พวกอ๊บบ๊กเริ่มสังหารทหารถี่ขึ้น พร้อมกับได้เงินมาซื้อปืนอีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่แทกิลได้ไปสมทบกับเชและวังซอน และกำลังจะไปตามล่าแทฮาที่จุดนัดพบ
ตอนที่แล้วอดีตทาสคึนอมบอกแทกิลว่า ตนคือพี่ชายต่างมารดาของแทกิล ก่อนฆ่าตัวตายเขาขอร้องให้แทกิลตัดใจจากออนยอน เพราะเธอแต่งงานกับซง แทฮาแล้ว
ขณะที่แทกิลกำลังหัวใจสลาย ความสัมพันธ์ของเฮวอนและแทฮาก็เริ่มพัฒนาขึ้น (แทกิลรู้จักเฮวอนในฐานะ 'ทาสสาวออนยอน' ส่วนแทฮารู้จักเธอในนาม 'คุณหนูคิม เฮวอน') แม้ว่าลึกๆ แล้วเฮวอนจะยังไม่ลืมแทกิล แต่เธอก็เปิดใจรับแทฮาและพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา หลังตกเป็นทาสของอดีตที่เศร้าโศกมานานนับสิบปี (เธอเข้าใจว่าแทกิลตายแล้ว)
ตอนที่ 11 นี้เริ่มต้นภายในห้องพักของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง... แทกิลซึ่งกำลังเมามายพยายามกลบเกลื่อนความทุกข์ด้วยการโม้ถึงเรื่องราวในอดีตให้ซอลฮวาฟัง ซอลฮวารู้ดีว่าแทกิลกำลังผิดหวังและเสียใจอย่างหนักจึงบอกให้เขาลืมอดีตคนรักเพราะเธอแต่งงานกับชายอื่นแล้ว เมื่อเห็นว่าแทกิลยังคงแกล้งทำเป็นเฉไฉ เธอจึงบอกให้เขาร้องไห้ออกมา แต่นักล่าทาสอันดับหนึ่งแห่งโชซอนอย่างแทกิลไม่มีวันร้องไห้หรือแสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้หญิง เขาหัวเราะแล้วย้ำว่าตัวเองคือ 'อี แทกิล' พลางระบายความเจ็บแค้นด้วยการผลักโต๊ะอาหารเต็มแรง
ซอลฮวา เห็นสภาพแทกิลแล้วรู้สึกสงสาร เธออยากให้แทกิลระบายความทุกข์ออกมาบ้าง จึงบอกว่ากลั้นน้ำตาเอาไว้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้เจ็บช้ำหนักกว่าเดิม เพราะตัวเธอเองก็เคยกลั้นน้ำตามาแล้วเหมือนกัน
แทฮาเดินเข้าไปหาเฮวอนในห้อง เขาอยากเผยความในใจกับเธอแต่พูดไม่เป็น จึงออกตัวว่าที่ผ่านมาเขาเคยอยู่แต่ในสนามรบ และต้องใช้ชีวิตท่ามกลางผู้ชาย ทำให้พูดอะไรซึ้งๆ กับผู้หญิงไม่เป็น เฮวอนตอบว่า เรื่องนี้เธอรู้ดี แต่ผู้หญิงไม่ต้องการอะไรมาก ขอเพียงผู้ชายตัดสินใจทำอะไรแล้วไม่คิดเปลี่ยนใจในภายหลังก็เท่านั้น
ขณะที่แทกิลล้มฟุบลงบนโต๊ะอาหารด้วยความเมาโดยมีสาวน้อยซอลฮวาคอยดูห่างๆ อย่างห่วงใย เฮวอนก็กำลังทำหน้าที่พี่เลี้ยงคอยดูแลองค์ชายน้อยที่นอนหนุนตักเธอบนกองฟาง หลังแทฮาและฮันซัมช่วยพระองค์ให้รอดพ้นเงื้อมมือชอลวุงและพาหนีออกจากเกาะเชจูได้สำเร็จ
แทฮาเห็นฮันซัมคุกเข่าอารักขาองค์ชายน้อยท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น จึงชวนฮันซัมให้เข้าไปหลบลมหนาวภายในห้อง (เนื่องจากองค์ชายน้อยนอนอยู่ด้านใน ฮันซัมเลยต้องคุกเข่า) แต่ฮันซัมกล่าวอย่างถ่อมตัวว่าตนไม่บังอาจพักร่วมห้องกับแทฮาซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา แม้แทฮาจะบอกว่าในช่วงเวลาแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากนัก แต่ฮันซัมยังคงยืนกรานที่จะรักษาระเบียบวินัย
แทฮาเห็นฮันซัมคุกเข่าอารักขาองค์ชายน้อยท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น จึงชวนฮันซัมให้เข้าไปหลบลมหนาวภายในห้อง (เนื่องจากองค์ชายน้อยนอนอยู่ด้านใน ฮันซัมเลยต้องคุกเข่า) แต่ฮันซัมกล่าวอย่างถ่อมตัวว่าตนไม่บังอาจพักร่วมห้องกับแทฮาซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา แม้แทฮาจะบอกว่าในช่วงเวลาแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากนัก แต่ฮันซัมยังคงยืนกรานที่จะรักษาระเบียบวินัย
เมื่อเห็นว่าฮันซัมมีสีหน้าท่าทางไม่สู้ดีนัก แทฮาจึงเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นบนเกาะเชจู ฮันซัมปฏิเสธด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าไม่มีอะไร แทฮาเลยถามต่อว่า เขาทิ้งใครเอาไว้เบื้องหลังหรือเปล่า ฮันซัมไม่ตอบตรงๆ แต่ยอมรับว่าเขารู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งได้ (เขาสัญญากับนางในพี่เลี้ยงว่าจะทำให้เธอมีความสุข) แทฮารู้สึกเห็นใจฮันซัมจึงบอกให้เขาอดทนรอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นแล้วค่อยกลับไปหาเธอ แต่ฮันซัมตอบด้วยน้ำตานองหน้าว่า เขาจะไม่กลับไปเหยียบเกาะเชจูอีกแล้ว
แทฮาเดินเข้าไปหาเฮวอนในห้อง เขาอยากเผยความในใจกับเธอแต่พูดไม่เป็น จึงออกตัวว่าที่ผ่านมาเขาเคยอยู่แต่ในสนามรบ และต้องใช้ชีวิตท่ามกลางผู้ชาย ทำให้พูดอะไรซึ้งๆ กับผู้หญิงไม่เป็น เฮวอนตอบว่า เรื่องนี้เธอรู้ดี แต่ผู้หญิงไม่ต้องการอะไรมาก ขอเพียงผู้ชายตัดสินใจทำอะไรแล้วไม่คิดเปลี่ยนใจในภายหลังก็เท่านั้น
แทฮาเอื้อมแขนไปจับมือเฮวอนแล้วพูดว่า นับจากนี้เขาจะ 'ภักดี' กับเฮวอนตลอดไป เฮวอนแหย่ทีเล่นทีจริงว่า 'ภักดี' เป็นคำที่ใช้พูดกันในหมู่ผู้ชาย ผู้หญิงไม่อยากได้ยินคำนี้ซักหน่อย แทฮาอึ้งเหมือนพยายามนึกหาคำอื่น เฮวอนเลยพูดดักคอว่าในหัวของเขาคงมีแต่คำว่า ซื่อสัตย์และภักดีใช่ไหม แทฮาพยายามแก้ตัว (แบบจริงจัง) แต่เฮวอนตัดบทด้วยการชักมือออกจากมือแทฮา แล้วบอกให้เขาไปนอนพักผ่อน เมื่อเห็นอดีตแม่ทัพแทฮาทำหน้าเก้อ เธอก็แอบยิ้มที่แกล้งเขาได้
ซอลฮวาพยายามลากตัวแทกิลที่เมามายไม่ได้สติให้นอนเข้าที่เข้าทาง โดยบอกว่าจะพาไปนอนในที่อุ่นๆ จากนั้นจึงนำผ้าห่มมาห่มให้เขา ทันใดนั้น แทกิลก็คว้าตัวซอลฮวาเข้าไปกอด ซอลฮวานึกว่าแทกิลเห็นเธอเป็นแค่ของเล่นเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ จึงพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่แทกิลบอกให้เธออยู่นิ่งๆ เพราะกอดเธอแล้วทำให้เขารู้สึกอบอุ่น เมื่อรู้ว่าแทกิลกำลังรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว ซอลฮวาจึงนอนนิ่งๆ ให้แทกิลกอดด้วยความเต็มใจ
และในคืนนั้นก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นในเมืองฮันยาง เมื่อมีชนชั้นสูงถูกฆ่าตายภายในหอนางโลมพร้อมกันถึงสองคน และผู้ที่ลงมือสังหารก็คืออดีตพรานล่าเสืออ๊บบ๊ก ซึ่งยิงเข้าที่ศีรษะของทั้งคู่อย่างแม่นยำตามใบสั่งโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหยื่อเป็นใคร ระหว่างที่มือปราบโอเร่งตามหาตัวคนร้าย โชบ๊กก็คอยดูต้นทางและช่วยอำนวยความสะดวกในการหลบหนี แถมยังนำปืนไปซ่อนไว้ในกระโปรงอีกต่างหาก
วันรุ่งขึ้น เสนาบดีแวะมาทานอาหารที่หอนางโลมตามคำเชิญของนางโลมชาน เธอรายงานเสนาบดีว่าชนชั้นสูงทั้งสองคนที่ถูกฆ่าตายเมื่อคืนนี้เป็นคนของเจ้ากรมพัคซอ (คนของเสนาบดี) ก่อนตายทั้งคู่เพิ่งกว้านซื้อเขาควายน้ำตามที่เจ้ากรมพัคสั่ง เธอจึงตั้งข้อสังเกตว่าชนชั้นสูงที่ถูกมือปืนซุ่มยิงศีรษะ (รวมพัค บยอง ที่ถูกฆ่าตายไปก่อนหน้า) ล้วนก็มีความเกี่ยวข้องกับเจ้ากรมพัคและเขาควายน้ำทั้งสิ้น และเนื่องจากเสนาบดีเป็นคนสั่งให้เจ้ากรมพัคซอกักตุนเขาควายน้ำ นางโลมชานจึงเตือนว่าสักวันภัยอาจมาถึงตัวเสนาบดีได้
แม้จะหัวเราะชอบใจที่เห็นนางโลมคนโปรดแสดงท่าทีเป็นห่วง แต่ขุนนางใหญ่อย่างเสนาบดีอี คยองชิก ที่เป็นรองเพียงพระราชา ก็อดเป็นกังวลไม่ได้เมื่อรู้ว่ามีคนพยายามขัดขวางหนทางในการสร้างอำนาจและความมั่งคั่งเพิ่ม (เสนาบดีสั่งให้พัคซอกว้านซื้อเขาควายน้ำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการนำมาผลิตเป็นคันธนูเขาสัตว์ เพราะรู้ว่าจะเป็นที่ต้องการของกองทัพในอนาคต)
ระหว่างเดินทางเฮวอนพบว่าถ้าปล่อยให้ฮันซัมอุ้มองค์ชายน้อยเอาไว้ จะเป็นจุดสนใจของผู้ที่เดินผ่านไปมา จึงบอกฮันซัมให้ส่ง 'เด็ก' มาให้เธอ ฮันซัมไม่พอใจที่เฮวอนพูดจาลบหลู่องค์ชายน้อย จึงโวยวายใส่เธอ เฮวอนถามกลับว่า ที่เขาเรียกองค์ชายน้อยเต็มยศแบบนี้ อยากให้คนอื่นได้ยินแล้วลือกันไปทั่วจนถูกตามตัวเจอใช่ไหม ฮันซัมฟังแล้วได้แต่อึ้งเพราะจำนนต่อเหตุผล แต่ยังไม่ยอมส่งตัวองค์ชายให้
เฮวอนพูดต่อว่า ถ้าเขาเที่ยวเดินอุ้มองค์ชายน้อยไปทั่วจะยิ่งเป็นจุดสังเกตและทำให้ง่ายต่อการตามรอย แต่ถ้าให้เธอเป็นคนอุ้มก็จะไม่มีใครสงสัย (หน้าที่อุ้มเด็กเป็นของผู้หญิง) ฮันซัมหันไปมองแทฮาเพื่อหาแนวร่วม แต่แทฮากลับบอกให้ฮันซัมส่งองค์ชายน้อยให้เฮวอน เขาจึงต้องทำตามอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
หลังได้ตัวองค์ชายน้อยมาแล้ว เฮวอนยังบอกฮันซัมให้เลิกเรียกแทฮาว่า 'ท่านแม่ทัพ' ต่อหน้าคนอื่น เพราะขัดกับชุดที่สวมใส่ ถ้าหากใครได้ยินเข้าอาจยิ่งรู้สึกสงสัย (เฮวอนและแทฮาแต่งตัวเป็นคู่สามีภรรยาที่อยู่ในชุดผ้าไหม ซึ่งบ่งบอกสถานะว่าเป็นชนชั้นสูง ส่วนฮันซัมสวมผ้าฝ้ายธรรมดา จึงอยู่ในสถานะผู้ติดตาม)
เมื่อโดนเฮวอนสั่งมากๆ เข้า ฮันซัมก็เริ่มไม่พอใจ จึงหันไปถามแทฮาว่า "ท่านแม่ทัพ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?" (มีสิทธิอะไรมาสั่งห้ามโน่นนี่) แทฮาย้ำ "อย่าเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพ" ฮันซัมจึงได้แต่อึกอักแล้วเรียกแทฮาอีกครั้งว่า 'พี่ใหญ่'
เมื่อโดนเฮวอนสั่งมากๆ เข้า ฮันซัมก็เริ่มไม่พอใจ จึงหันไปถามแทฮาว่า "ท่านแม่ทัพ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?" (มีสิทธิอะไรมาสั่งห้ามโน่นนี่) แทฮาย้ำ "อย่าเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพ" ฮันซัมจึงได้แต่อึกอักแล้วเรียกแทฮาอีกครั้งว่า 'พี่ใหญ่'
เมื่อเห็นว่าสายมากแล้วซอลฮวายังไม่ยอมตื่น แทกิลจึงปลุกเธอให้ลุกขึ้นแล้วตำหนิว่าเป็นสาวเป็นแซ่มานอนห้องเดียวกับเขาได้ยังไง ซอลฮวาย้อนถามว่า แล้วใครกันที่คว้าตัวเธอมากอดไว้แน่น แถมยังบอกให้นอนนิ่งๆ แต่แทกิลถามกลับหน้าตาเฉยว่า ใคร? เขาเนี่ยนะ?
ระหว่างเดินทางซอลฮวาเอาแต่บ่นว่าหิว แต่แทกิลไม่ยอมหยุดพักทานข้าวเพราะเห็นว่าสายแล้ว เขาบอกซอลฮวาว่าต้องรีบเดินทางไปสมทบกับเชและวังซอน ซอลฮวาแซวแทกิลว่า ทำยังกับไม่ได้เจอกันมานาน และถามว่า เขาคิดถึงเชและวังซอนใช่ไหม แทกิลปฏิเสธพลางเอามือลูบจมูกก่อนทำทีเป็นสั่งน้ำมูก แล้วบอกซอลฮวาว่า เขาเบื่อขี้หน้าเชและวังซอนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน จากนั้นก็เล่าให้ซอลฮวาฟังว่าเขารู้จักเช และวังซอนได้ยังไง....
* ทุกครั้งที่แทกิลต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกเวลาอยู่ต่อหน้าซอลฮวา เขามักจะเอามือลูบจมูก - ในตอนที่ 5 เขาก็เอามือลูบจมูกกลบเกลื่อน หลังหัวเราะชอบใจที่ได้ฟังซอลฮวาสีซอเลียนเสียงสัตว์
ระหว่างเดินทางซอลฮวาเอาแต่บ่นว่าหิว แต่แทกิลไม่ยอมหยุดพักทานข้าวเพราะเห็นว่าสายแล้ว เขาบอกซอลฮวาว่าต้องรีบเดินทางไปสมทบกับเชและวังซอน ซอลฮวาแซวแทกิลว่า ทำยังกับไม่ได้เจอกันมานาน และถามว่า เขาคิดถึงเชและวังซอนใช่ไหม แทกิลปฏิเสธพลางเอามือลูบจมูกก่อนทำทีเป็นสั่งน้ำมูก แล้วบอกซอลฮวาว่า เขาเบื่อขี้หน้าเชและวังซอนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน จากนั้นก็เล่าให้ซอลฮวาฟังว่าเขารู้จักเช และวังซอนได้ยังไง....
* ทุกครั้งที่แทกิลต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกเวลาอยู่ต่อหน้าซอลฮวา เขามักจะเอามือลูบจมูก - ในตอนที่ 5 เขาก็เอามือลูบจมูกกลบเกลื่อน หลังหัวเราะชอบใจที่ได้ฟังซอลฮวาสีซอเลียนเสียงสัตว์
ย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน ขณะที่วังซอนซึ่งเป็นหัวขโมยข้างถนนกำลังสอดส่ายสายตามองหาเหยื่อ เขาพบว่าเชซึ่งกำลังจะไปสอบคัดเลือกทหารมีเงินติดตัวเยอะ เลยแกล้งทำเป็นเดินชนแล้วแอบล้วงถุงเงินในอกเสื้อของเชไป
ระหว่างที่วังซอนหยิบเงินในถุงของเชขึ้นมาดู แทกิลบังเอิญผ่านมาเห็นพอดีจึงคิดรีดไถ เขาตามไปขอดูป้ายชื่อวังซอนโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กองปราบ แต่วังซอนรู้ทันเลยตรงเข้าต่อสู้แล้วกระโดดข้ามกำแพงหนีไป ถึงแม้จะหนีแทกิลได้ แต่วังซอนกลับต้องมาเผชิญหน้ากับเชที่กำลังโกรธจัด
เช แย่งเงินคืนจากวังซอนได้สำเร็จ แต่กลับถูกแทกิลแย่งไปจากมือ (แทกิลเข้าใจว่าเชกำลังชิงเงินของวังซอน ซึ่งเป็นเงินที่เขาเห็นและหมายตามาก่อน) เช ต้องการเงินของตนคืน ส่วนวังซอนที่เห็นและแย่งชิงเงินมาได้ก่อนมีหรือจะยอมให้แทกิลเชิดเงินไปต่อหน้าต่อตา เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ต้องการเงินทั้งสามคนจึงเริ่มต่อสู้กันอย่างชุลมุนเพื่อแย่งชิงถุงเงินของเช
เชขอเงินคืนจากแทกิลโดยบอกว่าจะนำไปใช้เป็นค่าสมัครสอบคัดเลือกทหาร แทกิลอ้างว่าเงินอยู่ในมือตนแล้วจึงสมควรมีเอี่ยวด้วยเช่นกัน แทกิลเสนอให้แบ่งเงินกันคนละครึ่ง และชวนให้เชมาร่วมงานด้วยโดยบอกว่าถึงมีความสามารถก็ใช่ว่าจะสอบผ่าน เชไม่ตอบรับแต่กลับหันหลังเดินจากไป แทกิลเลยตะโกนไล่หลังว่า ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ให้ไปเจอกันที่ทงแดมุนในเมืองฮันยาง แล้วเขาจะเรียกเชว่า 'แม่ทัพ'
น้องเล็กวังซอนซึ่งนอนกองอยู่บนพื้น ได้ยินแทกิลชวนเชให้มาร่วมงานด้วยก็รู้สึกสนใจ เขาลุกขึ้นมายอมรับแบบแมนๆ กับแทกิลว่าตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และจะขอเรียกแทกิลว่าพี่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แทกิลจึงรับวังซอนเข้าร่วมแก๊งค์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
พอรู้ประวัติความเป็นมาของวังซอนแล้ว ซอลฮวาก็เอ่ยขึ้นว่า นึกแล้วเชียวว่าวังซอนต้องเป็น 'คนไม่ดี' แทกิลย้อนถามว่า อย่างนั้นเหรอที่เรียกว่า 'คนไม่ดี' วังซอนก็แค่หันหลังให้กฏหมาย แล้วกฏหมายที่มีอยู่ ก็ใช่ว่าจะน่าเคารพหรือน่าปฏิบัติตามทั้งหมดเสียเมื่อไหร่... ซอลฮวาไม่เข้าใจความหมายลึกๆ ที่แทกิลพูดจึงบอกว่า ถ้าใครทำผิดกฏหมายก็ถือว่าคนนั้นเป็น 'คนไม่ดี'
* แทกิล ชี้ให้เห็นว่าในยุคนั้นผู้ปกครอง (พระราชาและเหล่าขุนนาง) ไม่ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ประชาชนจึงไม่เชื่อถือศรัทธาชนชั้นปกครองและกฏหมายที่พวกเขาเป็นคนกำหนดขึ้น ที่สำคัญ แทกิลรู้สึกว่ากฏหมายและมิตรภาพเป็นคนละเรื่องกัน ถึงจะทำผิดกฏหมายแต่ถ้ารักและจริงใจต่อเพื่อนพ้องก็ถือว่าเป็นคนดีแล้วในสายตาเขา
ขณะเดียวกัน วังซอน ซึ่งว่างเว้นจากการลักลอบหลับนอนกับภรรยาเศรษฐี (ที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านตามลำพัง) มานาน เริ่มเบื่อกับการนอนค้างตามโรงเตี๊ยมซอมซ่อ เลยชวนเชให้ไปนอนพักผ่อนแบบสบายๆ ในบ้านเศรษฐี เพื่อที่เขาจะได้ร่วมหลับนอนกับนายหญิงเจ้าของบ้านที่กำลังอารมณ์เปลี่ยว
เชบอกให้วังซอนเลิกหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวแล้วรีบเดินทางต่อ แต่วังซอนรับรองว่าจะไม่มีเรื่องเดือดร้อน เพราะผู้หญิงจะเป็นฝ่ายยินยอมเขาแต่โดยดี เมื่อเห็นว่าเชไม่เชื่อ วังซอนก็เล่าแผนลวงหญิงให้เขาฟัง หลังจากนั้นก็พาเชไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีเพียงทาสสาวและนายหญิงอยู่กันตามลำพัง (สามีเธอออกไปทำธุระข้างนอกพร้อมผู้ติดตาม)
อีกด้านหนึ่งในเมืองฮันยาง สองสาวโรงเตี๊ยม (จูโมใหญ่กับจูโมน้อย) ก็กำลังพูดถึงเชด้วยความคิดถึง แต่แล้วอยู่ๆ มือปราบโอก็นำกำลังบุกเข้ามาลากตัวทั้งคู่ออกจากห้อง สองสาวถูกนำตัวไปที่กองปราบเพื่อให้ยอมรับสารภาพว่า คนดูแลม้ามีความเกี่ยวข้องกับทาสหลบหนีซง แทฮา (หลังมีการลอบฆ่าชนชั้นสูง ผู้รักษากฏหมายอย่างมือปราบโอก็ถูกกดดันให้เร่งตามหาตัวคนร้าย เขาเลยต้องหาแพะมารับบาปเพื่อเอาตัวรอด)
ทั้งๆ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี แต่มือปราบโอกลับลงมือทำร้ายคนดูแลม้า เพื่อบังคับ (ใส่ร้าย) ให้เขายอมรับสารภาพว่ามีส่วนช่วยให้แทฮาหลบหนี จูโมใหญ่จำได้ว่าแทฮาเคยนำม้ามาให้เขารักษาอาการท้องร่วง แต่เธอไม่ยอมพูด ส่วนจูโมน้อยอึนเจ ยอมรับว่าเธอเคยเห็นแทฮาทิ้งม้าไว้ให้เขาดูแล เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ มือปราบโอก็ปล่อยตัวสองสาวไป
แม้จะนอนบนฟูกในห้องที่สะอาดและอบอุ่น แต่เชกลับนอนไม่หลับ เขามีสีหน้าครุ่นคิดและนอนพลิกตัวไปมา ทันใดนั้น วังซอนก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องแล้วบอกให้เชรีบหนี เพราะสามีของนายหญิงกลับมาถึงบ้านแล้ว
คืนเดียวกันนั้น อ๊บบ๊กได้เริ่มสอนทาสร่วมขบวนการรู้จักวิธียิงปืน โดยไม่รู้ว่าโชบ๊กแอบฟังแล้วทำท่าทางตามที่เขาสอนอยู่ทางด้านนอก ระหว่างเดินทางกลับบ้าน โชบ๊กขอให้อ๊บบ๊กสอนวิธียิงปืนให้เธอบ้าง แต่อ๊บบ๊กปฏิเสธโดยอ้างว่าอันตรายเกินไป โชบ๊กแย้งว่าในเมื่อแอบซุ่มยิงอยู่ห่างๆ แล้วจะอันตรายได้อย่างไร อ๊บบกตอบ ไม่ว่าจะยิงใกล้หรือไกล ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ก็เป็นเรื่องที่อันตรายทั้งนั้น โชบ๊กเถียงกลับว่า ถึงจะใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
เมื่อเห็นว่าโชบ๊กมองงานที่เขาทำ (ฆ่าคน) เป็นเรื่องปกติธรรมดา อ๊บบ๊กจึงบอกให้เธอเลิกเอาตัวเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ และแนะนำให้เธอมองหาสามีดีๆ สักคน... โชบ๊ก ซึ่งหลงรักอ๊บบ๊กมานานได้ยินแล้วอารมณ์เสีย เธอตอบกึ่งประชดว่า ใบหน้าอย่างนี้ (ถูกสักคำว่าทาส) จะมีผู้ชายดีๆ ที่ไหนอยากแต่งงานกับเธอ!
ในที่สุด แทกิลก็ได้พบกับเชและวังซอน ทั้งหมดตรงเข้าหากันด้วยความดีใจพลางถามไถ่ทุกข์สุขซึ่งกันและกันด้วยความเป็นห่วง ทำให้เราได้รู้ว่านักล่าทาสทั้งสามมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและรักกันเหมือนพี่น้อง ที่สำคัญ ทั้งสามคนยอมรับซอลฮวาในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวนักล่าทาสแล้ว
ส่วนทางด้านเฮวอนก็ขอเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจพิทักษ์องค์ชายน้อย ด้วยการอุ้มองค์ชายเอาไว้ตลอดการเดินทาง แทฮาเห็นเฮวอนอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นเขาด้วยความยากลำบาก จึงบอกเฮวอนให้ส่งตัวองค์ชายมาให้เขา แต่เฮวอนปฏิเสธเพราะต้องการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระของแทฮาบ้าง
ขณะเดินทาง เชถามแทกิลว่าได้เจอออนยอนไหม แทกิลตอบว่าต้องตามจับแทฮาให้ได้ก่อน เชส่งจดหมายลับที่อิมยองโฮเขียนด้วยหมึกล่องหนให้แทกิลดู แทกิลพยายามตีความประโยคปริศนา จนรู้ว่าแทฮากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบซึ่งเป็นที่ตั้งของ 'พระนอน' และพระนอนที่ว่า ก็คือรูปปั้นหินพระโพธิสัตว์ (พระศรีอริยเมตไตรย) อันเลื่องชื่อและมีเพียงหนึ่งเดียวในโชซอน ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดพุทธ 'อุนจู'
เชบอกว่าถ้ารีบออก 'เดิน' ทาง อาจไปถึงที่นั่นได้ภายในวันครึ่ง เมื่อเห็นแทกิลมีทีท่าร้อนใจผิดปกติ เชก็ดึงตัวแทกิลไว้แล้วถามว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ แทกิลไม่อยากเสียเวลาจึงทำร้ายเชแล้วรีบวิ่งออกไปทันที เมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีจุดตรวจของทหาร (และมีม้า 4 ตัวพอดี) แทกิลก็วิ่งเข้าหาและตรงเข้าต่อสู้จนทหารทั้งหมดร่วงลงไปนอนกับพื้น จากนั้นก็ขโมยม้าหนีไป
เช วังซอน และซอลฮวา แทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นแทกิลกล้าบุกเข้าไปทำร้ายทหาร แถมยังขโมยม้าของทางการ แต่พอซอลฮวาบอกว่า ออนยอนแต่งงานแล้ว และสามีของเธอก็มีชื่อว่า 'ซง แทฮา' ทั้งเชและวังซอนต่างก็วิ่งตรงไปยังม้าที่เหลืออยู่ทันที
ในที่สุด แทฮาและฮันซัม ก็ได้พบกับเพื่อนทหารร่วมอุดมการณ์ที่จุดนัดพบภายในวัดอุนจู ฮันซัมตรงเข้าไปทักทายเพื่อนๆ ด้วยความดีใจ แทฮายืนมองลูกน้องของตนอยู่ห่างๆ เขาน้ำตาคลอด้วยความดีใจที่เห็นทุกคนกลับมาพบกันอย่างปลอดภัย
ระหว่างนั้น นักล่าทาสทั้งสามและสาวน้อยซอลฮวา ก็กำลังควบม้าตรงมาที่วัดอุนจู เมื่อเห็นว่าอีกไม่ถึงครึ่งวันก็จะถึงจุดหมาย เชจึงบอกให้ทุกคนทิ้งม้าและกลบเกลื่อนร่องรอย เพื่อไม่ให้ถูกจับโทษฐานที่ขโมยม้าของทางการ
ระหว่างนั้น นักล่าทาสทั้งสามและสาวน้อยซอลฮวา ก็กำลังควบม้าตรงมาที่วัดอุนจู เมื่อเห็นว่าอีกไม่ถึงครึ่งวันก็จะถึงจุดหมาย เชจึงบอกให้ทุกคนทิ้งม้าและกลบเกลื่อนร่องรอย เพื่อไม่ให้ถูกจับโทษฐานที่ขโมยม้าของทางการ
หลังทักทายกันแล้ว ลูกน้องของแทฮาที่เพิ่งเดินทางมาถึงก็พร้อมใจกันปลดผ้าพันศีรษะออก ทุกคนต่างก็มีรอยสักคำว่า "ทาส" บนหน้าผากเช่นเดียวกับแทฮา แทฮาเดินไปหาลูกน้องของตนด้วยน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นก็เอื้อมมือไปจับรอยสักบนหน้าผากของลูกน้องคนหนึ่งด้วยความเจ็บปวดใจ ทุกคนต่างยอมอุทิศชีวิตของตนเพื่อพระโอรสองค์เล็กของอดีตรัชทายาท และต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสูเพื่อรอคอยวันนี้
ขณะนั้น แทกิล เช และวังซอน ก็ตามมาจนถึงเชิงเขา ทั้งสามคนตั้งเข็มทิศและวางแผนจับกุมก่อนที่จะกระจายกำลังขึ้นไปตามหาแทฮาที่วัดซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา ก่อนแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่เชเตือนสติแทกิลด้วยความเป็นห่วงว่า ออนยอนอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นห้ามพลาด (อย่าลืมแผน) และห้ามลุยเดี่ยวโดยเด็ดขาด แทกิลไม่รับปากและไม่สัญญา เขาบอกเพียงว่า รู้แล้วๆ คนอย่างเขาไม่มีวันทำเสียแผน เพราะเขาคือ...อี แทกิล! (เช ได้ยินแล้วทำท่าหนักใจ เพราะแทกิลไม่ได้เป็นเพียงนักท่าลาสอันดับหนึ่งของโชซอนเท่านั้น แต่ยังเป็น อี แทกิล ที่โหยหาคนรักมานานนับสิบปีด้วย)
ระหว่างนั้นแทฮาและคนของเขา พร้อมใจกันคุกเข่าทำความเคารพองค์ชายน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเฮวอน เด็กน้อยคนนี้ คือ เหตุผลที่ทำให้ชายชาติทหารอย่างพวกเขายอมรับข้อกล่าวหาว่าเป็นขโมยเพื่อรักษาชีวิต ซ้ำยังโดนหยามเกียรติด้วยการถูกตราหน้าว่าเป็นทาส และไม่ว่าจะต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายอีกสักแค่ไหน พวกเขาก็พร้อมที่จะสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องเจ้านายองค์น้อยด้วยความจงรักภักดี
และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น แทกิลก็กำลังวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อไล่ล่าแทฮาในท่าพร้อมโจมตี พลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเขาและทาสสาวออนยอน
* ภาพ captures / ละครเคบีเอส
สุดยอดดด!!
ตอบลบ