กำกับ: คิม วอนซอก
เขียนบท: ชอง ยุนจอง
แนวละคร: ดราม่า
จำนวนตอน: 20
ออกอากาศ: เกาหลี - วันที่ 17 ตุลาคม 2557 - 20 ธันวาคม 2557 ทางทีวีเอ็น
ไทย - ทุกวันพุธ-ศุกร์ เวลา 21.15- 22.45 น. ทางพีพีทีวี เริ่มตอนแรก 28 ตุลาคม 2558 - 10 ธันวาคม 2558
ละคร "หนุ่มออฟฟิศพิชิตฝัน (Misaeng)" ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อ "Misaeng" เป็นผลงานสร้างสรรค์ของนักเขียนการ์ตูน "ยูน แทโฮ" ซึ่งถูกนำมาเผยแพร่บนเว็บพอร์ทัล "ทาอึม (Daum)" ในช่วงปี ค.ศ. 2012-2013 และมียอด 'Hits' ทะลุพันล้าน นอกจากเผยแพร่บนเว็บตูนแล้วยังมีการตีพิมพ์เป็นหนังสือการ์ตูนปกอ่อนเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2012 ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยทำยอดขายได้สูงถึง 9 แสนก็อปปี้ (มีทั้งหมด 9 เล่ม) ครั้นพอถูกนำมาสร้างเป็นละครก็กวาดเรตติ้งถล่มทลาย โดยทำเรตติ้งได้สูงสุดเป็นอันดับสองของละครเกาหลีทั้งหมดที่ออกอากาศทางช่องเคเบิ้ลทีวี ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนทำงานล้วนๆ โดยไม่มีเรื่องราวความรัก ความโรแมนติกมาเป็นตัวชูโรงแต่อย่างใด
เรื่องย่อ
"หนุ่มออฟฟิศพิชิตฝัน (Misaeng)" นำเสนอเรื่องราวของ "ชาง คือแร" ซึ่งอุทิศชีวิตให้กับการฝึกฝนและแข่งขันเกม "พาตุก (baduk)" (ซึ่งก็คือ "หมากล้อม" หรือ "โกะ") มาตั้งแต่เด็กๆ โดยฝันว่าสักวันจะเป็นนักเล่นเกมพาตุกมืออาชีพ แต่หลังจากความฝันพังทลายเขาก็ต้องกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอันโหดร้าย และต้องเข้าสู่สังคมคนทำงานด้วยวุฒิการศึกษาเทียบเท่าระดับชั้นมัธยมปลาย โชคดีที่มีผู้ใหญ่ช่วยฝากฝังงานให้ เขาจึงได้ทำงานที่บริษัทเทรดดิ้งขนาดใหญ่ "วัน อินเตอร์เนชั่นแนล" ในฐานะพนักงานขายฝึกหัด
* ชื่อเรื่อง "Misaeng (มีเซ็ง)" หมายถึง ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าแปลตรงๆ ตามตัวอักษรจะหมายความว่า "ยังไม่เกิด" หรือยังไม่เป็นตัว
และนั่นก็ทำให้เขาได้พบกับ "โอ ซังชิก" หัวหน้าฝ่ายขายทีม 3 ที่เป็นคนบ้างาน, "อัน ยองอี" พนักงานฝึกหัดสาวเพียงหนึ่งเดียวและเป็นขวัญใจของหนุ่มๆ ในออฟฟิศ เพราะเธอมีประวัติการศึกษาที่โดดเด่น แถมยังรู้ลึกรู้จริงในงานแทบทุกด้าน และ "จาง เพ็คกี" เพื่อนร่วมงานที่ภายนอกดูเหมือนเด็กเนิร์ดผู้เงียบขรึมและว่าง่าย แต่ความจริงร้ายลึกและเป็นคนทะเยอทะยาน ด้วยความที่อยู่กับตัวเองมาโดยตลอดและไม่เคยเข้าสังคม คือแรจึงรู้จักเพียงการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบบนกระดานพาตุก เมื่อต้องเข้าสู่สังคมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน เขาจึงต้องเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและพยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร โดยนำเกมพาตุกมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ละครเปิดฉากด้วยทัศนียภาพของหุบเขาในประเทศจอร์แดน* ชาง คือแร บอกคนดูว่า "หนทางไม่ได้มีไว้ให้คนเดินเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีไว้เพื่อให้คนก้าวไปสู่จุดหมาย หนทางที่ไม่อาจไปต่อได้ย่อมไม่ใช่หนทาง..."
* หนุ่มออฟฟิศพิชิตฝัน (Misaeng) เป็นละครเกาหลีเรื่องแรกที่เดินทางไปถ่ายทำในประเทศจอร์แดน โดยใช้โลเกชั่นในเมืองเพทรา อัมมาร์ และหุบเขาวาดิรัม (หุบเขาแห่งดวงจันทร์)
คือแรกำลังออกตามหาใครบางคนที่ประเทศจอร์แดน และพบว่าคนที่เขากำลังตามหาไม่ได้เข้าพักที่โรงแรมหรูตามที่คาดการณ์ไว้ แต่มาเข้าพักที่โรงแรมชื่อ "ไคโร" สุดซอมซ่อ โชคดีที่เขามาถึงก่อนที่ "ของ" จะถูกขายไป คือแรและเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง (ซึ่งประจำอยู่ที่สาขาจอร์แดน) เดินเข้าไปทางด้านในโรงแรม แต่พอไปถึงห้องพักของคนที่เขากำลังตามหา กลับพบว่าภายในห้องว่างเปล่าและมีชายคนหนึ่งกำลังเก็บกวาดห้องอยู่ คือแรจึงถามหาชายที่ชื่อ "มิสเตอร์ซอ" พนักงานทำความสะอาดไม่ตอบ สายตาของเขาจับจ้องไปทางด้านหลังของคือแร เมื่อคือแรหันไปดูก็พบชายที่ตนกำลังตามหายืนอยู่ทางด้านหลัง พอรู้ว่าคือแรเป็นใครชายคนดังกล่าวก็วิ่งหนี คือแรและชายอีกคนจึงรีบวิ่งตามไป
คือแรวิ่งไล่ตามชายเกาหลีที่ชื่อซอไปตามท้องถนนซึ่งมีทั้งรถและคนพลุกพล่าน ทั้งคู่วิ่งตัดหน้ารถกันแบบไม่คิดชีวิต ในที่สุดคือแรก็ถูกรถคันหนึ่งชนเข้าอย่างจัง โชคดีที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก พอตั้งสติได้คือแรก็ลุกขึ้นแบบมึนๆ และยังคงไล่ตามชายคนดังกล่าวชนิดกัดไม่ปล่อย เมื่อชายคนดังกล่าวกระโดดลงจากดาดฟ้าเพื่อข้ามไปยังอีกตึกหนึ่ง คือแรก็กระโดดตามไปอย่างไม่ลังเล
คือแรกล่าวกับคนดูว่า "หนทางเปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่ใช่ว่าทุกคนจะก้าวไปบนหนทางนั้นได้"
ฤดูใบไม้ผลปี 2012... หลังออกจากกรมมาได้หลายปี คือแรยังคงหางานประจำทำไม่ได้เลยต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานพาร์ทไทม์ ขณะทำความสะอาดห้องน้ำที่โรงอาบน้ำอย่างขยันขันแข็ง เขาก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายว่าพนักงานที่หยุดพักรักษาตัวชั่วคราวจะกลับมาทำงานแล้ว พอรู้ว่าตนเองถูกเลิกจ้างคือแรก็พยายามฝืนยิ้มและทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หลังรับค่าจ้างรายวันงวดสุดท้ายเขาก็รีบตรงดิ่งไปทำงานรับจ้างขับรถ (ให้เจ้าของรถที่ไปดื่มเหล้า - เมาไม่ขับ) ต่อในตอนกลางคืน แม้จะถูกเจ้าของรถซึ่งเป็นพนักงานออฟฟิศพูดจาดูถูกเหยียดหยามและโยนเศษเงินให้เพียงน้อยนิด แต่คือแรก็ทำได้เพียงอดทน
แม่คือแรทนรอไม่ไหวจึงโทรฯ หาลูกชายกลางดึกเพื่อบอกว่าเขาได้งานประจำทำแล้วและต้องเริ่มต้นทำงานในวันรุ่งขึ้น คือแรจึงสวมสูทตัวเก่งของพ่อไปทำงาน แม่บอกคือแรว่าตนไม่ได้ติดสินบนใครเพื่อให้เขาได้งาน ดังนั้น เขาควรเชื่อมั่นในความฉลาดและความสามารถของตนเอง เพราะถ้าหากไม่ดีจริงเขาคงไม่ได้งาน
เมื่อไปถึงบริษัท วัน อินเตอร์เนชั่นแนล คือแรถูกทิ้งให้นั่งอยู่ในฝ่ายขายและการตลาดตามลำพัง ครั้นพอมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการทำงาน เมื่อเห็น "อัน ยองอี" (พนักงานฝึกหัด ฝ่ายไฟเบอร์ทีม 2) ซึ่งสวมชุดรัดรูปสุดแสนเซ็กซี่เดินผ่านมา คือแรก็ตกตะลึงตาค้างและเผลอมองตามจนเธอลับตา แต่แล้วเขาก็ตื่นจากภวังค์เมื่อถูก "คิม ดงชิก" (รองหัวหน้า ฝ่ายขายทีม 3) เรียกไปสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการบนดาดฟ้าเสียก่อน ปรากฏว่าคือแรอายุ 26 ปีแล้ว แต่หลักฐานการศึกษาที่เขานำมาแสดงมีเพียงวุฒิการศึกษาเทียบเท่าระดับชั้นมัธยม (เขาไม่ได้เข้าเรียนชั้นม.ปลายในโรงเรียน) ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานออฟฟิศมาก่อน พูดภาษาต่างประเทศก็ไม่ได้ แต่ใช้งานคอมพิวเตอร์ระดับพื้นฐานได้ดี
แม่คือแรทนรอไม่ไหวจึงโทรฯ หาลูกชายกลางดึกเพื่อบอกว่าเขาได้งานประจำทำแล้วและต้องเริ่มต้นทำงานในวันรุ่งขึ้น คือแรจึงสวมสูทตัวเก่งของพ่อไปทำงาน แม่บอกคือแรว่าตนไม่ได้ติดสินบนใครเพื่อให้เขาได้งาน ดังนั้น เขาควรเชื่อมั่นในความฉลาดและความสามารถของตนเอง เพราะถ้าหากไม่ดีจริงเขาคงไม่ได้งาน
เมื่อไปถึงบริษัท วัน อินเตอร์เนชั่นแนล คือแรถูกทิ้งให้นั่งอยู่ในฝ่ายขายและการตลาดตามลำพัง ครั้นพอมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการทำงาน เมื่อเห็น "อัน ยองอี" (พนักงานฝึกหัด ฝ่ายไฟเบอร์ทีม 2) ซึ่งสวมชุดรัดรูปสุดแสนเซ็กซี่เดินผ่านมา คือแรก็ตกตะลึงตาค้างและเผลอมองตามจนเธอลับตา แต่แล้วเขาก็ตื่นจากภวังค์เมื่อถูก "คิม ดงชิก" (รองหัวหน้า ฝ่ายขายทีม 3) เรียกไปสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการบนดาดฟ้าเสียก่อน ปรากฏว่าคือแรอายุ 26 ปีแล้ว แต่หลักฐานการศึกษาที่เขานำมาแสดงมีเพียงวุฒิการศึกษาเทียบเท่าระดับชั้นมัธยม (เขาไม่ได้เข้าเรียนชั้นม.ปลายในโรงเรียน) ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานออฟฟิศมาก่อน พูดภาษาต่างประเทศก็ไม่ได้ แต่ใช้งานคอมพิวเตอร์ระดับพื้นฐานได้ดี
พอรู้ประวัติคือแรแล้วดงชิกก็ถึงกับอึ้งและรู้สึกผิดหวัง เขาแนะนำตนเองและยื่นมือให้คือแร ครั้นพอคือแรจะยื่นมือไปเช็คแฮนด์ ดงชิก กลับเปลี่ยนใจและเอื้อมมือไปตบไหล่คือแรแทน จากนั้นก็ชวนคือแรกลับแผนกและถามคือแรว่าตลอด 26 ปีที่ผ่านมาเขามัวทำอะไรอยู่ ในยุคที่มีการแข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้หาคนที่มีคุณสมบัติต่ำต้อยและทำอะไรไม่เป็นเลยอย่างคืแรยากมาก เมื่อดงชิกเดินจากไปแล้วคือแรก็กล่าวว่า "ผมทราบดีครับ" (ว่าตัวเองล้าหลังคนอื่น) เขาก้มเก็บบุหรี่ (ที่ดงชิกทิ้งลงบนพื้นแล้วใช้เท้าขยี้โดยที่ยังไม่ได้สูบ) ไปทิ้งใส่ถังขยะ และกล่าวว่า "นั่นสินะ...ผมมัวทำอะไรอยู่ตั้ง 26 ปี"
เหล่าพนักงานชายพากันแอบดูยองอีถ่ายเอกสาร ด้วยเห็นว่าวันนี้เธอแต่งหน้าทาปากสีแดงเข้ม สวมเสื้อเชิ้ตคอลึกสีขาวแบบรัดติ้ว แถมกระโปรงยังผ่าลึกขึ้นมาถึงขาอ่อน แม้ยองอีในลุคนี้จะทำให้พวกเขาถึงกับน้ำลายหก แต่พวกเขากลัวว่าซีอีโอบริษัทลักซ์แอนด์ริชอาจไม่ปลื้มที่เห็นยองอีแต่งตัวแบบนี้ไปพรีเซนต์งาน ถึงกระนั้นยองอีก็ยืนยันว่าจะลองดู หลังแสดงอิริยาบทต่างๆ ให้คู่ค้าดูแล้ว เธอก็หันก้นให้คู่ค้าจับ ปรากฏว่าคู่ค้าคนดังกล่าวเป็นผู้หญิงชาวต่างชาติ เมื่อคู่ค้าขอดูแผ่นเสริมสะโพกที่ยองอีนำมาพรีเซนต์ (ทำจาก Tempur) ยองอีกก็ล้วงแผ่นดังกล่าวออกมาจากบั้นท้ายและยื่นให้คู่ค้าดู โดยบอกว่าเธอได้ทดลองใส่มา 2-3 วันแล้วเพื่อทดสอบความทนทาน พอคู่ค้าถามถึงแผ่นเสริมที่หน้าอก ยองอีก็ควักแผ่นดังกล่าวออกมาจากหน้าอกของเธอ เพื่อนร่วมงานชายของเธอเห็นดังนั้นก็ถึงกับช็อค (พวกเขาจะหยิบของตัวอย่างที่เตรียมมาด้วยแต่หยิบไม่ทันทั้งสองครั้ง เพราะยองอีล้วงแผ่นเสริมสะโพกและหน้าอกที่ตนใส่อยู่ออกมาให้คู่ค้าดูก่อน)
คู่ค้าสาวรู้สึกประทับใจในการพรีเซนต์ของยองอีและเห็นด้วยกับแนวคิดในการนำ Tempur มาใช้เป็นแผ่นเสริมทรงของชุดชั้นใน เธอกล่าวชมยองอีที่ไม่เพียงเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของทางห้างแต่ยังรู้จักรสนิยมส่วนตัวของตนด้วย เธอสงสัยว่ายองอีรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ยองอีกล่าวตามตรงว่าตนศึกษาผลงานทุกชิ้นที่คู่ค้าสาวเคยออกแบบมาก่อนหน้านี้ ทำให้รู้ว่าคู่ค้าชื่นชอบดีไซน์ที่เน้นโชว์ทรวดทรงของผู้หญิง เมื่อคู่ค้าขอตัวอย่างที่เป็นไซส์ของตน ยองอีก็ตอบอย่างเอาใจว่า "คุณไม่จำเป็นต้องใช้มันหรอกค่ะ"
สามหนุ่มต่างพากันโล่งใจที่การพรีเซนต์ประสบความสำเร็จและยกนิ้วให้ยองอี หลังออกจากห้องประชุมแล้วยองอีก็ขอตัวทันที สามหนุ่มกล่าวชมเธอลับหลังไม่หยุดปาก เพราะเธอเป็นเพียงพนักงานฝึกหัดที่เพิ่งเริ่มงานได้เพียง 10 วันแต่กลับปิดดีลใหญ่ให้บริษัทได้ ยองอีเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างเครื่องสำอางในห้องน้ำที่บริษัท พอออกจากห้องน้ำก็สวนกับคือแรที่เดินคอตกผ่านมาพอดี ยองอีเดินตรงไปที่แผนกพลางรัดผมอย่างเร่งรีบและทำยางรัดผมหล่นตรงหน้าคือแร คือแรเห็นยองอีปล่อยผมยาวสลวยก็ถึงกับตกตะลึงในความงามของเธอ เมื่อเห็นยองอีพยายามก้มหายางรัดผมที่ตกอยู่บนพื้น คือแรก็ช่วยมองหา แต่มองหาได้ไม่นานเธอก็เดินจากไป (ทำเหมือนคือแรไม่มีตัวตน) พอยองอีไปแล้วคือแรถึงรู้ว่ายางรัดผมของยองอีตกอยู่ที่เท้าของตน
พอกลับไปที่แผนกคือแรก็ได้แต่ยืนหันรีหันขวาง เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงเพราะไม่มีใครสอนงาน ขณะที่ดงชิกง่วนอยู่กับการรับโทรศัพท์และวิ่งหาแคทตาล็อก คือแรจึงต้องผุดลุกผุดนั่งเพื่อคอยหลีกทางให้ดงชิก ดงชิกเห็นดังนั้นก็รู้สึกรำคาญ คือแรสารภาพว่าตนไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ดงชิกจึงใช้ให้คือแรไปถ่ายเอกสาร คือแรไม่รู้ว่าเครื่องถ่ายเอกสารอยู่ที่ไหน พอเห็นว่ามีเครื่องพิมพ์เอนกประสงค์ตั้งอยู่ใกล้ๆ เขาจึงเดินไปที่เครื่องทันที ดงชิกเห็นดังนั้นจึงไล่ให้คือแรไปที่ห้องถ่ายเอกสาร คือแรถามอีกว่าให้ตนถ่ายอย่างละกี่แผ่น ดงชิกฝืนยิ้มแล้วตอบว่าอย่างละแผ่น ก่อนมองตามคือแรด้วยความรู้สึกเอือมระอา เมื่อหัวหน้าโอโทรฯ มาถามเรื่องพนักงานใหม่ ดงชิกก็ระบายความอัดอั้นตันใจโดยบอกว่าคือแรเป็นเด็กเส้นที่ผู้ใหญ่ส่งมา
คือแรไปที่ห้องถ่ายเอกสารแต่กลับพบว่ากระดาษหมด เขาจึงถาม "ลี ซังฮยอน" (พนักงานฝึกหัด) ซึ่งเข้ามาชงกาแฟว่ากระดาษอยู่ที่ไหน ซังฮยอนบอกให้คือแรลองดูในตู้ข้างๆ เครื่องถ่ายเอกสาร แต่บังเอิญกระดาษในนั้นก็หมดเช่นกัน คือแรบอกซังฮยอนว่ากระดาษหมด ซังฮยอนจึงแนะนำให้คือแรไปดูที่ห้องเก็บของ พอถูกถามว่าห้องเก็บของอยู่ที่ไหน ซังฮยอนก็เริ่มรู้สึกแปลกใจที่คือแรไม่มีไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ถึงกระนั้นเขาก็ยังยิ้มแย้มและช่วยบอกทางให้คือแร เมื่อคือแรออกไปแล้วพนักงานฝึกหัดอีกคนก็เดินเข้ามาและบอกซังฮยอนว่าคือแรเป็นเด็กเส้น
ดงชิกซึ่งต้องการใช้เอกสารเห็นว่าคือแรหายไปนานจึงมาตามที่ห้องถ่ายเอกสาร พอเห็นคือแรยกกระดาษมาทั้งลังแทนที่จะหยิบมาใช้เพียงแค่รีมเดียวเขาก็เหนื่อยใจ คือแรพยายามแกะเชือกที่รัดกล่องแต่แงะเท่าไหร่เชือกก็ไม่หลุด ดงชิกจึงหยิบกรรไกรมาช่วยตัดให้ คือแรหยิบกระดาษออกมารีมนึงแล้วพยายามดึงกระดาษออกจากห่ออย่างเงอะงะ ดงชิกเห็นแล้วรำคาญเลยบอกว่าตนจะทำเอง แต่คือแรต้องการพิสูจน์ตัวเองเลยยืนกรานว่าตนทำได้ทำให้เกิดการยื้อแย่งกัน ในที่สุดกระดาษก็ร่วงเกลื่อนพื้น ยองอีจะเข้ามาชงกาแฟเลยเห็นเหตุการณ์พอดี คือแรรีบเก็บกระดาษบนพื้น ครั้นพอเก็บได้ส่วนหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาถ่ายเอกสารโดยวางต้นฉบับทีละแผ่น ดงชิกเห็นดังนั้นก็หมดความอดทนจึงแย่งต้นฉบับมาใส่ถาดแล้วตั้งโปรแกรมให้เครื่องป้อนเอกสารและถ่ายต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ หลังจัดการเอกสารเสร็จแล้ว ดงชิกก็แนะนำคือแรให้ยองอีรู้จัก (เขากดหลังคือแรให้ก้มศีรษะทักทายยองอี) ก่อนฝากฝังคือแรไว้กับยองอีเพราะเขาต้องออกไปประชุมข้างนอก
ระหว่างเดินกลับแผนกคือแรเห็นพนักงานคนอื่นๆ ต่างมีงานล้นมือ แถมทุกคนยังคุยโทรศัพท์โดยใช้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ อย่างคล่องแคล่ว บางแผนกก็ทำงานเป็นทีมอย่างสนิทสนม ครั้นพอกลับมาที่แผนกของตนก็พบเพียงความว่างเปล่า รอบตัวเขามีแต่ลังและเอกสารกองโต ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คือแรได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้ารับโทรศัพท์ ทำให้พนักงานประจำแผนกที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกรำคาญ พอโดนต่อว่าคือแรก็รีบรับสาย ปรากฏว่าคนที่โทรฯ มาถามหาดงชิก เมื่อรู้ว่าดงชิกไม่อยู่เขาจึงขอสาย 'คุณโอ' คือแรไม่รู้ว่าคุณโอคือใครเลยหันมาถามพนักงานที่อยู่แผนกข้างๆ พนักงานคนดังกล่าวถึงกับส่ายหัวที่คือแรไม่รู้จักแม้กระทั่งหัวหน้าตนเอง พอเห็นว่าคือแรไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ทั้งยังพูดจาอ้ำอึ้งคนที่โทรฯ มาติดต่องานก็ตัดสายทิ้งด้วยความรำคาญ
หลังจากนั้นก็มีลูกค้าชาวรัสเซียโทรฯ มาหาหัวหน้าโอ คือแรฟังไม่ออกเลยไม่รู้ว่าควรทำยังไง พอเห็นยองอีเดินผ่านมาคือแรก็เข้าไปดึงแขนเสื้อยองอีแล้วพามารับโทรศัพท์ที่แผนก ปรากฏว่ายองอีพูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว พอรับสายและเขียนข้อความทิ้งไว้ให้หัวหน้าโอแล้ว ยองอีก็จากไปทันที คือแรนึกว่าเรื่องยุ่งๆ จะจบลงแล้ว แต่นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เพราะหลังจากนั้นก็มีลูกค้าต่างชาติโทรฯ มาติดต่อกันหลายครั้ง คือแรขอให้พนักงานแผนกใกล้เคียงช่วยรับแต่ไม่มีใครยอมช่วย เขาจึงต้องคอยตามตื๊อและลากตัวยองอีมารับสายชาวต่างชาติทุกครั้ง ถึงแม้ว่าจะต้องแลกด้วยศักดิ์ศรี หน้าตา (ยอมขายหน้า) และการยอมรับนับถือตนเอง แต่คือแรไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ (คือแรบอกคนดูว่า ตัวเขาในตอนนี้เปรียบเสมือน 'ลูกเป็ด' ซึ่งคิดว่าสิ่งแรกที่ตนเห็นคือแม่ของตน)
ในที่สุด ยองอีก็เริ่มหมดความอดทนเพราะตัวเธอเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ เธอจึงแนะให้คือแรรับสายแล้วบอกว่าทุกคนในแผนกออกไปติดต่องานข้างนอก จากนั้นก็จดชื่อคนที่โทรฯ มาและเบอร์โทรฯ กลับเอาไว้ คือแรกลัวว่าจะมีคนต่างชาติโทรฯ มาอีก ยองอีจึงตัดบทว่าถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็ให้วางสายไปเลย
ตัดไปที่แผนกทรัพยากร ทีม 2 (ดูแลเรื่องแผนพัฒนาการลงทุนเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติในแอฟริกา) จาง เพ็คกี ซึ่งเป็นนักพรีเซนต์ตัวพ่อตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย จัดเตรียมเอกสารการพรีเซนต์อย่างละเอียดและสวยงามให้หัวหน้า ทั้งยังช่วยจองร้านบะหมี่สำหรับมื้อกลางวันไว้ให้เลือกถึง 2 ร้าน (เขาแอบได้ยินหัวหน้าและรองหัวหน้าคุยกันว่าจะพาผู้เข้าประชุมไปทานบะหมี่ตอนเที่ยง) ทั้งหัวหน้าและรองหัวหน้าทีมรู้สึกประทับใจจึงบอกให้เพ็คกีมาปักหลักทำงานทีมเดียวกับตนหลังผ่านการประเมินแล้ว เมื่อหันไปเห็นคือแรนั่งทำงานอยู่ที่แผนก หัวหน้าและรองหัวหน้าทีมก็คุยกันว่าคือแรเป็นเด็กฝาก ทั้งยังปรามาสว่าคือแรคงทำงานที่นี่ได้ไม่นาน เพราะคือแรมีวุฒิเทียบเท่าระดับชั้นมัธยมปลายเท่านั้น แถมยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานอีกด้วย เพ็คกีได้ยินดังนั้นก็หูผึ่งและหันไปมองคือแรด้วยความประหลาดใจ หัวหน้าทีมบอกให้เพ็คกีดีกับคือแรเข้าไว้ เพราะคือแรคงทำงานที่นี่ได้ไม่นาน
เพ็คกีเห็นคือแรเดินไปหายองอีที่แผนกจึงเดินตามไปกันท่า คือแรตั้งใจว่าจะนำยางรัดผมไปคืน แต่ยองอีคิดว่าเขาจะชวนเธอไปทานข้าวเที่ยงเลยชิงปฏิเสธ โดยบอกว่าเธอชอบทานข้าวคนเดียว คือแรจะหยิบยางรัดผมคืนให้เธอแต่เพ็คกีเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน เขากล่าวชื่นชมยองอีที่ปิดดีลได้สำเร็จและถือโอกาสแนะนำตัวเองกับคือแร (ยองอีเลยสบโอกาสชิ่งหนี) เพ็คกีกล่าวว่าคือแรเริ่มงานช้ากว่าคนอื่น 10 วัน หากมีข้อสงสัยอะไรให้ถามตนได้ (เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องถ่ายเอกสารก่อนหน้านี้) เพ็คกียังแนะให้คือแรถอดสูทออก เพราะไม่มีใครใส่สูทขณะอยู่ในออฟฟิศ คือแรหันไปมองรอบๆ และพบว่าไม่มีใครใส่สูทจริงๆ เขาจึงถอดสูทออกทันที (ในเวลาเดียวกันนั้น แม่คือแรกำลังหาซื้อสูทใหม่ในห้างสรรพสินค้า เมื่อพบว่าเสื้อสูทมีราคาสูงมาก เธอจึงไปเดินดูสูทไม่มียี่ห้อและราคาถูกกว่าในไฮเปอร์มาร์เก็ตแทน)
เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน คือแรเห็นพนักงานแผนกข้างๆ ชวนกันไปทานข้าว ขณะที่เขาไม่มีใครเหลียวแล ยองอีเห็นคือแรนั่งตาละห้อยอยู่ตามลำพังจึงเดินไปบอกว่าได้เวลาพักเที่ยงแล้ว และถามว่าเขาเป็นลูกแหง่ที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นเลยหรือ คือแรแย้งเสียงแข็งว่าตนไม่ได้โง่ขนาดนั้นและอ้างว่าตนไม่รู้สึกหิว แต่แล้วอยู่ๆ ท้องเจ้ากรรมก็ดันร้องเสียงดังลั่น คือแรรู้สึกเสียหน้าจึงได้แต่ก้มมองท้องตัวเองแบบเซ็งๆ
คือแรเดินตามเหล่าพนักงานฝึกหัดเข้าไปในลิฟต์ พนักงานคนหนึ่งช่วยขยับที่ให้แต่ซังฮยอนขวางไว้และบอกว่าลิฟต์เต็มแล้ว เขาจึงถูกทิ้งไว้ตามลำพัง (แม้เขาจะยิ้มแย้มและทำเหมือนไม่เป็นไรที่ไม่มีใครคบ แต่พออยู่ตามลำพังเขาจะทำหน้าเศร้าและได้แต่ถอนใจ) ขณะอยู่ในลิฟต์ทุกคนต่างพากันนินทาเรื่องที่คือแรเข้ามาทำงานโดยใช้เส้นสายและไม่ต้องผ่านทดสอบ พวกเขาคิดว่าคือแรคงมีประวัติที่โดดเด่นและจบจากสถาบันชั้นนำของโลกเลยได้เข้าทำงานที่บริษัทใหญ่โตโดยไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างพวกตน เพ็คกีซึ่งอยู่ในลิฟต์ด้วยได้แต่ยืนฟังเงียบๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณสมบัติของคือแรต่ำกว่ามาตรฐานมาก
ซังฮยอนถามคือแรว่าจบจากที่ไหน เขาคาดว่าจะได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกจากปากของคือแร แต่แล้วซังฮยอนและพนักงานฝึกหัดคนอื่นๆ ก็ถึงกับอึ้ง เมื่อคือแรตอบตามตรงว่าตนมีวุฒิเทียบเท่าระดับชั้นมัธยมปลายเท่านั้น หลังทานอิ่มแล้วเหล่าพนักงานฝึกหัดก็พร้อมใจกันเดินออกจากโรงอาหารโดยทิ้งคือแรไว้ตามลำพัง ยองอีเห็นคือแรนั่งทานข้าวคนเดียวจึงขอนั่งด้วยและกล่าวขอโทษที่เธอพูดจาล่วงเกินเขาก่อนหน้านี้ คือแรรับคำขอโทษหน้าตาเฉย ทำให้ยองอีรู้สึกแปลกใจเพราะปกติแล้วคนทั่วไปมักจะบอกว่าไม่เป็นไร
หลังเลิกงานคือแรเดินกลับบ้านอย่างห่อเหี่ยว เขานึกถึงตอนที่แอบได้ยินพนักงานฝึกหัดคนอื่นๆ พูดถึงตนอย่างดูถูก ทุกคนไม่พอใจที่บริษัทเลือกปฏิบัติโดยรับคนที่ขาดคุณสมบัติเข้าทำงาน รองหัวหน้าทีมฝ่ายทรัพยากร (ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเหล่าพนักงานฝึกหัดในกลุ่มซัง ฮยอนและเพ็คกี) บอกทุกคนให้ทำใจและเป็นมิตรกับคือแรเข้าไว้ เพราะคือแรคงทำงานที่นี่ได้ไม่นาน (บริษัทไม่ที่ว่างสำหรับคนอย่างเขา) ระหว่างทางกลับบ้านคือแรเห็นเหล่าพนักงานออฟฟิศพากันมานั่งสังสรรค์หลังเลิกงานอย่างมีความสุขจึงอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ พอ กลับถึงบ้านคือแรก็โยนเกมพาตุกใส่ตู้เสื้อผ้าด้วยความโกรธ
ตั้งแต่เล็กจนโตคือแรทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการเรียนรู้ ฝึกฝน และแข่งขันเกมพาตุก ด้วยหวังว่าสักวันจะเป็นผู้เล่นมืออาชีพ หลังนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้วเขาก็พูดประโยคเดิมกับคนดูว่า "หนทางไม่ได้มีไว้ให้คนเดินเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีไว้เพื่อให้คนก้าวไปสู่จุดหมาย หนทางที่ไม่อาจไปต่อได้ย่อมไม่ใช่หนทาง หนทางเปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่ใช่ว่าทุกคนจะก้าวไปบนหนทางนั้นได้..."
ครั้งหนึ่งอาจารย์ขอให้คือแรหยุดทำงานพาร์ทไทม์ถ้ายังอยากเเป็นนักเล่นเกมพาตุกระดับมืออาชีพ อาจารย์รู้ว่าครอบครัวของคือแรยากจนแถมพ่อก็กำลังป่วย แต่การลงแข่งขันในครั้งนี้จะเป็นเครื่องชี้ชะตาของเขา และเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้ลงแข่งขันในนามชมรมนักเรียน หากไม่ชนะในปีนี้โอกาสที่เขาจะได้เป็นนักแข่งมืออาชีพก็จะเลือนลางลง (ที่ผ่านมาคือแรมัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลังจนทำให้เสียสมาธิและพ่ายแพ้หลายครั้งทั้งๆ ที่เล่นเก่งขั้นเทพ แถมยังอ่านตำราพาตุกระหว่างทำงานพาร์ทไทม์อีกด้วย) โชคร้ายที่พ่อของเขามาด่วนจากไปเสียก่อน และนั่นก็เป็นจุดสิ้นสุดของหนทางในการไล่ล่าความฝัน (เขาลงแข่งในช่วงที่กำลังไว้ทุกข์ให้พ่อและแพ้การแข่งขันชิงแชมป์ระดับนักเรียน)
คือแรกล่าวกับคนดูว่า "หนทางของผมสิ้นสุดลงที่ตรงนี้ มันไม่ได้เป็นเพราะผมขาดทักษะหรือโชคร้าย ไม่ได้เป็นเพราะผมทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างฝึกฝน ไม่ได้เป็นเพราะผมมาจากครอบครัวที่ยากจน ไม่ได้เป็นเพราะแม่ผมล้มป่วยหลังพ่อเสียชีวิต ผมรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าจะยอมรับมัน ดังนั้น ผมจำเป็นต้องคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะผมทำงานหนักไม่พอ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาผมจะทำงานหนัก แต่ผมก็จะบอกตัวเองให้เชื่อว่าผมยังทำงานหนักไม่พอ และที่ผมถูกคนอื่นทอดทิ้งก็เป็นเพราะผมยังทำงานหนักไม่พอเช่นกัน"
คือแรมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ จนนอนไม่หลับ ขณะที่แม่ของเขาก็นอนไม่หลับเช่นกัน (เธอนั่งมองสูทราคาถูกที่เพิ่งซื้อมาอย่างครุ่นคิด) เช้าวันรุ่งขึ้นเธอบอกให้คือแรสวมสูทตัวเก่าไปทำงานโดยโกหกว่าตนมัวแต่ยุ่งๆ เลยไม่มีเวลาไปหาซื้อสูท คือแรเห็นแม่ตาแดงๆ จึงถามว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ แม่คือแรโกหกว่าคือแรนอนดิ้นทั้งคืนแล้วตนจะนอนหลับได้อย่างไร คือแรได้ยินดังนั้นจึงโทษว่าเป็นเพราะแม่นอนกรนเสียงดัง สรุปว่าสองแม่ลูกต่างโกหกด้วยกันทั้งคู่เพราะเมื่อคืนไม่มีใครนอนหลับสักคน
คือแรไปถึงที่ทำงานแต่เช้าและถอดสูทออกตามธรรมเนียมปฏิบัติ เขาเดินสำรวจรอบๆ ห้องและก้มดูเบอร์ติดต่อฉุกเฉินของพนักงานแต่ละคนบนโต๊ะของหัวหน้าโอด้วยความสนใจ ในเวลาเดียวกันนั้นเพ็คกีกับยองอีเพิ่งมาถึงออฟฟิศ เพ็คกีรีบเข้าไปทักทายยองอีพลางกล่าวว่าตนเริ่มคุ้นชินกับวิถีชีวิตของมนุษย์เงินเดือนแล้ว จากนั้นก็ถามความว่าเธอคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้หรือยัง ยองอียังไม่ทันตอบโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นเสียก่อน แต่พอรู้ว่าใครโทรฯ มาเธอก็ตัดสายทิ้ง แล้วเดินเลี่ยงไปทันที
คือแรไปถึงที่ทำงานแต่เช้าและถอดสูทออกตามธรรมเนียมปฏิบัติ เขาเดินสำรวจรอบๆ ห้องและก้มดูเบอร์ติดต่อฉุกเฉินของพนักงานแต่ละคนบนโต๊ะของหัวหน้าโอด้วยความสนใจ ในเวลาเดียวกันนั้นเพ็คกีกับยองอีเพิ่งมาถึงออฟฟิศ เพ็คกีรีบเข้าไปทักทายยองอีพลางกล่าวว่าตนเริ่มคุ้นชินกับวิถีชีวิตของมนุษย์เงินเดือนแล้ว จากนั้นก็ถามความว่าเธอคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้หรือยัง ยองอียังไม่ทันตอบโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นเสียก่อน แต่พอรู้ว่าใครโทรฯ มาเธอก็ตัดสายทิ้ง แล้วเดินเลี่ยงไปทันที
ดงชิกหัวหมุนแต่เช้าหลังรู้ว่าลูกค้าชาวต่างชาติที่ชื่อเฮนรี่มาถึงเกาหลีก่อนกำหนดหนึ่งวัน เขาจึงบอกให้คือแรโทรหาหัวหน้าโอซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงสนามบินวันนี้เช่นกัน เมื่อเห็นคือแรต่อสายหัวหน้าโอให้อย่างถูกต้องและรวดเร็วทั้งๆ ที่ตนไม่ได้บอกเบอร์โทรฯ ดงชิกก็รู้สึกแปลกใจ (ถ้าเขาสั่งให้ต่อสายเมื่อวานคือแรมีหวังยืนงงเพราะไม่รู้เบอร์โทรฯ) หัวหน้าโอซึ่งยังอยู่ที่สนามบินโวยลั่นเมื่อรู้ว่าต้องไปพบลูกค้าตอน 9.30 น. เพราะรู้ว่าตนไม่มีทางไปทันแน่ (เป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วน) ดงชิกยืนยันว่าถึงยังไงหัวหน้าโอก็ต้องไปให้ได้ และตัดบทว่าตนกำลังจะออกไปทำธุระเรื่องปลาหมึกและจะกลับมาอีกครั้งในตอนค่ำ
หัวหน้าโอขับรถออกจากสนามบินในสภาพอ่อนล้าและโทรมสุดๆ ปรากฏว่าบนทางด่วนรถติดอย่างหนัก หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมงดงชิกอดเป็นห่วงไม่ได้เลยโทรฯ ไปหาหัวหน้าโออีกครั้ง หัวหน้าโอพยายามข่มใจไม่ให้สติแตกขณะบอกว่ารถของตนเพิ่งขยับเพียง 500 เมตร เขากล่าวกับดงชิกว่าพวกตนควรออกจากคอมฟอร์ตโซนเพื่อแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ชีวิตเสียบ้างจากนั้นก็หัวเราะร่า ดงชิกเตือนว่าถ้าหัวหน้าโอไม่ไปพบลูกค้าด้วยตนเองจะถูกไล่ออก หัวหน้าโอบอกตามตรงว่าต่อให้รีบแค่ไหนตนก็ไม่มีทางไปถึงทันเวลาเพราะตอนนี้รถวิ่งด้วยความเร็วเพียง 12 กม./ช.ม. ขณะที่จุดนัดพบอยู่ห่างออกไป 8 กม. ตนจะไปถึงที่หมายในอีก 50 นาทีข้างหน้า และนั่นก็หมายความว่าตนจะไปสายถึง 30 นาที
ดงชิกชักเริ่มสติแตกและร้องหาเบอร์ผู้จัดการฝ่าย คือแรจึงต่อสายให้ทันที (ดงชิกรู้สึกแปลกใจที่คือแรในวันนี้ต่างจากเมื่อวานลิบลับ แต่เขายุ่งเกินกว่าจะใส่ใจ) ปรากฏว่าผู้จัดการฝ่ายบอกให้ส่งคือแรไปรับหน้าลูกค้าในระหว่างที่หัวหน้าโอยังไปไม่ถึง ดงชิกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้ง เขาพยายามบอกผู้จัดการฝ่ายว่าคือแรยังทำอะไรไม่ค่อยเป็นแต่ผู้จัดการฝ่ายไม่ฟัง ดงชิกหยิบกล่องตัวอย่างสินค้า (เค้กข้าวโสม) ให้คือแรโดยบอกให้นำไปมอบแก่ลูกค้า และบอกว่านี่เป็นโอกาสที่คือแรจะได้พิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่าตนเองก็มีดี ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีดีมาตลอด 26 ปีก็ตาม ดงชิกไม่คิดว่าคือแรจะเอาลูกค้าชาวต่างชาติอยู่ และกลัวว่าเขาจะก่อเรื่องให้บริษัทเดือดร้อน จึงเตรียมทำจดหมายขอขมาเอาไว้ 2 ชุด (สำหรับตนและหัวหน้าโอ)
หัวหน้าโอขับรถออกจากสนามบินในสภาพอ่อนล้าและโทรมสุดๆ ปรากฏว่าบนทางด่วนรถติดอย่างหนัก หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมงดงชิกอดเป็นห่วงไม่ได้เลยโทรฯ ไปหาหัวหน้าโออีกครั้ง หัวหน้าโอพยายามข่มใจไม่ให้สติแตกขณะบอกว่ารถของตนเพิ่งขยับเพียง 500 เมตร เขากล่าวกับดงชิกว่าพวกตนควรออกจากคอมฟอร์ตโซนเพื่อแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ชีวิตเสียบ้างจากนั้นก็หัวเราะร่า ดงชิกเตือนว่าถ้าหัวหน้าโอไม่ไปพบลูกค้าด้วยตนเองจะถูกไล่ออก หัวหน้าโอบอกตามตรงว่าต่อให้รีบแค่ไหนตนก็ไม่มีทางไปถึงทันเวลาเพราะตอนนี้รถวิ่งด้วยความเร็วเพียง 12 กม./ช.ม. ขณะที่จุดนัดพบอยู่ห่างออกไป 8 กม. ตนจะไปถึงที่หมายในอีก 50 นาทีข้างหน้า และนั่นก็หมายความว่าตนจะไปสายถึง 30 นาที
ดงชิกชักเริ่มสติแตกและร้องหาเบอร์ผู้จัดการฝ่าย คือแรจึงต่อสายให้ทันที (ดงชิกรู้สึกแปลกใจที่คือแรในวันนี้ต่างจากเมื่อวานลิบลับ แต่เขายุ่งเกินกว่าจะใส่ใจ) ปรากฏว่าผู้จัดการฝ่ายบอกให้ส่งคือแรไปรับหน้าลูกค้าในระหว่างที่หัวหน้าโอยังไปไม่ถึง ดงชิกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้ง เขาพยายามบอกผู้จัดการฝ่ายว่าคือแรยังทำอะไรไม่ค่อยเป็นแต่ผู้จัดการฝ่ายไม่ฟัง ดงชิกหยิบกล่องตัวอย่างสินค้า (เค้กข้าวโสม) ให้คือแรโดยบอกให้นำไปมอบแก่ลูกค้า และบอกว่านี่เป็นโอกาสที่คือแรจะได้พิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่าตนเองก็มีดี ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีดีมาตลอด 26 ปีก็ตาม ดงชิกไม่คิดว่าคือแรจะเอาลูกค้าชาวต่างชาติอยู่ และกลัวว่าเขาจะก่อเรื่องให้บริษัทเดือดร้อน จึงเตรียมทำจดหมายขอขมาเอาไว้ 2 ชุด (สำหรับตนและหัวหน้าโอ)
ทันทีที่ไปถึงจุดนัดพบ หัวหน้าโอก็หยอดตาพลางโวยลั่นที่ดงชิกส่งพนักงานฝึกหัดอย่างคือแรมาพบลูกค้าคนสำคัญทั้งๆ ที่คือแรพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พอเดินเข้าไปหาลูกค้าเขาก็พบว่าลูกค้ากำลังเพลิดเพลินกับการเล่นเกมพาตุกบนกระดาษจนลืมเวลา หลังเสร็จธุระแล้วทั้งคู่ก็เดินทางกลับออฟฟิศ ขณะอยู่ในรถหัวหน้าโอถามคือแรว่าเขาทำอะไรก่อนมาทำงานที่นี่ คือแรบอกตามตรงว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หัวหน้าโอบอกตามตรงว่าคือแรโชคดีที่เข้ามาตอนตนไม่อยู่ เพราะถ้าตนอยู่ตนจะไม่ยอมให้บริษัทว่าจ้างคือแรเด็ดขาด ต่อให้คือแรเป็นลูกชายโอบาม่าก็ตาม เพราะเขาต้องการคนที่เป็นงานอยู่แล้วและสามารถทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งสอน
หัวหน้าโอขู่ว่าตนสามารถไล่คือแรออกได้ทุกเมื่อ แต่ก็ให้โอกาสคือแรขายความเป็นตัวเองว่าเขามีดีอะไร คือแรคิดครู่หนึ่งและเปรียบตนเองเป็นสินค้าโดยบอกว่าจุดขายของตนอยู่ที่ความมุมานะ ที่ผ่านมาตนไม่ค่อยขยันและขาดความมุมานะ ด้วยเหตุนี้ ความมุมานะจึงเป็นออพชั่นใหม่เอี่ยมอ่องที่ตนยังไม่เคยทดลองใช้มาก่อน หัวหน้าโอได้ยินดังนั้นจึงบอกทันควันว่าตนไม่ซื้อ เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศ หัวหน้าโอก็อธิบายว่าที่ตนไม่ซื้อเป็นเพราะคือแรไม่มีอะไรโดดเด่น บริษัทนี้มีแต่คนขยันและทุกคนต่างก็ทำงานหนักด้วยกันทั้งนั้น จุดขายของคือแรจึงไม่ต่างจากคนทั่วไป คือแรแย้งว่าความมุมานะของตนแตกต่างจากของคนอื่น หัวหน้าโอถามว่าในด้านไหน คือแรตอบว่าทั้ง "คุณภาพและปริมาณ" (เขาเองก็รู้สึกมึนงงกับคำตอบของตน) เมื่อได้ยินว่าจุดขายของคือแรคือความมุมานะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและปริมาณ หัวหน้าโอจึงให้เขาลองจัดระเบียบไฟล์ต่างๆ ในคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นการพิสูจน์
คือแรนั่งจัดระเบียบไฟล์โดยนำประสบการณ์ที่เคยจัดเก็บไฟล์เกี่ยวกับการเดินหมากพาตุกมาปรับใช้ ในเวลาเดียวกันนั้น แม่ของคือแรตัดสินใจทุ่มทุนซื้อสูทราคาแพงให้ลูกโดยหอบเงินสดมาจ่ายเป็นฟ่อน (ลักษณะเหมือนเป็นเงินเก็บทั้งหมดที่มี หรือไม่ก็ไปกู้มา) หลังจากนั้นเธอก็นำสูทตัวใหม่มาให้คือแรที่ออฟฟิศเพราะอยากให้ลูกแต่งตัวอย่างมั่นใจโดยไม่ต้องอายใคร (เนื่องจากสูทตัวที่เขาใส่มาทำงานเป็นของพ่อ จึงทั้งเก่า ทั้งล้าสมัย และไม่พอดีตัว) เธอบอกให้คือแรเปลี่ยนมาใส่สูทตัวนี้และกล่าวว่า "อีกหน่อยแกเป็นพ่อคนก็จะเข้าใจ เห็นลูกลำบากเมื่อไหร่ แกจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่"
หัวหน้าโอเห็นข้อความที่ยองอีจดไว้ให้ (หลังช่วยรับโทรศัพท์ของชาวต่างชาติ) แล้วรู้สึกประทับใจ เขาจึงเดินไปหาเธอที่แผนกเพื่อแอบทาบทามให้เธอมาทำงานกับตนหลังผ่านการฝึกหัดแล้ว ขณะที่คือแรกำลังจัดระเบียบไฟล์ ดงชิกโทรฯ มาหาหัวหน้าโอเพื่อแจ้งว่าปลาหมึกดอง (ปลาหมึกกล้วย - squid) ที่ถูกส่งมายังโรงงานอาจมีลูกปลาหมึกยักษ์ (octopus) แช่แข็งปลอมปนอีกตามเคย หัวหน้าโอไม่พอใจมากจึงบอกให้ดงชิกแจ้งซัพพลายเออร์จากประเทศจีนว่าคราวนี้ตนจะให้คนตรวจเช็คด้วยมืออย่างละเอียด ถ้าพบว่ามีการปลอมปนอีกตนจะหันไปสั่งซื้อจากที่อื่นแทน ดงชิกแย้งว่าทางโรงงานมีคนไม่มากพอ หัวหน้าโอจึงบอกว่าตนจะจัดการเอง คือแรเห็นว่าหัวหน้าโอต้องการโทรฯ หาผู้จัดการฝ่าย เขาจึงรีบต่อสายให้ทันที (หัวหน้าโอไม่นึกฝันว่าคือแรจะได้ดั่งใจ)
คือแรมองสูทตัวใหม่ที่แม่อุตส่าห์ซื้อและรีบนำมาให้พลางนึกถึงคำที่แม่พูด เขาจึงนำไปลองสวมในห้องน้ำ ปรากฏว่าสูทมีขนาดพอดีตัวทั้งยังทำให้เขาดูดีขึ้นมาก เขาเห็นภาพตัวเองในกระจกแล้วอดน้ำตาร่วงไม่ได้
หลังขอความร่วมมือจากบรรดาหัวหน้าทีม หัวหน้าก็โอเรียกเหล่าพนักงานฝึกหัดมาประชุมและขอแรงให้มาช่วยตรวจสอบปลาหมึกดองที่จะส่งออกไปอเมริกา (พอเห็นว่าอยู่ดีๆ คือแรก็ใส่สูทหัวหน้าโอจึงทำหน้าแปลกใจ) เขาไม่สนใจว่าปลาหมึกชนิดไหนจะมีราคาแพงกว่า ในเมื่อสินค้าที่จะส่งออกคือปลาหมึกกล้วยดอง ถ้าหากมีปลาหมึกชนิดอื่นปลอมปนเข้ามาก็จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าและความน่าเชื่อถือของบริษัท ทุกคนต่างพากันนั่งอึ้งเมื่อได้รับคำสั่งให้ไปคัดแยกลูกปลาหมึกยักษ์ที่โรงงานซีฟู้ด (พวกเขาต่างจบจากสถาบันชั้นนำและมีประวัติที่โดดเด่น)
เมื่อหัวหน้าโอออกไปแล้ว เหล่าพนักงานฝึกหัดต่างพากันบ่นด้วยความไม่พอใจที่ถูกสั่งให้ไปใช้แรงงาน (คือแรก้มมองสูทตัวใหม่ของตนอย่างกังวล) หนึ่งในนั้นสงสัยว่าที่ยองอีได้รับการยกเว้นคงเป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่เพ็คกีชี้ว่าหัวหน้าเธอไม่อนุญาตให้ไป ซังฮยอนเห็นว่าปัญญาชนอย่างพวกตนไม่คู่ควรกับการทำงานที่สกปรกและต่ำชั้นแบบนี้ จึงเปรยว่าการใช้แรงงานน่าจะเหมาะกับคนอื่นมากกว่าพวกตน ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงพร้อมใจกันหันไปมองคือแร
หัวหน้าโอตรวจดูไฟล์ที่คือแรจัดระเบียบและพยายามมองหาไฟล์ของตน (คือแรจัดเรียงโดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่และปี ค.ศ. เพื่อแยกไฟล์ที่ไม่เข้าพวกออกมา) คือแรถามว่าผลงานของตนใช้ได้ไหม หัวหน้าโอตอบคำเดียวว่า "ไม่" ก่อนถามว่าคือแรไม่มีเพื่อนใช่ไหม เขาชี้ว่าคือแรจัดระเบียบไฟล์เหมือนกำลังจัดเรียงไดอารี่ส่วนตัว (รู้เรื่องอยู่คนเดียว) และกล่าวแบบปลงๆ ว่าตนไม่ได้คาดหวังอะไรจากคือแรอยู่แล้ว
ในที่สุดเหล่าพนักงานฝึกหัดก็มารวมตัวกันที่โรงงาน ปรากฏว่าทางโรงงานมีชุดกันเปื้อนไม่พอ ทำให้บางคน (ส่วนน้อย - ซึ่งแน่นอนว่าคือแรเป็นหนึ่งในนั้น) ได้แค่ถุงมือ รองเท้าบู๊ท และไขควงขนาดใหญ่ จะถอดสูทออกก็ไม่ได้เพราะต้องทำงานในห้องเย็น ผู้จัดการโรงงานบอกว่าทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อรักษาคุณภาพของปลาหมึกดองและตนก็ไม่มีคนมาช่วย โดยปลาหมึกทั้งหมดอยู่ในรถบรรทุกขนาด 3.5 ตันสามคัน และ 4.5 ตันสองคัน เขาบอกให้ทุกคนจับคู่และเข้าไปตรวจสอบปลาหมึกดองในตู้แช่แข็งของรถบรรทุก ปรากฏว่าคือแรไม่มีคู่เลยต้องทำงานคนเดียว แถมยังต้องทำงานในรถบรรทุกขนาด 4.5 ตันอีกด้วย
ทันทีที่เปิดตู้แช่กลิ่นอันรุนแรงของปลาหมึกดองก็โชยออกมา ภายในตู้มีถังปลาหมึกดองขนาดใหญ่ราวสามสิบถัง แม้จะเป็นงานที่หนักหนา หนาวเย็น เหม็น และสกปรก แถมยังต้องทำงานคนเดียว แต่คือแรก็ไม่ปริปากบ่นและลุยงานเต็มที่ ตอนแรกเขาถอดสูทออกแต่สุดท้ายก็ทนหนาวไม่ไหวเลยต้องใส่กลับคืน หลังทำงานได้สักพักพนักงานฝึกหัดคนอื่นๆ ก็เริ่มทนไม่ไหวจึงพากันออกมาพัก มีเพียงคือแรที่ยังคงยืนหยัดทำงานต่อไป ในที่สุดคือแรก็พบลูกปลาหมึกยักษ์ปนอยู่กับปลาหมึกกล้วยในถังดองจริงๆ ทันใดนั้นมือถือของเขาก็ดังขึ้น คือแร (ซึ่งมือข้างหนึ่งถือลูกปลาหมึก) พยายามล้วงมือถือออกจากกระเป๋า แต่เนื่องจากถุงมือลื่นเขาเลยทำมือถือตกลงไปในถังปลาหมึก ทำให้ต้องงมหาเป็นการใหญ่ กว่าจะหาเจอสูทของเขาก็เลอะเทอะและเปียกไปทั้งแขน
หัวหน้าโอพยายามติดต่อคือแรแต่ติดต่อไม่ได้ จึงโทรฯ หาเพ็คกีแทน เมื่อรู้ว่าซัพพลายเออร์ในประเทศจีนยอมรับว่ามีลูกปลาหมึกยักษ์ปะปนมาจริงๆ เพ็คกีก็บอกให้ทุกคนหยุดค้นหาและแจ้งว่าหัวหน้าโอจะเลี้ยงขอบคุณ เหล่าพนักงานฝึกหัดตกลงกันว่าจะไปล้างตัวที่โรงอาบน้ำก่อนไปทานข้าวกับหัวหน้าโอ พนักงานฝึกหัดที่จับคู่หาปลาหมึกกับเพ็คกีจะเดินไปบอกคือแร แต่เพ็คกีกลับวานซังฮยอนให้ไปบอกคือแรแทน และให้ซังฮยอนกับคือแรกลับรถคันเดียวกัน ส่วนตนจะพาคนอื่นๆ ล่วงหน้าไปก่อน ซังฮยอนไปแอบดูคือแรทำงานแต่ไม่ยอมบอกและทิ้งคือแรไว้ที่โรงงานตามลำพัง เมื่อพนักงานฝึกหัดคนอื่นๆ ยกเว้นคือแรมาถึงลานจอดรถที่บริษัท เพ็คกีก็ต่อว่าซังฮยอนและรีบโทรฯ ไปหาผู้จัดการโรงงาน (ซังฮยอนรู้ว่าเพ็คกีรู้แต่แรก แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าตนทิ้งคือแรไว้ที่โรงงาน)
ผู้จัดการโรงงานเห็นคือแรยังคงควานหาปลาหมึกในถังอย่างขมักเขม้นจึงรู้สึกตกใจ เขาถามคือแรว่าไม่มีใครแจ้งข่าวเลยหรือ และบอกว่าคนอื่นๆ กลับไปนานแล้วและไม่ทิ้งรถไว้ให้เขาด้วย จากนั้นก็บ่นด้วยความเห็นใจว่าคือแรถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวได้ยังไง คือแรถึงกับหน้าถอดสีเมื่อรู้ว่าตนเองถูกเพื่อนร่วมงานทิ้ง เขาออกมารอรถเมล์และรถแท็กซี่ในตอนค่ำแต่ก็ไม่มีรถผ่านมาสักคัน แถมที่โรงงานยังไม่มีรับ-ส่งด้วย ในตอนนั้นเสียงของผู้จัดการโรงงานยังคงดังก้องอยู่ในหู "เธอถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวได้ยังไงกัน" คือแรรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา เขานั่งคอตกอยู่ที่ป้ายรถเมล์ตามลำพังในสภาพอ่อนล้าทั้งกายใจ เนื้อตัวมอมแมมและเหม็นคลุ้ง สองมือแช่น้ำเย็นจัดจนซีดชา มือถือก็เปียกน้ำจนพัง มิหนำซ้ำสูทราคาแพงที่แม่เพิ่งซื้อมาให้ยังเปียกปอนและเต็มไปด้วยคราบเปื้อน
ในที่สุด คือแรก็หาทางกลับออฟฟิศจนได้ เขาเดินกลับมาที่แผนกกลางดึกและพบกับยองอีซึ่งกำลังจะออกจากออฟฟิศ ยองอีเห็นสภาพของคือแรแล้วถึงกับอึ้งพูดไม่ออก เพ็คกีโทรฯ เข้ามือถือของยองอีและถามหาคือแร เขาขอโทษคือแรแทนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แต่คือแรได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนๆ ดังแทรกออกมา คือแรส่งโทรศัพท์คืนให้ยองอีแต่เสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนๆ ยังคงดังลั่น หนึ่งในนั้นเรียกคือแรว่าไอ้โง่ ยองอีได้ยินแล้วเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอบอกคือแรว่าเพ็คกีบอกให้เขาไปกับเธอ และถามคือแรว่าอยากไปไหม แม้จะถูกกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงแต่คือแรกลับตัดสินใจที่จะไปกับยองอี
เมื่อเดินไปถึงที่ร้าน คือแรก็ถูกเพื่อนร่วมงานเยาะเย้ยถากถางแถมยังทำท่าทางรังเกียจที่เนื้อตัวเขามอมแมมและเหม็นหึ่ง แต่คือแรเริ่มที่จะคุ้นชินและไม่คิดตอบโต้ เขาถามหาหัวหน้าโอและพบว่าหัวหน้าโอยังมาไม่ถึง หัวหน้าโอซึ่งกำลังเดินมาที่ร้านเห็นคือแรเนื้อตัวมอมแมม (และกำลังถูกซังฮยอนถากถาง) จึงรู้สึกตกใจ ขณะที่ยองอียืนฟังอย่างอดทน เมื่อเพ็คกีชวนให้เข้าไปในร้านยองอีก็ปฏิเสธโดยอ้างว่าดึกมากแล้ว พอเห็นหัวหน้าโอเดินมายองอีก็กล่าวอำลา เพ็คกีเห็นหัวหน้าโอจึงรีบวิ่งไปเสนอหน้าทักทายอย่างนอบน้อม หัวหน้าโอถามคือแรว่าเกิดอะไรขึ้น เพ็คกีตอบว่าเกิดเรื่องนิดหน่อย (เพ็คกีมองคือแรด้วยสีหน้าสะใจ ส่วนคนอื่นๆ พยายามกลั้นหัวเราะ) คือแรขอตัวโดยอ้างว่าตนยังมีงานที่ต้องกลับไปทำและแก้ไข หัวหน้าโอบอกให้คือแรกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้วค่อยมาทำงานต่อพรุ่งนี้ แต่คือแรยืนกรานว่าตนจะรีบทำให้เสร็จภายในคืนนี้
พูดจบคือแรก็ก้มศีรษะคำนับหัวหน้าแล้วเดินกลับออฟฟิศทันที เขากล่าวกับคนดูว่า "คุณอาจคิดว่าผมขยันทำงาน เปล่าเลย ผมมาอยู่ ณ จุดนี้เพราะผมไม่ขยันทำงาน และที่ผมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวก็เป็นเพราะผมไม่ขยันทำงานเช่นกัน" (เพราะความจริงนั้นแสนเจ็บปวด เขาเลยบอกให้ตัวเองคิดแบบนี้)
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "หนุ่มออฟฟิศพิชิตฝัน (Misaeng)" ทางพีพีทีวี
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามชมได้ใน "หนุ่มออฟฟิศพิชิตฝัน (Misaeng)" ทางพีพีทีวี
* เนื้อหาโดย luvasianseries
นักแสดงนำ
รับบท ชาง คือแร
รับบท โอ ซังชิก
รับบท อัน ยองอี
รับบท จาง เพ็คกี
รับบท ฮัน ซอกยูล
คิม แดมยอง
รับบท คิม ดงชิก
คลิปทีเซอร์จากทีวีเอ็น
คลิปเบื้องหลังจากทีวีเอ็น
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา