จางฮีเจมาปรากฎตัวที่อึยจู ทำให้ชิมวูนเทคปลอมตัวไปเป็นล่ามเพื่อสืบหาสาเหตุการมาของจางฮีเจ และเมื่อรู้ว่าจางฮีเจจะนำบันทึกทางการทหารไปมอบให้ต้าชิง ทำให้วูนเทคและทงอีพยายามหาทางขัดขวาง
เนื้อเรื่อง:
เมื่อใต้เท้าซอ และชอนซู ได้เบาะแสของทงอีก็รีบเดินทางไปอึยจู แต่ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าซุกจงทั้งสองจึงเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อทูลรายงานข่าวของทงอีให้พระองค์รู้ว่านางไปอยู่ที่อึยจู
แทซุกกับใต้เท้าจากศาลไต่สวน มาเข้าเฝ้าพระมเหสีฮีบิน
“งั้นก็แปลว่า ท่านแม่ทัพจางได้ไปถึงอึยจูแล้วใช่รึพะย่ะค่ะ?” แทซุก ทูลถาม
“ใช่ เค้าไปถึงแล้ว ทางต้าชิงคอยถ่วงเรื่องรับรองรัชทายาท ข้าเลยให้พี่ชายไปจัดการเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
“จะจัดการยังไงพ่ะย่ะค่ะ?” โฮยอน ทูล
“เรื่องนี้ข้าคงไม่จำเป็นต้องมานั่งแจกแจงละมัง”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกไม่นานปัญหาเรื่ององค์ชายจะคลี่คลาย และคงไม่มีปัญหาอะไรรบกวนอีก ดังนั้นขอให้ท่าน กลับไปได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวล มีอะไรกันรึเปล่า นี่พวกท่านไม่เชื่อที่ข้าพูดงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะพระมเหสี กระหม่อมไม่ได้กังวลเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องของพระราชา”
“พระราชางั้นรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าหลังจากที่พระราชาทรงทอดพระเนตรเรื่องบันทึกท่องแดนใต้ ก็ดูเหมือนจะตรัสอะไรที่คล้ายกับว่ารู้สึกเสียพระทัย พระองค์ไม่ได้ยินบ้างเลยหรือ?”
“ตรัสอะไรดูคล้ายว่าเสียพระทัยรึ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนพระองค์จะรู้สึกผิดกับการถอดยศพระมเหสี..”
“รู้สึกผิดเหรอ นี่พวกท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกัน ไม่หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าพระองค์ทรงคิดอย่างนั้นจริง ๆ ข้าก็จะต้องรู้เรื่องนี้ก่อนใครทั้งนั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็คิดว่านี่น่าจะเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีมูลเหมือนกัน แต่ว่า ยังไงป้องกันไว้ก็ไม่เสียหายพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ยินว่าหลังจากที่พระราชาทรงทอดพระเนตรเรื่องบันทึกท่องแดนใต้ ก็ดูเหมือนจะตรัสอะไรที่คล้ายกับว่ารู้สึกเสียพระทัย” โฮยอน ทูล
“โชซังกุงอยู่รึเปล่า”
“เพคะพระมเหสี”
“ไปตามซังกุงสูงสุดฝ่ายตรวจการมาพบข้า”
“เพคะพระมเหสี”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าให้ทางจวนเจ้าเมืองคอยส่งจดหมายให้ตลอด ถ้าเป็นจดหมายข้า พวกเค้าต้องส่งไปเมืองหลวงให้แน่ แต่ว่า เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปจริงเหรอ ก่อนที่พี่ชายเจ้าจะมาถึง เจ้าน่าจะหาที่ซ่อนตัวไปก่อน”
“ไม่ค่ะ การที่จางฮีเจลอบมาถึงที่นี่ เบื้องหลังจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ค่ะ ท่านบอกเองว่าจะช่วยสืบหาสาเหตุที่เค้ามา ข้าเองก็อยากอยู่ช่วยท่านที่นี่”
“แต่ว่า..”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ก็เหมือนที่ข้าไม่เคยคาดคิดว่าเค้าจะมาที่นี่ ข้าเชื่อว่าเค้าก็คงจะคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าข้าจะอยู่”
“โอย ข้าว่าตอนเจ้าอยู่ในวัง คงเป็นพวกชอบหาเรื่องใส่ตัวเหมือนข้าแน่”
“เอ๋?”
“ข้ามันไม่เอาไหน เลยไม่ปฏิเสธให้ผู้หญิงช่วยเหลือ ถ้างั้นก็ดี งานนี้ข้ากับเจ้าสองคนช่วยกันหาเรื่องให้หัวโตไปเลย”
“ค่ะนายท่าน”
วูนเทค นำจดหมายไปให้คนที่จวนเจ้าเมืองนำไปส่งให้ ก็ได้รู้ว่าที่จวนกำลังต้องการล่าม ด้านทงอีแอบดูบัญชีของพ่อค้าพยอน ก็รู้ว่ามีการเหมาหอนางโลม จึงสงสัยว่าต้องมีการนัดพบใครแน่ จึงกลับไปบอก
วูนเทค เมื่อรวมกับเรื่องล่าม จึงคิดว่า จางฮีเจมาอึยจู คงมาพบคนของต้าชิงที่นี่
“ท่าทางในตอนนี้ พวกกลุ่มฝ่ายใต้อาจจะกำลังร้อนใจ เรื่องที่ต้าชิงไม่รับรองรัชทายาท สงสัยว่าเจ้าจางฮีเจมันต้องมาเพราะเรื่องนี้แน่” วูนเทค กล่าว
“เค้าคิดจะใช้วิธีบางอย่าง เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จหรือ?”
“คงจะต้องมีการเจรจาแลกเปลี่ยนอะไรกัน เพื่อให้สมจุดประสงค์ของตัวเองแน่ แล้วหอนางโลมนั่นอยู่ที่ไหน?”
วูนเทคมาหาซอลฮี ขอร้องให้ช่วยเก็บข้อมูลที่ได้ยินพวกฮีเจคุยกันมาบอกตน
“ข้าน้อยมาที่นี่และรู้จักกับใต้เท้า ก็เป็นเวลาสามปีแล้วสิ ภายนอกท่านอาจจะดูเหมือนหลักลอย แต่ท่านกลับเป็นบัณฑิตที่มีใจช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้นท่านน่าจะรู้ดีแก่ใจว่าข้าน้อยเห็นท่านเป็นเหมือนเพื่อนที่มีความสำคัญเสมอมา”
“ข้าน้อยมาที่นี่และรู้จักกับใต้เท้า ก็เป็นเวลาสามปีแล้วสิ ภายนอกท่านอาจจะดูเหมือนหลักลอย แต่ท่านกลับเป็นบัณฑิตที่มีใจช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้นท่านน่าจะรู้ดีแก่ใจว่าข้าน้อยเห็นท่านเป็นเหมือนเพื่อนที่มีความสำคัญเสมอมา”
“นี่ถือว่าเป็นคำของร้องของเพื่อนล่ะ”
“ข้าน้อยถึงต้องขอโทษด้วยค่ะ”
“ซอลฮี”
“ก็เหมือนที่ท่านว่า คนพวกนั้นอาจจะทำเรื่องที่ส่งผลเสียกับบ้านเมืองหรือราชสำนัก แต่ว่า ฟังไม่ได้ยิน มองเหมือนไม่เห็นก็คือ อาชีพนางโลมนี่แหละค่ะ”
“เฮ้อ..”
“เช่นเดียวกับบัณฑิตต้องมีจรรยาบรรณ ถึงแม้นางโลมจะขายเหล้าขายรอยยิ้ม แต่พวกข้า ก็มีจรรยาบรรณที่ต้องรักษาเช่นกัน ดังนั้น ถ้าเห็นข้าน้อยเป็นเพื่อน ก็ให้ข้าน้อยได้รักษาจรรยาบรรณเถอะ ต้องขอโทษด้วยค่ะใต้เท้า”
แทยุน เข้ามารายงานโฮยอน เรื่องใต้เท้าซอได้มีการเรียกใช้กำลังทหารในบางท้องที่ดูเหมือนว่ากำลังตามหาใครอยู่ด้วย โฮยอนจึงรีบเข้าเฝ้าทูลรายงานพระมเหสีฮีบิน
“ได้ยินว่า กำลังตามหาผู้หญิงพ่ะย่ะค่ะ ช่วงที่ผ่านมาซอโยงกีนำลูกน้องเค้า ออกไปตามหาผู้หญิงคนนึง และตามหาไปทั่วทุกหัวเมืองเลย”
“ผู้หญิงคนนึงหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ แสดงว่าเค้ากำลังตามหาชอนทงอีที่หายตัวไปอย่างแน่นอน พระมเหสี บางที พระราชาอาจจะทรงมีแผนอะไรในพระทัย และพระองค์อาจจะคิดว่าถ้าตามเด็กคนนั้นเจอ จะรื้อคดีปลดพระมเหสีขึ้นมาใหม่ ถ้าเป็นอย่างนี้ ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่เราจะมาวางใจได้แล้ว”
แทพุงแอบมาบอกโฮยาง เรื่องพระราชาได้อ่านเรื่องบันทึกท่องแดนใต้แล้วรู้สึกผิดที่ปลดพระมเหสีออก“พระราชาก็รู้ว่านิยายเล่มนี้ทำเอาคนทั้งเมืองโจษจันกันทั่ว แต่กลับไม่ลงโทษอะไร นั่นแสดงว่า พระราชาอาจกำลังคิดจะคืนตำแหน่งให้พระมเหสีเหมือนเดิมได้นะท่านพ่อ”
“มันก็เป็นไปได้ เป็นไปได้ทีเดียว” แทพุง กล่าว
“ถ้าอย่างนั้น พระมเหสีคนใหม่นี่ จะทำยังไงล่ะ?” พัค ถาม
“จะทำยังไงเล่า ก็ต้องปลดออกน่ะสิ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ข้าอยากจะเห็นภาพตอนที่แม่นางยูนโกรธจนเป็นลมแล้ว”
“ข้าก็ด้วย จางฮีเจ ข้าอยากเห็นเจ้าจางฮีเจมันหน้าหงายไปเหมือนกัน” โฮยาง กล่าว
“พวกเจ้านี่มันอะไรกัน ถึงจางฮีเจจะน่ารังเกียจ หรือเจ้าจะไม่พอใจแม่นางยูน แต่แบบนี้ อาจทำให้กลุ่มฝ่ายใต้เสียอำนาจไปด้วยนะ หื่อ ๆ ระวังกันไว้หน่อย” แทพุง กล่าว
ยูน ซึ่งเป็นพระมารดาของพระมเหสีฮีบิน เดินทางมาขอเข้าเฝ้า“พระมเหสี เมื่อกี้ได้ยินโชซังกุงบอกกับแม่ว่า พระราชากำลังให้คนออกตามหานางในที่หายตัวไป เป็นความจริงรึเปล่าหา?”
“ข้ากำลังจะไปเข้าเฝ้าพอดี”
“พระมเหสี”
“เดี๋ยวพอไปเข้าเฝ้าแล้ว ข้าจะทูลถามพระองค์เอง”
พระมเหสีฮีบิน เสด็จมาเพื่อขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง แต่ขันทีทูลว่าฝ่าบาทเสด็จไปในงานปาฐกถาของบัณฑิตแต่ใกล้จะเสด็จกลับแล้ว เมื่อเสด็จกลับมาเมื่อไหร่จะส่งคนไปทูลให้ทราบ
“ถ้างั้น ข้าจะเข้าไปรอข้างใน” เมื่อพระมเหสีเสด็จเข้ามา ก็รู้ว่า พระเจ้าซุกจงได้เก็บทงอีไว้ลึกที่สุดในพระทัย และคอยตามหาทงอีตลอดเวลาก็ไม่พอพระทัยเสด็จกลับทันที
เมื่อพระเจ้าซุกจง เสด็จกลับมุคงตำหนักขันทีได้ทูลเรื่องพระมเหสีเสด็จมา“หือ พระมเหสีมานี่รึ”
“เมื่อสักครู่ประทับรอในนี้สักพัก แล้วไม่นานก็เสด็จกลับพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อมาหาข้าเองถึงที่นี่ ก็น่าจะมีเรื่องสำคัญ แล้วทำไมถึงได้กลับไปซะล่ะ”
“ก่อนจะกลับ ทรงบอกแค่จะแวะผ่านมาถวายพระพรฝ่าบาท และยังกำชับว่า ไม่ได้มีเรื่องอะไร ไม่ต้องกราบทูลฝ่าบาทว่าพระนางเสด็จมานี่”
“อืม เอาว่าข้ารู้แล้ว เอาไว้ข้าจะหาเวลาไปพบนางเอง เจ้าส่งคนไปบอกที่ตำหนักพระมเหสีด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ใต้เท้าซอกับทหารที่ออกตามหาทงอีจนทั่ว ได้เบาะแสว่าทงอีอยู่ในอึยจู และตอนนี้พวกเค้าก็รีบเดินทางไปที่นั่นแล้ว”
“พระมเหสี ทรงรออีกสักหน่อยนะเพคะ วันที่พระองค์จะล้างมลทินใกล้จะมาถึงแล้ว”
“ขอบใจมากที่มาเยี่ยมพระมเหสี” อัน กล่าว
“ก่อนจะถึงวันที่พวกท่านได้กลับไป ช่วยดูแลความปลอดภัยพระมเหสีด้วย” จองซังกุง กล่าว
“ขอบใจมาก ข้าเชื่อได้แต่พวกเจ้าแหละ” อัน กล่าว
“มาแล้วหรือคะใต้เท้า” จองกึม กล่าว
“ใช่ เอ๊ะนี่ พวกเจ้าเป็นนางในฝ่ายตรวจการนี่?” อินกุ๊ก ถาม
“ใช่ค่ะใต้เท้า” จองซังกุง กล่าว
“แล้วนางในฝ่ายตรวจการมาทำอะไรที่นี่” อินกุ๊ก ถาม
“พวกนางแค่มาเยี่ยมพระมเหสีน่ะ” อันกล่าว
“ท่านนี้คือจองซังกุงจากฝ่ายตรวจการ แล้วก็นี่จองอิม” อินกุ๊ก กล่าว
อึนกึม และชิบิ กลับมารายงานยูซังกุง เรื่องจองซังกุงกับจองอิม ไปคุยกับขุนนางตะวันตกที่บ้านอดีตพระมเหสี ยูซังกุงจึงสั่งให้ทั้งสองนางไปสืบเรื่องนี้อย่างละเอียด ตามเฝ้าดูบ้านพักอดีตพระมเหสีไว้
พงซังกุงเห็นช่วงนี้ อึนกึมกับชิบิ หายไปไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย จึงสงสัยว่าสองนางหายไปทำอะไรกัน
“พวกนางสองคน ตามก้นซังกุงสูงสุดตั้งแต่เช้ายันเย็นโน่น นางให้ความสำคัญต่อคำสั่งของท่านซะที่ไหน” เอจอง กล่าว
“หน็อย ถ้าเดี๋ยวแม่สองคนนั้นมาจะสั่งสอนซะให้หนักเลย”
“โอ๊ะ พวกนางอยู่นั่นแล้วค่ะ”
“นี่พวกเจ้า มานี่หน่อยสิ พวกเจ้ามาทำอะไรที่ห้องยูซังกุงหือ?” พง ถาม
“ขอโทษค่ะท่านซังกุง เรามีงานยุ่งนิดหน่อย” อึนกึม ถาม
“ข้าก็ด้วย” ชิบิ กล่าว
“เอ้ย ๆ ๆ นี่ ๆ นี่แม่สองคนนี้ โอ๊ย ๆๆ คอ ๆ คอข้า”
“ก็ถ้าท่านรับไม่ได้ ก็รีบขึ้นเป็นซังกุงสูงสุดเร็ว ๆ สิ เฮ้อ..”
“หืม ว่าไงนะ ทับถมเหรอ ๆ”
“ท่านซังกุง มิกล้าเจ้าค่ะ”
ยูซังกุง เข้าทูลรายงานพระมเหสีฮีบิน เรื่องอดีตพระมเหสีร่วมมือกับนางในและขุนนางตะวันตก ทั้งหมดพบกันเพื่อวางแผนจะกลับมาสู่ตำแหน่งหรือไม่
“ใช่แล้ว เข้าใจถูกแล้ว แต่ถ้าหาหลักฐานมาได้มากกว่านี้ก็ดี เจ้าคิดว่าจะทำได้รึเปล่า?”
“ไม่ต้องห่วงเพคะ หม่อมฉันจะทำให้ได้”
“ไม่มีเวลาให้ชักช้าอีกแล้วนะ เจ้าต้องเร็วที่สุด ถึงจะเอาหลักฐานที่เกี่ยวกับคดีเก่ามาแก้ต่างได้ ถ้าอดีตพระมเหสีหายไป หลักฐานอะไรก็ไม่มีประโยชน์”
“เพคะพระมเหสี”
เมื่อซอลฮี ไม่ยอมช่วย วูนเทคจึงบอก กับทงอีว่าตนจะหาทางแอบเข้าไปในหอนางโลม ด้วยการปลอมตัวเป็นล่ามให้กับฮีเจ เพื่อเข้าไปฟังการสนทนา ทำให้รู้ว่าฮีเจมาคุยกับทูตต้าชิงเรื่องการให้รับรองรัชทายาท ขณะเดียวกัน ทงอีได้ไปแอบได้ยินมือสังหารของฮีเจพูดว่าต้องปิดปากล่าม ทงอี จึงหาทางช่วยวูนเทค จนเกือบจะถูกจับได้ แต่โชคดีที่ทงอีได้เจอกับซอลฮี ทงอีจำซอลฮีได้ ซอลฮีจึงช่วยให้นางรอดพ้นจากมือสังหาร หลังจากนั้น ทงอีจึงเล่าเรื่องของวูนเทคแอบปลอมเป็นล่ามให้ซอลฮีฟัง และขอร้องให้ช่วยเขาออกมา ซอลฮีจึงส่งคนแอบพาทุนยูนหนีออกมาได้
“นายท่าน ๆ ๆ ปลอดภัยใช่มั้ยคะ?”
“ข้าไม่เป็นไร” วูนเทค กล่าว
“ท่านทำเรื่องวู่วามอย่างนี้ได้ยังไงหา?” ซอลฮี ถาม
“ข้า..ติดค้างหนี้บุญคุณของเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากถึงเสี่ยงตายก็ต้องทำ เป็นไง จางฮีเจไปรึยัง?”
“ค่ะ”
“จางฮีเจมันไล่ข้าออกมาก่อน ข้าก็เลยไม่ได้ฟังว่าเค้าสัญญาว่าจะให้อะไรกับทูตต้าชิง เพื่อรับรองรัชทายาท”
“หา.. อย่างนี้ก็เท่ากับเสียแรงเปล่าสิคะ ยังไม่ทันได้ข้อมูลก็ถูกไล่ออกมาแล้ว”
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างนี้ เจ้าอย่าโทษข้าเลยน่า”
“แล้วจะทำยังไงดี ตอนนี้เราไม่รู้แผนของจางฮีเจแล้วเราจะ..ทำยังไงต่อไปได้”
“อ้อ ท่านรู้จักบันทึกทึงลกอะไรมั้ย?” ซอลฮี ถาม
“เมื่อกี้นี้เจ้าว่าอะไรนะ? บันทึกทึงลกรึ?” วูนเทค ถาม
“ค่ะ เมื่อกี้ข้าเข้าไปได้ยินจางฮีเจคุยกับทูตต้าชิง แต่ข้าไม่ค่อยรู้ภาษาจีนนัก เลยเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เหมือนได้ยินทูตต้าชิงพูดคำว่าบันทึกทึงลกอยู่หลายครั้ง พอใต้เท้าจางได้ยินคำนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจ ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่น่าจะเป็นของที่สำคัญมาก”
“ข้าเข้าใจแล้ว มันคือบันทึกรักษาการณ์ชายแดน เป็นข้อมูลสำคัญทางทหาร ดังนั้นจะปล่อยให้ไปอยู่ในมือต่างชาติไม่ได้ เจ้าจางฮีเจกล้าเอาของอย่างนี้มาแลกเชียวรึ?”
“เอ่อ..” เจ้าเมืองลำบากใจ
“เราไม่ได้ทำสงครามกับต้าชิงสักหน่อย ไม่เห็นต้องตกอกตกใจเลย”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ”
“ได้ยินมั้ยเจ้าเมือง ข้าบอกแล้วว่าจะรับผิดชอบเอง สิ่งที่ท่านควรจะกังวลคือ การปฏิเสธข้ามากกว่า จำเอาไว้ให้ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระมเหสีสั่งมา” ฮีเจ ขู่
วูนเทคบอกกับทงอีว่า จางฮีเจจะเอาบันทึกทางทหารให้ต้าชิง เพื่อแลกกับการรับรองรัชทายาท“แบบนี้ เราควรจะทำยังไงดีคะ?”
“บันทึกเล่มนี้ค่ายเปียงยางดูแลรักษาอยู่ เราต้องหาทุกวิถีทาง เพื่อจะขัดขวางมันให้ได้ ตอนนี้เจ้าจางฮีเจน่าจะเดาเหตุการณ์ทุกอย่างออกหมดแล้ว ดังนั้น เจ้าอาจจะมีอันตราย ต้องรีบหาที่ซ่อนตัวก่อน”
เมื่อโดนขู่ว่าเป็นเรื่องที่พระมเหสีสั่งมา เจ้าเมืองเลยยอมทำตามคำสั่ง
“คิดแบบนี้แหละถูกแล้ว ขอแค่ทำงานนี้ให้สำเร็จได้ ข้าจะหาทางหาตำแหน่งในเมืองหลวงให้เอง” ฮีเจ กล่าว “ถ้าใต้เท้ายอมสนับสนุน ข้าน้อยจะ พยายามรับใช้พระมเหสีแน่”
“ฮะ ๆ ๆ”
“ใต้เท้ามีอะไรให้รับใช้”
“คือว่า ข้ากำลังจะเดินทางไปเปียงยาง เจ้าช่วยเตรียมให้ที” เจ้าเมือง สั่ง
“ขอรับ นี่เป็นจดหมายที่ชิมวูนเทคฝากให้ข้าน้อยไปส่งที่เมืองหลวงขอรับ ขอให้ใต้เท้าลองตรวจสอบดูก่อน”
“ให้คนส่งไปเลยเถอะ” เจ้าเมือง สั่ง
“ขอรับใต้เท้า”
“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อน คนที่ให้เจ้าเอาจดหมายไปส่ง มันมีชื่อว่าอะไรนะ” ฮีเจ ถาม
“เค้าชื่อชิมวูนเทค เป็นตระกูลขุนนางที่ถูกเนรเทศมาอึยจู”
“ชิมวูนเทค”
“ใต้เท้ารู้จักหรือขอรับ” เจ้าเมือง ถาม
“ไม่รู้จัก แค่รู้สึกว่าเหมือนเคยได้ยินที่ไหน เอาเถอะ รีบออกเดินทางเถอะ” ฮีเจ กล่าว
ใต้เท้าซอ และชอนซู เดินทางข้ามเขามายังจุดพักม้า ก็หยุดพัก แต่เห็นว่าไม่มีม้าเหลืออยู่ ก็สอบถามคนดูแล
“จุดพักม้าแต่ไม่มีม้า เจ้าทำงานกันยังไง?”
“จุดพักม้าแต่ไม่มีม้า เจ้าทำงานกันยังไง?”
“ต้องขออภัยด้วยขอรับ ข้าน้อยไม่รู้จะตอบยังไง”
“นี่มันข้ออ้างอะไรของเจ้าหา ถ้าไม่หาม้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ จะเท่ากับฝ่าฝืนราชโองการของฝ่าบาท มีปัญหาอะไร ยังไม่รีบสารภาพอีก? จะยอมบอกมาตามตรงมั้ย?”
“ได้โปรดเมตตาด้วยขอรับ”
“บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้” ใต้เท้าซอ ขู่
“ใต้เท้าจางฮีเจกับลูกน้อง มาเอาม้าไปใช้กันหมดแล้วขอรับ”
“จางฮีเจ? ใต้เท้าจางฮีเจ ไปที่อึยจูงั้นรึ?”
“ขอรับใต้เท้า”
“เจ้าจางฮีเจมันลอบเดินทางไปอึยจูด้วยเรื่องอะไร ถ้าเค้าไปที่นั่นเพราะรู้ว่าทงอีอยู่ที่อึยจูล่ะ เราไม่มีเวลาแล้วใต้เท้า ต้องรีบหาม้าไปที่อึยจูให้เร็วที่สุด” ชอนซู กล่าว
“เราไม่มีม้าสักตัว จะหาม้าตอนนี้คงไม่ง่าย แต่ถ้าเดินไป คงกินเวลาเกินวัน”
ฮีเจ พยายามคิดถึงคนชื่อชิมวูนเทค ก็นึกออกว่าเป็นคนที่ถวายฎีกาให้ร้ายพระมเหสี จึงสั่งให้ลูกน้องไปเอาจดหมายที่ชิมวูนเทคจะส่งไปเมืองหลวงมาให้ตนดู
“ขอรับ ใต้เท้า คนที่จะอ่านจดหมายนี้ได้ มีแต่ท่านเจ้าเมืองเท่านั้นนะ”
“หุบปากแล้วไปซะ”
“ใต้เท้า”
“ไอ้เจ้านี่ คิดจะขัดคำสั่งข้าใช่รึเปล่า บอกให้ออกไปเดี๋ยวนี้ ไอ้เจ้านี่เกะกะชะมัดยาด” ฮีเจ กล่าว เมื่อได้อ่านจดหมายก็ถึงกับตะลึง
“ทงอี? ชอนทงอี อะไรเนี่ย เป็นไปได้ยังไง นางยังไม่ตายเหรอนี่ ยังอุตส่าห์รอดจนถึงวันนี้ได้ นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้
”ฮีเจ เรียกมือสังหารของตนเข้ามาหาเพื่อสั่งงาน
“นังเด็กที่ชื่อชอนทงอีมันยังอยู่ นางอาศัยอยู่ในอึยจูนี่”
“อะไร เป็นไปได้ยังไง”
“หมายความว่าเจ้าฆ่านังเด็กคนนั้นไม่สำเร็จ”
“ขออภัยขอรับ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวกับข้า ตอนนี้นางอยู่บ้านเถ้าแก่พยอนรีบไปจับตัวนางมา ได้ยินรึยัง?”
“ขอรับใต้เท้า”
“ข้าว่าแล้วว่าดูน่าสงสัย เจ้าคิดจะหนีไปเมืองหลวงงั้นรึ?”
“ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้ามีเรื่องที่ต้องทำจริง ๆ”
“แต่ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ตอนนี้เจ้ากลับคิดจะหักหลังข้า”
“ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่าข้าเป็นนางในในวัง ข้าก็มีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งไปยังเมืองหลวง ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะค่ะ”
“นางในบ้าบออะไรอีก เรื่องพวกนี้เหลวไหลทั้งเพ เจ้าจะให้ข้าเชื่อที่เจ้าพูดมาเรอะ”
“ใต้เท้าจางฮีเจที่ท่านต้อนรับอยู่ กำลังจะทำเรื่องที่สร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง ถ้าท่านไปช่วยเหลือจางฮีเจเท่ากับมีความผิดที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายไปด้วยนะคะ”
“หุบปากนะ เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าที่เจ้าพูดมามันอันตรายแค่ไหน?”
“ข้าต้องรีบไปเมืองหลวงเพื่อไปแจ้งข่าวนี้ค่ะ ได้โปรดปล่อยข้าไปด้วยเถอะ”
“เฮ้อ”
“นายท่าน” ทงอี อ้อนวอน
หลังจากได้อ่านจดหมายฮีเจ จึงรีบเดินทางมาที่บ้านของพ่อค้าพยอน
“แม่ชอนทงอี นี่เจ้า.. เจ้ายังไม่ตายจริงด้วย เป็นไปได้ยังไงกัน ทำไมเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่ แถมยังมาอยู่ที่นี่ นังเด็กที่ดื้อด้านหัวแข็ง เจ้ายังไม่ตาย แถมยังมาหลบอยู่ที่นี่อีก ทำอะไรอยู่ รีบจับตัวนางไปสิ”
“แม่ชอนทงอี นี่เจ้า.. เจ้ายังไม่ตายจริงด้วย เป็นไปได้ยังไงกัน ทำไมเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่ แถมยังมาอยู่ที่นี่ นังเด็กที่ดื้อด้านหัวแข็ง เจ้ายังไม่ตาย แถมยังมาหลบอยู่ที่นี่อีก ทำอะไรอยู่ รีบจับตัวนางไปสิ”
“ขอรับ”
“เดี๋ยวก่อน นี่มันอะไรกันขอรับ” พ่อค้าพยอนถาม
“ถ้าไม่อยากตายพร้อมนาง ก็ถอยไปซะ ยืนบื้ออะไรอยู่เล่า เร็วเข้า”
* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา