จางอ๊กจองกำลังพบเจอกับกับดักที่พระพันปีวางไว้ ทำให้แทซุกผู้ที่คอยปกป้องนางรู้สึกถึงอันตรายที่มาคุกคาม ขณะที่ทงอีต้องการที่จะล้างมลทินให้กับพ่อจึงพยายามตามหาคนที่มีป้ายพกรูป ผีเสื้อ แต่กลับถูกคนจับกุมตัวไปแทน
เนื้อเรื่อง:
“แล้วทำไมตอนเพิ่งมาถึงได้โขกสับข้านักล่ะ”
“เพราะคิดว่าเจ้าเป็นหูตาให้ฮวังจูซิกน่ะ ถ้าที่ไหนมีเด็กอย่างเจ้าอีกสักคน ข้าเองก็อยากจะได้อีกเหมือนกันแหละ”
“นั่นสิ ข้าก็อยากให้มีคนที่เหมือนข้าเหมือนกันแหละ ถ้ามีอย่างข้าอีกสักสิบคน คนนึงก็ส่งไปอยู่ห้องซ้อม”
“ยังอยากจะได้อย่างเจ้าอีกสิบคนเหรอ อยากจะให้ใครเค้าตายด้วยรึไง?” จูซิก เข้ามา
“มาแล้วเหรอคะใต้เท้า” ทงอี กล่าว
“ทงอี แม่ตัวดี ตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
“โอ๊ย ๆ จะทำอะไรคะ หูข้าจะหลุดแล้วค่ะ”
“หูรึ? หัวข้าเกือบจะหลุดจากบ่าเพราะเจ้าแล้ว”
“ใต้เท้า ๆๆ”
“เห็นรึเปล่า พวกข้าหลวงพวกนั้น จะมาจับตัวเจ้าไปน่ะ”
“คนสีซอเมื่อเช้ามืด คือเจ้าใช่มั้ย ฝ่าบาท บังเอิญได้ยินเสียงตอนเสด็จกลับวัง มีรับสั่ง ให้ตามหาว่าใครเล่น เลยส่งข้าหลวงมาถึงนี่ไง”
“ห่ะ ฝ่าบาทส่งมาเหรอ?”
“ตอนนี้จะทำไง ถ้าสืบรู้ว่าข้าให้ทาสเล่นเครื่องดนตรีในกอง ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ตอนนั้น ข้าที่พาเจ้ามาอยู่ในนี้ คงต้องตายสถานเดียวแน่” จูซิก กล่าว
ข้าหลวงเข้ามารายงานพระเจ้าซุกจงว่าหลังงานเลี้ยงทางศาลไต่สวนกับขุนนางระดับหกจะขอมาถวายรายงาน
“เรื่องอุกกาบาตตกลงมาในวังสิ ไปเรียกมาพบพร้อมกันเลย สงสัยต้องจัดการทีเดียว อ้อ อืม ไม่ต้องมากพิธี”
“สำนักราชบัณฑิตกำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้แม้แต่บัณฑิตท้องถิ่นก็เข้ามาด้วย” ข้าหลวง ทูล
“จะรวบรวมบัณทิตหยูหลายร้อยรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“แต่ว่า..ข้าคิดว่าจะมาเข้าเฝ้าพระราชา พวกเค้าคงไม่ได้มามือเปล่าหรอกมั้ง เจ้าไปสืบดูหน่อยว่าพวกเค้าเอาอะไรมา”
“หา”
“ล้อเล่นน่า เข้าวังตั้งนานยังไม่รู้ว่าล้อเล่นเหรอ สงสัยต้องไปดูหินอุกกาบาตที่ตกหน่อยแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท พอเกิดเสียงดังสนั่น ออกมาดูก็พบมีหินสีดำตกลงมาพ่ะย่ะค่ะ”
“หลายปีก่อนก็มีอุกกาบาตอย่างนี้ตกลงมา นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นตกใจอย่างนี้เลย”
“แต่มันตกลงในวังนี่สิพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะตรัสว่าไม่มีอะไรได้ยังไง ไม่ใช่แค่ในวังประชาชนก็พูดกันไปทั่วเลยว่านี่เป็นลางร้าย หวังว่าพระองค์จะเข้าใจว่าพวกขุนนางต่างก็กลัวว่าจะเกิดเหตุเภทภัย”
“พวกเจ้าเลยคิดว่านี่เป็นเพราะจางซังกุง อย่างนั้นสิ เจ้าจะบอกว่าถ้านางเข้าวังมาอีกครั้ง จะต้องนำสิ่งเลวร้ายมาให้ข้าและบ้านเมืองใช่มั้ย?”
“ฝ่าบาท ๆ”
เหล่าขุนนางขอร้องให้พระเจ้าซุกจง ตรองเรื่องจางซังกุงถูกขับไล่ออกจากวัง อย่าให้นางมีโอกาสเข้าวังมาอีกเลย
“ฝ่าบาท ตั้งแต่ทรงให้จางซังกุงกลับมาเข้าวัง ในวังก็มีแต่เรื่องร้าย ๆ ไม่ได้หยุดหย่อน แถมยัง มีอุกกาบาตอัปมงคลตกลงมาในวังอีก พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่าหมายถึงอะไรฝ่าบาท” อินกุ๊ก ทูล
“ใต้เท้าจะพูดเกินเลยไปหน่อยรึเปล่า? ท่านกำลังจะบอกว่า จางซังกุงเป็นเสนียดงั้นรึ?” โฮยอน กล่าว
“ไม่ใช่เสนียดแล้วอะไร?”
“ใต้เท้า”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวกับความอยู่รอดของบ้านเมือง กระหม่อมทนดูบ้านเมืองตกสู่ความเลวร้ายอย่างนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อราชวงศ์และบ้านเมืองแล้ว ขอให้ฝ่าบาทเข้าพระทัยพวกกระหม่อมที่ยอมเสี่ยงตาย บังอาจทัดทานด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อินกุ๊ก ทูล
“เอาเถอะ ฟังดูแล้วท่านเจ้ากรมพูดก็มีเหตุผล อุกกาบาตเป็นสัญลักษณ์ ของความตายและเภทภัยนี่ แถมอุกกาบาตนี้ก็ไม่ได้ไปตกที่อื่น การที่พวกท่านกังวลก็พอเข้าใจได้” พระเจ้าซุกจง ตรัส
“เป็นพระกรุณายิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้น ข้าเตรียมของอย่างนึงไว้เพื่อตอบแทนความจงรักภักดี เอาเข้ามาได้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“พวกท่านลองเปิดดูสิ ว่ายังไง พวกท่านชอบรึเปล่า ข้าให้ช่างเอาหินอุกกาบาตในวังไปสลักเป็นกระดุม เพื่อตอบแทนความจงรักภักดีที่พวกท่านมีต่อข้าและบ้านเมือง ข้าเลยเอาสิ่งอัปมงคลมาแบ่งให้ทุกคน ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงยินดีแบ่งเบาความอัปมงคลไปจากข้า”
“เป็นพระกรุณายิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ทำไม สีหน้าพวกท่านเหยเกอย่างนั้นล่ะ อะไร ไม่อยากได้เหรอ แค่หินก้อนเล็กเล็กก็ไม่อยากแบ่งเบาไปจากข้าแล้ว แล้วจะให้เชื่อว่าคำทัดทานมาจากความภักดีของพวกท่านได้ยังไง พวกท่านว่าจริงมั้ย?”
ขันที ทูลรายงานพระเจ้าซุกจงว่ายังไม่สามารถหานักดนตรีที่สีซอตอนเช้ามืดได้ หัวหน้ากองดนตรีบอกว่าไม่มีนักดนตรีอยู่ในตอนนั้นเลย
“จะเป็นไปได้ไง ก็ข้าได้ยินอยู่ชัด ๆ”
“แต่ว่า พวกกระหม่อมถามจนทั่วทั้งกองดนตรีแล้ว ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครอยู่”
“งั้นเหรอ?”
“แต่ว่า เหตุใดฝ่าบาท ถึงต้องการพบนักดนตรีผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าไม่เคยฟังเพลงนั้นน่ะ รู้สึกว่าเพราะดี ข้าอยากจะให้อ๊กจองได้ฟังตอนที่กลับเข้ามา หลังจาก อ๊กจองกลับเข้าวัง ข้าจะแต่งตั้งนางขึ้นเป็นสนม คำสั่งนี้ ไม่ได้ทำเพียงเพื่ออ๊กจอง แต่จะเพิ่มอำนาจให้กลุ่มฝ่ายใต้ และกดขุนนางฝ่ายตะวันตกไว้ เพื่อถ่วงดุลของขุนนางสองกลุ่ม อ๊กจองอยู่ตรงกลางพอดี นางเองคงจะเดือดร้อนไม่น้อย คงจะทรมานใจมาก ข้าก็เลยคิดว่า อยากให้อะไรปลอบใจนางซักหน่อย”
“ดูเหมือนเพลงนั้น จะทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยมากจริงจริง”
จูซิก สั่งให้ทงอีเก็บของแล้วออกจากวังไปซักระยะ โดยให้ไปอยู่ที่หน่วยช่างทำเครื่องดนตรีที่กำลังต้องการคน
“ใต้เท้า พรุ่งนี้ข้าต้องไปที่ที่นึง พรุ่งนี้เป็นวันทำความสะอาดใหญ่ในเรือนพวกฮังอา ข้าต้องไปที่นั่น”
“เจ้าอยู่กองดนตรี ไม่ใช่นางกำนัล ชอบไปเรือนนางกำนัลนางในทำไม”
“คือว่า… เอาเป็นว่า ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องไป ข้าจะทำตัวสงบเสงี่ยมที่สุดนะ”
“ถ้าถูกจับได้ ไม่ใช่เจ้าคนเดียว ข้าก็ต้องซี้ด้วย ไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
“ท่านทำเกินไปแล้วนะ ถ้าใต้เท้าทำอย่างนี้ ข้าจะเปิดโปงเรื่องที่ท่านอุบอิบเครื่องดนตรีให้หมดเลย ข้าจะเปิดโปงให้หมดเลย” ทงอี ขู่
“เจ้าจะบ้าไปแล้วเรอะ ถ้าเจ้าพูดออกมา นอกจากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายด้วย”
“ใต้เท้า”
“หนวกหูน่า รอให้เรื่องมันสงบซะก่อน ค่อยกลับมา”
คนของหน่วยช่างทำเครื่องดนตรี ไม่ค่อยพอใจที่กองดนตรีส่งทงอี สาวใช้มา แทนที่จะเป็นช่าง
“ถึงยังไงข้าก็อยู่ในกองดนตรีมาตั้งหกปี ถ้าเป็นงานทั่วไปข้าทำได้หมด” ทงอี กล่าว
“ รีบเอาของไปเก็บก่อน แล้วไปเป็นลูกมือช่างเค้า”
“ได้ค่ะท่าน” ทงอี กล่าว ระหว่างทางก็คิดถึงพ่อและพี่ชาย
“ท่านพ่อคะ พี่ชายคะ นี่ก็ผ่านไปตั้งหกปีแล้ว ข้าทำอะไรไม่ได้เลย ตอนแรกข้าก็คิดว่า ถ้าเจอฮังอาเจ้าของป้ายผีเสื้อ ข้าก็จะได้ถามความจริงกับนาง ในวันนี้ จะไปเรือนที่พวกฮังอาอยู่เพื่อตามหาป้ายพกอันนั้น สุดท้าย ก็ไม่ได้ไป ข้ากลัวว่าจะทำอะไรไม่สำเร็จ..สักอย่างเดียว”
โฮยอน เดินทางมาหา แทซุกรายงานว่าตอนนี้ตนเองคอยจับตาตำหนักพระพันปีกับกลุ่มตะวันตก มีความเคลื่อนไหวที่กองดนตรีท่าทางน่าสงสัย
“แต่ทำไมถึงเป็นกองดนตรี ที่นั่นมีแต่พวกนักดนตรีจะทำอะไรได้ เจ้า..เข้าใจอะไรผิด รึเปล่า?” แทซุก ถาม
“ไม่ผิดแน่ขอรับ พระพันปีฉวยโอกาสที่จางซังกุงกลับวัง จึงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองวันประสูติองค์ชายอึนพยอง แต่ว่าแต่ไหน แต่ไร พระพันปีไม่เห็นจะเคยสนใจองค์ชายอึนพยองเลย ข้าเลยคิดว่า พวกเค้าต้องมีแผนที่จะทำอะไรสักอย่างในวันนั้น”
แทซุกได้สอบถามอ๊กจองถึงเรื่องช่วงที่นางกลับเข้าวังพระพันปีดูเหมือนกำลังวางแผนจะทำอะไรสักอย่าง โดยมีกองดนตรีเป็นกุญแจ โฮยอนเสนอให้เลื่อนเวลาเข้าวังออกไปก่อน เพราะอาจจะติดกับดัก แต่อ๊กจองยืนยันจะเข้าวังตามวันที่กำหนด
“แต่ว่าท่านไม่ควรจะประมาทนะ จางซังกุงคงทราบว่าปัญหาของท่านก็เหมือนของกลุ่มฝ่ายใต้”
“ดังนั้นข้าถึงหนีไม่ได้ไงล่ะ หรือว่าท่านอยากให้พวกเค้าคิดว่าข้ากลัว ยามที่สัตว์ถูกต้อนจนมุม มันจะยืดตัวชูคอเพื่อข่มขู่ศัตรู ดังนั้น เราต้องรู้ว่าจะข่มขวัญศัตรูได้ยังไง”
“ข่มขวัญ?”
“ใช่ เราควรทำเหมือนว่ารู้แผนการของพวกนั้นมาแล้ว แบบนี้ ข้าคิดว่าคนของพระพันปีก็คงไม่กล้าวู่วามนัก”
“ถ้าอย่างนั้น เราควรจะทำยังไง?” แทซุก ถาม
“ตอนนี้อากาศกำลังอุ่นขึ้นแล้ว ข้าอยากไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยแล้วค่อยกลับมา”
“ยังจำนี่ได้รึเปล่า?”
“ขอรับ นี่เป็นป้ายที่ข้าน้อยเคยมอบให้ท่านเมื่อนานมาแล้วนี่”
“ใช่จ้ะ มันเป็นของขวัญที่มีค่ามากตอนข้าเข้าวัง แต่ข้าเป็นคนไม่ระวังเลยทำให้มันเป็นรอยน่ะ ท่านช่วยซ่อมให้ข้าได้มั้ย?”
“ไม่มีปัญหาขอรับ ข้าน้อยยินดีจะซ่อมให้” ช่าง กล่าว
“ขอบใจมาก จริงสิมีอีกเรื่องนึง ข้าอยากขอร้องสักเรื่อง”
“ท่านสั่งมาได้เลยขอรับ”
“ใกล้จะถึงวันคล้ายวันประสูติของพระพันปี ข้าเลยอยากถวายของขวัญพระพันปีล่วงหน้าสักชิ้น”
ทงอีแวะมาที่เรือนพวกฮังอา
“ทงอี ไหนบอกว่ามาไม่ได้ ทำไมมาแล้วล่ะ” หญิงคนหนึ่งกล่าว
“แหม ก็ข้ารับปากไปแล้วก็ต้องมาสิ ถามหน่อยสิ ที่นี่เป็นที่พักนายหญิงท่านไหนเหรอ?”
“นี่เป็นที่พักของจางซังกุง อีกไม่นานจะกลับเข้าวัง ก่อนจะถึงตอนนั้นก็เลยต้องตกแต่งใหม่หมด”
“แล้ว ข้าไปทำความสะอาดห้องของ ฮังอา ห้องนั้นได้รึเปล่า?” ทงอี ถาม
“ไปสิ”
“วันนี้นางให้คนนำมาส่ง” พระพันปีมองซอง ตรัส
“เก็บท่วงทำนอง นับพันปี ในโลกนี้ มีท่านเป็นผู้รู้ใจ นี่แปลว่า..”
“ผีผาไม้ผ่านไปพันปี ก็ยังสามารถเก็บเสียงของมันได้ ดังนั้นเรื่องทุกอย่างในโลกนี้นางและข้าต่างรู้ดี บทกวีนี้ ภายนอกเหมือนอวยพรให้ข้าอายุยืน แต่นางกำลังเตือนข้าว่านางรู้อะไรบางอย่างแล้ว หึ บังอาจที่สุด กล้าเอาของขวัญเป็นข้ออ้าง คิดจะมาลองดีกับข้างั้นเหรอ เข้าใจรึยัง นังนี่มันอสรพิษ ข้าถึงบอกว่ายอมรับเด็กคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“พระพันปี กระหม่อมรู้สึกว่าจางซังกุงกับกลุ่มฝ่ายใต้ดูน่าสงสัยมากขอรับ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าไปในโรงสร้างเครื่องดนตรีอย่างเปิดเผย ไหนยัง..จะบทกวีนี้ เอ๊ะ หรือว่าพวกเค้าอาจจะระแคะระคายอะไรมาบ้าง?”
“แต่ว่ามัน.. เป็นไปได้ยังไง”
“ข้าจะมาขนเครื่องดนตรีน่ะสิ สวรรค์ คนที่นี่โขกสับเจ้าจนผอมแห้งขนาดนี้เลยเหรอ?”
“เอ่อ พวกท่านในกองดนตรียังโขกสับข้ามากกว่านี้อีก”
“เหรอ ฮะ ๆ ๆ แต่ก็ช่างเถอะ ไปเก็บของแล้วกลับไปกัน”
“ค่ะ เดี๋ยวเก็บของแล้วจะรีบมา”
“ทงอี นี่มัน ของเจ้าไม่ใช่เหรอ”
“อะไรนะ” “ดูเหมือนป้ายพกหรืออะไรสักอย่าง เจ้าพกรูปนี้ทุกวันไม่ใช่เหรอ?”
“เอ๊ะ ไม่ใช่ก็ของข้ายัง นี่มัน..”ทงอีตกใจ “ทงอี เป็นอะไรของเค้านะ”
ทงอีไปสอบถามหาช่างแกะสลักไม้จน รู้ว่าเขาบ้านอยู่ในยอนชอน และคงกำลังจะไปขึ้นเรือที่กลับยอนชอน นางจึงตามไปที่ท่าเรือ ขอขึ้นเรือที่กำลังจะออกเพื่อค้นหาช่างแกะสลัก แต่ก็ไม่พบ
“เกือบจะหาเจอแล้วเชียว ฮังอาที่เป็นเจ้าของป้ายพกอันนั้น เกือบจะได้เจอแล้วแท้ ๆ
อ๊กจองกลับเข้ามาที่วัง พบกับโชและยองซอน อีกด้านหนึ่งพระพันปีมองซอง ตรัสถามโดว่าองค์ชายอึนพยองมาถึงแล้วหรือยัง “พอองค์ชายอึนพยองมาถึงก็เสด็จไปรอที่งานเลี้ยงเลยเพคะ”
“พระพันปีอุตส่าห์ทรงห่วงใยเชื้อพระวงศ์ที่ห่างไกลถึงขนาดนี้ หม่อมฉันคงต้องเอาอย่างน้ำพระทัยเมตตาของเสด็จแม่บ้างเพคะ” อินฮอน ทูล “ข้าก็แค่ทำหน้าที่ที่ญาติผู้ใหญ่ในราชวงศ์ควรทำเท่านั้นเอง”
“พระมเหสี”
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” พระมเหสีอินฮอน ตรัสถาม
“จางซังกุงกลับเข้าวังมาแล้วเพคะ ดูเหมือนกำลังจะมาถวายพระพรทั้งสองพระองค์” ฮัน ทูล
“หม่อมฉันมาถวายพระพรทั้งสองพระองค์ แต่การเพิ่งจะได้มาเอาป่านนี้ หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ” อ๊กจอง ทูล
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พวกข้ากำลังจะไปงานเลี้ยงพอดี เดี๋ยวเจ้าค่อยมาใหม่ก็แล้วกันนะ”
“เพคะ”
“ของขวัญที่เจ้าส่งมาให้ข้าได้รับแล้ว ในเมื่อเจ้ากลับเข้าวังมาอีกครั้ง ข้าก็คิดว่าควรจะให้ของขวัญตอบแทนเจ้าบ้าง”
“ขอบพระทัยเพคะพระพันปี ขอแค่เป็นของขวัญที่ได้จากพระองค์ ไม่ว่าอะไรหม่อมฉันก็ซาบซึ้งยิ่งเพคะ”
“งั้นรึ ไปกันเถอะพระมเหสี”
“ถ้าเป็นงานเลี้ยง ตามหลักแล้วท่านเองก็ควรจะเข้าร่วมด้วย แต่ได้ยินว่ามีรับสั่งห้ามท่านเข้าร่วมเด็ดขาด ที่จงใจให้ท่านเข้าวังมาวันนี้ ที่แท้ก็วางแผนจะแกล้งท่านเอาไว้แต่ต้น” โช กล่าว
พระเจ้าซุกจงเสด็จมาที่งานเลี้ยง “องค์ชาย สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีพลานามัยสมบูรณ์นะ” พระเจ้าซุกจง ตรัส
“เป็นพระกรุณายิ่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” องค์ชายอึนพยอง ตรัส
“หานักดนตรีคนนั้นเจอรึยังหา?”
“เอ่อ กระหม่อมสมควรตาย ยังไม่พบ”
“ถ้างั้น…”
ขันทีมาบอกให้จูซิกนำกองดนตรีไปเล่นต้อนรับจางซังกุงที่เรือน เขาจึงพาทงอีไปด้วย
“ท่านซังกุง โชซังกุงเองเจ้าค่ะ ท่านซังกุง รีบออกไปดูเถอะเจ้าค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งให้กองดนตรีมาบรรเลงเพลงให้เจ้าค่ะ”
“ฝ่าบาทน่ะเหรอ?”
“ค่ะ ฝ่าบาทเจ้าค่ะ ฝ่าบาททรงอยากปลอบใจท่าน เลยรับสั่งให้นักดนตรีมาบรรเลงให้ ซังกุง กำลังจะออกมาแล้ว”
“เสียมารยาท”
“ขอบใจพวกเจ้ามากที่มานะ พาพวกเค้าไปที่สวนด้านหลัง” อ๊กจอง กล่าว
เมื่อทงอีได้เห็นจางซังกุง ก็มีความรู้สึกว่านางดูเหมือนฮังอาคนนั้นจริง ๆ และเมื่อกองดนตรีเริ่มบรรเลงเพลง ก็ไม่สามารถเล่นให้เข้ากันได้
“หยุดเล่นเดี๋ยวนี้ นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงได้บรรเลงเพลงมั่วไปหมด” แทซุก ถาม
“พวกเจ้าเป็นอะไร ห่ะ เป็นอะไร เป็นอะไรกันไปหมด” นักดนตรี กล่าว
“นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย” โฮยอน ถาม
“นี่คงไม่ใช่ดนตรีวิบัติ” แทซุก กล่าว
“ดนตรีวิบัติ” ทงอี กล่าว
“หรือว่า เป็นดนตรีวิบัติ?” พระเจ้าซุกจง ตรัส
อินกุ๊ก นำเรื่องดนตรีวิบัติ มาพูดคุยกับเหล่าขุนนาง
“มีดนตรีวิบัติ บ้านเมืองจะโกลาหล มันเป็นลางบอกว่าบ้านเมืองจะเกิดเภทภัยขึ้น คราวที่แล้วก็อุกกาบาตตกลงมาในวัง คราวนี้ก็ดนตรีวิบัติอีก โอย ทำไง ๆ เกิดเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง”
“แผนร้ายในกองดนตรี คงเป็นเรื่องนี้สินะ” โฮยอน กล่าว
“บ้านเมืองนี้เชื่อว่าดนตรีวิบัติคือลางร้ายที่บ้านเมืองล่มสลาย เค้าคงจะใช้เรื่องนี้มาสั่นคลอนตำแหน่งจางซังกุง เราต้องรีบหาทางรับมือ ไม่อย่างนั้น ตำแหน่งของจางซังกุงอาจพังได้” แทซุก กล่าว
พระเจ้าซุกจง รับสั่งให้ตามคนรับผิดชอบในกองดนตรีมาสอบสวนเรื่องดนตรีวิบัติให้รู้เรื่อง แล้วลงโทษ
“ฝ่าบาท ไม่ควรจะไปโทษกองดนตรี แต่ควรไต่สวนเรือนจางซังกุงมากกว่ามั้ง” พระพันปีมองซอง ทูล
“เสด็จแม่”
“มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดปกป้องนางอีก เรอะฝ่าบาท ทั้งที่ในวังได้เกิดลางบอกเหตุร้ายมากมายไม่หยุด”
“เสด็จแม่ มันไม่ใช่ลางร้ายหรอก”
“ไม่ใช่ลางร้าย แล้วเป็นอะไรล่ะ บ้านเมืองพินาศหรือโกลาหลจึงจะเกิดดนตรีวิบัติ อีกไม่นานเรื่องนี้จะต้องรู้ไปถึงหูประชาชนนอกวัง ถึงตอนนั้นพระองค์จะแก้ไข แล้วทำให้ประชาชนสบายใจได้ยังไง”
โฮยอน สั่งให้ควบคุมนักดนตรี และทาสทั้งหมดมาไต่สวน ทงอีถูกไต่สวน นางบอกว่าไปอยู่ที่โรงหล่อเพื่อช่วยพวกช่างทำเครื่องดนตรีอยู่ที่นั่นหลายวันแล้ว
พระเจ้าซุกจง เสด็จมาหาจางซังกุง
“เจ้าเข้าวังครั้งแรกเราก็พบกันที่นี่ วันนี้เหมือนในคืนนั้นเลย”
“เป็นพระกรุณาเพคะ”
“มันอาจเป็นแผนที่สร้างขึ้น ให้ประจวบเหมาะกับเวลาที่เจ้าเข้าวัง”
“หม่อมฉันอาจจะเป็นภัยของบ้านเมืองก็ได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ประวัติศาสตร์คงบันทึกว่า ข้าเป็นพระราชาที่หลงนารีจนบ้านเมืองต้องล่มสลาย”
“ฝ่าบาท”
“ข้าไม่อยากให้คนรุ่นหลังว่าข้าไม่ได้เรื่อง ดังนั้น ข้าต้องสืบให้ได้ว่าคนที่บงการมันคือใคร หลังจากที่ฟ้าสาง ข่าวนี้อาจแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าจะต้องหาทางจับตัวคนบงการเรื่องนี้มาลงโทษให้ได้”
ทงอีต้องการที่จะพบจางซังกุงเพื่อสอบถามเรื่องที่สงสัย จึงแอบมายืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ แอบมองอยู่ที่เรือนจางซังกุง จนถูกจับกุมตัวไว้ได้
ทงอีนอนสลบอยู่ที่ห้องเก็บฟาง พอได้สติก็เห็นว่าตนเองถูกมัดมืออยู่ ข้าง ๆ มีช่างทำพอนคยอง นอนเสียชีวิตอยู่
“ช่างทำพอนคยอง ท่านคะ เป็นอะไรรึเปล่า ท่านคะ ตายแล้ว เค้าถูกฆ่าตายเหรอ มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง มีคนกำลังจะตาย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ มีใครอยู่บ้างคะ ช่วยด้วยเจ้าค่ะ มีใครอยู่บ้างมั้ยคะ”
* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา