ชายอึยจาเป็นองค์รัชทายาท เสนาบดีซาแทคก็ออกโรงคัดค้านโดยอ้างว่าพระเจ้ามูทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง หากแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทในตอนนี้ราษฎรอาจเสียขวัญและจะทำให้ราชสำนักสั่นคลอน ขณะที่ "คีมี" อ้างว่าองค์ชายอึยจายังเด็กเกินไป (พระชันษาเพียง 10 ปี) หากแต่งตั้งองค์ชายอึยจาเป็นองค์ชายรัชทายาทตอนนี้ เหล่าราษฎรอาจสงสัยว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในวัง และชิลลากับโกคูรยออาจฉวยโอกาสนี้โจมตีชายแดนแพคเจอีก

"แม่ทัพยุนชุง" สนับสนุนการตัดสินพระทัยของพระเจ้ามู โดยให้เหตุผลว่าในตอนนี้ดินแดนสามอาณาจักร (โกคูรยอ แพคเจ และชิลลา) กำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสาย เพราะจักรพรรดิสุยหยาง (หยางกว่าง) แห่งราชวงศ์สุย ได้ส่งกองกำลังนับล้านนายไปตีโกคูรยอ ส่วนแพคเจเองก็เพิ่งเอาชนะกองทัพชิลลาที่ป้อมคาชัมหลังบุกโจมตีอย่างหนักได้เพียง 100 วัน ทหารโกคูรยอกำลังฮึกเหิมที่เอาชนะกองทัพสุยได้จึงอาจใช้โอกาสนี้เคลื่อนทัพลงมาทางใต้ (เพื่อตีแพคเจ) ขณะที่ชิลลาก็กำลังรอโอกาสยึดป้อมคาชัมคืนจากแพคเจ ในไม่ช้าพระเจ้ามูอาจต้องนำทัพไปรบกับข้าศึก จึงจำเป็นต้องมีองค์ชายรัชทายาทไว้สืบทอดราชบัลลังก์

หลังได้รับการสนับสนุนจาก 3 ยอดขุนพลที่ยึดป้อมคาชัมของชิลลาได้สำเร็จ พระเจ้ามูก็ขอให้เหล่าขุนนางยอมรับการตัดสินใจของตน เสนาบดีซาแทคแย้งว่าเรื่องนี้ต้องให้เหล่าขุนนางในราชสำนักเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะตอนที่อดีตพระราชาสวรรคตกระทันหันเมื่อ 13 ปีก่อน พวกตนเป็นคนผลักดันพระองค์ให้ขึ้นครองบัลลังก์ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทเลยด้วยซ้ำ ด้วยวิสัยทัศน์อันเฉียบแหลมของพวกตนพระองค์ถึงได้นำพาอาณาจักรแพคแจมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองดังเช่นทุกวันนี้ จึงขอให้พระองค์ทรงวางพระทัยและปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของพวกตน

พระเจ้ามูรู้สึกกริ้วที่พระองค์เป็นถึงพระราชาแต่กลับไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ จึงถามเสนาบดีซาแทคว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพระองค์ดึงดันที่จะแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทโดยไม่ยอมให้เหล่าขุนนางในราชสำนักเข้ามายุ่งเกี่ยว เสนาบดีซาแทคทูลว่าต่อให้ขุนนางอย่างพวกตนยอมทำตามพระประสงค์ แต่กองทัพของหัวเมืองทั้งห้าจะทำตามหรือไม่พวกตนไม่อาจรับรองได้ เขาชี้ว่าแม่ทัพแพคยอนที่พระองค์ลงมือสังหารเมื่อวานนี้เป็นคนของหัวเมืองทางภาคกลาง เชื่อว่าในตอนนี้กองทัพของหัวเมืองดังกล่าวคงกำลังโกรธแค้นพระองค์เป็นอย่างมาก


หลังโดนข่มขู่พระเจ้ามูจึงถามเสนาบดีซาแทคเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะไม่ทำตามความประสงค์ของตนจริงหรือ เสนาบดีซาแทคทูลว่าตนก็แค่ไม่อาจขัดต่อความประสงค์ของแพคเจ พระเจ้ามูได้ยินดังนั้นจึงสั่งปลดเสนาบดีซาแทค ทั้งยังสั่งยึดที่ดินและเนรเทศไปยังโกมามีจีฮยอน แม่ทัพ "แฮซู" จะนำกำลังทหารเข้าควบคุมตัวเสนาบดีซาแทคตามพระบัญชา แต่ถูกพระสนมซาแทคขวางเอาไว้โดยให้เหตุผลว่าทำเช่นนี้จะไม่เป็นผลดีต่อแพคเจ เพราะเสนาบดีซาแทคเป็นผู้มีคุณูปการและเป็นเสาหลักของบ้านเมือง แม่ทัพแฮซูชั่งใจครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถอนกำลังออกจากท้องพระโรง


พระเจ้ามูกริ้วมากที่ถูกหักหน้าและกลายเป็นตัวตลกกลางท้องพระโรง ทั้งยังคับแค้นใจที่ไม่มีอำนาจสั่งการทหารและเหล่าขุนนาง พระสนมซาแทคคุกเข่าขมาพระเจ้ามูพลางพูดปลอบใจว่าความจริงแล้วทุกคนล้วนจงรักภักดีต่อพระองค์ เพียงแต่ไม่อยากให้บ้านเมืองสั่นคลอนและสับสนวุ่นวาย จากนั้นก็เตือนด้วยน้ำตานองหน้าว่าพระองค์ไม่ควรตั้งตนเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนาง เพราะอดีตพระราชาทั้งสองพระองค์ที่ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนหน้า (พระเจ้าฮเยและพระเจ้าพอพ) ล้วนสวรรคตในปีแรกของการครองราชย์และเป็นการสวรรคตที่ผิดธรรมชาติ ตนไม่อยากเสียพระองค์ไปจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพระองค์ พระเจ้ามูขอโทษที่เข้าใจพระสนมซาแทคผิดไป จากนั้นก็ตัดพ้อเรื่องที่พระองค์ไม่มีอำนาจสั่งการแม้กระทั่งทหารองครักษ์ในวังและขอร้องให้พระสนมซาแทคช่วย พระสนมซาแทคจึงทูลว่าตนจะลองพูดเกลี้ยกล่อมบิดากับเหล่าบรรดาขุนนางดู และจะขอกำลังทหารมาอารักขาพระมเหสีกับองค์ชายอึยจาเพิ่มให้ด้วย

คีมีไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ พระเจ้ามูถึงตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่าม ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงรู้ดีว่าเหล่าขุนนางทั้งในราชสำนักและหัวเมืองทั้งห้าล้วนเป็นคนแปดตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น (แปดตระกูลใหญ่ประกอบด้วย ซา, ยอน, ฮยอพ, แฮ, จิน, กุก, มก, แพค - ส่วนพระเจ้ามูมาจากตระกูลพูยอ) และขุนนางเหล่านี้เองที่สนับสนุนให้พระองค์เป็นพระราชา เขาเชื่อว่าหลังเกิดเหตุการณ์ในท้องพระโรงวันนี้แล้วพระเจ้ามูจะตระหนักถึงอำนาจของพวกตน แต่เสนาบดีซาแทคไม่คิดเช่นนั้น เขาสงสัยว่าพระเจ้ามูทำเช่นนี้เพื่อโยนหินถามทางและตรวจสอบดูว่ามีใครบ้างที่จงรักภักดีต่อพระองค์ อย่างน้อยๆ ในตอนนี้พระองค์ทรงรู้แล้วว่าสามแม่ทัพ ยุนชุง อึนซัง และอึยจิก เป็นฝ่ายพระองค์ คีมีแย้งว่าทั้งสามคนมีทหารในสังกัดรวมกันไม่เกิน 500-600 คนด้วยซ้ำ เสนาบดีซาแทคเชื่อว่าสามแม่ทัพจะต้องแอบเพิ่มกำลังพลกันอย่างลับๆ จึงสั่งให้คีมีส่งคนไปคอยจับตาดู


พระสนมซาแทคสั่งให้ย้ายตำแหน่งแม่ทัพแฮซู เพื่อเปิดทางให้พระเจ้ามูเป็นผู้คุมกำลังทหารองครักษ์แทน เมื่อคีมีแย้งว่าแม่ทัพแฮซูมีกำลังทหารในมือมากกว่า 1 พันนาย พระสนมซาแทคจึงสั่งโยกย้ายกำลังพลให้เป็นคนของพวกตนทั้งหมด จากนั้นก็กล่าวด้วยความคับแค้นใจว่าเมื่อก่อนพระเจ้ามูเคยเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ แต่ตอนนี้กลับถูกกระโปรงผู้หญิงชิลลาบังตาจนมองไม่เห็นความเป็นจริงและความถูกต้องชอบธรรม  พระสนมซาแทคน้ำตาคลอเบ้าขณะพูดว่าเธอทั้งเห็นใจและรู้สึกผิดที่จำเป็นต้องกำจัดพระมเหสีกับองค์ชายอึยจา  นี่ไม่ใช่ความหึงหวงแต่ใครก็ตามที่ทำให้ดวงตาและหัวใจของพระเจ้ามูมืดบอดจะต้องถูกกำจัดทิ้งเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง

ทันใดนั้น "องค์ชายคโยกี" (โอรสของพระสนมซาแทค) ก็วิ่งเข้ามาหาเสนาบดีซาแทคในห้องพลางอวดว่าตนเพิ่งจับกระต่ายป่าบนภูเขาได้ตัวหนึ่ง พอหันมาเห็นพระสนมซาแทคกำลังใช้ผ้าซับน้ำตา องค์ชายคโยกีก็ปักมีดสั้นลงบนกระต่ายป่าตัวเป็นๆ ด้วยความโกรธและโหดเหี้ยม พลางลั่นวาจาว่าตนจะทำเช่นนี้กับใครก็ตามที่ทำให้พระมารดาของตนเสียน้ำตา พระสนมและเสนาบดีเห็นดังนั้นก็รู้สึกตกใจ



พระเจ้ามูประลองดาบไม้กับเหล่าทหารองครักษ์ในบังคับบัญชา แต่กลับพบว่าทุกคนล้วนฝีมืออ่อนด้อยจนไม่อาจปกป้องตนเองได้ด้วยซ้ำ ด้วยความโมโหที่เป็นได้แค่เพียงพระราชาหุ่นเชิด พระเจ้ามูจึงหยิบดาบประจำพระองค์มาฟาดฟันใส่ "ซากอล" (องครักษ์คู่ใจ) แต่ซากอลทำได้เพียงชักดาบออกมาตั้งรับและป้องกันตัวจนดาบบิ่น และนั่นก็ทำให้พระเจ้ามูยิ่งโมโห มูจินเห็นซากอลกำลังจะถูกแทง (เพราะไม่กล้าสู้) จึงเข้ามาขวางและขอให้พระเจ้ามูหันมาประลองกับตนแทน หลังประลองกับมูจินจนหนำใจได้สักพัก พระเจ้ามูก็ทักเรื่องที่มูจินได้ดาบดีมาไว้ในครอบครอง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีดาบเล่มใดต้านทานคมดาบของพระองค์ได้



พระเจ้ามูรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องพระมเหสีและพระโอรส จึงตรัสว่าจะไม่ผลักดันองค์ชายอึยจาให้เป็นองค์รัชทายาทอีกเพื่อที่องค์ชายและพระมเหสีจะได้ไม่ตกอยู่ในอันตราย พระมเหสีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจและแย้งว่าหากองค์ชายอึยจาไม่ได้เป็นรัชทายาท ตนกับองค์ชายจะยิ่งตกอยู่ในอันตรายเพราะไม่มีอำนาจอะไรมาต่อกร พระเจ้ามูอธิบายว่าถ้าไม่แต่งตั้งองค์ชายอึยจา คนพวกนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะปองร้ายพระมเหสีกับองค์ชายอีก พระองค์ถามองค์ชายอึยจาว่าเข้าใจสิ่งที่ตนพูดไหม องค์ชายอึยจากล่าวว่าแค่ได้อยู่กับพระมารดาตราบจนชั่วชีวิตตนก็พอใจแล้ว

พระเจ้ามูรู้ว่ามีคนดักซุ่มและแอบฟังอยู่บนหลังคาแต่กลับห้ามไม่ให้มูจินเคลื่อนไหว ซ้ำยังเรียกให้มูจินเข้ามาใกล้ๆ แล้วพระราชทานสุรา จากนั้นก็ขอร้องให้มูจินช่วยปกป้องพระมเหสีและพระโอรส โดยบอกว่าพระองค์ไม่ได้ขอร้องในฐานะพระราชาแต่ในฐานะรุ่นพี่และศิษย์อาจารย์คนเดียวกัน มูจินรับปากโดยบอกว่าตนไม่ได้ทำตามเพราะเป็นพระบัญชา แต่นี่เป็นชะตาของข้ารับใช้ที่จงรักภักดีอย่างตน แม้จะรู้ว่าเป็นแผนการของพระเจ้ามูที่จงใจพูดให้คนบนหลังคาได้ยินหมายปกป้องพระมเหสีและองค์ชายอึยจา แต่มูจินกลับรู้สึกเป็นกังวลและสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก


หลังได้รับรายงานว่าพระเจ้ามูทรงล้มเลิกความคิดที่จะแต่งตั้งองค์ชายอึยจาเป็นรัชทายาท เสนาบดีซาแทคก็รู้สึกเบาใจ จึงบอกให้พระสนมหันไปใส่ใจเรื่องการศึกษาขององค์ชายคโยกี ถึงกระนั้นพระสนมก็ยังไม่ปักใจเชื่อและคิดว่านี่คือแผนลวงให้พวกตนตายใจ เธอรู้ดีว่าพระเจ้ามูเป็นคนฉลาดหลักแหลมถึงขนาดเคยนำเพลง* มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ครอบครองสตรีชิลลา เสนาบดีซาแทคได้ยินดังนั้นจึงถามพระสนมว่าต้องทำอย่างไรเธอถึงจะวางใจ พระสนมซาแทคกล่าวว่าต้องเดินหน้าทำตามแผนเดิมเพื่อเป็นการตัดรากถอนโคน

* เพลงที่ว่าคือ "ซอดงโย" (บทเพลงของซอดง) ซึ่ง "พูยอ ชาง" (หรือพระเจ้ามูในขณะนั้น) ได้แต่งและสอนให้เด็กๆ ในเมืองคยองจู (เมืองหลวงของชิลลา) ร้องกันเล่นๆ เป็นเพลงพื้นบ้าน โดยมอบฮ่วยซัว (พืชในตระกูลกลอยแต่ทานดิบได้) เป็นรางวัลสำหรับเด็กๆ ที่ตั้งใจและให้ความร่วมมือ เด็กทั้งเมืองจึงพากันเดินร้องเพลงนี้จนเรื่องดังกล่าวดังไปถึงหูของพระเจ้าชินพยองแห่งชิลลา ด้วยความที่เนื้อหาในเพลงกล่าวถึงความรักและความสัมพันธ์อย่างลับๆ ระหว่างซอดง (พระนามในวัยเด็กของพระเจ้ามู) กับองค์หญิงซอนฮวาแห่งชิลลา พระเจ้าชินพยองจึงเนรเทศองค์หญิงซอนฮวาออกจากเมืองคยองจูทั้งๆ ที่องค์หญิงซอนฮวาไม่ได้รู้เรื่องด้วยแต่อย่างใด แต่นั่นก็ทำให้ "พูยอ ชาง" ได้แต่งงานกับองค์หญิงซอนฮวาสมใจ และได้ขึ้นครองบัลลังก์แพคเจในเวลาต่อมา 



คืนเดียวกันนั้น "นัมโจ" นำสาส์นลับไปให้ "ควีอุน" (หัวหน้ากลุ่มวีเจ) และถามว่ามีคำสั่งให้ยุติการ "ล่า" ใช่หรือไม่ เมื่อควีอุนบอกให้ล่าจนกว่าภารกิจจะสำเร็จลุล่วง นัมโจก็รู้สึกแปลกใจ (เขาเป็นคนนำเรื่องที่พระเจ้ามูตรัสว่าจะไม่แต่งตั้งองค์ชายอึยจาเป็นรัชทายาทไปบอกเสนาบดีซาแทค)

วันรุ่งขึ้นพระมเหสีซอนฮวากับองค์ชายอึยจา พากันเดินจูงมือชมดอกไม้ในสวนอย่างสบายใจและมีความสุข (โดยมีมูจินคอยคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง) เพราะเชื่อว่าหลังพระเจ้ามูเลิกคิดที่จะแต่งตั้งองค์ชายอึยจาเป็นรัชทายาทคงไม่มีใครคิดปองร้ายพวกตนสองแม่ลูกอีก องค์ชายอึยจาเห็นพระมารดายิ้มออกก็รู้สึกดีใจและกล่าวว่าพระบิดาทรงตัดสินใจถูกแล้ว เพราะตนไม่อยากเป็นองค์ชายรัชทายาท ทั้งหมดที่ตนต้องการคือการได้กุมมือพระมารดาและมีชีวิตที่ยืนยาวไปด้วยกัน หลังพระมเหสีชวนองค์ชายอึยจาเข้าไปกราบพระในวัด ก็มีนางในคนหนึ่งมาส่งสาส์นให้มูจิน



หลังสั่งให้คนของตนเดินหน้ากำจัดพระมเหสีและองค์ชายอึยจาตามแผนเดิม พระสนมซาแทคไม่อยากให้มูจินตกอยู่ในอันตรายจึงนัดเขามาพบหลังไม่ได้พูดคุยกันตามลำพังมานานนับ 10 ปี เธอมีใจให้มูจินมาโดยตลอดและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาพบเขาที่นี่ แต่มูจินยังคงทำตัวเย็นชาเหมือนเช่นเดิม พอรู้ว่าพระสนมนัดตนมาที่นี่เพื่อทาบทามให้ไปทำงานที่ตำหนักซาแทค โดยอ้างว่าได้สั่งเพิ่มกำลังทหารมาช่วยอารักขาพระมเหสีและองค์ชายอึยจาให้แล้ว มูจินก็ปฏิเสธทันควันและถามว่าทำไมอยู่ๆ พระสนมถึงนัดตนมาคุยเรื่องนี้ พระสนมกล่าวว่าเพราะเห็นแก่รักครั้งเก่า มูจินแย้งว่าตนลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดแล้ว พระสนมแย้งกลับว่าเขาอาจจะลืม แต่เธอไม่เคยลืมเขาแม้เพียงเสี้ยววินาที เพราะเขาคือชายเดียวในดวงใจของเธอ! 

** จบตอนที่หนึ่ง **

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "ยอดขุนพลคู่แผ่นดิน (Gye Baek)" ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ช่อง 13)

* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเอ็มบีซี






นักแสดงนำ



ลี ซอจิน
รับบท แม่ทัพ คเยแพค



โจ แจฮยอน
รับบท พระเจ้าอึยจา



โอ ยอนซู
รับบท ซาแทค พี



ซง จีฮโย
รับบท อึนโก



ชเว จงฮวาน
รับบท พระเจ้ามูแห่งแพคเจ



 ชิน แทฮยอน
รับบท พูยอ คโยกี



ชอน โนมิน
รับบท ซองชุง




คิม ยูซอก
รับบท ฮึงซู



ยุน ดาฮุน
รับบท ทกแก



อัน กิลคัง
รับบท ควีอุน



ชอง ซองโม
รับบท ยุนชุง



ปาร์ค ซองอุง
รับบท คิม ยูชิน


นักแสดงรับเชิญ 



ชา อินพโย
รับบท มูจิน




*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา