วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรื่องย่อ ตำราลักษณ์ ลิขิตบัลลังก์ (The King's Face)




กำกับ: ยูน ซองชิก, ชา ยองฮุน
เขียนบท: ลี ฮยางฮี, ยูน ซูชอง
แนวละคร: ย้อนยุค, อ้างอิงประวัติศาสตร์, โรแมนติก, การเมืองการปกครอง
จำนวนตอน: 23
ออกอากาศ: เกาหลี - 19 พฤศจิกายน 2557 - 5 กุมภาพันธ์ 2558 ทางเคบีเอส2
                    ไทย - ทุกวันจันทร์-พุธ เวลา 11.00 น. และ 02.15 น.ทางช่อง 3 เอชดี (ช่อง 33) ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2560 - 18 เมษายน 2560 (ช่อง 3 นำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 19.15 น. และวันศุกร์ เวลา 19.00 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (หมายเลข 13) ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2560)

เรื่องย่อ



"ตำราลักษณ์ ลิขิตบัลลังก์ (The King's Face)" เป็นละครที่นำเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มาอ้างอิง แต่เนื้อหาและคาแรคเตอร์ของตัวละครเป็นเรื่องสมมุติ

หลังองค์ชายควางแฮซึ่งถือกำเนิดจากพระมารดาที่เป็นเพียงพระสนมถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์โชซอน ชีวิตของพระองค์ก็ตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจ ทั้งยังตกเป็นเป้าของคนที่จ้องปองร้ายหมายเอาชีวิตและแย่งชิงราชบัลลังก์มาตลอด 16 ปี แถมความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระบิดาไม่สู้ดีนัก ถึงขนาดกลายเป็นศัตรูทั้งในด้านการเมืองและความรัก พระองค์จึงนำศาสตร์แห่งการทำนายใบหน้า (โหงวเฮ้ง) มาใช้เป็นอาวุธและเครื่องมือในการรวบรวมอำนาจ จนสามารถเอาชนะโชคชะตาและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระราชาในที่สุด

เนื้อหาตอนที่ 1


  
ละครเปิดฉากขึ้นด้วยเหตุการณ์วุ่นวายในราชสำนัก เมื่อเหล่าขุนนางต่างมารวมตัวกันที่หน้าตำหนักพระราชาท่ามกลางสายฝนและอากาศที่หนาวเหน็บ เพื่อทูลขอให้ "พระเจ้าซอนโจ" (พระราชาองค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์โชซอน และพระราชาองค์แรกที่มีพระมารดาเป็นพระสนม) ทรงถอนรับสั่งเรื่องการสั่งปลดองค์ชายรัชทายาท (องค์ชายควางแฮ) แต่พระเจ้าซอนโจกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังคงเสวยอาหารว่างที่ซังกุงป้อนถวายอย่างสบายพระทัย ในตอนนั้นองค์ชายควางแฮกำลังยืนมองภาพวาดของอดีตพระราชาองค์ก่อนๆ ในห้องบูชาบรรพกษัตริย์ โดยไม่รู้ว่าเหล่าทหารหลวงได้บุกไปที่ตำหนักของพระองค์แล้วพรากพระโอรสองค์น้อย (องค์ชายลีจี) ไปจากอ้อมอกขององค์หญิงรัชทายาทยู

เมื่อพระเจ้าซอนโจถามความเห็นเกี่ยวกับเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้น "คิม กาฮี" ซึ่งกำลังถวายการปรนนิบัติให้พระองค์จึงตอบว่า ใครก็ตามที่คิดโค่นล้มราชบัลลังก์ย่อมสมควรตาย ในตอนนั้น "คิม โดชิ" รองหัวหน้าหน่วย "ควานซังกัม" (หน่วยงานหนึ่งในยุคโชซอน ลักษณะคล้ายสถาบันวิจัยที่ดูแลงานด้านดาราศาสตร์ภูมิศาสตร์ ปฏิทิน และสภาพดินฟ้าอากาศ - ผลงานอันโดดเด่นในยุคนั้นคือการประดิษฐ์เครื่องวัดปริมาณน้ำฝน) ได้แอบฟังอยู่ที่หน้าประตู ในเวลาเดียวกันนั้นที่ตำหนักขององค์ชายรัชทายาทยังคงมีเหตุวุ่นวาย เมื่อทหารหลวงจับกุมองค์หญิงรัชทายาทยู ทั้งยังลงมือสังหารซังกุงพี่เลี้ยงที่พยายามวิ่งเข้าไปหาองค์ชายลีจี ก่อนร้องถามว่า "นักโทษกบฏควางแฮ" อยู่ที่ไหน 

องค์ชายควางแฮยืนมองภาพวาดของพระเจ้าเซจงมหาราช (พระราชาองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โชซอน ผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลี)  พลางพิจารณาโหงวเฮ้งบนใบหน้าของพระองค์ (หน้าผากกว้าง จมูกโด่งตรง คางเด่นชัด และมีตามังกร) จากนั้นก็กล่าวว่านี่คือใบหน้าของผู้ที่นำพาความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง และเป็นใบหน้าของพระราชาอย่างแท้จริง


เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น (สมมุติให้) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1608 (พ.ศ. 2151) ซึ่งเป็นปีที่ 41 และปีสุดท้าย ในรัชสมัยพระเจ้าซอนโจ หลังทนฟังเสียงเรียกร้องของเหล่าขุนนางอยู่นาน ในที่สุดพระเจ้าซอนโจก็เสด็จออกจากตำหนักเพื่อยืนยันการตัดสินพระทัยของพระองค์ จากนั้นก็ถามเหล่าขุนนางว่าจะลองดีกับพระราชาอย่างตนอย่างนั้นหรือ ขุนนางคนหนึ่งทูลว่าตนพร้อมยอมตายเพื่อข้อเรียกร้องนี้และถามว่าพระองค์จะปลดองค์รัชทายาทด้วยข้อหากบฏโดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร พระเจ้าซอนโจได้ยินดังนั้นจึงเชือดไก่ให้ลิงดูด้วยการส่งสัญญาณให้พลธนูสังหารขุนนางคนดังกล่าว ก่อนถามว่ามีใครพร้อมยอมตายเพื่อองค์ชายรัชทายาทอีกไหม พอรู้ว่าพวกตนตกเป็นเป้านิ่งของพลธนูที่แอบซุ่มอยู่ทางด้านหลัง ทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้ายอมจำนน 

องค์ชายควางแฮถามบรรพกษัตริย์ว่าตนมีใบหน้าที่ไม่คู่ควรกับการเป็นพระราชาจริงหรือ หลังพูดจบพระองค์ก็ถูกทหารหลวงบุกเข้ามาควบคุมตัว ปรากฏว่าใต้รูปปั้นมังกรที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางห้องบูชาบรรพกษัตริย์มีตำรานรลักษณ์ที่ระบุว่า หากผู้ที่ใบหน้าไม่มีลักษณะ (โหงวเฮ้ง) ของพระราชาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ราษฎรจะอดอยากหิวโหย เหล่าข้าราชบริพารจะพากันกระด้างกระเดื่อง บ้านเมืองจะจมอยู่ในความทุกข์ยากและประสบภัยพิบัติอันใหญ่หลวง ดังนั้นผู้ที่ใบหน้ามีลักษณะของพระราชาจะต้องได้เป็นพระราชาแห่งโชซอน

ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1589 (พ.ศ. 2132) หรือปีที่ 22 ในรัชสมัยพระเจ้าซอนโจ


 

พระเจ้าซอนโจฝันถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นขณะยังทรงพระเยาว์ ในตอนนั้น  "เพคคยอง" นักทำนายโหงวเฮ้งประจำราชสำนักทูลพระมเหสีว่า "องค์ชายฮาซอง" (พระเจ้าซอนโจ) มีลักษณะใบหน้าที่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระราชาเพราะจะนำพาความทุกข์ยากมาสู่บ้านเมือง พระมเหสีได้ยินแล้วรู้สึกหนักพระทัยเนื่องจากในตอนนั้นพระราชา (พระเจ้ามยองจง) กำลังประชวรหนักซ้ำยังไม่มีผู้สืบทอดราชบัลลังก์ (องค์ชายฮาซองในวัย 16 ชันษาเป็นผู้มีสิทธิในราชบังลังก์) เพคคยองทูลว่าคำทำนายที่ว่านี้ระบุไว้ในตำรานรลักษณ์ราชา ซึ่งเป็นหนังสือลับเฉพาะที่ว่าด้วยเรื่องโหงวเฮ้งของพระราชา ตนยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อกราบทูลเรื่องนี้ในฐานะที่เป็นนักทำนายโหงวเฮ้ง เขายังบอกด้วยว่าตำราเล่มดังกล่าวเขียนโดยพระภิกษุมูฮักซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งโชซอนหมายนำพาความสงบความเจริญมาสู่ราชวงศ์ ดังนั้น พระมเหสีจึงควรทำตามคำแนะนำที่ระบุไว้ในตำรา

องค์ชายฮาซองถึงกับช็อคเมื่อเพคคยองถือดาบเข้ามายืนตรงหน้าพลางกล่าวว่า จงอย่าคิดหมายปองราชบัลลังก์ เขาชี้ว่าพระองค์เป็นพระราชาไม่ได้มิเช่นนั้นบ้านเมืองจะทุกข์ยากแสนเข็ญ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายและจำเป็นต้องกำจัดองค์ชายฮาซองเพื่ออนาคตของโชซอน ครั้นพอเพคคยองเงื้อดาบ พระเจ้าซอนโจก็ตื่นจากฝันร้าย



ปรากฏว่าในตอนนั้นพระเจ้าซอนโจกำลังนั่งอยู่บนเกี้ยวเพื่อเดินทางไปทอดพระเนตรหมู่บ้านที่มีการแพร่กระจายของโรคระบาด ด้วยความที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเพราะยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ เจ้าหน้าที่จึงนำร่างผู้เสียชีวิตมาเผารวมกัน พระเจ้าซอนโจเห็นเจ้าหน้าที่โยนศพชาวบ้านลงไปในกองเพลิงศพแล้วศพเล่าก็ถึงกับตกตะลึง  มิหนำซ้ำยังมีศพอีกจำนวนหนึ่งถูกโยนลงไปในหลุมขนาดใหญ่เพื่อเตรียมฝังกลบ ขณะที่คนป่วยต่างพากันร้องระงมด้วยความทุกข์ทรมาน ชายผู้หนึ่งถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือดและพยายามคลานเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าซอนโจ "ขันทีซง" พยายามห้ามไม่ให้พระเจ้าซอนโจเข้าไปใกล้ชายคนดังกล่าว แต่พระเจ้าซอนโจกลับเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วจับมือให้กำลังใจชายคนดังกล่าวพลางให้คำมั่นว่าพระองค์จะช่วยชีวิตเขาให้ได้ หลังจากนั้นพระเจ้าซอนโจก็กวาดตามองไปรอบๆ พลางกล่าวว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งราษฎรของตน

ชาวบ้านคนหนึ่งร้องตะโกนว่าพระองค์โกหก ทั้งยังขับไล่พระองค์ออกจากหมู่บ้าน เขากล่าวว่าน้ำในบ่อแห้งขอดมานานแล้ว แถมปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น ถ้าอยากช่วยพวกตนจริงสิ่งแรกที่พระองค์ควรทำคือการนำอาหารมาแจกจ่ายราษฎรที่กำลังอดอยากอย่างพวกตน ชายอีกคนกล่าวเสริมว่าเจ้าหน้าที่นำแต่ยาสมุนไพรราคาถูกและไม่ได้ผลมารักษาพวกตนแบบขอไปที หรือเห็นว่าพวกตนเป็นชนชั้นต่ำจึงคิดกักตัวไว้ที่นี่เพื่อรอความตาย พอรู้ว่านอกจากปัญหาโรคระบาดแล้ว ชาวบ้านที่นี่และที่อื่นๆ ล้วนกำลังจะอดตาย พระเจ้าซอนโจจึงตำหนิเหล่าขุนนางและมีรับสั่งให้เปิดคลังเสบียงในวังหลวงเพื่อนำอาหารมาแจกจ่ายราษฎร เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นจึงต่างพากันแซ่ซ้องในพระมหากรุณาธิคุณ หลังจากนั้นพระเจ้าซอนโจก็เดินเข้าไปบอกชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนว่าพระองค์จะทำพิธีขอฝนเพื่อให้ทุกคนมีน้ำกินน้ำใช้ เหล่าขุนนางจึงเปล่งเสียงแซ่ซ้องในความมีน้ำพระทัย  ขณะที่เหล่าชาวบ้านต่างพากันก้มหน้าเงียบ พระเจ้าซอนโจยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร (รวมทั้งคนที่ขับไล่พระองค์ด้วย) แต่พอเดินออกจากหมู่บ้านได้ไม่กี่ก้าวพระองค์ก็สั่งให้ทหารนำตัวชาวบ้านที่เหิมเกริมและลบหลู่พระองค์ไปสั่งสอนในที่ลับตาคน



ระหว่างเดินทางกลับพระเจ้าซอนโจนึกถึงคำพูดของเพคคยอง (ซึ่งถูกทรมานและโดนควักลูกตาทั้งสองข้างหลังคิดสังหารพระองค์เมื่อหลายปีก่อน) ที่บอกว่าหน้าผากพระราชาเปรียบดังท้องฟ้า ต่ำลงมาคือราษฎร  บริเวณปลายสุด (คาง) บนใบหน้าพระราชาต้องเต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรม หากใบหน้าพระราชามีลักษณะเช่นนี้ราษฎรจะไม่อดอยากยากจน แต่คางที่มีลักษณะแหลมของพระเจ้าซอนโจจะทิ่มแทงร่างกายและจิตใจของราษฎร ดังนั้น จงอย่าหยุดขัดเกลาจิตใจของพระองค์และจงจำคำพูดของตนเอาไว้ให้ดี



องค์ชายควางแฮแกล้งร้องโอดโอยขณะถูกนักทำนายโหงวเฮ้งประจำราชสำนัก นามว่า "โกซาน" ฝังเข็มบนใบหน้า ครั้นพอเห็นขันที "อิม ยองชิน" มีทีท่าตื่นตระหนก องค์ชายควางแฮก็หัวเราะชอบใจ พระองค์บอกขันทีอิมหลายครั้งแล้วว่าการฝังเข็มไม่เจ็บเลยสักนิด แต่ขันทีอิมยังคงตกใจกลัวจนแทบฉี่ราดทุกครั้งเวลาที่พระองค์แกล้งเจ็บ ขันทีอิมจึงบอกตรงๆ ต่อหน้าโกซานว่า ที่ตนหวาดระแวงเป็นเพราะคนที่ฝังเข็มให้องค์ชายไม่ใช่หมอ ตนเลยกลัวว่าจะฝังเข็มผิดตำแหน่งจนทำให้องค์ชายได้รับอันตราย แต่องค์ชายควางแฮซึ่งมีเข็มหลายเล่มปักอยู่บนใบหน้ากลับไม่รู้สึกเป็นกังวล เพราะเชื่อว่านักทำนายโหงวเฮ้งเก่งๆ อย่างโกซานย่อมมีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องจุดฝังเข็มและตำแหน่งต่างๆ บนใบหน้ามากกว่าหมอธรรมดา เมื่อนางในแจ้งว่าพระเจ้าซอนโจเสด็จกลับตำหนักแล้ว โกซานจึงขอตัวไปเข้าเฝ้าโดยบอกให้องค์ชายควางแฮนอนนิ่งๆ อีกสักพัก องค์ชายควางแฮจะตามไปเข้าเฝ้าพระบิดาด้วย แต่โกซานไม่ยอมให้ไปโดยให้เหตุผลว่าองค์ชายต้องฝังเข็มตามคำสั่งของพระเจ้าซอนโจ


พระเจ้าซอนโจถึงกับควันออกหูเมื่อรู้ว่าโกซานยังทำงานไม่สำเร็จ และกล่าวว่าที่ตนให้โกซานซึ่งเคยเป็นนักทำนายโหงวเฮ้งข้างถนนเข้ามาทำงานรับใช้ในวัง เป็นเพราะเขาได้พูดในสิ่งที่นักทำนายโหงวเฮ้งคนอื่นๆ ไม่เคยพูด  ครั้งหนึ่งเขาเคยทูลว่าหากพระองค์ได้ผู้หญิงที่ (โหงวเฮ้ง) มีลักษณะดีและส่งเสริมดวงชะตามาเป็นพระสนม ชะตาของบ้านเมืองและของพระองค์จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พระองค์จึงเฝ้ารอพระสนมคนใหม่ แต่รอแล้วรอเล่าโกซานก็ยังหาผู้หญิงที่มีลักษณะดังกล่าวไม่พบ พระองค์อดทนรอต่อไปไม่ไหวจึงลั่นวาจาว่าจะให้เวลาโกซานอีกเพียง 1 เดือน หากครบ 1 เดือนแล้วยังหาไม่พบเขาจะต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง 

เมื่อถูกถามเรื่ององค์ชายควางแฮ โกซานจึงทูลว่าตนทำตามพระบัญชาโดยฝังเข็มลงบนใบหน้าขององค์ชายควางแฮทุกวัน และองค์ชายควางแฮยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ พระเจ้าซอนโจได้ยินดังนั้นจึงเปรยว่ามังกรสองตัวอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้ จากนั้นก็บอกโกซานว่าต่อให้ต้องใช้ครอบแก้วร่วมกับการฝังเข็มก็ต้องเปลี่ยนโหงวเฮ้งบนใบหน้าขององค์ชายควางแฮให้ได้ เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้องค์ชายควางแฮมีชีวิตอยู่ต่อไป (พระองค์เห็นองค์ชายควางแฮเป็นหอกข้างแคร่ เพราะองค์ชายมีโหงวเฮ้งพระราชา)



แท้จริงแล้วองค์ชายควางแฮเองก็สงสัยว่าทำไมตนถึงต้องรับการฝังเข็มบนใบหน้าทุกวัน พระองค์จึงเข้าไปในหอตำราหลวงเพื่ออ่านตำรานรลักษณ์ โดยนำกระจกเข้าไปส่องหน้าตนเองเพื่อเป็นการเปรียบเทียบด้วย และนั่นก็ทำให้พระองค์พบว่าตนเองมีโหงวเฮ้งที่ดี ในตำราระบุว่าคนที่มีใบหน้าลักษณะนี้เป็นผู้ที่เกิดมามีบุญวาสนา ภายหน้าจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และยึดมั่นในคุณธรรมทำให้ผู้คนเชื่อถือศรัทธา พอรู้ว่าพระบิดาต้องการทำลายโหงวเฮ้งที่ดีบนใบหน้าของตน องค์ชายควางแฮก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจ ในเวลาเดียวกันนั้นนักฆ่าสองคนได้บุกเข้ามาในวังโดยลอบฆ่าทหารยามที่ยืนประจำการหน้าหอตำราหลวง จากนั้นก็สวมรอยเป็นทหารยามแล้วเข้าไปค้นหาอะไรบางอย่างทางด้านใน เมื่อหนึ่งในนั้นทำหนังสือตก องค์ชายควางแฮซึ่งเผลอหลับภายในหอตำราหลวงจึงรู้สึกตัว ทำให้เกิดการเผชิญหน้าและต่อสู้กับสองนักฆ่า แม้จะไม่มีอาวุธมาต่อกรกับคนร้ายแต่องค์ชายควางแฮก็มีทักษะในการต่อสู้และรู้จักทางหนีทีไล่ จึงรอดพ้นคมดาบมาได้อย่างฉิวเฉียด แถมยังจับหนึ่งในสองคนร้ายได้

องค์ชายควางแฮพยายามคาดคั้นคนร้ายว่าเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่ แต่คนร้ายฉวยโอกาสหลบหนีไปเสียก่อน องค์ชายควางแฮจึงออกไล่ล่าอย่างไม่ลดละและตะครุบตัวได้ในที่สุด ถึงกระนั้นคนร้ายก็ยังไม่ยอมจำนนและชักมีดสั้นออกมาสู้ แต่องค์ชายก็สามารถปลดอาวุธและล็อคตัวคนร้ายด้วยการบิดแขน (องค์ชายเหลือบเห็นรอยสักเป็นจุดเล็กๆ 5 จุดบนแขนคนร้ายจึงนึกสงสัยว่าหมายถึงอะไรกันแน่) คนร้ายเห็นเหล่าทหารวิ่งตรงมาทางตน จึงฉวยโอกาสตอนที่องค์ชายเผลอก้มหยิบมีดสั้นแล้วจับองค์ชายเป็นตัวประกัน




หัวหน้าหน่วยทหารยามเห็นดังนั้นจึงส่งสัญญาณให้ทหารของตนยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ จากนั้นก็เล็งธนูไปที่คนร้ายซึ่งหลบอยู่ทางด้านหลังองค์ชายควางแฮ องค์ชายควางแฮสั่งให้หัวหน้าหน่วยยิงธนูแล้วจับตัวคนร้ายให้ได้โดยไม่ต้องเป็นห่วงตน แต่หัวหน้าหน่วยยังคงลังเลจึงได้แต่เล็งธนูใส่ เมื่อพระเจ้าซอนโจมาถึงจึงสั่งให้หัวหน้าหน่วยคนดังกล่าวยิงธนูใส่คนร้ายทันที ขันทีซงแย้งว่าองค์ชายควางแฮกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่พระเจ้าซอนโจยังคงยืนกรานให้ยิงโดยบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงองค์ชาย องค์ชายควางแฮได้ยินดังนั้นก็ถึงกับน้ำตาคลอ พระเจ้าซอนโจเห็นทหารไม่กล้ายิงจึงแย่งธนูมาเล็งใส่คนร้ายท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายควางแฮ) เมื่อเห็นว่าคนร้ายกำลังจะใช้มีดสั้นเชือดคอองค์ชาย พระเจ้าซอนโจจึงยิงธนูใส่มือคนร้ายทันที หลังธนูพุ่งผ่านศีรษะไปอย่างฉิวเฉียดองค์ชายควางแฮก็ถึงกับเข่าอ่อน



พระเจ้าซอนโจขยับเข้าไปหาองค์ชายควางแฮ (แต่ยังคงรักษาระยะห่าง) และยืนจ้ององค์ชายซึ่งยังคงช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น องค์ชายควางแฮพยายามตั้งสติแล้วรวบรวมกำลัง (และความกล้า) ลุกขึ้นทักทายพระบิดาแบบฝืนๆ เมื่อถูกถามว่าไปทำอะไรที่หอตำราหลวงกลางดึก องค์ชายควางแฮจึงทูลว่าตนนอนไม่หลับเลยไปนั่งอ่านหนังสือ เมื่อพระเจ้าซอนโจหันหลังกลับองค์ชายควางแฮก็เข่าอ่อนและทรุดตัวลงอีกครั้งทันที ขันทีอิมเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงและช่วยประคององค์ชายกลับตำหนัก หลังหายตกใจแล้วองค์ชายควางแฮก็นึกขึ้นได้ว่าคนร้ายไม่ได้มีเพียงคนเดียว พระองค์จึงหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องไต่สวนและทรมานนักโทษทันที



เมื่อไปถึงองค์ชายควางแฮก็พบว่าพระเจ้าซอนโจกำลังไต่สวนคนร้ายด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงแอบดูอยู่ห่างๆ ที่บริเวณชั้นบน หลังถูกทรมานอย่างหนักในที่สุดนักฆ่าก็ยอมสารภาพว่าตนลักลอบเข้าไปในหอตำราหลวงเพื่อขโมยตำรานรลักษณ์ราชา จะได้นำมาเป็นหลักฐานยืนยันว่าใบหน้าของพระเจ้าซอนโจไม่มีโหงวเฮ้งที่คู่ควรเป็นพระราชา เมื่อถูกถามว่าใครเป็นคนบงการ นักฆ่าคนดังกล่าวอ้างว่าพระราชาในอนาคตส่งตนมาที่นี่เพื่อกู้วิกฤติให้ชาวโชซอน เขากล่าวว่าที่ชาวโชซอนตกอยู่ในสภาพอดอยาก หิวโหย ต้องเจอกับเภทภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำยังต้องเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรง เป็นเพราะคนที่ไม่คู่ควรเป็นพระราชาอย่างพระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ พวกตนต้องการพระราชาองค์ใหม่เพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมือง และตำรานรลักษณ์ราชาจะช่วยให้พวกตนตรวจสอบได้ว่าใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะขึ้นครองบัลลังก์

หลังฟังคำพูดทิ่มแทงใจดำพระเจ้าซอนโจก็รู้สึกโกรธ พระองค์จึงหยิบดาบของหัวหน้าหน่วยมาสังหารนักฆ่าทันที พระองค์เลื่อนขั้นหัวหน้าหน่วยให้เป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ก่อนสั่งให้ค้นตัวคนร้ายเพื่อตรวจสอบดูว่าเป็นใครจะได้สืบหาผู้บงการ หลังจากนั้นพระองค์ก็สั่งให้ฆ่าทหารยามทุกคนที่รู้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ องค์ชายควางแฮซึ่งเข้าไปหลบอยู่ในห้องข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจแลหวาดกลัว ครั้นพอเห็นทหารที่พยายามหลบหนีโดนฆ่าตายต่อหน้าอย่างเหี้ยมโหดองค์ชายควางแฮก็ถึงกับช็อค



หลังผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาตลอดทั้งคืน องค์ชายควางแฮก็เดินกลับตำหนักอย่างอ่อนแรง แต่แล้วกลับพบว่าพระเจ้าซอนโจมาดักรอที่กลางทาง หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็เข้าไปอบตัวในห้องอบไอน้ำด้วยกัน หลังพูดถึงพระมารดาผู้ล่วงลับขององค์ชายควางแฮซึ่งเป็นสนมคนโปรดของตนแล้ว พระเจ้าซอนโจก็ถามองค์ชายตรงๆ ว่ารู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในห้องไต่สวนหรือไม่ แม้องค์ชายควางแฮจะปฏิเสธหนักแน่นว่าตนไม่รู้ไม่เห็น แต่พระเจ้าซอนโจรู้ว่าองค์ชายควางแฮอยู่ที่นั่น พระองค์จึงเตือนองค์ชายว่าถ้าไม่อยากให้ใครล่วงรู้ความลับก็ต้องระวังให้มากกว่านี้ (พระเจ้าซอนโจเรียกองค์ชายควางแฮว่า "ฮุน" เพราะชื่อจริงขององค์ชายคือ "อีฮุน")  หลังจากนั้นพระเจ้าซอนโจก็บอกองค์ชายควางแฮในใจว่า การใช้ชีวิตแบบสงบนิ่งดุจก้อนหิน (ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงหรือทะเยอทะยาน) เป็นชะตาและทางรอดเดียวขององค์ชาย ขณะที่องค์ชายควางแฮบอกพระเจ้าซอนโจในใจว่า อย่ากังวลเพราะตนจะใช้ชีวิตในฐานะข้าราชบริพารของพระองค์เท่านั้น

เมื่อกลับมาถึงตำหนักองค์ชายควางแฮก็นึกสงสัยว่าตำรานรลักษณ์ราชาที่คนร้ายกล่าวถึงคืออะไร พระองค์อยากแบ่งเบาภาระพระบิดาจึงบอกขันทีอิมให้ไปเตรียมตัว เพราะถ้าฟ้าสางเมื่อไหร่พวกตนจะออกไปจับขโมยด้วยกัน ขันทีอิมสงสัยว่าองค์ชายควางแฮจะจับขโมยด้วยวิธีไหน องค์ชายควางแฮจึงวาดจุดห้าจุด (รอยสักบนแขนนักฆ่า) ลงบนกระดาษแล้วบอกขันทีอิมด้วยความมั่นใจว่านี่คือวิธีที่ตนจะใช้จับขโมย




ขันทีอิมนำภาพรอยสักห้าจุดที่องค์ชายควางแฮวาดไปถามเจ้าของร้านหนังสือว่าเคยเห็นสัญลักษณ์นี้บนหนังสือเล่มใดหรือไม่แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ ขันทีอิมจึงบอกองค์ชายว่าการจับขโมยด้วยวิธีนี้ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรซึ่งองค์ชายเองก็เห็นด้วย เมื่อหันไปเห็นบัณฑิตหนุ่มหน้ามนคนหนึ่ง ("คิม กาฮี" ปลอมตัวเป็นผู้ชาย) ยืนอ่านหนังสืออยู่ในร้าน องค์ชายควางแฮถึงกับยืนตะลึง ขันทีอิมเห็นดังนั้นจึงสงสัยว่าองค์ชายเป็นอะไร องค์ชายควางแฮปฏิเสธว่าไม่มีอะไรและถามขันทีอิมว่าที่ไหนมีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด เมื่อขันทีอิมบอกว่าท่าเรือมาโพ องค์ชายควางแฮจึงรีบรุดไปที่นั่นทันที ครั้นพอองค์ชายเดินจากไป บัณฑิตหนุ่มหน้ามนคนดังกล่าวก็มองตามองค์ชายด้วยความสนใจ อยู่ๆ องค์ชายควางแฮก็หยุดเดินและหันกลับไปมองที่ร้านหนังสือ สายตาของทั้งคู่จึงจับจ้องที่กันและกัน



เมื่อไปถึงท่าเรือมาโพองค์ชายควางแฮก็เรียกร้องความสนใจจากผู้คนด้วยการสวมบทเป็นนักทำนายโหงวเฮ้ง ส่วนขันทีอิมแกล้งปลอมตัวเป็นลูกค้าและชมไม่หยุดปากว่าทำนายแม่นมาก ทำให้เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูแย่งกันขอรับคำทำนาย  ("คิม กาฮี" ซึ่งยืนดูอยู่ห่างๆ เห็นดังนั้นก็ทำหน้าเบ้ เพราะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง) องค์ชายควางแฮเห็นชาวบ้านทะเลาะกันจึงประกาศว่านับจากนี้ตนจะทำนายโหงวเฮ้งโดยไม่คิดเงิน พระองค์ชูกระดาษที่มีจุด 5 จุดให้ทุกคนดูพลางกล่าวต่อว่า แต่ตนจะทำนายให้เฉพาะคนที่รู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรเท่านั้น เหล่าชาวบ้านจึงพากันเดาว่าเป็นรอยเท้าหมีบ้าง รอยโรคฝีดาษบ้าง

"คิม กาฮี" กล่าวว่าตนรู้จักสัญลักษณ์ดังกล่าว องค์ชายควางแฮจึงรีบถามว่าสัญลักษณ์นี้หมายความว่าอะไร แต่กาฮีตั้งเงื่อนไขว่าต้องทำนายโหงวเฮ้งให้ตนก่อนแล้วตนจึงจะบอก จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปหาองค์ชาย ทำให้องค์ชายรู้สึกประหม่า หลังองค์ชายทำนายลักษณะของคิ้วแบบส่งเดช กาฮีก็แย้งให้ทุกคนได้ยินว่าตนไม่ได้เป็นดั่งที่องค์ชายพูดเลยสักนิด จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมพลางถามว่าจมูกและปากของตนเป็นอย่างไร องค์ชายทั้งประหม่าและหวั่นไหวขณะพิจารณาแต่ละส่วนบนใบหน้าของกาฮี ขณะที่กาฮีจ้องจับผิดและคิดที่จะแฉว่าองค์ชายเป็นพวกลวงโลก


ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้าย เพราะในขณะที่องค์ชายควางแฮกำลังถูกกาฮีต้อนให้จนมุม อยู่ๆ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ถือท่อนไม้บุกมาเอาเรื่องถึงที่ โทษฐานที่บังอาจทำมาหากินในถิ่นตนโดยไม่ได้รับอนุญาติ องค์ชายเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งหนี แต่เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับสถานที่เลยทำให้หนีไม่พ้นเสียทีเพราะวิ่งหนีไปเจอทางตันหลายครั้ง โชคดีที่กาฮีดึงตัวองค์ชายเข้าไปหลบในโรงเก็บของได้ทันเวลา กาฮีบอกองค์ชายควางแฮว่าพวกนั้นเป็นขาใหญ่ประจำท่าเรือมาโพ เขากล้ามากที่ตั้งโต๊ะทำนายโดยไม่ยอมจ่ายค่าที่ องค์ชายควางแฮกล่าวตนไม่ได้เรียกเก็บเงินเลยนึกว่าไม่เป็นไร กาฮีถามว่าถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเขาปลอมตัวเป็นนักทำนายโหงวเฮ้งแล้วนำ 'กลุ่มดาว' มาเป็นเหยื่อล่องั้นหรือ องค์ชายควางแฮได้ยินคำว่า 'กลุ่มดาว' ก็หูผึ่ง จึงสงสัยว่ากาฮีรู้ความหมายของจุด 5 จุดจริงหรือ กาฮีกล่าวว่าจุดทั้ง 5 คือตำแหน่งของกลุ่มดาวพระราชา ดาวสี่ดวงที่อยู่รอบนอกเป็นดาวข้าราชบริพารประจำทิศทั้งสี่ซึ่งมีหน้าที่คอยปกป้องดาวพระราชาที่อยู่ตรงกลาง องค์ชายควางแฮดีใจที่ไขปริศนาได้จึงดึงมือกาฮีมาจับพลางขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ (กาฮีรีบชักมือออกด้วยความตกใจ) จากนั้นก็รีบถามว่าที่ไหนมีสัญลักษณ์รูปกลุ่มดาวดังกล่าวบ้าง และที่ตัวกาฮีมีหรือเปล่า หากมีช่วยเปิดให้ดูตนดูหน่อย กาฮีรู้สึกอายจึงรีบปฏิเสธแล้วเดินหนีไป


หลังถูกพระเจ้าซอนโจบีบให้รีบหาตัวหญิงสาวที่จะมาช่วยเสริมโหงวเฮ้งให้พระองค์ภายในหนึ่งเดือน โกซานจึงไปดูตัวเด็กสาวบริสุทธิ์ที่เพิ่งถูกซื้อตัวมาอยู่หอนางโลม แต่แล้วกลับพบว่าเด็กสาวคนดังกล่าวไร้วาสนาเพราะโหงวเฮ้งบนใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นได้แค่นางโลม โกซานรู้สึกหนักใจเพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาแทบพลิกแผ่นดินหาหญิงสาวที่คู่ควรเป็นพระสนมแต่ก็ยังหาไม่พบ ตอนนี้พระเจ้าซอนโจยื่นคำขาดว่าต้องหาให้เจอภายในหนึ่งเดือน ขืนยังทำไม่สำเร็จอีกมีหวังได้จบชีวิตแน่ ทันใดนั้นเขาก็หันไปเห็นกาฮี (ซึ่งปลอมตัวเป็นชาย) เดินผ่านมา แม้บริเวณนั้นจะมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ออร่าของกาฮีก็เปล่งประกายโดดเด่นจนโกซานถึงกับจ้องมองจนเหลียวหลัง เมื่อเห็นว่าใบหน้าของกาฮีมีลักษณะเด่นตรงตามที่ต้องการ เขาจึงรีบวิ่งตามไปแต่ก็คลาดกันจนได้ โกซานทั้งเสียดายและเจ็บใจตัวเองที่ตามกาฮีไม่ทันทั้งๆ ที่สู้อุตส่าห์ออกตามหามานาน ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่าคนที่เขาวิ่งตามเมื่อครู่เป็นบัณฑิตหนุ่ม เขาก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมโหงวเฮ้งของพระสนมจึงไปปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มแทนที่จะเป็นหญิงสาว


เสนาบดี "ลี ซานแฮ"  เรียกร้องให้พระเจ้าซอนโจสืบหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอตำราหลวง เพราะตนได้ยินมาว่าองค์ชายควางแฮเกือบเอาชีวิตไม่รอด "ยูซึง" กล่าวเสริมว่าคนร้ายอาจลักลอบเข้ามาเพื่อทำร้ายองค์ชายควางแฮ ดังนั้นจึงควรสืบหาโดยละเอียดว่าทำไมคนร้ายถึงบุกเข้ามาในวังและใครที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ "คิม ดูซอ" (พ่อของกาฮี) ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ พระเจ้าซอนโจไม่อยากให้มีการสืบสาวราวเรื่อง ทั้งยังรู้สึกไม่พอใจที่สองขุนนางใหญ่เป็นห่วงองค์ชายควางแฮจนออกนอกหน้าราวกับองค์ชายควางแฮเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ จึงถามว่าเรื่องขององค์ชายควางแฮสำคัญกว่าเรื่องของบ้านเมืองงั้นหรือ เหล่าขุนนางในท้องพระโรงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งและมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

พระเจ้าซอนโจแกล้งยอมรับว่าตนไม่คู่ควรเป็นพระราชาเพราะปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ในเมื่อทุกคนอยากเร่งแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาท ตนก็จะเตรียมส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่าง (บัลลังก์) ให้กับองค์ชายรัชทายาทที่ทุกคนต้องการเสียเลย เสนาบดีลีได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี จึงรีบนำทุกคนคุกเข่าแล้วขอร้องให้พระองค์ถอนรับสั่งโดยอ้างว่าไม่มีใครมาแทนที่พระองค์ได้  พระเจ้าซอนโจจึงกล่าวว่าในเมื่อทุกคนคิดเช่นนั้นตนก็ไม่มีทางเลือก (เลยจำเป็นต้องเป็นพระราชาต่อไป)  หลังจากนั้น พระเจ้าซอนโจก็เริ่มว่าราชการโดยบอกทุกคนว่าพระองค์จะทำพิธีขอฝนเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งและอดอยากมานาน ดังนั้นในวันงานขุนนางทุกคนจะต้องพาลูกชายที่อายุยังไม่ถึง 19 ปี (ยังไม่ได้เข้าพิธีเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กเป็นผู้ใหญ่) มาร่วมทำพิธีด้วย เพราะคราวนี้พระองค์จะต้องทำให้ฝนตกให้ได้



เสนาบดีลีนำเรื่องที่พระเจ้าซอนโจตรัสว่าจะสละราชสมบัติหลังแต่งตั้งองค์รัชทายาทมาเล่าให้ "พระสนมคิม" ฟังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ พระเจ้าซอนโจถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา พระสนมคิมจึงชี้ว่าพระเจ้าซอนโจต้องการทดสอบความจงรักภักดีของเสนาบดีลีและเหล่าขุนนาง

"พระมเหสีอึยอิน" เองก็คิดเช่นนั้น พระองค์จึงบอก "องค์ชายอิมแฮ" (พระโอรสองค์โตในพระเจ้าซอนโจ) ว่าพระเจ้าซอนโจต้องการตรวจสอบดูว่ามีขุนนางคนไหนที่คิดไม่ซื่อบ้าง แต่องค์ชายอิมแฮอดทนรอต่อไปอีกไม่ไหวเลยคิดใช้โอกาสนี้เร่งให้พระมเหสีช่วยผลักดันตนขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาท พระมเหสีจึงเตือนองค์ชายอิมแฮว่าในเมื่อพระเจ้าซอนโจมีท่าทีเช่นนี้ องค์ชายอิมแฮยิ่งต้องระวังและอดทนให้มากขึ้น เพราะคนที่พระเจ้าซอนโจต้องการทดสอบความจงรักภักดีคงไม่ได้มีเพียงเหล่าขุนนาง องค์ชายอิมแฮแย้งอย่างมีอารมณ์ว่า จะให้ตนนิ่งเฉยได้อย่างไรในเมื่อโอรสองค์โตทุกพระองค์ในราชวงศ์โชซอนจะมีจุดจบที่น่าอนาถหากไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์

พระสนมคิมเดาออกว่าองค์ชายอิมแฮซึ่งเป็นคนใจร้อนวู่วามจะต้องคิดว่านี่เป็นโอกาส ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสิ่งที่พระเจ้าซอนโจตรัสในท้องพระโรงเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น เสนาบดีลีรู้สึกหนักใจที่จนป่านนี้แล้วยังไม่มีการแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทเสียที ทันใดนั้น เขาก็นึกสงสัยว่าหากคนร้ายเป็นขโมยจริง ทำไมถึงพุ่งเป้าไปที่หอตำราหลวงแทนที่จะเป็นคลังเสบียง พระสนมคิมจึงแนะเสนาบดีลีว่าหากพระเจ้าซอนโจมีพระประสงค์ที่จะปกปิดสิ่งใด จงอย่าขุดคุ้ยและควรช่วยพระองค์เก็บงำความลับนั้นไว้ เสนาบดีลีได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจสถานการณ์ ถึงกระนั้นพระสนมคิมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมตอนนั้นองค์ชายควางแฮถึงได้อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นในวังองค์ชายควางแฮมักอยู่ที่นั่นเสมอ


ในขณะที่กาฮีกำลังตักข้าวต้มแจกจ่ายให้เหล่าชาวบ้านผู้หิวโหย เธอก็ตกใจราวกับเห็นผีเมื่อเห็นองค์ชายควางแฮยืนอยู่ตรงหน้าแถมยังถือชามข้าวมาขอรับข้าวต้มด้วย เมื่อกาฮีบอกว่าข้าวต้มที่เธอแจกจ่ายไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่สวมชุดผ้าไหมราคาแพง องค์ชายควางแฮจึงแย้งว่านี่เป็นข้าวต้มสำหรับผู้หิวโหยไม่ใช่หรือ หลังจากนั้นองค์ชายควางแฮและขันทีอิมก็ร้องขอข้าวต้มโดยบอกตอนนี้พวกตนหิวมาก กาฮีจึงตักให้อย่างเสียไม่ได้ ที่แท้องค์ชายตามมาพบกาฮีถึงที่นี่เพื่อขอดูแผนภูมิดาราศาสตร์ (เขาอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มดาวพระราชา) แม้กาฮีจะปฏิเสธหนักแน่นว่าตนไม่มี แต่องค์ชายยังไม่ปักใจเชื่อ

ทันใดนั้นก็มีคนร้องตะโกนว่าเกิดโรคระบาดหลังชายคนหนึ่งมีอาการชักขณะกำลังทานข้าวต้ม ทำให้ชาวบ้านที่กำลังทานข้าวต้มอยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันแตกตื่นและถอยหนี มีเพียงองค์ชายควางแฮที่กล้าเข้าไปดูอาการของชายที่กำลังนอนชักและมีน้ำลายฟูมปาก ขันทีอิมรีบตามไปห้ามเพราะเกรงว่าองค์ชายจะติดเชื้อ แต่องค์ชายชี้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้ป่วยเป็นโรคระบาดเพราะผู้ที่ติดโรคระบาดจะอาเจียนเป็นเลือด และทุกคนที่ติดเชื้อได้ถูกส่งตัวไปกักกันโรคที่ฮวาลอินซอ (หน่วยแพทย์ที่ตั้งอยู่นอกเมือง) แล้ว เมื่อเห็นว่ากาฮีมัวแต่ยืนตะลึงองค์ชายควางแฮจึงสั่งให้รีบไปตามหมอ


หลังตามหมอมาตรวจวินิจฉัยอาการของชายคนดังกล่าวแล้ว กาฮีก็เดินมาบอกองค์ชายควางแฮว่าชายคนดังกล่าวชักขณะทานข้ามต้มเนื่องจากร่างกายของเขาขาดอาหารมานาน เมื่อกาฮีกล่าวขอบคุณ องค์ชายจึงขอดูแผนภูมิดาราศาสตร์เพื่อเป็นการตอบแทน กาฮีสงสัยว่าทำไมองค์ชายถึงสนใจสัญลักษณ์รูปกลุ่มดาวมากมายขนาดนี้ องค์ชายควางแฮจึงบอกว่าตนเห็นรอยสักรูปกลุ่มดาวบนแขนของขโมยที่บุกเข้าบ้านตนเมื่อไม่นานมานี้ ตนเลยต้องการสืบหาความหมายของรอยสักดังกล่าวเพราะนั่นเป็นเบาะแสเดียวในการตามจับคนร้าย หลังได้ฟังเหตุผลของชายแล้วกาฮีจึงหยิบหนังสือออกมาจากเสื้อแล้วเปิดหน้าที่มีภาพวาดรูปกลุ่มดาวพระราชาให้องค์ชายดู ครั้นพอเห็นกับตาองค์ชายจึงมั่นใจว่าเป็นรูปเดียวกัน ด้วยความที่ไม่เคยเห็นหนังสือเกี่ยวกับกลุ่มดาวลักษณะนี้มาก่อนองค์ชายควางแฮจึงสงสัยว่าใครเป็นคนบันทึกข้อมูลลงในหนังสือเล่มนี้ กาฮีรีบปฏิเสธว่าตนไม่รู้ เมื่อองค์ชายขอยืมหนังสือไปอ่านชั่วคราว กาฮีจึงรีบแย่งหนังสือกลับคืนมา



เมื่อทาสรับใช้มาเตือนว่าพ่อของเธอกำลังมา กาฮีจึงทั้งผลักและดันองค์ชายควางแฮให้ออกไปจากบริเวณบ้านแต่พ่อของเธอมาพบเข้าเสียก่อน แม้องค์ชายจะปลอมตัวเป็นสามัญชนแต่พ่อของกาฮีจำองค์ชายได้ ขณะที่องค์ชายควางแฮเองก็จำได้เช่นกันว่าพ่อของกาฮีคือรองเจ้ากรมอักษร ใต้เท้าคิม (พ่อกาฮี) ตำหนิกาฮีที่เผลอทำตัวเหมือนผู้หญิงตอนที่อยู่กับองค์ชาย กาฮีจึงรับปากว่าต่อไปเธอจะระวังให้มากกว่านี้ เมื่อใต้เท้าคิมกล่าวว่าจงอย่าโทษโชคชะตาที่ไม่สามารถใช้ชีวิตเยี่ยงสตรี กาฮีก็แย้งด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่าที่เธอทำตัวเป็นชายไม่ได้เป็นเพราะหวาดกลัวโชคชะตา แต่เป็นเพราะรู้สึกผิดต่อพี่ชายที่ต้องมาตายเพราะเธอ เธอบอกพ่อว่าอย่ากังวล สักวันหนึ่งเธอจะลืมจนหมดสิ้นว่าตนเองเป็นผู้หญิง และจะใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายเต็มตัว เมื่อรู้ว่าเธอต้องเข้าวังเพื่อไปร่วมพิธีขอฝนในฐานะลูกชายคนเดียวของครอบครัวกาฮีก็รู้สึกตกใจ ขณะที่ใต้เท้าคิมเองก็หนักใจเช่นกัน ด้วยความที่ไม่อาจขัดพระบัญชาใต้เท้าคิมจึงเตือนกาฮีว่าผู้ชายที่อยู่กับเธอเมื่อสักครู่คือองค์ชายควางแฮ  เมื่อเข้าวังแล้วต้องระวังอย่าให้องค์ชายจำเธอได้และอย่าเผยตัวว่าเป็นหญิงโดยเด็ดขาด



กาฮีมองหยกที่พกติดตัวตลอดเวลาพลางบอกตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า โชคดีที่องค์ชายควางแฮลืมเธอไปแล้ว แต่เธอกลับไม่อาจลืมองค์ชายถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตในฐานะผู้ชายแล้วก็ตาม เธอนึกถึงตอนที่แม่พาไปวัดสมัยยังเป็นเด็กแล้วได้พบองค์ชายควางแฮเป็นครั้งแรก วันนั้นเธอร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์พลางกล่าวว่าพี่ชายของเธอตายเพราะติดโรคหลังช่วยดูแลเธอซึ่งล้มป่วยด้วยโรคระบาด เธอรู้สึกผิดที่พี่ชายต้องมาตายแทนตนและไม่รู้สึกขอบคุณเลยสักนิดที่รอดชีวิตมาได้ เธออธิษฐานขอให้ได้พบพี่ชายอีกสักครั้งเพราะมีเรื่องบางอย่างจะบอก องค์ชายควางแฮซึ่งแอบดูอยู่ทางด้านหลังรูปปั้นพระโพธิสัตว์รู้สึกสงสาร เลยสวมรอยเป็นพระโพธิสัตว์แล้วพูดกับเธอว่า พี่ชายของเธอฝากบอกว่าอย่าร้องไห้ เขาได้ยินที่เธอพูดทั้งหมด หากเธอมีอะไรอยากบอกก็จงพูดมา กาฮีจึงฝากบอกพี่ชายว่าขอโทษ เธอจะไม่มีวันลืมเขา และขอบคุณทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อเธอ  องค์ชายควางแฮได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า พี่ชายของเธอก็ฝากขอบคุณที่เธอยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน

หลังจากนั้นกาฮีก็นึกถึงวันสุดท้ายที่ได้พบกับองค์ชาย ในตอนนั้นองค์ชายควางแฮมาบอกลาและได้มอบจี้หยก (ที่มีรอยกรีดเป็นรูปดาว) ให้กาฮีก่อนจากกัน พลางบอกว่าในยามที่ตนไม่ได้อยู่เคียงข้างกาฮี ดาวดวงนี้จะช่วยปกป้องเธอ องค์ชายสัญญาว่าจะกลับมาพบเธออีกครั้งและขอให้เธอรอ นึกถึงตอนนั้นแล้วกาฮีได้แต่ทอดถอนใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือเดี๋ยวนี้องค์ชายก็ยังชอบโกหกเหมือนเดิม ขณะอาบน้ำกาฮีนึกถึงตอนที่พระบอกเธอว่านับจากนี้เธอต้องใช้ชีวิตในฐานะผู้ชาย เพราะลักษณะบนใบหน้าบ่งบอกว่าเธอมีวาสนากับสองมังกร (พระราชา 2 องค์) เพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมดังกล่าวเธอจึงไม่อาจใช้ชีวิตเยี่ยงผู้หญิงได้อีกต่อไป กาฮีกำจี้หยกแน่นพลางปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าเธอไม่อยากใช้ชีวิตในฐานะผู้ชาย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี




กาฮีเข้าร่วมพระราชพิธีขอฝนโดยสวมชุดแบบเดียวกันกับลูกชายเหล่าขุนนาง ถึงกระนั้นองค์ชายควางแฮก็ยังจำเธอได้ เธอกลัวว่าตัวตนจะถูกเปิดเผยจึงก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นไปเทน้ำใส่โอ่งขนาดยักษ์ (ที่ภายในมี "ซ็อกช็อก" หรือสัตว์เลื้อยคลานประเภทตุ๊กแก ซึ่งใช้เป็นตัวแทนมังกรในพิธีขอฝน) อย่างเร่งรีบ ทำให้เดินชนเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มคนดังกล่าวจึงล้มลงไปชนโอ่งสำหรับทำพิธีจนโอ่งตกจากที่ตั้งและแตกกระจาย และนั่นก็ทำให้กาฮีซึ่งยืนโดดเด่นอยู่บนเวทีตกเป็นเป้าสายตา โกซานจำได้ทันทีว่ากาฮีคือคนที่เขาเจอในตลาดและคลาดกันก่อนหน้านี้ หลังเพ่งพิศโหงวเฮ้งบนใบหน้าของกาฮีและพระเจ้าซอนโจแล้วเขาก็มีสีหน้าพึงพอใจ เพราะกาฮีคือคนที่จะมาช่วยเสริมลักษณะที่บกพร่องบนใบหน้าของพระเจ้าซอนโจ เธอจะทำให้โหงวเฮ้ง ตลอดจนดวงชะตาของพระองค์และบ้านเมืองเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี พระเจ้าซอนโจจะกลายเป็นพระราชาที่น่าเกรงขามแต่ไม่โหดเหี้ยม ทั้งยังหลักแหลม เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และสามารถเป็นที่พึ่งพิงของประชาชน ทำให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธา... ในที่สุด โกซานก็พบใบหน้าที่เฝ้าตามหามาแรมปี




* เนื้อหาโดย luvasianseries / ภาพจาก เอสบีเอส

นักแสดงนำ


ซอ อินกุก
รับบท องค์ชายควางแฮ



โช ยุนฮี
รับบท คิม กาฮี



ลี ซองแจ
รับบท พระเจ้าซอนโจ



ชิน ซองรก
รับบท คิม โดชิ



คิม คยูรี
รับบท ควีอินคิม  (พระสนมขั้นควีอินจากตระกูลคิม)






รวมคลิปเบื้องหลังจากเคบีเอส

*** หากท่านเป็นเจ้าของลิขสิทธิภาพ / เนื้อหา / คลิป ที่ปรากฏในหน้านี้ และไม่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ซ้ำ กรุณาแจ้งมายังอีเมล์ luvasianseries@hotmail.com เพื่อที่เราจะได้ทำการลบข้อมูลของท่านออกจากระบบ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

1 ความคิดเห็น:

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา