วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลิขิตรัก ตะวันและจันทรา (The Moon That Embraces the Sun) ตอนที่ 1



ชื่อตอน "สองตะวัน หนึ่งจันทรา"

เนื้อหา 

ละครเรื่องนี้เปิดฉากด้วยคำพูดของพระพันปี "ชองฮี" (รับบทโดย "คิม ยองเอ") ที่หยิบยกเรื่องราวในตำนานมาเล่าเป็นเชิงเปรียบเทียบให้ "ยูน เทฮยอง" (รับบทโดย "คิม อึนซู") ฟัง โดยกล่าวว่า ครั้งหนึ่งโลกเราเคยมีพระอาทิตย์และพระจันทร์อย่างละ 2 ดวง ทำให้กลางวันร้อนจัด ส่วนกลางคืนก็หนาวเหน็บเกินทน สิ่งมีชีวิตทั้งปวงจึงต่างพากันเดือดร้อนทุกข์ยากถึงขั้นเกิดกลียุค  และแล้วก็มีวีรบุรุษผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เขาเล็งธนูขึ้นฟ้าแล้วยิงพระอาทิตย์และพระจันทร์ตกลงมาอย่างละหนึ่งดวง โลกจึงสงบสุขนับแต่นั้นมา

* พระพันปีที่ว่าเป็นพระมารดาของพระเจ้าซองโจ ซึ่งเป็นพระราชาองค์ปัจจุบันของราชวงศ์โชซอน (เนื่องจากละครเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยาย เรื่องราวและตัวละครทั้งหมดจึงถูกสมมุติขึ้นทั้งสิ้น) 



พระพันปีต้องการบอก ยูน เทฮยอง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานว่า ในช่วงเวลาคับขันหรือเกิดเหตุเภทภัย จำเป็นต้องมีวีรบุรุษผู้กล้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ แต่พระองค์กลัวว่าบัลลังก์ของพระโอรสจะถูกสั่นคลอนเสียก่อน จึงไม่อาจทนรอจนกว่าจะมีวีรบุรุษมาปรากฏกาย ดังนั้น ยูน เทฮยอง จึงต้องแสดงความจงรักภักดีด้วยการเป็นวีรบุรุษเสียเอง เพราะท้องฟ้ามีพระอาทิตย์ได้เพียงดวงเดียว เช่นเดียวกับบัลลังก์ของพระราชาที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

กลางดึกคืนหนึ่ง กลุ่มนักฆ่าชุดดำพากันบุกเข้าไปภายในบ้านหลังใหญ่ พร้อมทั้งจัดฉากสร้างหลักฐานเท็จด้วยการนำยันต์สีเหลืองไปติดไว้ที่เสาบ้าน และฝังเอกสารบางอย่างเอาไว้ใต้ดิน หนึ่งในนั้นตรงไปที่ห้องนอนของเหยื่อเพื่อลอบสังหาร แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ทันใดนั้น ก็มีดาบจ่อเข้าที่คอของนักฆ่า และผู้ที่ถือดาบก็คือ "องค์ชายอึยซอง" พระอนุชาต่างมารดาของพระเจ้าซองโจ (ซึ่งเป็นพระอาทิตย์ดวงที่สองที่พระพันปีต้องการกำจัด ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็ตาม)



แม้เป็นฝ่ายได้เปรียบในตอนแรก แต่ไม่นานองค์ชายอึยซองก็ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล่ำหลังถูกมีดสั้นของนักฆ่าปักเข้าที่ไหล่ ในเวลาเดียวกันนั้น ธิดาเทพนามว่า "อารี" ก็สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เธอรู้ว่ากำลังจะมีเหตุนองเลือด  และองค์ชายก็ตกอยู่ในอันตราย จึงคิดที่จะออกไปดูด้วยความเป็นห่วง โดยไม่สนใจคำเตือนของเพื่อนรักซึ่งเป็นธิดาเทพเช่นกัน

* ละครเรื่องนี้เรียก "ตำหนักเทพ" ว่า "ซองซูชอง"  ซึ่งมีสถานะเป็นกรมหนึ่งในวังหลวง (ทำหน้าที่คล้ายกรมโหรสมัยโบราณในบ้านเรา แต่โหรหลวงและผู้ประกอบพิธีกรรมจะเป็นหญิงทั้งหมด) จึงขอใช้คำว่า "ซองซูชอง"  แทน "ตำหนักเทพ"  ในที่นี้

ระหว่างนั้น องค์ชายอึยซองพยายามยื้อชีวิตด้วยการต่อสู้กับเหล่านักฆ่าแบบสี่รุมหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกฟันเข้าที่กลางหลังจนทรุดลงไปกองกับพื้น นักฆ่าคนหนึ่งเงื้อดาบขึ้นหมายสังหารองค์ชายอึยซอง แต่แล้วก็มีเสียงชายคนหนึ่งสั่งห้ามเอาไว้ และเขาคนนั้นก็คือ "ใต้เท้ายูน" หรือ "ยูน เทฮยอง" นั่นเอง

องค์ชายอึยซองทั้งโกรธและแค้นใจ เพราะก่อนหน้านี้ใต้เท้ายูนเคยมาพบองค์ชายที่ตำหนักนอกวังหลายครั้ง เพื่อขอให้พระองค์ช่วยหนุนหลังโดยหวังที่จะมีอำนาจและได้เป็นใหญ่ในราชสำนัก ด้วยรู้ว่าพระราชาทรงไว้วางใจองค์ชายอึยซองมาก แต่องค์ชายไม่ยอมสนับสนุน ทั้งยังดูถูกว่าเขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ใต้เท้ายูนจึงหันไปพึ่งใบบุญพระพันปี


องค์ชายอึยซองถามว่าที่เขาทำเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการเปลี่ยนแผนหรือหาคนหนุนหลังได้แล้วกันแน่ ใต้เท้ายูนตอบว่าเขาคิดที่จะให้พระราชาเป็นผู้หนุนหลังนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป   องค์ชายอึยซองกล่าวว่าพระเชษฐาของพระองค์ (พระราชา) ไม่ใช่คนหูเบา จึงไม่มีวันหลงเชื่อคำกล่าวเพ็ดทูลของใต้เท้ายูนอย่างแน่นอน  (ที่ผ่านมาองค์ชายอึยซองเปรียบเสมือนที่ปรึกษาของพระราชา หากพูดหรือให้ความเห็นสิ่งใด พระราชามักเห็นด้วยเสมอ)  ใต้เท้ายูนยิ้มเยาะแล้วบอกว่า องค์ชายไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชาอีกแล้ว เพราะเขาจะเป็นคนส่งองค์ชายขึ้นสวรรค์ด้วยตัวเอง

ก่อนลงมือสังหาร ใต้เท้ายูนบอกองค์ชายอึยซองว่า พระสหายคนสนิทกำลังรอพระองค์อยู่บนสรวงสรรค์ พอรู้ว่าคนสนิทตกเป็นเป้าสังหารด้วยเช่นกัน องค์ชายอึยซอก็คว้าดาบแล้วพยายามลุกขึ้นหมายชำระแค้น แต่แล้วก็ถูกดาบของใต้เท้ายูนฟันเข้าที่คออย่างจัง


อารี ตกตะลึงตาค้างเมื่อเห็นองค์ชายถูกสังหารต่อหน้าอย่างเหี้ยมโหด ใต้เท้ายูนรู้สึกได้ว่ามีคนแอบดูจึงหันหลังกลับไปมอง พอเห็นอารียืนช็อคอยู่ทางด้านหลังกำแพง ใต้เท้ายูนก็สั่งให้ลูกสมุนออกไล่ล่า อารีวิ่งหนีกลุ่มนักฆ่าเข้าไปในป่า แต่แล้วกลับพบว่าตัวเองกำลังจนมุม กลุ่มนักฆ่าเห็นว่าอารีหมดทางหนีจึงพากันถือดาบเดินเข้าหาอย่างใจเย็น อารีรู้สึกหวาดกลัวจึงลืมตัวถอยหนีทำให้พลัดตกหน้าผาในที่สุด 

เหล่านักฆ่าพากันออกตามหาร่างของอารี แต่ก็พบเพียงโบว์ผูกผมสีแดงที่บ่งบอกว่าเป็นคนของ "ซองซูชอง"  หัวหน้าทีมนักฆ่าจึงสั่งให้ลูกน้องตามล่าอารีต่อไป คืนนั้นหัวหน้าธิดาเทพเรียกสมาชิกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อสำรวจว่ามีใครหายตัวไปหรือไม่ ในที่สุดเธอก็พบว่าอารีหายตัวไป

ใต้เท้ายูนเข้าเฝ้าพระพันปีเพื่อรายงานว่า คนของซองซูชองที่ชื่ออารีรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แม้จะยังหาตัวเธอไม่พบ แต่คาดว่าคงจะจับตัวเธอได้เร็วๆ นี้แน่นอน พระพันปีไม่รู้สึกกังวลเมื่อทราบว่าอารีหนีรอดไปได้ ทั้งยังคิดว่าโชคกำลังเข้าข้าง เพราะในอดีตอารีเคยเป็นทาสรับใช้ครอบครัวองค์ชายอึยซอง พระองค์วางแผนปล่อยข่าวว่าทั้งคู่มีใจให้กัน และอารีก็หวังให้คนรักของเธอได้ขึ้นครองบัลลังก์จึงใช้เครื่องรางของขลังเข้าช่วย ใต้เท้ายูนเป็นห่วงเรื่องหลักฐานที่จะนำมาใช้ปักปรำอารี พระพันปีบอกว่าเรื่องนั้นไม่มีปัญหาเพราะโหรหลวงหญิงที่ซองซูชอง (หัวหน้าธิดาเทพ) เป็นคนของพระองค์ สิ่งที่ใต้เท้ายูนต้องทำในตอนนี้ก็คือเขียนรายงานขึ้นกราบทูลพระราชาว่า องค์ชายอึยซองและอารีร่วมกันวางแผนก่อกบฏ


พระเจ้าซองโจอ่านรายงานแล้วรู้สึกข้องใจ เพราะในรายงานระบุว่าพระอนุชาต่างมารดาถูก "ฮอง มานโฮ" ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่และเพื่อนสนิทสังหารหลังมีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องการก่อกบฏ แถมฮอง มานโฮ ยังฆ่าตัวตายเพราะสำนึกผิด โดยทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ด้วย

หัวหน้าธิดาเทพถูกเรียกตัวมาเข้าเฝ้า เพื่อตีความสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนยันต์ (หนึ่งในหลักฐานเท็จที่พบภายในตำหนักขององค์ชาย) เธอได้รับคำสั่งจากพระพันปีให้ใส่ร้ายอารีและองค์ชายอึยซอง จึงกราบทูลว่า ยันต์ดังกล่าวมีไว้เพื่อเรียกพลังพระอาทิตย์ (พระอาทิตย์ หมายถึงพระราชา) การที่องค์ชายอึยซองนำยันต์มาติดไว้ที่บ้าน เป็นเพราะต้องการเสริมพลังอำนาจบารมีเพื่อจะได้มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์ และยันต์ใบนี้ก็ลงอักขระและผ่านการทำพิธีปลุกเสกโดยคนของสำนักซองซูชองที่มีชื่อว่า "อารี"


หลังได้รับบาดเจ็บและต้องหลบหนีอยู่ในป่าตลอดทั้งคืน  อารีก็หมดแรงล้มลงหน้าเกี้ยวของนายหญิงชินซึ่งท้องแก่ใกล้คลอดและกำลังจะเดินทางเข้าไปในเมือง เมื่อเห็นว่าอารีบาดเจ็บสาหัสนายหญิงชินจึงพาเธอขึ้นเกี้ยวไปด้วยโดยไม่รู้ว่ามีการตั้งด่านสกัดจับ "กบฏหลบหนี" ที่หน้าประตูเมือง ทำให้มีการตรวจตราผู้ที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงอย่างเข้มงวด หญิงรับใช้ประจำตัวนายหญิงชินเห็นรูปอารีในประกาศจับก็รู้สึกตกใจ  เธอพยายามหาทางบ่ายเบี่ยงเพื่ิอไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นภายในเกี้ยว โดยอ้างว่าการตรวจค้นเกี้ยวของหญิงที่มาจากตระกูลขุนนางเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่เจ้าหน้าที่กลับเดินเข้าไปเปิดหน้าต่างแล้วเชิญนายหญิงชินลงมาจากเกี้ยว 

นายหญิงชินเอามือลูบท้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าเธอกำลังท้องแก่ใกล้คลอด (อารีหลบอยู่ใต้กระโปรงนายหญิงชิน) พลางบอกว่า เธอไม่ค่อยสบายตัวและรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะเพิ่งเสร็จจากการอธิษฐานขอพรให้ลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อีกทั้งยังขยับตัวค่อนข้างลำบาก หากมีข้อสงสัยอะไรขอเชิญตามไปตรวจสอบที่บ้าน พอเจอมุกนี้เข้าเจ้าหน้าที่จึงยอมให้ผ่านเข้าเมืองไปแต่โดยดี

หลังเกี้ยวของนายหญิงชินเคลื่อนออกจากจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ก็พบว่ามีรอยเลือดที่พื้น เมื่อหันกลับไปดูที่เกี้ยวก็เห็นเลือดสดๆ กำลังหยดลงมา จึงสั่งให้หยุดเกี้ยวและขอตรวจค้น ครั้นพอเจ้าหน้าที่เปิดหน้าต่างดูก็พบว่านายหญิงชินกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ทั้งยังมีเลือดออกเป็นจำนวนมาก สาวใช้โวยวายดังลั่นว่าต้องรีบพานายหญิงกลับบ้าน ถ้าหากเด็กในท้องนายหญิงเป็นอะไรไป ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ เพราะพ่อของเด็กเป็นถึงท่านทูต เจ้าหน้าที่ได้ยินดังนั้นจึงรีบอนุญาตให้นายหญิงชินผ่านเข้าเมืองไป


อารีซาบซึ้งใจมากที่นายหญิงชินยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอ นายหญิงชินบอกว่าความจริงแล้วลูกในท้องของเธอต่างหากที่ช่วยอารีเอาไว้ เพราะตอนนั้นเธอรู้สึกราวกับว่ากำลังจะขาดใจตายจริงๆ อารีมองท้องของนายหญิงแล้วบอกว่าลูกในท้องของเธองดงามดุจดวงจันทร์ และจะเกิดมาเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์ อารีเห็นภาพอนาคตของเด็กในท้องว่าจะได้เกี่ยวข้องกับคนในราชวงศ์ แต่จะพบกับชะตากรรมอันโหดร้ายที่อาจนำไปสู่ความตาย (อารีมองเห็นหลุมศพ)

ก่อนแยกทางกัน นายหญิงชินบอกอารีว่า ถึงเธอจะไม่ใช่แม่หมอแต่ก็พอดูออกว่าอารีไม่ใช่คนเลว อารีมองตามเกี้ยวด้วยสำนึกในบุญคุณและเป็นห่วงอนาคตของเด็กในท้อง จึงวิ่งตามเกี้ยวนายหญิงชินแล้วให้คำมั่นสัญญาว่า เธอจะช่วยปกป้องเด็กในท้องของนายหญิงถึงแม้ว่าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม

หลังแยกทางกับนายหญิงชินแล้ว อารีก็ถูกจับและโดนทรมานอย่างหนักต่อหน้าเหล่าธิดาเทพ เพื่อบีบบังคับให้ยอมรับสารภาพ ใต้เท้ายูนชูยันต์สีเหลืองให้อารีดูแล้วถามว่าใครเป็นคนสั่งให้เธอทำยันต์นี้ขึ้นมา อารีปฏิเสธว่าเธอไม่รู้เรื่องและยันต์นั่นก็ไม่ใช่ของเธอ แต่ใต้เท้ายูนยังคงคาดคั้นและขู่ให้อารียอมรับสารภาพ อารียืนกรานอย่างเหนื่อยอ่อนว่าเธอไม่รู้เห็นและไม่ได้เป็นคนเขียนยันต์ที่ว่า จึงไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าใครคือผู้บงการ


ใต้เท้ายูนพยายามบีบบังคับให้อารียอมรับสารภาพโดยอ้างว่ามีหลักฐานชี้ชัดว่าเธอเป็น "กบฎ"  อารีได้ยินข้อกล่าวหาแล้วรู้สึกโกรธ จึงจ้องหน้าใต้เท้ายูนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า หากจะมีใครสักคนเป็นกบฏ คนๆ นั้นก็คือ ใต้เท้ายูนซึ่งเป็นคนจัดฉากและสร้างหลักฐานเท็จทั้งหมดขึ้นมา

ใต้เท้ายูนขู่ว่าจะตัดลิ้นและตัดคออารี หากเธอยังไม่ยอมพูดความจริง อารีรู้ตัวดีว่าถึงยังไงเธอก็หนีความตายไปไม่พ้นจึงพูดทิ้งทวนว่า...

"ไอ้คนสารเลว! คิดหรือว่ามีข้าคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด คิดหรือว่าฆ่าปิดปากข้าแล้วเรื่องจะจบ ผิดแล้วไอ้คนชั่ว ยังมีเทพธิดาแห่งรัตติกาลที่เฝ้าดูเจ้าอยู่ เลือดของชายผู้นั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ไหลชโลมลงบนคมดาบของเจ้าในค่ำคืนนั้น หากยังมีแสงจันทร์ทาบทอลงบนดาบของเจ้าด้วย คอยดูก็แล้วกัน สักวันแผนชั่วของเจ้าจะถูกเปิดโปงภายใต้แสงจันทร์ และแสงจันทร์นี่แหล่ะที่จะทำให้เจ้าอายุสั้นลง"


หลังจบการไต่สวน อารีถูกนำตัวไปขังเพื่อรอรับโทษประหารในวันรุ่งขึ้น นกยองเพื่อนรักของอารีติดสินบนเจ้าหน้าที่แล้วรีบเข้ามาเยี่ยมอารีในคุก พลางตำหนิอารีที่ดื้อรั้นไม่ยอมฟังคำเตือนของเธอจนต้องพบกับชะตากรรมอันเลวร้าย อารีบอกว่า เธอไม่เคยหวังให้องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์แทนพระราชาตามที่ถูกกล่าวหา และองค์ชายเองก็ไม่เคยคิดเช่นนั้นด้วย นกยองเสียใจที่เธอรู้ความจริงทุกอย่างแต่กลับช่วยเพื่อนรักไม่ได้  จึงคิดที่จะไปกราบทูลความจริงให้พระราชาทรงทราบ แต่กลับถูกอารีห้ามไว้

อารีรู้ว่าถึงยังไงก็ไม่มีใครช่วยเธอได้ จึงฝากฝังนกยองให้ช่วยปกป้องเด็กหญิงคนหนึ่งแทนเธอ โดยบอกแต่เพียงว่า ครอบครัวของเด็กจะพังพินาศหากเด็กคนนั้นเข้าใกล้พระอาทิตย์มากเกินไป แต่เด็กจะเกิดมาพร้อมกับดวงชะตาที่ต้องอยู่เคียงข้างและคอยปกป้องพระอาทิตย์ อารีขอร้องให้นกยองช่วยปกป้องเด็กคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นกยองพยายามถามว่าเด็กคนนั้นคือใคร แต่ก็ถูกทหารยามลากตัวออกจากคุกไปเสียก่อน


วันรุ่งขึ้นอารีถูกนำตัวไปประหารกลางแจ้งด้วยการแยกร่าง ระหว่างถูกมัดแขนขาเธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นภาพพระอาทิตย์แยกออกเป็นสองดวง ต่อด้วยภาพองค์ชายสองพี่น้อง และบุตรสาวของนายหญิงชินซึ่งมีสถานะเป็นองค์หญิงรัชทายาท (พระคู่หมั้นขององค์รัชทายาท) เธอจึงเอ่ยขึ้นว่า "พระอาทิตย์ 2 ดวง และพระจันทร์เพียงหนึ่งเดียว... ขอท่านทั้งสามจงอยู่รอดปลอดภัย" เมื่ออารีพูดจบการประหารก็เริ่มต้นขึ้นทันที

ระหว่างที่อารีกำลังถูกประหาร นายหญิงชินก็ให้กำเนิดลูกสาวนามว่า "โฮ ยอนอู"  ซึ่งเป็นชื่อที่สามีของเธอตั้งเอาไว้ให้ ก่อนที่เขาจะเดินทางไปเป็นทูตที่ต้าหมิง (เธอและสามีมีลูกชายคนโต ชื่อ "โฮ ยอม")

13 ปีต่อมา ในวังหลวงมีการจัดพิธีประกาศเกียรติคุณและเฉลิมฉลองให้เหล่าบัณฑิตที่สอบขุนนางได้คะแนนสูงสุด และเนื่องจากเป็นราชพิธีที่จัดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์พระราชา จึงมีการจัดเตรียมงานอย่างยิ่งใหญ่ แต่ทว่าอาหาร เสื้อผ้า และข้าวของบางอย่างที่เตรียมไว้ได้หายไปจำนวนหนึ่ง แม้แต่องค์ชายฮวอน ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ (15 ปี) ก็พลอยหายตัวไปด้วยเช่นกัน


ในตอนนั้นองค์ชายรัชทายาทแอบโดดเรียน แล้วมาหลบอยู่ในห้องร้างโดยมีอาหารและข้าวของสำหรับใช้ในราชพิธี (ที่หายไปจากบริเวณงาน) ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะ พระองค์เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจจะได้หนีออกจากวัง (บริเวณตำหนักเงาจันทร์) โดยไม่ถูกจับได้เสียก่อน จากนั้นก็ทานอาหารให้อิ่มท้อง แถมยังตุนของว่างและของใช้บางอย่างติดตัวไปเพียบ

ในเวลาเดียวกันนั้น นายหญิงชินและ "ยอนอู" บุตรสาวคนเล็ก ต่างเดินทางมาร่วมพิธีที่วังหลวง เนื่องจาก ยอม (พี่ชายยอนอู) เป็นหนึ่งในบัณฑิตที่ต้องรายงานตัวหน้าพระพักตร์ในพิธีดังกล่าว นอกจากนี้ โฮ ยองแจ (พ่อของยอนอู) ซึ่งเป็นราชบัณฑิต ก็เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีดังกล่าวเช่นกัน (โดยยืนเคียงข้างใต้เท้ายูน ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็น "เสนาบดี" ประจำกรมวัง มีหน้าที่ควบคุมดูแลการแต่งตั้ง โยกย้าย และสรรหาบุคลากร) 



"โฮ ยอม" ซึ่งได้คะแนนสูงสุดในฐานะบัณฑิตฝ่ายบุ๋น มีเพื่อนรัก 2 คน คือ อูน (เข้าร่วมพิธีในฐานะบัณฑิตฝ่ายบู๊ที่สอบได้คะแนนสูงสุด) และองค์ชายยางมยอง (ไม่ได้เข้าร่วมพิธี) ซึ่งต่างก็เป็นลูกศิษย์ของราชบัณฑิตโฮ (พ่อของ ยอมและยอนอู) ทั้งสิ้น

ขณะที่พิธีอันทรงเกียรติกำลังจะเริ่มต้นขึ้น อีกด้านหนึ่งของวังหลวงก็กำลังโกลาหลกันยกใหญ่หลังองค์ชายรัชทายาทหายตัวไป ข้าหลวงฮยองซอนกลัวว่าจะถูกลงโทษจึงสั่งทหารองค์รักษ์ให้เร่งออกตามหาองค์ชายรัชทายาทก่อนที่เรื่องจะล่วงรู้ถึงหูพระราชา ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าซองโจก็เสด็จมาถึงบริเวณงาน ระหว่างที่ยอนอูก้มลงกราบพระราชา เธอเหลือบไปเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินวนอยู่ใกล้ๆ ครั้นพอผีเสื้อบินห่างออกไป เธอก็เผลอเดินตามอย่างลืมตัว


ระหว่างที่องค์ชายฮวอน (รัชทายาท) กำลังปีนบันไดที่พาดอยู่บนกำแพงวัง (โดยมือหนึ่งถือร่มเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด) ผีเสื้อสื่อรักก็พายอนอูเข้ามาในบริเวณดังกล่าวพอดี องค์ชายรัชทายาทเห็นสาวน้อยแปลกหน้าเข้ามาเดินป้วนเปี้ยนในวังหลวงตอนที่พระองค์กำลังจะปีนกำแพงหลบหนี เลยทำตัวไม่ถูกได้แต่ยืนตาค้างตัวแข็งทื่ออยู่บนบันได (แอบตกตะลึงในความงาม) ยอนอูมัวแต่จดจ่ออยู่กับผีเสื้อจึงไม่ทันสังเกตว่ากำลังถูกจับจ้องโดยหนุ่มน้อยรูปงาม จนกระทั่งเธอมาหยุดยืนตรงหน้าบันได



ยอนอูเองก็ตกใจและทำอะไรไม่ถูกเมื่อหันมาเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งกำลังปีนกำแพงวัง แถมพ่อหนุ่มคนนั้นยังจ้องหน้าเธอแบบตาไม่กระพริบ ขณะที่องค์ชายรัชทายาทนึกสงสัยว่าสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร และเข้ามาเดินเพ่นพ่านในวังหลวงได้ยังไง  แต่ยังไม่ทันได้ซักถามก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อองค์ชายรัชทายาทพลัดตกลงมาจากบันได แถมยังร่วงลงมาใส่ยอนอูทำให้ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกันทั้งคู่




พอรู้สึกตัวทั้งคู่ก็รีบผละออกจากกัน องค์ชายฮวอนแก้เก้อด้วยการวางมาดขรึมและถามยอนอูเสียงเข้มว่า "เจ้ามาอยู่ในวังหลวงได้ยังไง" ยอนอูถามกลับว่า "แล้วคุณชายล่ะคะ...ปีนกำแพงวังทำไม" องค์ชายถึงกับอึ้งที่ถูกย้อนถาม จึงขู่ว่าการลอบเข้ามาในวังโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษสถานหนัก ยอนอูบอกว่าเธอมาร่วมพิธีประกาศเกียรติคุณและเฉลิมฉลองที่พี่ชายสอบขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ที่หนึ่ง ไม่เหมือนใครบางคนที่แอบเข้ามาขโมยของในวังและกำลังจะปีนกำแพงหลบหนี (ยอนอูเห็นถุงเป้สะพายหลังขององค์ชายมีของบรรจุอยู่จนเต็ม เลยนึกว่าเป็นของที่ขโมยมา) องค์ชายพยายามปฏิเสธว่าพระองค์ไม่ได้เป็นขโมย แต่ยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งมีพิรุธ ยอนอูจึงร้องเรียกทหารยามให้มาจับหัวขโมย องค์ชายรีบเอามือปิดปากยอนอูไว้ ก่อนที่จะพาวิ่งหนีไป

เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วทั้งคู่จึงหยุดวิ่ง องค์ชายฮวอนต่อว่ายอนอูที่ทำให้เสียแผน แถมยังต้องวิ่งหนีจนเหนื่อยแทบขาดใจ ยอนอูไม่พอใจที่องค์ชายชอบวางท่าและพูดจาเหมือนเป็นเจ้านาย องค์ชายอ้างว่าเป็นเพราะเธออายุน้อยกว่า ยอนอูย้อนว่า "รู้ได้ไง" และถามว่า "ท่านอายุเท่าไหร่" องค์ชายบอกใบ้ให้ยอนอูนำอายุของเธอมาลบด้วยสอง ยอนอูโวยวายว่า "งั้นท่านก็อายุแค่ 11 ปี แล้วทำไม...." องค์ชายสวนกลับ "แสดงว่าเจ้าอายุ 13...เห็นมั๊ยล่ะ ข้าแก่กว่าเจ้าตั้ง 2 ปี"


ยอนอูเถียงสู้องค์ชายไม่ได้เลยงัดไม้ตายมาใช้ องค์ชายเห็นยอนอูเดินหนีจึงรีบคว้าแขนเธอไว้แล้วถามว่าจะไปไหน ยอนอูตอบหน้าตาเฉยว่าจะไปแจ้งทหารให้มาจับขโมย องค์ชายรีบปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ขโมย แต่ดันโกหกว่ามาร่วมพิธีฯ ของพี่ชายที่สอบฝ่ายบู๊ (สอบทหาร) ได้ที่หนึ่ง ยอนอูเลยรู้ว่าหนุ่มน้อยที่ยืนตรงหน้ากำลังโกหก เพราะคนที่สอบขุนนางฝ่ายบู๊ได้ที่หนึ่งคือเพื่อนสนิทของพี่ชายเธอ และเขาก็เป็นลูกคนเดียว

พอถูกจับได้ องค์ชายเลยยอมบอกความจริงว่า ตนกำลังจะออกไปหาพี่ชายต่างมารดา ซึ่งเป็นคนที่มีจิตใจดี อบอุ่น เก่งเกินใครทั้งด้านบุ๋นและบู๊แต่ไม่สามารถสอบบัณฑิตและไม่มีสิทธิเป็นขุนนาง ถึงแม้พี่ชายจะรักและเคารพพ่อมาก แต่ก็ไม่อาจได้รับความรักจากผู้เป็นพ่อ และแม้จะได้รับความรักมากมายจากใครหลายคน แต่เขาก็ไม่สามารถปรากฏกายต่อหน้าคนเหล่านั้นได้

องค์ชายฮวอนสรุปว่า ที่พี่ชายต้องทนทุกข์และตกอยู่ในสภาพนี้ล้วนเป็นเพราะตนทั้งสิ้น  พระองค์สงสัยว่าพี่ชายคงกลัวพ่อโกรธ (และไม่อาจทนเห็นสายตาอันเย็นชาของพ่อ) จึงไม่ได้แวะมาหาพระองค์นานแล้ว ด้วยเหตุนี้ พระองค์เลยคิดที่จะออกไปหาพี่ชายด้วยตัวเอง



ยอนอูถามองค์ชายฮวอนว่า ทำไมต้องโทษตัวเองด้วย คนเราเลือกเกิดเองไม่ได้ การที่พระองค์เป็นลูกที่ชอบด้วยกฏหมาย ส่วนพี่ชายเป็นลูกนอกสมรส ไม่ใช่ความผิดของพระองค์สักหน่อย แล้วจะมานั่งโทษตัวเองทำไมกัน ยอนอูยังหยิบยกปรัชญาขงจื๊อมากล่าวอ้าง พร้อมทั้งสรุปว่า หากพี่ชายของพระองค์เป็นคนจิตใจดีอย่างที่พูดจริงๆ เขาย่อมไม่ถือโทษว่าเป็นความผิดขององค์ชายเช่นกัน ดังนั้น จงอย่าโทษตัวเอง และไม่ควรกล่าวโทษคนอื่นด้วย (ก่อนหน้านี้องค์ชายโทษยอนอูว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องวิ่งหนีทหารหัวซุกหัวซุน)

ยอนอูแสดงความเห็นว่า ความจริงแล้วปัญหาลักษณะนี้พระราชาแห่งโชซอนทรงแก้ไขให้ได้ หากธรรมเนียมปฏิบัติทำลายอนาคตของคนมีความรู้ความสามารถ และทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างพี่น้องและคนในครอบครัวก็ควรแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบใหม่ เธอหลุดปากบ่นว่ากฏหมายบางเรื่องของโชซอนสมควรได้รับการแก้ไข ทั้งยังสงสัยว่าทำไมถึงต้องมีการแบ่งแยกชนชั้นและเลือกปฏิบัติ แล้วทำไมผู้หญิงที่อ่านหนังสือมากๆ ถึงมีความผิด


ยอนอูรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดจึงรู้สึกตกใจ องค์ชายได้ทีจึงแกล้งถามว่า ที่ยอนอูพูดมานั้น หมายความว่าหลักการปกครองของพระราชาไม่ถูกต้องใช่ไหม ยอนอูรีบปฏิเสธว่าไม่ใช่ พอเห็นยอนอูมีสีหน้าวิตกกังวล องค์ชายจึงเอาคืนด้วยการยืนขึ้นและพูดว่า "ข้าต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายไปแจ้งเจ้าหน้าที่"

ยอนอูขอร้องไม่ให้องค์ชายแจ้งจับเธอ และให้แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งเธอพูด องค์ชายจึงถามยอนอูว่า เธอเชื่อแล้วใช่ไหมว่าพระองค์ไม่ได้เป็นขโมย ยอนอูปฏิเสธหน้าตาเฉย ทั้งยังถามว่า องค์ชายเอาข้าวของแพงๆ ที่อยู่ในเป้สะพายหลังมาจากไหน (ก่อนหน้านี้องค์ชายฮวานทำของในถุงเป้หล่น ยอนอูจึงมั่นใจว่าพระองค์แอบมาขโมยของในวังองค์ชายตอบว่าของในถุงเป้ทั้งหมดล้วนเป็นของพระองค์ แต่ยอนอูไม่เชื่อ  เพราะของที่อยู่ในถุงเป้ล้วนล้ำค่าหายากทั้งสิ้น


องค์ชายฮวอนเริ่มหงุดหงิดที่ยอนอูไม่เลิกกล่าวหาว่าพระองค์เป็นขโมยเสียที เมื่อถูกถามว่าเอาของมีค่ามาไว้ในครอบครองได้ยังไง พระองค์จึงเผลอตะคอกใส่ยอนอูว่า "สำหรับแผ่นดินโชซอนแล้ว ข้าคือ...." พอเห็นยอนอูจ้องหน้าและตั้งใจฟังเต็มที่ พระองค์ก็พูดไม่ออก จึงได้แต่บอกด้วยน้ำอ่อยๆ ว่า "ข้าคือ....ข้ารับใช้ในวังหลวง" (ในที่นี้หมายถึง "ขันที") 

ระหว่างที่นายหญิงชินกำลังขอร้องทหารยามให้ช่วยออกตามหาลูกสาว เธอก็เห็นยอนอูเดินลงบันไดมากับหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ในดอนนั้นยอนอูพยายามถามองค์ชายฮวอนว่า ข้ารับใช้ในวังได้เงินเดือนเท่าไหร่ (ทำไมถึงได้ซื้อของใช้แพงๆ ได้)  ขณะที่องค์ชายได้แต่ทำหน้าเซ็งๆ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบสาวน้อยขี้สงสัยคนนี้อย่างไรดี


นายหญิงชินรีบเดินเข้าไปหาและกอดยอนอูด้วยความเป็นห่วง องค์ชายฮวอนกลัวว่าสถานะที่แท้จริงจะถูกเปิดเผย จึงรีบวิ่งไปหาทหารองครักษ์ที่เดินตามนายหญิงชินมา พร้อมทั้งสั่งให้นายทหารคนดังกล่าวยืนนิ่งๆ ห้ามแสดงความเคารพ และห้ามพูดแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษสถานหนัก หลังกอดแม่แล้วยอนอูก็หันไปเรียกองค์ชาย องค์ชายชิงบอกว่าตนสารภาพความผิดกับเจ้าหน้าที่แล้ว จากนั้นก็รีบพาทหารเดินจากไปโดยอ้างว่าจะพาไปดูของกลางที่ตำหนักเงาจันทร์


ขณะที่ยอนอูและนายหญิงชินกำลังจะเดินทางกลับบ้าน นางในคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหาและนำของมาส่งถึงเกี้ยว โดยบอกว่า "นายน้อยแห่งตำหนักเงาจันทร์" ฝากมาให้... องค์ชายฮวอนต้องการบอกยอนอูว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นใครเลยส่งข้อความปริศนามาให้ ทั้งยังฝากนางในมาบอก (ขู่) ยอนอูว่า นับจากนี้ระวังตัวให้ดีหากต้องเดินทางในยามวิกาล ยอนอูนึกว่าองค์ชายเป็นห่วงเลยพูดกับนางในว่า "จริงๆ แล้ว เขาก็ไม่ใช่คนเลวซะทีเดียว" 

เมื่อพระเจ้าซองโจทราบว่าองค์ชายรัชทายาทโดดเรียนและพยายามหนีออกนอกวัง  พระองค์จึงเรียกองค์ชายมาเข้าเฝ้า จากนั้นก็ถามว่านอกวังหลวงมีอะไรดี พระองค์จึงคิดที่จะหนีออกไปเที่ยวครั้งแล้วครั้งเล่า มีอะไรที่พระองค์อยากได้แต่หาไม่ได้ในวัง จึงต้องดั้นด้นออกไปแสวงหาข้างนอก องค์ชายฮวอนตอบว่า พระองค์ก็แค่อยากออกไปหา "เสด็จพี่ยางมยอง" เพื่อปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นทางด้านวิชาการ

พระราชาบอกว่า คนที่พระองค์ควรขอคำปรึกษาคือบรรดาอาจารย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้ องค์ชายตอบว่า พระองค์ต้องการเรียนรู้ด้วยการหารือ ซักถาม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มากกว่าการนั่งอ่านตำราและฟังแต่สิ่งอาจารย์สอน (ยัดเยียดหลักการปกครอง) โดยไม่มีสิทธิซักถาม โต้แย้ง หรือแสดงความเห็น ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงอยากเรียนรู้และหารือด้านวิชาการกับองค์ชายยางมยอง (ซึ่งเก่งทั้งด้านบุ๋นและบู๊) พระราชาได้ยินแล้วกริ้วมากจึงไล่พระอาจารย์ออกแบบยกชุด และสั่งให้องค์ชายเรียนหนังสือถึงกลางดึกทุกวัน ทั้งยังห้ามไม่ให้พระองค์ตามเสด็จไปประทับยังตำหนักที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง และไม่ให้ไปร่วมพีธีไหว้บรรพชนที่สุสานหลวงอีกด้วย   (สรุปง่ายๆ ก็คือห้ามออกจากวังหลวงนั่นเอง) 


คืนเดียวกันนั้น ใต้เท้ายูนถูกเชิญมาเข้าเฝ้าพระพันปี คราวนี้พระองค์นำต้นบอนไซมาใช้เป็นตัวอย่างในเปรียบเทียบ โดยกล่าวว่า  เห็นต้นเล็กๆ อย่างนี้แต่ดูแลยากกว่าที่คิด เพราะถ้าหากไม่คอยดูแลตัดแต่งกิ่งก้านในช่วงเวลาที่เหมาะสม การจัดแต่งรูปทรงให้สวยงามตามที่ต้องการก็จะเป็นเรื่องยาก

พระพันปีได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ซิกังวอน  (หน่วยงานหนึ่งในวังหลวงที่มีหน้าที่สอนหนังสือและหลักการปกครองให้แก่องค์ชายรัชทายาท) ถึงขั้นต้องปรับเปลี่ยนพระอาจารย์ใหม่เกือบหมด พระองค์อยากให้องค์ชายได้อาจารย์ดีๆ มาช่วยสอน เพราะหน้าที่ของพระอาจารย์ก็คือการขัดเกลาจิตใจและปลูกฝังหลักการปกครอง (ที่เอื้อประโยชน์และสอดคล้องกับความต้องการของพระพันปี) ให้กับว่าที่พระราชาองค์ต่อไป ดังนั้น ภารกิจของใต้เท้ายูนในฐานะ "เสนาบดีกรมวัง" ซึ่งรับผิดชอบในการสรรหาและแต่งตั้งเจ้าพนักงานโดยตรง จึงมีความสำคัญและมีผลทั้งต่ออนาคตขององค์ชายรัชทายาทและขั้วอำนาจฝ่ายพระพันปี


อีกด้านหนึ่ง พระมเหสีพยายามขอร้องพระเจ้าซองโจให้ทรงเข้าพระทัยความรู้สึกขององค์ชายรัชทายาท  และขออนุญาตให้องค์ชายยางมยองเข้าออกวังหลวงได้โดยอิสระ  เพราะนับตั้งแต่พระองค์ขับองค์ชายยางมยองให้ออกไปประทับที่ตำหนักนอกวังตามลำพังทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน และห้ามเข้าวังโดยไม่ได้รับอนุญาติ องค์ชายรัชทายาทก็รู้สึกเหงามากยิ่งขึ้น พระเจ้าซองโจแย้งว่า กษัตริย์องค์ก่อนๆ รวมทั้งพระองค์ล้วนเคยใช้ชีวิตแบบเดียวกับองค์รัชทายาทก่อนที่จะขึ้นครองบัลลังก์  หากองค์ชายรัชทายาททำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจแบบนี้ อีกหน่อยจะปกครองประเทศชาติและปกป้องประชาชนได้อย่างไร 

หลังคำขอร้องไม่เป็นผล พระมเหสีก็เสด็จ (ถูกเชิญ) ออกจากตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าผิดหวัง ระหว่างทางพระองค์ได้พบกับสนมพัค (พระมารดาขององค์ชายยางมยอง) จึงบอกสนมพัคว่า วันนี้พระเจ้าซองโจสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าเฝ้า สนมพัครีบกล่าวขอโทษพระมเหสี  แต่พระมเหสีบอกว่าไม่ใช่ความผิดของสนมพัค ทั้งยังบอกด้วยว่าหากองค์ชายยางมยองกลับจากการไปเที่ยวนอกเมืองหลวงแล้ว ให้แวะไปเยี่ยมพระองค์ที่ตำหนัก และแวะไปหาองค์ชายรัชทายาทด้วย



ระหว่างที่องค์ชายยางมยองนำไก้ฟ้าไปขายที่ตลาดเพื่อนำเงินมาซื้อของฝากให้เพื่อนรัก พระองค์ก็หันไปเห็นชาวบ้านพากันยืนต่อแถวยาวเหยียด จึงสอบถามพ่อค้าจนได้ความว่าชาวบ้านกำลังรอซื้อหินวิเศษที่รักษาได้ทุกโรคและรอพบหมอเทวดา ซึ่งเป็นเด็กหญิงตาบอดวัย 8 ปี ที่มีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้ว่าใครเจ็บป่วยตรงไหนหรือเป็นโรคอะไรโดยไม่ต้องจับชีพจร ในตอนนั้นองค์ชายกำลังหนักใจว่าจะซื้ออะไรไปฝากเพื่อนๆ ดี พอได้ยินเรื่องหินวิเศษรักษาทุกโรค เลยคิดที่จะซื้อไปเป็นของฝากสักอัน

ในตอนนั้น คนของหมอเทวดากำลังเรียกลูกค้าโดยโฆษณาว่า... เก่งกว่าหัวหน้าธิดาเทพ "จาง นกยอง" คือ หมอเทวดา และที่เจ๋งกว่าหมอ "ฮัวโต๋" กับ "เปียนเซี้ย" (สุดยอดหมอจีนโบราณที่มีตัวตนอยู่จริงในยุคสามก๊กและยุคจ้านกั๊ว)   ก็คือ หินวิเศษที่รักษาได้ทุกโรค ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 50 ก้อนเท่านั้น


องค์ชายยางมยองเห็นหน้าม้ากำลังแจกบัตรคิวพลางร้องว่าของใกล้หมด เลยวิ่งเข้าไปแทรกเพื่อขอรับบัตรคิว ในเวลาเดียวกันนั้น "นกยอง" (เพื่อนสนิทอารี) ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าธิดาเทพ ก็มาสังเกตการณ์พวก 18 มงกุฏที่ซื้อเด็กมาอุปโลกเป็นหมอเทวดาและหลอกขายก้อนหินให้ชาวบ้าน องค์ชายยางมยองเห็นหัวหน้าธิดาเทพกำลังเดินตรงดิ่งเข้าไปหาหมอเทวดา เลยยื่นแขนออกมาขวางแล้วบอกให้กลับไปรับบัตรคิวก่อน เพราะหมายเลขที่คนของหมอเทวดาเรียกเมื่อสักครู่นี้เป็นหมายเลขของตน นกยองหันไปมองหน้าองค์ชายแล้วพูดกับตัวเองว่า "มีพระอาทิตย์สองดวงบนท้องฟ้าโชซอนหรือนี่" 

ระหว่างรอพบเด็กหญิงที่ถูกอุปโลกให้เป็นหมอเทวดา องค์ชายยางมยองสังเกตเห็นริมฝีปากของเด็กแห้งผากราวกับถูกทรมานด้วยการอดข้าวอดน้ำ ทำให้รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เมื่อชายคนที่นั่งข้างๆ ถามว่า ป่วยเป็นอะไร พระองค์จึงตอบว่า ขาเจ็บตอนออกไปล่าหมูป่า เมื่อถึงคิวที่ต้องออกไปพบหมอเทวดา องค์ชายก็แกล้งทำเป็นเดินกระเผลก


เด็กหญิงคนดังกล่าวพูดขณะหลับตา (แกล้งตาบอด) ว่า "วิญญาณอาฆาตของสัตว์ป่าบนภูเขาสิงอยู่บริเวณขาที่กำลังเจ็บปวดของเจ้า" องค์ชายยางมยองรู้ทันทีว่ากำลังอยู่ท่ามกลางพวก 18 มงกุฏ จึงลุกขึ้นเปิดโปง โดยบอกว่าเด็กคนนี้มีปัญหาด้านสุขภาพเพราะขาดสารอาหารและน้ำ  แถมยังเหนื่อยอ่อนเพราะทำงานหนัก พักผ่อนน้อย และอยู่ในสภาพหิวโหย นอกจากนี้ยังมีรอยฟกช้ำเต็มตัวและแกล้งตาบอดอีกด้วย พอชาวบ้านรู้ตัวว่าโดนหลอกก็ลุกฮือเข้ามาทวงเงินคืน องค์ชายจึงอาศัยช่วงชุลมุนอุ้มเด็กหนีไป โดยขอให้นกยองช่วยแจ้งกองปราบ


หลังพาเด็กวิ่งหนีได้ไม่นาน องค์ชายก็ถูกล้อมกรอบ หนึ่งในนั้นคว้าตัวเด็กหญิงแล้วอุ้มหนีไป แต่แล้วก็ถูกนกยองขวางไว้ องค์ชายยางมยองพยายามหว่านล้อมพวก 18 มงกุฏให้ปล่อยตัวเด็ก แต่หัวหน้าแก๊งค์กำลังโกรธที่เสียรายได้และหมดช่องทางทำมาหากิน เลยชกองค์ชายจนล้มคว่ำ 2 ครั้งรวด องค์ชายยางมยองพยายามเตือนชายคนดังกล่าวว่าอย่าทำให้ตนโกรธถ้าไม่อยากเจ็บตัว เพราะครูฝึกของตนเป็นถึงบัณฑิตที่สอบฝ่ายบู๊ได้ที่หนึ่ง แต่ชายคนดังกล่าวกลับพูดว่า ถ้าครูฝึกของพระองค์สอบทหารได้ที่หนึ่ง งั้นพ่อของเขาก็คงเป็น "พระราชา" พูดจบก็ชกองค์ชายจนร่วงลงไปกองกับพื้นเป็นครั้งที่สาม


หลังได้ยินคำว่า "พระราชา" องค์ชายก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปพลางพูดว่า "ข้าพอรู้จักพระราชาอยู่บ้าง และพระองค์ก็บอกว่า...ไม่เคยมีลูกอย่างเจ้า!" ทันทีที่พูดจบองค์ชายก็กระโดดเตะหัวหน้าแก๊งค์ 18 มงกุฏ พร้อมทั้งจัดการเหล่าบรรดาลูกสมุนจนล้มคว่ำไปตามๆ กัน

คืนนั้นองค์ชายยางมยองเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดของชนชั้นสูง พระองค์ขึ้นไปยืนบนเขาแล้วมองไปทางวังหลวง จากนั้นก็กราบทูลพระราชาในใจว่า พระองค์เดินทางกลับมาเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้ว องค์ชายยางมยองยังนึกถึงองค์ชายรัชทายาทและนึกถามในใจว่าสบายดีไหม


ในตอนนั้น องค์ชายรัชทายาทออกมายืนสูดอากาศทางด้านนอกของตำหนัก โดยมีข้าหลวง นางใน และเหล่าทหารองค์รักษ์คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดและคอยตามติดทุกฝีก้าว เพราะกลัวว่าองค์ชายจะแอบหนีอีก ระหว่างที่พระองค์ยืนชมท้องฟ้าในยามค่ำคืน อยู่ๆ กลีบดอกไม้ก็ร่วงหล่นลงมา ทำให้พระองค์นึกถึงตอนที่เจอยอนอูครั้งแรก พลางนึกสงสัยว่ายอนอูจะรู้หรือไม่ว่าพระองค์คือองค์ชายรัชทายาท พระองค์พูดกับตัวเองว่า "ถ้าเจ้ารู้ความจริงคงโวยวายยกใหญ่  แต่ถึงยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว" พูดจบพระองค์ก็เงยหน้ามองท้องฟ้า และพบว่ามีร่มคันหนึ่งลอยมา

ในเวลาเดียวกันนั้น ยอนอูก็กำลังไขปริศนาจากสองข้อความที่องค์ชายรัชทายาทส่งมาให้ ข้อความแรกระบุว่า "หากวาดจะเป็นรูปทรงกลม แต่ถ้าเขียนจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม" ส่วนข้อความที่สองระบุว่า  "กระต่ายอยู่ ไก่ตาย" ระหว่างที่ยังนึกไม่ออก ทาสสาวนามว่าซอลก็ยกน้ำชามาให้ยอนอูในห้อง ยอนอูจึงถามว่าถ้ากระต่ายอยู่ แล้วไก่ตายจะเกิดอะไรขึ้น  ทาสสาวตอบหน้าตาเฉยว่า "ถ้าไก่ตายแล้วใครจะปลุกเราในตอนเช้า"

องค์ชายยางมยองเดินมาที่บ้านยอนอูแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งยิ้มบนกำแพง สายตาของพระองค์จับจ้องไปที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งอยู่ๆ เจ้าของห้องก็เดินออกมา ยอนอูพยายามไขปริศนาจึงถือข้อความเดินออกมาคิดด้านนอก จากนั้นก็ยกขึ้นส่องกับแสงจันทร์เผื่อว่าจะมีตัวอักษรซ่อนอยู่ องค์ชายยางมยองเห็นยอนอูทำท่าทางแปลกๆ จึงรู้สึกสงสัยว่าเธอกำลังอะไร ขณะที่ยอนอูไม่รู้ว่าชายหนุ่มรูปงามกำลังเฝ้ามองเธออยู่ห่างๆ


ยอนอูนึกถึงคำพูดของทาสสาว และคิดได้ว่า "ตอนเช้า" หมายถึงเวลากระต่าย (เวลากระตายคือ ช่วงตี 5 - 7 โมงเช้า ส่วนเวลาไก่ คือ ช่วง 5 โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม) จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ลำดับความคิดจนได้คำตอบเป็น "พระอาทิตย์" ซึ่งหมายถึง "พระราชา" ยอนอูถึงกับเข่าอ่อน เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วหัวขโมยคนนั้น ก็คือ ...องค์ชายรัชทายาทแห่งโชซอน!!



องค์ชายฮวานยืนมองร่มที่ลอยคว้างกลางอากาศ พลางคิดว่า "หรือเราจะได้พบกันอีก" ส่วนยอนอูนึกถึงองค์ชายรัชทายาทแล้วรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว ขณะที่องค์ชายยางมยองซึ่งนั่งมองยอนอูอยู่บนกำแพงนึกในใจอย่างมีความสุขว่า "ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง...โฮ ยอนอู"

* เนื้อหาโดย luvasianseries


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ลิขิตรัก ตะวันและจันทรา (The Moon That Embraces the Sun) ตอนที่ 2
เรื่องย่อ ลิขิตรัก ตะวันและจันทรา (The Moon That Embraces the Sun)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา