กำกับ: ฮง ซองชาง
เขียนบท: จาง ฮังจุน
แนวละคร: โรแมนติก, ดราม่า, คอมเมดี้
จำนวนตอน: 18
ออกอากาศ: เกาหลี - วันที่ 5 พฤศจิกายน 2555 - 7 มกราคม 2556 ทางเอสบีเอส
ไทย - ทุกคืนวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 02.10 น. ทางช่อง 7 สี ตั้งแต่คืนวันที่ 27 มิถุนายน 2559 - 27 กรกฎาคม 2559
เรื่องย่อ
"โอละพ่อ...ละครอลเวง (The King of Dramas)" เป็นละครเกี่ยวกับวงการบันเทิงเกาหลี โดยนำเสนอเรื่องราวของ "แอนโธนี่ คิม" ซีอีโอบริษัทผลิตละครที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเงิน เป็นที่รู้กันว่าเขาคือผู้ผลิตมือทองเนื่องจากละครส่วนใหญ่ของเขาล้วนประสบความสำเร็จ และนั่นก็ทำให้นักแสดงนำที่ร่วมงานกับเขากลายเป็นนักแสดงระดับฮันรยูสตาร์ (เป็นที่รู้จักและโด่งดังในต่างประเทศ) แต่หลังจากเขาใช้เงินฟาดหัวแมสเซ็นเจอร์ให้ส่งงานด่วนจี๋แบบซิ่งท้านรกจนแมสเซ็นเจอร์คนดังกล่าวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตและกลายเป็นข่าวครึกโครม อนาคตของเขาก็ดับวูบ เขาจึงพยายามกลับมาทวงตำแหน่ง 'เจ้าพ่อวงการละคร' คืนด้วยการผลิตละครเรื่องใหม่ให้นายทุนชาวญี่ปุ่น เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงเขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือและร่วมมือจากนักเขียนมือใหม่อย่าง "ลี โกอึน" ซึ่งฝันอยากเป็นนักเขียนบทระดับแถวหน้า กับ "คัง ฮยอนมิน" นักแสดงหนุ่มหล่อที่หลงตัวเองและเอาแต่ใจ
ละครเริ่มต้นขึ้นด้วยการเกริ่นนำเรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลี โดยมีเสียงบรรยายว่า ช่วงที่เกิดกระแส "ยงซามะ" (เป็นชื่อที่แฟนๆ ชาวญี่ปุ่นเรียกนักแสดงเกาหลี "แบ ยงจุน" ด้วยความยกย่อง หลังจากเขาโด่งดังถึงขีดสุดจากละคร "เพลงรักในสายลมหนาว" (Winter Sonata) ซึ่งออกอากาศในเกาหลีเมื่อปี ค.ศ. 2002) อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้เฟื่องฟูสุดๆ ในประเทศญี่ปุ่น และผลของกระแสดังกล่าวก็ทำรายได้ให้ประเทศมากถึง 1.196 ล้านล้านวอน (กว่า 3.6 หมื่นล้านบาท) ขณะที่นักแสดงสาว "ลี ยองเอ" จากละครแดจังกึมซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักใน 60 ประเทศทั่วโลก ก็ดูดเม็ดเงินเข้าประเทศมหาศาลมากถึง 1.196 ล้านล้านวอน (กว่า 9.1 หมื่นล้านบาท)
เหตุผลหลักที่ทำให้ทั้งคู่ดังเป็นพลุแตกคือ "ฮันรยู" (โคเรียนเวฟ - กระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่ลามไปทั่วโลก) เพราะมีละครเกาหลีเหล่าดาราจึงได้รับความรักจากแฟนๆ ทั่วทุกมุมโลก หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญวงการวิทยุโทรทัศน์เกาหลีถึงกับระบุว่า คนวัยหนุ่มสาวในเวียดนามอาจไม่รู้จักชื่อเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แต่พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้จักนักแสดงฮันรยูสตาร์ชื่อดัง "จาง ดงกอน"
ผลของกระแสเกาหลีฟีเวอร์ทำให้เกาหลีใต้มีมูลค่าการส่งออกสินค้าชนิดต่างๆ (ที่เกี่ยวข้อง) สูงถึง 27 ล้านล้านวอน (กว่า 8.2 แสนล้านบาท) ต่อปี ในจำนวนนี้รวมถึงการส่งออกดีวีดีละครและเพลงประกอบละคร ตลอดจนโทรศัพท์มือถือ เครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งรถยนต์ที่เหล่าดาราดังใช้ในละคร ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาหยิบจับล้วนเป็นเงินเป็นทองแทบทั้งสิ้น แม้กระทั่งต็อกโบกีซึ่งเป็นอาหารข้างทางของชาวเกาหลีก็ถูกปรุงแต่งให้กลายเป็นอาหารมีระดับที่ถูกเสิร์ฟในภัตตาคารหรูของญี่ปุ่นหลังเหล่านักแสดงฮันรยูสตาร์ทานให้เห็นในละครอย่างเอร็ดอร่อย
เหล่าคนดูต่างชื่นชอบละครเกาหลี ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศ 'ญี่ปุ่น' ซึ่งเคยล่าอาณานิคมและผนวกเกาหลีเป็นดินแดนของตนตามสนธิสัญญาการรวมญี่ปุ่น-เกาหลีนานถึง 36 ปี หรือประเทศที่เคยคิดว่าอาณาจักรโคกูรยอเป็นแผ่นดินของตนอย่าง 'จีน' ตลอดจนประเทศของเจงกีสข่าน (ผู้ซึ่งเคยก่อตั้งจักรวรรดิทางบกที่มีอาณาเขตต่อเนื่องใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์) อย่าง 'มองโกเลีย' (ละครแสดงให้เห็นภาพชาวต่างชาติกำลังเรียนภาษาเกาหลีจากละครเรื่อง "Secret Garden เสกฉันให้เป็นเธอ" ส่วนคนดูในประเทศมองโกเลียถึงขนาดขี่ม้าไปเอาจานดาวเทียมขนาดเล็กมาติดตั้งในกระโจมกลางทุ่งหญ้าเพื่อดูละครเกาหลีโดยเฉพาะ)
เมื่อเสียงบรรยายกล่าวว่า "กว่าจะเป็นละครดังที่สร้างกระแสไปทั่วโลกอย่างที่เห็น มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก..." ภาพก็ตัดไปที่ "ผู้กำกับฮง" ซึ่งอยู่ในสภาพอิดโรยและเผลอสัปหงกขณะถ่ายทำตอนจบของละครเรื่อง "แรงรักแรงแค้น" แม้แต่พระเอกหนุ่ม "โอ อินซอง" (รับบทโดย "ชเว แทจุน" - นักแสดงรับเชิญ) ก็เริ่มแบตหมดจึงเผลอหลับขณะรอผู้กำกับสั่งคัท แถมยังทำน้ำลายหยดใส่หน้านางเอก (รับบทโดย "ปาร์ก ชินเฮ" - นักแสดงรับเชิญ) อีกต่างหาก
หลังจากนั้นผู้บรรยายก็กล่าวต่อว่า เพื่อให้ได้เรตติ้งคนดูเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ช่วงเวลานับตั้งแต่การจัดเตรียมบทแต่ละตอน ไปจนถึงการแข่งขันด้านเรตติ้งกับละครของคู่แข่งภายใต้ระบบการผลิตแบบถ่ายไปออนแอร์ไป จึงไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในสนามรบ ทั้งนักแสดงนำ ผู้กำกับ และผู้เขียนบท ล้วนต้องทำงานหลังขดหลังแข็งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนด้วยเหตุผลเดียวกัน...นั่นก็คือ เงิน!
ปรากฏว่าเสียงผู้บรรยายที่คนดูได้ยินมาตั้งแต่ต้นเป็นเสียงของ "แอนโธนี่ คิม" ซีอีโอหน้าเงินแห่งบริษัท เชกุก โปรดักชั่นส์ (บริษัทผลิตละครที่อยู่ในระหว่างถ่ายทำฉากจบของละครเรื่อง "อูอาฮัน พกซู" (Elegant Revenge) หรือที่ช่องเจ็ดเรียกว่า "แรงรักแรงแค้น" ส่วนชื่อบริษัท "เชกุก" ช่องเจ็ดเรียกว่า "เอ็มไพร์" ตามคำแปลภาษาอังกฤษของคำว่า "เชกุก") ซึ่งกำลังบรรยายให้นักศึกษาฟังบนเวที เขากล่าวว่าการทำละครให้ได้เงิน จำเป็นต้องใช้นักเขียนบทมือทองและนักแสดงที่ทำเงิน ที่ผ่านมาบริษัทของตนจ่ายค่าตัวนักแสดงไปแล้วทั้งสิ้นเกือบ 8.7 หมื่นล้านวอน (ราว 2.7 พันล้านบาท) ละครของตนออกอากาศไปแล้วทั้งหมด 29 เรื่อง ในจำนวนนี้มีอยู่ 27 เรื่องที่ตนทำแล้วประสบความสำเร็จ หรือคิดเป็น 93.1% ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงสุดในประเทศ และผลกำไรทั้งหมดที่ตนทำให้บริษัทคือ 461.5 พันล้านวอน (กว่า 4.6 แสนล้านวอน หรือราวๆ 1.4 หมื่นล้านบาท) สรุปแล้วละครก็คือการทำสงครามตัวเลขนั่นเอง
นักศึกษาคนหนึ่งถามถึงเหตุผลที่ละครสองเรื่องของเขาไม่ประสบความสำเร็จ และตั้งข้อสังเกตว่าในอนาคตอาจมีละครที่เขาทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แอนโธนี่กล่าวว่านั่นเป็นเพราะในปี 2002 มีการแข่งขันกีฬาเวิลด์คัพ (หรือ "ฟุตบอลโลก" ซึ่งเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกับประเทศญี่ปุ่น) ทำให้คนเกาหลีหันไปคลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลจนเกิดกระแส "เรด เดวิล ฟีเวอร์" (ชื่อกองเชียร์และแฟนคลับฟุตบอลทีมชาติเกาหลีใต้) ส่วนในเดือนพฤษภาคมปี 2008 ได้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ของประชาชนที่หวาดกลัวการระบาดของเชื้อวัวบ้า (หลังกระทรวงเกษตรของเกาหลีใต้ประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามนำเข้าเนื้อวัวสหรัฐ) หากสองเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ละครของตนไม่มีทางล้มเหลวอย่างแน่นอน
แอนโธนี่ชูแหวนทองที่นิ้วก้อยให้นักศึกษาทุกคนดูพลางกล่าวว่า ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเรียกแหวนที่ตนสวมว่า 'สุดยอดแหวน' และคนเหล่านั้นก็เรียกตนว่า "ดราม่าเอ เชวาง" (ซึ่งเป็นชื่อภาษาเกาหลีของละครเรื่องนี้ หมายถึง "เจ้าพ่อวงการละคร" หรือ "King of Dramas") เหล่านักศึกษาต่างปรบมือด้วยความชื่นชมและพากันสอบถามเคล็ดลับที่ทำให้ละครของเขาประสบความสำเร็จ แอนโธนี่ยังไม่ทันตอบก็ได้รับข้อความที่ทำให้เขาถึงกับหน้าถอดสี
"ลี โกอึน" ไปทำเรื่องขอยืดเวลาชำระหนี้ที่ธนาคารเป็นครั้งที่สี่ (เธอเป็นหนี้เงินกู้จำนวน 10 ล้านวอน หรือกว่า 3 แสนบาท) เมื่อพนักงานธนาคารตรวจสอบเอกสารแล้วพบว่าโกอึนเป็นนักเขียนจึงถามว่าเธอเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร พอรู้ว่าโกอึนเขียนบทละครเรื่อง "แรงรักแรงแค้น" ซึ่งกำลังจะอวสานในคืนนี้ เธอก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะเป็นแฟนละครตัวยง แต่พอโกอึนสารภาพว่าความจริงแล้วเธอเป็นเพียงผู้ช่วยนักเขียน ท่าทีของพนักงานธนาคารคนดังกล่าวก็เปลี่ยนไป เธอมองว่าโกอึนเป็นเพียงผู้ช่วยไม่ใช่นักเขียนจึงบอกให้โกอึนแก้ไขอาชีพที่ระบุไว้ในเอกสารให้ถูกต้อง โกอึนจึงเขียนคำว่า 'ผู้ช่วย' แทรกลงไป แต่พนักงานธนาคารกลับบอกให้เธอแก้ไขใหม่โดยกรอกคำว่า 'ว่างงาน' ลงไปแทน
โกอึนแย้งว่าตำแหน่งผู้ช่วยนักเขียนก็เป็นงานเช่นกัน พวกตนทำงาน 365 วันต่อปีจนแทบไม่มีเวลานอนพักผ่อน นอกจากจะช่วยนักเขียนบททำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดแล้ว พวกตนยังต้องช่วยงานที่เกี่ยวกับการเขียนบทด้วย ที่สำคัญตนได้ค่าจ้างจากการทำงานดังกล่าวจึงไม่ใช่คนว่างงาน ที่ผ่านมาตนจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้สุดโหดตรงเวลาตลอดและนั่นก็ทำให้แบงค์ได้กำไร พูดไปพูดมาโกอึนชักของขึ้นจึงกล่าวว่า "ชั้นกู้เงินจากธนาคาร ไม่ได้กู้จากคุณค่ะ...คุณป้า! ตอนนี้ชั้นมีเวลาไม่มาก ดังนั้นก่อนที่ชั้นจะวีนแตก ช่วยจัดการเรื่องนี้.... ด่วนโว้ยยย!"
หลังบรรยายเสร็จในตอนใกล้เที่ยง "โอ จินวาน" ซึ่งเป็นเอ็มดีของบริษัท เชกุก โปรดักชั่นส์ และมีอำนาจในการสั่งการเป็นอันดับสองรองจากแอนโธนี่ (แต่ทำงานให้แอนโธนี่ราวกับเป็นเลขา) รายงานว่าเทป (บันทึกการถ่ายทำ) ตอนจบของละครเรื่องแรงรักแรงแค้นถูกส่งไปให้ห้องตัดต่อแล้ว ยกเว้นช่วง 10 นาทีสุดท้าย ซึ่งตอนนี้ทีมถ่ายทำกำลังสแตนด์บายรออยู่ที่เมืองซัมชอก จังหวัดคังวอน (ห่างจากกรุงโซลราว 3-4 ช.ม.) โดยละครมีกำหนดออกอากาศในอีก 10 ชั่วโมงข้างหน้า (เวลาในละครตอนนี้คือ 11.57 น.) แต่ปัญหาก็คือนักเขียนบท "จอง ฮงจู" ยืนกรานว่าจะไม่ยอมให้มีโฆษณาแฝง (น้ำส้ม) ในซีนสุดท้าย พอตกลงกันไม่ได้บทละคร (ฉากจบ) จึงยังไม่แล้วเสร็จ ขืนไม่รีบลงมือถ่ายทำละครตอนนี้คงไม่มีฉากจบแน่
เวลาเที่ยงตรง นักเขียนจอง (ซึ่งอยู่ในวงการมานานถึง 20 ปี) พยายามแทรกน้ำส้มลงไปในบทตามที่ถูกร้องขอแต่สุดท้ายก็ทำใจยอมรับไม่ได้ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น (หน้าจอระบุว่าผู้ที่โทรฯ มาคือ "หมาบ้าแห่งชองดัมดง") ปรากฏว่าแอนโธนี่โทรฯ มาหว่านล้อมให้นักเขียนจองใส่น้ำส้มลงในฉากจบ (ก่อนหน้านี้เขาถึงกับส่งน้ำส้ม 10 ลังไปให้นักเขียนจองเพื่อเป็นการย้ำเตือน) นักเขียนจองอธิบายว่าซีนสุดท้ายพระเอกต้องตายแบบเท่ห์ๆ หลังปิดบัญชีแค้นได้สำเร็จ แล้วจะให้พระเอกมาดแมนดื่มน้ำส้มก่อนตายได้อย่างไร แอนโธนี่ไม่สนและมองว่านั่นเป็นหน้าที่ของนักเขียนที่ได้ค่าเขียนบทตอนละ 20 ล้านวอน (กว่า 6.1 แสนบาท) อย่างนักเขียนจอง
หลังใช้ไม้นวมแล้วไม่ได้ผล แอนโธนี่ก็เลิกใช้ภาษาสุภาพกับนักเขียนจอง ทั้งยังขู่ว่าจะเลิกจ้างนักเขียนบทมือทองอย่างเธอ (ที่ผ่านมานักเขียนจองรับค่าเขียนบทจากแอนโธนี่มาแล้วทั้งสิ้น 800 ล้านวอน หรือกว่า 24 ล้านบาท) เขายังบอกด้วยว่าละครอาจเป็นงานศิลปะในสายตานักเขียนจองแต่สำหรับตนแล้วมันเป็นเรื่องของธุรกิจล้วนๆ เขากล่าวว่าน้ำส้มหนึ่งกล่องมีมูลค่าถึง 300 ล้านวอน (ราวๆ 9.2 ล้านบาท) ดังนั้น จงใส่น้ำส้มลงไปในบทเสียโดยดี นักเขียนจองถามว่าหากตนไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้น แอนโธนี่กล่าวว่านี่ไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นคำสั่งจากนายจ้างของเธอ
หลังวางสายนักเขียนจองก็โกรธจนสติแตก พอโกอึนมาถึงเธอจึงบ่นให้ฟังอย่างหัวเสียเรื่องที่พระเอกซึ่งกำลังจะตายอย่างฮีโร่ กลับต้องมาตายหลังดื่มน้ำส้มที่เป็นโฆษณาแฝง พอเขียนบท (ฉากสุดท้าย) เสร็จแล้ว นักเขียนจองก็บอกให้โกอึนตรวจเช็คคำผิดก่อนส่งให้ทีมโปรดักชั่น เมื่อโกอึนทักว่าในบทไม่มีน้ำส้ม นักเขียนจองก็บอกโกอึนว่าศิลปินตัวจริงต้องไม่ยอมอ่อนข้อให้นักธุรกิจหน้าเงิน พูดจบเธอก็ทิ้งให้โกอึนอยู่รับหน้าบริษัทผลิตละครและแอนโธนี่ตามลำพัง ทั้งยังถอดแบตมือถือออกแล้วทิ้งลงถังขยะก่อนออกจากห้องอีกด้วย
พอเห็นว่าในบทไม่มีน้ำส้ม แอนโธนี่ก็รีบโทรฯ หานักเขียนจองแต่ไม่สามารถติดต่อเธอได้ จินวานเตือนว่าขณะนี้เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว เขาสงสัยว่าทำไมแอนโธนี่ถึงไม่สั่งให้ทางกองถ่ายจับน้ำส้มยัดใส่มือพระเอกขณะถ่ายทำฉากสุดท้ายจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว แอนโธนี่ถามกลับว่า น้ำส้มมาจากไหน พอเห็นจินวานทำหน้างง แอนโธนี่จึงถามใหม่ว่าก่อนตายพระเอกไปเอาน้ำส้มที่ไหนมาดื่ม รึจะให้พระเอกกระหายน้ำแล้วแวะซูเปอร์มาร์เก็ต เขาชี้ว่าน้ำส้มไม่ใช่เหล้า ทำไมอยู่ๆ พระเอกถึงแวะซื้อน้ำส้มมาดื่มก่อนตาย
แอนโธนี่บอกจินวานว่าละครเรื่องนี้โฆษณา (แฝง) น้ำส้มมาแล้ว 7 ครั้ง แต่ละครั้งต้องทำให้คนดูเห็นไม่ต่ำกว่า 10 วินาทีจึงจะได้เงิน 300 ล้านวอน เพื่อให้น้ำส้มปรากฏในซีนสุดท้าย สถานที่ถ่ายทำ คำบรรยาย และบทพูดต่างๆ จึงต้องปรับแก้ใหม่ทั้งหมด จินวานแย้งว่าพวกตนเหลือเวลา (ก่อนละครออกอากาศ) อีกเพียง 8 ชั่วโมงครึ่ง ในเมื่อนักเขียนจองไม่ยอมแก้บทแล้วพวกตนจะทำอะไรได้อีก สถานการณ์ยิ่งบีบคั้นมากขึ้นเมื่อประธานบริษัทโทรฯ มาสอบถามสถานการณ์ หลังทราบว่าเทปบันทึกการถ่ายทำฉากสุดท้ายยังไม่ถึงมือแผนกตัดต่อ แม้จะยังมองไม่เห็นอนาคตแต่แอนโธนี่ก็ยืนยันหนักแน่นว่าละครของตนจะออกอากาศคืนนี้โดยไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
หลังติดต่อนักเขียนจองไม่ได้ แอนโธนี่ก็ตัดสินใจใช้แผนสองโดยวางแผนให้ผู้ช่วยนักเขียนจอง (ซึ่งก็คือโกอึน) ช่วยแก้บทแทน เขาบุกไปหาโกอึนที่ห้องทำงานของนักเขียนจอง จากนั้นก็ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จให้โกอึนฟังว่านักเขียนจองประสบอุบัติเหตุขณะกำลังเดินทางกลับมาแก้บทตามที่รับปากกับตน ตนไปเยี่ยมนักเขียนจองที่โรงพยาบาลแล้ว เธอไม่เป็นอะไรมากและกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องฉุกเฉิน ก่อนหลับเธอฝากให้โกอึนช่วยแก้บทให้แทน โกอึนไม่เชื่อว่านักเขียนจองยอมให้ใส่น้ำส้มลงไปในบท แอนโธนี่โกหกว่านักเขียนจองบอกตนแล้วว่าโกอึนต้องพูดแบบนี้ ตนเลยมาหาโกอึนด้วยตนเองทั้งๆ ที่กำลังยุ่ง เมื่อเห็นว่าโกอึนยังคงลังเล แอนโธนี่เลยตีหน้าซื่อก่อนจ้องตาโกอึนแล้วถามว่า "หรือคุณคิดว่าผมกำลังโกหก" โกอึนตอบแบบไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำ "ปะ...เปล่าค่ะ" แอน โธนี่เห็นว่าโกอึนเริ่มหลงกลจึงฉวยโอกาสมัดมือชกโดยบอกให้เธอเริ่มลงมือทันทีเพราะเหลือเวลาอีกไม่มาก
โกอึนวิ่งตามแอนโธนี่ไปแบบงงๆ ระหว่างเดินไปขึ้นรถแอนโธนี่หลอกให้โกอึนมีความหวังโดยบอกว่านักเขียนจองขอให้ตนช่วยพิจารณาบทละครที่โกอึนเคยฝึกเขียนเรื่อง "คยองซองอี อาชิม" (Morning of Kyeong Seong - ช่องเจ็ดเรียกว่า "อรุณสวัสดิ์ยองซอง") ซึ่งเป็นละครย้อนยุคที่กล่าวถึงเรื่องราวช่วงที่เกาหลีตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น เขาบอกให้โกอึนนำบทมาให้ตนดูในวันพรุ่งนี้ ทั้งยังรับปากว่าถ้าโกอึนแก้ไขบท (ให้มีน้ำส้ม) แล้วผลงานออกมาดี เธอจะได้เป็นนักเขียนหลักในละครเรื่องต่อไป
แอนโธนี่พาโกอึนไปแก้ไขบทในรถ (ออฟฟิศเคลื่อนที่) สุดหรูและทันสมัยไฮเทคซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ถ่ายทำในเมืองซัมชอก จังหวัดคังวอน (เวลาในการออกเดินทางคือ 15.17 น.) เขาบอกให้โกอึนคิดหาวิธีที่จะทำให้พระเอกดื่มน้ำส้มก่อนตาย โกอึนมองว่าโจทย์ของเธอคือพระเอกเอาน้ำส้มมาจากไหน ซึ่งแน่นอนว่าการให้พระเอกไปซื้อน้ำส้มมาดื่มหรือมีคนมอบให้นั้นไม่สมเหตุสมผล แอน โธนี่เตือนว่านอกจากเรื่องที่มาของน้ำส้มแล้ว เธอยังต้องแก้ไขบทให้กระทบซีนที่ถ่ายทำไปแล้วน้อยที่สุด (หรือถ่ายทำใหม่น้อยที่สุดนั่นเอง)
ในที่สุดโกอึนก็เปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำฉากแก้แค้นของพระเอก (ซีนที่ 68) จากไซต์งานก่อสร้างมาเป็นศูนย์กระจายสินค้าโดยให้พระเอกต่อสู้ท่ามกลางลังบรรจุน้ำส้ม หลังส่งบทใหม่ไปให้ทีมถ่ายทำ (ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในซีนที่ 66 และ 67 โดยโกอึนให้พระเอกโทรศัพท์ในตู้โทรฯ สาธารณะริมถนนแทนการโทรศัพท์ในโรงพยาบาล) แอนโธนี่ก็โทรฯ ไปหาผู้กำกับฮงและบอกให้เปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำทันที เขาใช้ดาวเทียมหาพิกัดโกดังที่อยู่ใกล้ทีมถ่ายทำมากที่สุด จากนั้นก็บอกเส้นทางและสั่งให้ทางกองถ่ายส่งคนไปติดต่อขอเช่าโกดังแล้วจัดฉากให้เหมือนศูนย์กระจายสินค้า (ขณะนั้นเป็นเวลา 16.30 น.) เขายังบอกกองถ่ายด้วยว่าตนจะไปถึงเมืองซัมชอกภายใน 2 ชั่วโมง 35 นาที (เวลา 19.04 น.)
หลังคุยกับทางกองถ่ายเสร็จแอนโธนี่ก็บอกให้จินวานโทรฯ ไปขอเฮลิคอปเตอร์จากทางสถานี และให้จ้างแมสเซ็นเจอร์ที่ให้บริการส่งของด่วน มาสแตนด์บายรอส่งเทปไปให้ทีมงานบนเฮลิคอปเตอร์ ระหว่างนั้นโกอึนไล่แก้บทช่วง 10 นาทีสุดท้ายแล้วส่งบทใหม่ไปให้ทีมถ่ายทำทางอีเมล์ทีละซีน (แก้ไปส่งไป) ผลของการใส่โฆษณาแฝงในซีนสุดท้ายตามคำสั่งของแอนโธนี่ ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (รวมทั้งตัวแอนโธนี่เอง) ต่างหัวหมุนไปตามๆ กันเพราะต้องเร่งทำงานให้เสร็จทันเวลา
ในที่สุดก็ถึงเวลาถ่ายทำฉากแอคชั่นในซีนที่ 68 ซึ่งพระเอกต้องขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาลุยกับผู้ร้ายในโกดังและต้องต่อสู้ท่ามกลางลังน้ำส้ม หลังปราบผู้ร้ายจนอยู่หมัดแล้ว พระเอกซึ่งอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบเห็นน้ำส้มหนึ่งกล่องร่วงอยู่บนพื้นจึงหยิบขึ้นมาด้วยลีลาสุดเท่ห์ หลังจากนั้นผู้กำกับก็สั่งคัทแล้วบอกให้ย้ายกอง เมื่อทีมงานนำบทของซีนถัดไปมาให้โดยไม่มีซีนสุดท้าย ผู้กำกับก็รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องทำงานแบบไม่รู้อนาคตเพราะต้องรอบทแบบซีนต่อซีน ทั้งยังต้องย้ายกองไปมา (ขณะนั้นเป็นเวลา 17.27 น. แล้ว) ในที่สุดโกอึนก็แก้ซีนสุดท้ายเสร็จ แต่หลังจากแอนโธนี่ได้รับแจ้งจากสปาย (วิศวกร) ที่ทำงานอยู่ในช่องเอ็ม (ในละครใช้ "เอ็มบีเอส" แต่ของจริงคือ "เอ็มบีซี") ว่า ละครของช่องเอ็มจะออกอากาศนาน 65 นาที 20 วินาที แอนโธนี่จึงสั่งให้โกอึนเขียนบทเพิ่มอีกหนึ่งซีนทันที
เมื่อเห็นโกอึนทำหน้างง แอนโธนี่จึงอธิบายว่า ละครของช่องเอ็มจะออกอากาศ 65 นาที 20 วินาที ซึ่งตอนที่ละครช่องเอ็มจบ ละครของช่องเค (ในละครใช้ "เคบีซี" แต่ของจริงคือ "เคบีเอส") ได้จบลงก่อนหน้านั้นแล้ว หากละครของตนออกอากาศนานกว่าช่องเอ็ม 1 นาที 30 วินาทีจะทำให้มีเรตติ้งสูงกว่า 30% โกอึนแย้งว่าเมื่อวานเรตติ้งละครของพวกตนอยู่ที่ 24% ต่อให้เธอยืดเวลาออกไปอีกก็ไม่น่าจะได้เรตติ้งเกิน 30% แอนโธนี่อธิบายว่า ความเป็นไปได้ที่ผู้ชมจะเปลี่ยนช่องหลังดูละครเรื่องโปรดจบมีมากถึง 52.3% ที่สำคัญละครของตนจะออกอากาศตอนสุดท้ายในคืนนี้ ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ผู้ชมจะดูละครของตนในช่วงขยายเวลา 1 นาทีครึ่ง จึงอยู่ที่ 82.7%
โกอึนแย้งว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง แต่ปัญหาก็คือตอนนี้ตัวละครอื่นๆ ล้วนตายกันหมดแล้ว ซีนสุดท้ายพระเอกเลยต้องตายอย่างโดดเดี่ยว แล้วจะให้ตนเอาเนื้อหาอะไรมาใส่เพิ่ม แอนโธนี่ตอบหน้าตาเฉยว่านั่นเป็นหน้าที่ของโกอึน โกอึนเห็นว่าในเมื่อไม่มีเวลามากพอสำหรับการถ่ายทำเพิ่มแต่จำเป็นต้องยืดเนื้อหาออกไปอีกหนึ่งซีน เธอจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเสนอให้พระเอกหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเพื่อจะได้ดึงภาพจากซีนเก่าๆ มาใช้ แอนโธนี่เห็นด้วยจึงโทรฯ สั่งทีมงานให้รีบตัดต่อฉากย้อนหลังความยาวหนึ่งนาทีครึ่งโดยบอกว่าเป็นความหลังที่พระเอกนึกถึงก่อนตาย ซึ่งจะนำมาแทรกก่อนถึงซีนสุดท้าย
ในที่สุดแอนโธนี่กับโกอึนก็มาถึงกองถ่ายและทันดูการถ่ายทำซีนสุดท้ายพอดี การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นเมื่อพระเอกขี่บิ๊กไบค์มาจอดริมชายหาด จากนั้นก็เดินคอตกไปที่ริมทะเลโดยมีปืนอยู่ในมือ เขาหยุดยืนครุ่นคิดชั่วครู่แล้วหยิบกล่องน้ำส้มออกมาดู หลังจากนั้นผู้กำกับก็สั่งคัท (ตามที่แอนโธนี่สั่ง) และเริ่มถ่ายใหม่โดยสั่งให้กล้องโคลสอัพไปที่กล่องน้ำส้มในมือของพระเอก พระเอกบีบกล่องน้ำส้มเต็มแรงจากนั้นก็เทน้ำส้มกรอกปากตนเองก่อนยิงตัวตาย
พอถ่ายทำเสร็จช่างภาพก็รีบส่งเทปให้ผู้กำกับ ผู้กำกับฮงบอกแอนโธนี่ว่าตนทำงานตามสั่งเรียบร้อยแล้ว ปัญหาก็คือที่นี่อยู่ห่างจากกรุงโซล 4 ชั่วโมง แต่เหลือไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็จะได้เวลาออกอากาศแล้ว มิหนำซ้ำทางสถานียังส่งเฮลิคอปเตอร์มารับเทปไม่ได้เพราะสภาพอากาศในกรุงโซลไม่เอื้ออำนวย แอนโธนี่จึงเปลี่ยนแผนโดยจะให้แมสเซ็นเจอร์ที่มารอรับเทป นำเทปไปส่งที่สถานีเอส (ในละครใช้ "เอสบีซี" แต่ของจริงคือ "เอสบีเอส") ในกรุงโซลแทน
เขาถามแมสเซ็นเจอร์ว่าหาเงินได้เดือนละเท่าไหร่ พอแมสเซ็นเจอร์ตอบว่าประมาณ 2 ล้านวอน (ราว 6 หมื่นบาท) แอนโธนี่ก็ยื่นข้อเสนอโดยบอกว่าถ้านำเทปไปส่งที่สถานีเอสในกรุงโซลได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ตนจะจ่ายค่าจ้าง 10 ล้านวอน (ราว 3 แสนบาท) หากไปถึงช้ากว่านั้น 10 นาทีค่าจ้างจะเหลือ 5 ล้านวอน ถ้าไปส่งช้า 20 นาทีค่าจ้างจะอยู่ที่ 2 ล้านวอน แต่ถ้าช้ากว่านั้นจะไม่ได้ค่าจ้างแม้แต่วอนเดียว พูดจบเขาก็ถามแมสเซ็นเจอร์ว่าจะรับงานนี้หรือไม่ เมื่อแมสเซ็นเจอร์พยักหน้าแอนโธนี่ก็ส่งเทปให้ทันที
ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจจึงขอยืมบิ๊กไบค์ที่นำมาเข้าฉากเพื่อซิ่งตามแมสเซ็นเตอร์ไป เขาวิเคราะห์ว่าที่นี่อยู่ห่างจากกรุงโซล 293.8 กม. ดังนั้น ความน่าจะเป็นที่แมสเซ็นเจอร์จะไปถึงกรุงโซลแบบยังมีลมหายใจหลังใช้ความเร็ว 300 กม./ชม. จึงมีเพียง 36.2% แต่ถ้าตนตามไปด้วยความน่าจะเป็นจะอยู่ที่ 72.4% จินวานแย้งว่าเป็นการกระทำที่เสี่ยงเกินไปเพราะหากทำเช่นนี้เขาอาจตายได้ แต่แอนโธนี่กลัวความล้มเหลวมากกว่าความตายเลยชวน (สั่ง) โกอึนให้ไปเสี่ยงตายด้วยกัน โดยให้เหตุผลว่าโกอึนเป็นคนแก้บทจึงต้องไปที่ห้องตัดต่อกับตน
เวลา 21.30 น. เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของสถานีเอส อาทิ "มูน ซังอิล" ผู้อำนวยการฝ่ายละคร, "ลี ซองโจ" หัวหน้าทีมโปรดิวเซอร์ที่รับผิดชอบละครเรื่องแรงรักแรงแค้น, "รองผอ.คิม" รองผู้อำนวยการฝ่ายละคร และ "นัม อุนฮยอง" หัวหน้าโปรดิวเซอร์ (CP) ประจำสถานี ต่างรอเทปบันทึกการถ่ายทำช่วง 10 นาทีสุดท้ายจากแอนโธนี่ด้วยอาการลุ้นระทึก เพราะเหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาออกอากาศแล้ว
และแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้เมื่อแมสเซ็นเจอร์หักหลบรถเก๋งแล้วเสียหลักทำให้ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงกลางทาง แอนโธนี่ซึ่งขี่บิ๊กไบค์ตามมาเห็นดังนั้นก็รีบโทรฯ แจ้งตำรวจ (พลเมืองดีกำลังจะโทรฯ แจ้ง แต่แอนโธนี่แย่งโทรศัพท์มาแจ้งพิกัดและอาการผู้บาดเจ็บอย่างละเอียดแทน) หลังจากนั้นเขาก็เดินไปดูแมสเซ็นเจอร์ที่กำลังนอนจมกองเลือด แมสเซ็นเจอร์ซึ่งมีอาการชักพยายามยื่นมือไปหาแอนโธนี่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แอนโธนี่กลับยื่นมือลงไปควานหาเทปในตัวของแมสเซ็นเจอร์ พอหาเจอแล้วเขาก็ลุกขึ้นทันที แมสเซ็นเจอร์ดึงมือแอนโธนี่เอาไว้พลางจ้องมองเขาแล้วส่ายหน้าด้วยสายตาวิงวอน (ขอร้องว่าอย่าทิ้งตนไป) ไม่นานแมสเซ็นเจอร์คนดังกล่าวก็หมดสติ มือที่คว้าแอนโธนี่เอาไว้จึงหลุดร่วงลงพื้นพร้อมแหวนทองนำโชคที่นิ้วก้อยของแอนโธนี่ แอนโธนี่จะเก็บแหวนแต่เก็บไม่ทันจึงได้แต่มองแหวนคู่กายกลิ้งตกลงไปในท่อ แม้จะเป็นของรักของหวงแต่แอนโธนี่ไม่มีเวลามานั่งเสียดาย เพราะเขามีภารกิจอันยิ่งใหญ่รออยู่ตรงหน้าและเวลาก็เหลือน้อยเต็มที
โกอึนแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นว่าแอนโธนี่จะทิ้งคนเจ็บเพื่อนำเทปไปส่ง เธอพยายามขวางและแย้งว่าขืนปล่อยคนเจ็บไว้อย่างนี้เขาอาจตายได้ หลังถูกโกอึนประณามว่าเห็นละครสำคัญกว่าชีวิตคน แอนโธนี่จึงตะคอกใส่เธอว่า ถ้าตนอยู่แล้วจะช่วยอะไรได้ หากโกอึนคิดที่จะอยู่วงการนี้เธอต้องยอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อละคร... เวลา 22.33 นาที (ละครออกอากาศไปได้ 33 นาทีแล้ว) เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของสถานีเอสต่างยังคงรอเทปด้วยความวิตกกังวล ซองโจพยายามโทรฯ ตามแอนโธนี่แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ผอ.มูนจึงโวยลั่นว่านี่ไม่ใช่ละครตอนปกติแต่เป็นตอนจบ แล้วจะไม่มีฉากจบได้อย่างไร
ในที่สุด แอนโธนี่ก็พาโกอึนมาที่สถานีเอสได้อย่างปลอดภัย ด้วยความที่ต้องแข่งกับเวลาเขาจึงควบบิ๊กไบค์เข้าไปในตึกและจอดรถบริเวณหน้าลิฟต์ พอเห็นว่าลิฟต์ยังไม่ลงมาสักตัวแอนโธนี่ก็รีบวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟโดยมีโกอึนซึ่งยังคงสวมหมวกกันน็อควิ่งตามไปติดๆ (ขณะนั้นเป็นเวลา 22.50 น.) พอไปถึงห้องตัดต่อเจ้าหน้าที่ (ซึ่งยืนรอหน้าห้องด้วยความร้อนใจ) ก็รีบลงมือตัดต่อทันที (อีก 5 นาที 20 วินาที จะถึงเวลาออกอากาศฉากจบ) เมื่อเห็นว่าเรตติ้งคนดูละครแรงรักแรงแค้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผอ.มูนจึงถามด้วยความกังวลว่าเหลือเวลาอีกกี่นาที อุนฮยองตอบว่า 2 นาที 50 วินาที
ในที่สุดฉากจบก็ถูกตัดต่อเรียบร้อย แอนโธนี่จึงรีบคว้าเทปแล้ววิ่งไปที่ห้องควบคุม ในตอนนั้นเหลือเวลาอีกเพียง 15 วินาทีจะถึงเวลาออกอากาศฉากสุดท้าย แต่แอนโธนี่ก็นำเทปไปส่งได้ทันแบบฉิวเฉียดก่อนถึงเวลาออกอากาศเพียง 4 วินาที (ในเวลาเดียวกันนั้น คณะแพทย์กำลังยื้อชีวิตแมสเซ็นเจอร์ด้วยเครื่องช็อตหัวใจ) เมื่อถึงเวลา 23.05 น. ละครที่ออกอากาศทางสถานีคู่แข่งต่างจบลงแล้ว คงมีเพียงละครแรงรักแรงแค้นของช่องเอสที่กำลังออกอากาศฉากสุดท้าย และนั่นก็ทำให้เรตติ้งคนดูพุ่งทะลุ 30% ตามที่แอนโธนี่คาดการณ์ไว้จริงๆ (ในขณะที่ทุกคนต่างพากันดีใจที่ละครแรงรักแรงแค้นทำเรตติ้งเหนือละครของช่องคู่แข่ง ร่างอันไร้วิญญาณของแมสเซ็นเจอร์ก็ถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคลุมด้วยผ้าขาว)
"จู ดงซอก" (ผู้ช่วยและคนขับรถของแอนโธนี่) พาแอนโธนี่ไปร่วมพิธีไว้อาลัยมารดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและวัฒนธรรม พอเห็นว่ามีแขกเหรื่อและผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการโทรทัศน์มาร่วมงานมากมาย ดงซอกก็เปรยว่า "เขาว่า...เวลาหมานายกฯ ตาย จะมีแต่คนร่วมแสดงความเสียใจ แต่พอถึงคราวนายกฯ ตายบ้าง กลับไม่มีใครสนใจใยดี" (หมายถึงตอนที่ยังมียศศักดิ์ผู้คนต่างพากันล้อมหน้าล้อมหลังเพราะหวังผลประโยชน์ แต่พอเสื่อมยศหรือหมดประโยชน์ก็ไร้ซึ่งคนเหลียวแล) แอนโธนี่จึงถามดงซอกว่าเขาเปรียบแม่รัฐมนตรีเป็นหมางั้นหรือ ก่อนชี้ว่าหมาตัวจริงคือพวกที่กำลังยืนอออยู่หน้าหลุมศพ พวกนั้นล้วนเป็นหมาชั้นต่ำที่ได้กลิ่นอาหารในงานปาร์ตี้จึงมาเพื่อขอเศษอาหาร... จินวานเห็นแอนโธนี่เพิ่งมาถึงเลยรีบแจ้งข่าวร้ายว่าแมสเซ็นเจอร์เสียชีวิตแล้ว
โกอึนตั้งใจว่าจะไปงานศพของแมสเซ็นเจอร์ แต่พอไปถึงงานศพอันเงียบเหงาเธอกลับไม่กล้าเข้าไปข้างใน เพราะในตอนนั้นภรรยาและลูกสาวของผู้ตายกำลังร้องไห้ระงม โกอึนเห็นดังนั้นจึงอดนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่แม่ของเธอร่ำไห้ในงานศพพ่อไม่ได้ แม่ของเธอและภรรยาของแมสเซ็นเจอร์เหมือนกันตรงที่ทั้งคู่ต่างรู้สึกโกรธแค้นและโยนความผิดให้ยานพาหนะ (ซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากิน) ที่พาคนรักและเสาหลักของบ้านไปตาย (พ่อโกอึนเสียชีวิตขณะออกไปล่องเรือหาปลา) โกอึนไม่กล้าสู้หน้าครอบครัวแมสเซ็นเจอร์จึงได้แต่ก้มศีรษะคำนับรูปผู้ตายอยู่ทางด้านนอกแล้วเดินจากไปเงียบๆ
หลังกล่าวแสดงความเสียใจกับรัฐมนตรีแล้ว แอนโธนี่ก็แวะทักทายเหล่าผู้อำนวยการฝ่ายละคร (ทั้งจากช่องเค ช่องเอ็ม รวมทั้ง ผอ.มูน จากช่องเอส) เวลาอยู่ต่อหน้าแอนโธนี่เหล่าผอ.ต่างกล่าวชื่นชมที่เขาทำละครแล้วประสบความสำเร็จ ทั้งยังเสแสร้งแกล้งทำเป็นอยากร่วมงานและคบหาสมาคมด้วย แต่แอนโธนี่รู้ดีว่าทุกคนในที่นี้ล้วนเกลียดขี้หน้าตนและรอกระทืบซ้ำในวันที่ตนล้ม
โกอึนแวะไปที่ร้านขายปลาย่างของ "ปาร์ค คังจา" ผู้เป็นแม่และขออู้งานหนึ่งวัน โดยบอกว่าคืนนี้เธอต้องเตรียมบทละครให้บริษัทโปร ดักชั่น หลังพยายามโทรติดต่อนักเขียนจองแต่ยังคงติดต่อไม่ได้ โกอึนเลยฝากข้อความเสียงเพื่อสอบถามอาการบาดเจ็บ (แอนโธนี่หลอกเธอว่านักเขียนจองประสบอุบัติเหตุ) ทั้งยังขอบคุณนักเขียนจองที่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงฝีมือในฐานะนักเขียนบทละครเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นโกอึนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำบทละครเรื่อง "อรุณสวัสดิ์ยองซอง" ตลอดทั้งคืน
คืนนั้นแอนโธนี่แวะไปร่วมงานศพของแมสเซ็นเจอร์ หลังเคารพรูปผู้ตายแล้วเขาก็เข้ามาคำนับภรรยาและพี่ชายของแมสเซ็นเจอร์ พี่ชายแมสเซ็นเจอร์สงสัยว่าแอนโธนี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับน้องชายตน แอนโธนี่จึงบอกตามตรงว่าตนอยู่ในที่เกิดเหตุกับผู้ตาย ภรรยาแมสเซ็นเจอร์ได้ยินดังนั้นจึงก้มศีรษะขอบคุณแอนโธนี่ที่ช่วยโทรแจ้งตำรวจ แอนโธนี่กล่าวว่านอกจากจะโทรฯ แจ้งตำรวจแล้ว ตนยังเป็นคนว่าจ้างผู้ตายให้ไปส่งของครั้งสุดท้ายอีกด้วย พอรู้ว่าแอนโธนี่นำเงินก้อนโตมาล่อให้น้องชายตนทำภารกิจเสี่ยงตาย พี่ชายแมสเซ็นเจอร์ก็กระชากเสื้อแอนโธนี่ด้วยความโกรธแค้นพลางถามว่าเขาฆ่าน้องตนแล้วยังมีหน้ามาเหยียบที่นี่ทำไม แอนโธนี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลดว่าตนต้องการแจ้งสาเหตุการตายที่แท้จริงให้ครอบครัวผู้ตายทราบ หลังจากนั้นเขาก็มอบซองเงินให้ภรรยาแมสเซ็นเจอร์ด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่เธอไม่ยอมรับและปัดซองทิ้งด้วยความโกรธ
จินวานไม่เข้าใจว่าทำไมแอนโธนี่ถึงมอบเงินให้ครอบครัวแมสเซ็นเจอร์เป็นจำนวนมาก เขาบอกว่าตนเองก็รู้สึกเสียใจที่แมสเซ็นเจอร์ตายแต่อดเสียดายเงินแทนไม่ได้ เพราะเงินนั่นมาจากบัญชีส่วนตัวของแอนโธนี่ แถมยังไม่มีกฏหมายข้อใดระบุให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญผู้ตายเป็นคนตัดสินใจรับงานนี้ด้วยตนเอง เขาจึงคิดว่าการที่แอนโธนี่ทำเช่นนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผล แอนโธนี่จึงสวนกลับว่า มีคนตายขณะทำงานให้ละครของตนและตนก็เป็นคนรับผิดชอบละครเรื่องนี้ ยังมีเหตุผลอื่นที่สำคัญกว่านี้อีกไหม เมื่อเห็นว่าจินวานแสดงทีท่าเป็นห่วง แอนโธนี่จึงบอกว่า ตนไม่เป็นไร ละครจบแล้ว นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้...พอเริ่มทำละครเรื่องใหม่ ตนจะกลับไปเป็นไอ้ตัวแสบอีกครั้ง
หลังแอนโธนี่ออกไปแล้ว ลูกสาวตัวน้อยของแมสเซ็นเจอร์ก็หยิบซองเงินที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาดูก่อนนำไปยื่นให้ลุงกับแม่ พี่ชายแมสเซ็นเจอร์เห็นจำนวนเงินในเช็คสูงถึง 100 ล้านวอน (กว่า 3 ล้านบาท) ก็ตกตะลึงตาค้าง คืนนั้นแอนโธนี่นั่งดูทีวี 6 จอตามลำพังอย่างหงอยเหงาภายในเพนท์เฮ้าส์สุดหรู เมื่อเขาเดินไปดูวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ผนังกระจกก็เห็นข้อความภาษาอังกฤษ "THE WORLD IS YOURS" บนจอโฆษณาของตึกข้างๆ (ภายหลังเขาได้ตั้งบริษัทเล็กๆ แห่งใหม่ชื่อ "เวิลด์ โปรดักชั่นส์")
หลังเตรียมบทละครมาตลอดทั้งคืน โกอึนก็นำบทละครไปที่บริษัทเชกุกในวันรุ่งขึ้นตามที่แอนโธนี่บอก แต่แอนโธนี่กลับมีสีหน้าแปลกใจเมื่อพบเธอรออยู่ในห้องทำงาน โกอึนเตือนว่าเขาเป็นคนบอกให้เธอนำบทละครมาให้ดู จากนั้นก็เล่าว่าเธอทุ่มเทแรงกายแรงใจให้บทละครเรื่องนี้มานานสามปี ละครของเธอเป็นละครย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ มีทั้งหมด 20 ตอน เธอเขียนเรื่องย่อและบทละครถึงตอนที่ 4 แล้ว แอนโธนี่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่สนใจงานของเธอ ซ้ำยังไล่ทางอ้อมโดยก้มหน้าก้มตามองเอกสารพลางบอกให้เธอทิ้งบทเอาไว้แล้วตนจะติดต่อกลับไป เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าโกอึนยังไม่ยอมไป แอนโธนี่จึงถามว่ามีอะไรอีกไหม โกอึนสงสัยว่า 'อาจารย์จอง' รักษาตัวที่โรงพยาบาลไหน แอนโธนี่ลืมว่าตนเคยโกหกอะไรเอาไว้เลยได้แต่ทำหน้างง โกอึนจึงบอกว่าตนหมายถึงนักเขียนจอง
ทันใดนั้น นักเขียนจองก็บุกเข้ามาในห้องทำงานของแอนโธนี่ด้วยความโมโหเพราะอยากรู้ว่าใครบังอาจแก้บทของเธอ พอหันมาเห็นโกอึนนักเขียนจองก็เดาออกว่าเป็นฝีมือของใคร เธอจึงกระชากคอเสื้อโกอึนด้วยความโกรธพลางกล่าวว่าตนอุตส่าห์พาเด็กบ้านนอกอย่างโกอึนมาจากปูซาน ทั้งยังสั่งสอนเลี้ยงดูมาตลอด 5 ปี แต่โกอึนกลับเอามีดมากรีดบทของตน ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหนักเขียนจองเลยจิกหัวโกอึนแล้วกระชากด้วยความแค้น โกอึนแย้งว่า มีคนบอกตนว่านักเขียนจองสั่งให้ตนทำ นักเขียนจองจึงถามว่าใครเป็นคนบอก ตนรู้จักรึเปล่า แอนโธนี่ถามหน้าตาเฉยว่า "นั่นสิ ใครบอกเหรอ"
โกอึนได้ยินดังนั้นก็แทบช็อค เธอพยายามอธิบายว่าแอนโธนี่เป็นคนบอกให้เธอทำ ทั้งยังเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นการย้ำเตือนแต่แอนโธนี่กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งยังโกหกหน้าตายว่าโกอึนไปหาตนที่โบสถ์และเสนอว่าจะช่วยแก้บทให้ โดยมีข้อแม้ว่าตนจะต้องอ่านบทของเธอ นักเขียนจองได้ยินดังนั้นก็ยิ่งแค้น พอเห็นบทวางอยู่ตรงหน้าแอนโธนี่เธอก็ปักใจเชื่อว่าโกอึนเป็นศิษย์คิดล้างครู จึงบอกว่าจะแฉพฤติกรรมของโกอึนให้โลกรู้และจะทำให้เธอไม่มีที่ยืนในวงการละคร
หลังโดนนักเขียนจองทำร้ายร่างกายจนน่วมไปทั้งตัว โกอึนก็ถามแอนโธนี่ตอนอยู่กันตามลำพังว่าทำไมถึงทำกับเธอแบบนี้ แอนโธนี่ถามกลับว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร โกอึนได้ยินแล้วถึงกับอึ้ง เธอชี้ว่าสิ่งที่ตนสั่งสมมาอย่างเหนื่อยยากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ถูกเขาทำลายลงอย่างย่อยยับในชั่วพริบตา แอนโธนี่กล่าวขอโทษ จากนั้นก็บอกว่าตนจะอ่านบทที่โกอึนนำมาให้และจะติดต่อกลับไปในภายหลังหากบทน่าสนใจ แต่โกอึนไม่หลงคารมแอนโธนี่อีกต่อไป แอนโธนี่อธิบายว่าทั้งหมดที่ตนทำคือความสุจริตใจ ความสุจริตใจที่แท้จริงในความหมายของตนคือการจับจ้องไปที่เป้าหมายซึ่งก็คือเงินและความสำเร็จเท่านั้น (ชีวิตเขาต้องการเพียงสองสิ่งนี้เลยไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นใด และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาโดยเชื่อว่าทุกสิ่งที่ตนทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายไม่ใช่เรื่องผิด หรือเรียกได้ว่า "สุจริตใจต่อเป้าหมาย") โกอึนเห็นว่าแอนโธนี่หมดทางเยียวยาจึงทำได้เพียงข่มใจแล้วเดินออกจากห้องด้วยร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำ
พอโกอึนออกไปแล้วแอนโธนี่ก็ลองหยิบบทของเธอออกมาอ่าน แต่อ่านได้ไม่นานเขาก็ส่ายหัวเพราะเห็นว่าเป็นละครย้อนยุคช่วงเกาหลีตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น แถมสไตล์ละครยังออกแนวฟิล์มนัวร์ (ตีแผ่ด้านมืดของสังคมหรือจิตใจคน ภาพที่นำเสนอจะค่อนข้างมืด) ทำให้ต้องใช้งบประมาณในการผลิตค่อนข้างสูง แอนโธนี่โยนบทของโกอึนลงบนโต๊ะแล้วบอกให้จินวาน (ซึ่งกำลังทำความสะอาดคราบกาแฟที่หกเลอะเทอะบนโต๊ะทำงานของแอนโธนี่) ช่วยเอาออกไปให้พ้นจากโต๊ะของตน จินวานเลยนำไปเก็บรวมไว้ในตู้ซึ่งเต็มไปด้วยบทที่ยังไม่ได้อ่านหรือไม่ผ่านการพิจารณา
ขณะกำลังจะเริ่มประชุมเพื่อเตรียมทำละครเรื่องใหม่ จินวานก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องพร้อมข่าวร้าย เนื่องจากมีสื่อรายงานว่าละครแรงรักแรงแค้นคือสาเหตุที่ทำให้ชายวัย 40 ปีเสียชีวิต แอนโธนี่อ่านข่าวแล้วนึกถึงแหวนคู่กายที่กลิ้งตกท่อหลังผู้ตายพยายามดึงมือตนเพื่อขอความช่วยเหลือ ทันใดนั้น โทรศัพท์ของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมก็พร้อมใจดังขึ้น แอนโธนี่จึงสั่งให้คนของตนรีบเคลียร์กับสื่อต่างๆ และหาทางยุติการเผยแพร่ข่าวโดยด่วน จากนั้นก็สั่งให้จินวานโทรฯ ไปบอกทนายปาร์คให้ช่วยเตรียมข่าวแจกสำหรับงานแถลงข่าว
ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ คอมเมนท์ต่างๆ จากชาวเน็ตและข่าวลือที่แพร่สะพัดในโลกโซเชียล ส่งผลให้แอนโธนี่ตกเป็นจำเลยสังคม ทั้งยังโดนประณามว่าเป็นคนชั่วช้าที่สั่งให้แมสเซ็นเจอร์ไปตาย บ้างก็ว่าเขาพยายามปิดข่าวด้วยการติดสินบนครอบครัวผู้ตาย แอนโธนี่พยายามใช้เส้นสายแก้ไขสถานการณ์ด้วยการขอร้องเหล่าผู้บริหารหนังสือพิมพ์ให้ช่วยถอดข่าวดังกล่าวออกและรอจนกว่าตนจัดงานแถลงข่าว แม้เขาจะเคยสนับสนุนและติดสินบนผู้บริหารสื่อต่างๆ แต่พอถึงช่วงเวลคับขันกลับไม่มีใครยอมช่วยเหลือ ทุกคนต่างคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองและอ้างว่าหากตนไม่ลงข่าวนี้คนอื่นก็ลงอยู่ดี มิหนำซ้ำยังมีนักข่าวจากสื่อต่างๆ รวมทั้งเหล่าบล็อกเกอร์มารอสัมภาษณ์เขาที่หน้าตึกเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้นก็เริ่มมีกระแสข่าวประณามบริษัทเชกุกว่าเห็นแก่เงิน ผลิตละครแบบสุกเอาเผากิน และทำทุกอย่างเพื่อไล่ล่าเรตติ้ง นอกจากนี้ เหล่าชาวเน็ตยังพากันเรียกร้องให้สถานีเอสและบริษัทเชกุกจ่ายเงินเยียวยาครอบครัวผู้ตายอีกด้วย ขณะดูรายงานข่าวทางโทรทัศน์ ประธานบริษัทเชกุกโทรฯ ไปหาแอนโธนี่และแสดงความผิดหวัง แอนโธนี่จึงบอกว่าตนกำลังจะจัดงานแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ประธานชิงตัดบทและสั่งให้เขาเข้าประชุมบอร์ดผู้บริหารในวันพรุ่งนี้ แอนโธนี่ขอเวลาแก้ปัญหาและขอให้ประธานเชื่อใจตน แต่ประธานกลับบอกว่าเขาหมดอนาคตในวงการนี้แล้ว
แอนโธนี่ทั้งช็อคและผิดหวัง เขาแย้งทั้งน้ำตาว่า ตนเป็นคนทำให้เชกุก โปรดักชั่นส์ ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในเอเชีย เพราะตนเชกุกถึงมีวันนี้ ความสำเร็จของเชกุกล้วนมาจากตนล้วนๆ เมื่อประธานกล่าวว่า "แล้วไง" แอนโธนี่จึงบอกด้วยความเคียดแค้นว่าตนจะไปด้วยตนเอง (ไม่ต้องให้ที่ประชุมลงมติขับไล่) แต่ตนจะไม่ไปคนเดียว ตนจะพานักเขียนบทในสังกัดทุกคนไปด้วย (นักเขียนเหล่านี้ล้วนประสบความสำเร็จหลังร่วมงานกับแอนโธนี่) แอนโธนี่ชี้ว่า ชัยชนะของกีฬาเบสบอลขึ้นอยู่กับคนขว้างลูก ส่วนวงการละครขึ้นอยู่กับนักเขียนบท ประธานได้ยินดังนั้นจึงบอกว่าอยากทำอะไรก็เชิญ แต่แอนโธนี่คงมีเวลาไม่มากนักเพราะตนจะไม่ยอมอยู่เฉยอย่างแน่นอน หลังวางสายประธานแล้วแอนโธนี่ก็เริ่มโทรฯ ล็อบบี้นักเขียนบทที่เคยร่วมงานกับตน
ปรากฏว่าคนที่ปล่อยข่าวเรื่องแมสเซ็นเจอร์คือคนใกล้ตัวแอนโธนี่อย่าง "โอ จินวาน" ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่เฝ้ารอให้แอนโธนี่ล้มมานาน หลังวางสายแอนโธนี่แล้วประธานก็โทรฯ มาบอกจินวานว่าตนเพิ่งไล่แอนโธนี่ออก หากจินวานดึงนักเขียนบทในสังกัดเอาไว้โดยไม่ให้แอนโธนี่แย่งไปได้แม้แต่คนเดียว ตนจะมอบตำแหน่งซีอีโอที่เดิมเป็นของแอนโธนี่ให้จินวาน เมื่อประธานถามว่าทำได้ใช่ไหม จินวานจึงรับปากอย่างมั่นใจว่าตนทำได้อย่างแน่นอน นับตั้งแต่วินาทีนั้นสงครามแย่งชิงนักเขียนบทจึงเริ่มต้นขึ้น
จินวานสั่งเลขาของตน (เลขาคิม) ให้รีบติดต่อนักเขียนลี มีฮุน (นักเขียนบทมือหนึ่ง) ก่อนแอนโธนี่ และให้โอนทุกสายที่เลขาชเวต่อให้แอนโธนี่มาที่โต๊ะของตน ในตอนนั้นแอนโธนี่กำลังหว่านล้อมนักเขียนคิม (ซึ่งอยู่ในสายหนึ่ง) โดยบอกว่าตนจะให้ค่าจ้างมากกว่าบริษัทเชกุก 10 ล้านวอน (จาก 30 เป็น 40 ล้านวอนต่อตอน หรือตอนละกว่า 1.2 ล้านบาท) เมื่อเลขาชเวบอกว่านักเขียนปาร์ครออยู่ที่สายสอง แอนโธนี่ก็ขอให้นักเขียนคิมรอสายและลองพิจารณาดูให้ดี เลขาคิมจึงฉวยโอกาสโอนสายนักเขียนคิมไปที่ห้องของจินวาน พอรู้ว่าแอนโธนี่จะจ่ายค่าเขียนบทให้นักเขียนคิมตอนละ 40 ล้านวอน จินวานก็ขำกลิ้ง เขาบอกนักเขียนคิมว่าแอนโธนี่เพิ่งโดนไล่ออกแถมคำพูดยังเชื่อถือไม่ได้ จากนั้นก็เตือนว่านักเขียนคิมเซ็นสัญญากับบริษัทตนแล้ว ถ้าจะฉีกสัญญามีหวังโดนปรับอ่วมแน่ๆ
แอนโธนี่ (ซึ่งบอกให้เลขาของตนพยายามติดต่อนักเขียนลี และรอสายนักเขียนลีอยู่) เห็นว่านักเขียนปาร์คเป็นห่วงเรื่องค่าปรับจึงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง หากได้เม็ดเงินลงทุนแล้วตนจะรีบเคลียร์ให้ทันที จากนั้นก็ย้ำว่าตนคือ...แอนโธนี่! ด้านจินวานกล่าวกับนักเขียนคิมว่า ตนยอมรับว่าแอนโธนี่ทั้งเก่งและมีไหวพริบ แต่อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้แอนโธนี่แก้บทละครเรื่องแรงรักแรงแค้นของนักเขียนจองจนเละเทะ
แอนโธนี่บอกนักเขียนปาร์คว่าตนไม่ได้ทำบทเละตุ้มเปะ แต่ทำให้ละครแรงรักแรงแค้นมีเรตติ้งทะลุ 30% และขึ้นแท่นอันดับหนึ่งต่างหาก เขารับปากว่าจะดูแลนักเขียนปาร์คดุจนักเขียนแห่งชาติและจะเทกระเป๋าจ่ายค่าจ้างให้ตอนละ 50 ล้านวอน (กว่า 1.2 ล้านบาท) ดังนั้น จึงขอให้นักเขียนปาร์คลองคิดดูและอย่าเพิ่งวายสาย พอพักสายนักเขียนปาร์คแล้วแอนโธนี่ก็ถามเลขาชเวว่าติดต่อนักเขียนลีได้หรือยัง พอรู้ว่ายังติดต่อไม่ได้เขาก็กลับไปคุยกับนักเขียนคิมอีกครั้ง แต่นักเขียนคิมอ้างว่ายังคิดไม่ตกเลยขอเวลาคิดดูก่อน
ในที่สุด เลขาชเวก็โอนสายนักเขียนลีมาให้แอนโธนี่จนได้ แอนโธนี่กำลังจะคุยกับนักเขียนบทคนสำคัญ แต่แล้วอยู่ๆ โกอึนก็หิ้วถังบรรจุน้ำส้มเข้ามาในห้องและสาดน้ำส้มใส่แอนโธนี่ทันที (ในมือของเขายังคงถือโทรศัพท์อยู่) หลังเอาคืนแอนโธนี่แล้ว โกอึนก็ประกาศก้องว่า "ชั้น...ลี โกอึน! คนที่ถูกทำลายอนาคตในวงการนี้...เพราะคุณ!"
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรติดตามชมได้ใน "โอละพ่อ...ละครอลเวง (The King of Dramas)" ทางช่อง 7 สี
* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจากเอสบีเอส
นักแสดงนำ
คิม มยองมิน
รับบท แอนโธนี่ คิม
จอง รยอวอน
รับบท ลี โกอึน
ชเว ชีวอน
รับบท คัง ฮยอนมิน
ชอง มันชิก
รับบท โอ จินวาน
โอ จีอึน
*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา