วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 39




ผ่านไปไม่นานทงอีก็คลอดพระโอรสออกมา ทำให้พระเจ้าซุกจงมักไปที่ตำหนักโบคยองของทงอีอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งมีข่าวลือในวังว่าพระโอรสคนใหม่อาจจะมาแย่งตำแหน่งรัชทายาท ทำให้อ๊กจองและมารดารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์หัวหน้ากองสวัสดิการณ์ถูกสังหาร และผู้ที่ก่อการกลับเป็นคนที่ทำผ้าโพกหัวสัญลักษณ์กลุ่มคอมเกหล่นเอาไว้

เนื้อเรื่อง:



“ดิถี..วันที่ยี่สิบหกในเดือนสี่ ตามพระราชพิธีของวังหลวง ให้มีการแต่งตั้ง ชอนทงอีเป็นพระสนมซุกวอนขั้นสี่ เชิญน้อมรับโองการด้วย”
    
“พระสนม ขอให้เจ้าจงทุ่มเทดูแลรับใช้ฝ่าบาท และเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดในฝ่ายใน” มเหสีอินฮอนกล่าว
    
“หม่อมฉันจะพยายามทำตามรับสั่งพระองค์อย่างเต็มที่เพคะ” ทงอีทำความเคารพ
    
“ยินดีด้วยเพคะ พระสนม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
  
เวลาผ่านไป พระเจ้าซุกจงตั้งใจบริหารงานบ้านเมืองด้วยความสงบสุข


“ส่งรายงานต่อไป ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ สั่งให้กรมอากรประเมินความต้องการของปีหน้า ให้ลดการเก็บภาษีข้าวลงอีก”
    
“แล้วถ้าภาษีได้ไม่พอ...” ข้าหลวงถาม
    
“ให้เบิกจากทรัพย์ส่วนของราชวงศ์ แล้วก็ไปเก็บเพิ่มเอาจากที่นาหลวงหรือที่นาทางการทหารมาแทน”
    
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำตามที่รับสั่ง”
    
“เรื่องต่อไปเป็นอะไร” พระเจ้าซุกจงถามข้าหลวงคนต่อไป
    
“พวกนี้เป็นรายงานที่ผู้ตรวจการลับแต่ละที่ส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ฝ่าบาท เครื่องเสวยเตรียมไว้พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเข้ามากราบทูล
    
“ข้าไม่มีเวลากิน เอากลับไป” พระเจ้าซุกจงตรัส
  
พระเจ้าซุกจงเสด็จมาตรวจการฝึกทหารองครักษ์


“สมกับเป็นผู้คุมชา เจ้าดูโดดเด่นที่สุดจริง ๆ” ตรัสชมชอนซู
    
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
    
“เอาละ เราจบพิธีตรวจกองทหารองครักษ์แล้วสิ?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าซอกราบทูล
    
“แล้วรายงานของแต่ละกรมล่ะ?”
    
“ช่วงบ่ายพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ขันทีกราบรายงาน
    
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็เหลือเวลาอีกหน่อยสินะ” พระเจ้าซุกจงทำท่าครุ่นคิด
    
“หรือว่า ฝ่าบาทจะเสด็จหรือพ่ะย่ะค่ะ”
    
“ว่ายังไง เจ้าอยากจะไปด้วยกันมั้ย” พระเจ้าซุกจงตรัสถาม แต่ชอนซูปฏิเสธบอกมีงานต้องทำ พระเจ้าซุกจงจึงเสด็จไป
    
“พระราชาจะเสด็จไปที่ไหนเหรอ?” ใต้เท้าซอหันมาถามชอนซู
    
“ใต้เท้าไม่ทราบหรือขอรับ ทุกครั้งที่มีเวลาจะต้องเสด็จไปที่นั่นทุกที”

ชอนซูบอกใต้เท้าซอว่าทุกครั้งที่มีเวลาว่างพระเจ้าซุกจงจะเสด็จไปที่ตำหนักของทงอีเป็นประจำ หลังจาก     ทงอีตั้งครรภ์และให้กำเนิดพระโอรสให้พระราชา
  
ทงอีและอินฮอนกำลังดูแลและเล่นกับพระโอรส



“นี่เจ้าได้ยินรึเปล่า? ท่าทางองค์ชายจะเริ่มฝึกพูดแล้วนะ” อินฮอนบอกทงอียิ้ม ๆ
    
“มีอะไร มีเรื่องอะไรกันเหรอ? พระมเหสีก็อยู่ด้วย ทำไม เมื่อตะกี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” พระเจ้าซุกจงเดินยิ้มเข้ามา 
    
“ฝ่าบาท คือองค์ชาย เหมือนจะเริ่มหัดพูดแล้วเพคะ” อินฮอนกราบทูล สร้างความดีพระทัยแก่พระเจ้าซุกจงเป็นอย่างมาก “จริงเหรอ เร็วอย่างนั้นเลย?”
    
“เป็นเรื่องจริงเพคะ เมื่อกี้หม่อมฉันก็ได้ยิน”
    
“ฮะ ๆ ๆ จริงเหรอ มา ๆ ๆ ฮะ ๆ ๆ โอ๊ย ๆ ๆ มานี่ แหม ยังไม่ครบสองเดือนดี ก็เริ่มพูดอ้อ       แอ้แล้วรึ เป็นเด็กที่ฉลาดมาก ไหนลองพูดหน่อยสิ ฮะ ๆ ๆ โอ๊ย ๆ ๆ ดี ๆ สะ สะ เสด็จพ่อ พูดว่าเสด็จพ่อสิ” พระเจ้าซุกจงดีพระทัยอย่างปิดไม่มิด
  
การเสด็จมาตำหนักโบยองเป็นประจำของพระเจ้าซุกจงวันละหลาย ๆ ครั้ง ทำให้บรรดานางในพูดกันถึงความรักที่พระเจ้าซุกจงมีให้ทงอีและองค์ชาย
    
“อย่าให้พูดเลย แค่วันนี้ก็เสด็จมาตั้งสามรอบแล้ว”
    
“โอ๊ย ถ้าเป็นอย่างนี้คงต้องมาว่าราชการที่ตำหนักโบยองแทนแล้วมั้งเนี่ย ดูเหมือนพระราชามีความสุขมากเลย”
    
“มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ก็ทรงรอมาตั้งนานแค่ไหนแล้วล่ะ แถมยังเป็นพระโอรสซะด้วย”
  
ด้วยพระเจ้าซุกจงโปรดทงอีมากจึงมีข่าวกระจายในวังว่า องค์ชายโอรสของทงอีอาจมาแย่งตำแหน่งรัชทายาท สร้างความไม่พอใจแก่พระสนมฮีบินและนายหญิงยูนเป็นอย่างมาก

     
“พระสนม ตอนนี้ยังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกล่ะ ถ้าทำแบบนี้แล้ว ทำให้นังซุกวอนกับลูกของมันตายได้จริง ๆ ล่ะก็ ท่านไม่รู้เลยรึไง ว่าตอนนี้ข้างนอกเค้าลือกันว่า ลูกของสนมซุกวอนจะมาแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาท พระสนมไม่รู้สึกโกรธแค้นบ้างเลยรึไง คิดจะนิ่งเฉยไม่สนใจไยดีรึ?”
    
“แล้วยังไง เลยสั่งให้ทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้รึ ทำไปแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”
    
“พระสนม”
    
“ท่านคิดว่าข้าเอาแต่นั่งรอให้เวลาผ่านไปเท่านั้นรึไงหา? ถ้าไม่พึ่งพวกนี้ ข้าจะทวงตำแหน่งคืนไม่ได้ใช่มั้ย? เฮ้อ.. ไม่ใช่หรอก ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ ตอนนี้ข้าแค่กำลังเฝ้ารอเวลาอยู่เท่านั้น”
  
ข่าวลือนี้รู้ไปถึงหูของพระมเหสีอินฮอน   เพราะวูนเทคกังวลว่า หากมีการเปลี่ยนตัวรัชทายาทจะทำให้ตนเองเดือดร้อนได้


“นี่เจ้า.. ต่อหน้าพระมเหสีนี่เจ้ากล้าบังอาจ..” อินกุ๊กตำหนิวูนเทค
    
“ใต้เท้า นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดไว้เหมือนกัน”
    
“ห้ะ เอ่อ พระมเหสี”
    
“ข้าเองก็รู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เมื่อนึกถึงองค์รัชทายาทที่ยังเยาว์วัย ข้าเองก็ยังยากทำใจที่จะทำอย่างนั้น” พระมเหสีอิน     ฮอนบอก
    
“ถ้าพระสนมฮีบินยังอยู่ แล้วองค์รัชทายาทได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจริง นั่นจะเป็นสัญญาณของการนองเลือดในราชสำนัก” วูนเทคกล่าวต่อ
    
“แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น พระสนมซุกวอนก็มีชาติกำเนิดเป็นชนชั้นต่ำแล้วจะ..” อินกุ๊กพูด แต่พระมเหสีโพล่งแทรกขึ้น “ใต้เท้า ระวังคำพูดของท่านหน่อย โอรสของพระสนมซุกวอนก็เป็นเชื้อสายของพระราชา”
    
“แต่ว่าพระมเหสี เรื่องนี้แม้แต่กลุ่มตะวันตกก็ยังต้องคัดค้านอย่างแน่นอน ยังไม่สู้ คัดเลือกสนมคนใหม่มาจากชนชั้นสูง เพื่อมีพระโอรสจะดีกว่า”
    
“ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่รัชทายาทองค์ปัจจุบัน เป็นคนขึ้นครองราชย์ ก็ต้องเป็นโอรสพระสนมซุกวอน นี่เป็นความตั้งใจของข้า แน่นอน ว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ แต่นี่เป็นเรื่องที่เราต้องคิดเพื่อบ้านเมืองและราชวงศ์ ท่านเข้าใจรึเปล่า?” พระมเหสีอินฮอนกล่าวอย่างเด็ดขาด
  
ขณะที่วูนเทคก็นำเรื่องมาคุยกับชอนซู


“ใต้เท้า หมายความว่ายังไงขอรับ ตั้งรัชทายาทใหม่?” ชอนซูถามอย่างแปลกใจ
    
“ข้ารู้ตัวดี ว่าข้ากำลังพูดเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งอยู่ แต่ตอนนี้เจ้าเองก็น่าจะเห็นว่า วังหลวงมีสภาพยังไง และคงรู้ว่าพระสนมฮีบินเป็นคนยังไง ถ้าอยากจะอยู่รอดก็ต้องครอบครองทุกอย่าง นี่แหละวังหลวง พระสนมฮีบินรู้กฎข้อนี้ดีกว่าใครทั้งนั้น นางไม่มีทางยอมเลิกราง่าย ๆ แน่ ดังนั้นคนที่อยู่ในอันตรายมากที่สุดคือใครล่ะ? ตอนนี้ไม่ใช่พระมเหสีแล้ว แต่เป็นพระสนมซุกวอนที่ให้กำเนิดพระโอรส รวมถึงตัวขององค์ชายด้วย”
    
คำพูดของวูนเทคสร้างความไม่สบายใจแก่ชอนซูเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นห่วงทงอี
      
พระมเหสีฮีบินหวั่นใจเรื่องที่จะถูกเปลี่ยนองค์รัชทายาทจึงแอบติดต่อกับฮีเจอย่างลับ ๆ


“แล้วไง ประมาณการว่าเมื่อไหร่ถึงจะถึงเมืองหลวง” พระมเหสีฮีบินถามนางในโช
    
“อีกประมาณสิบวันเพคะ”
    
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปบอกพวกเค้าว่า นอกจากต้องเร็วแล้วยังจะต้องรอบคอบอีกด้วย”
    
“เพคะพระสนม”
    
“รู้สึกยังไงเพคะฝ่าบาท ตอนที่อุ้มองค์ชายอยู่ในอก ทรงรู้สึกมีความสุขที่สุดในโลกใช่มั้ย ดี ขอให้พระองค์รู้สึกอย่างนั้นไปเถอะ เพราะแบบนี้ พระองค์จะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการเสียโลกทั้งใบ” พระมเหสีฮีบินกล่าวอย่างแค้นใจ


   
“ชู่ว์ อย่าเสียงดังนะ เค้ากำลังจะหลับแล้ว เจ้าตัวเล็ก ตัวเล็กเท่าเม็ดถั่วก็รู้จักเหนื่อยกับเค้าด้วย แต่เค้าดูเหมือนอยากรู้อยากเห็น เบิ่งลูกตา  มองไม่ยอมนอนหลับสักทีนะ” พระเจ้าซุกจงมองพระโอรสอย่างรักใคร่
    
“ฝ่าบาท ควรเสด็จบรรทมแล้วเพคะ” ทงอีเตือน
    
“ไม่เอาหรอก แค่ได้คอยมองดูองค์ชาย ข้าก็ไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด จริงสิ ข้ามีอะไรอย่างนึงจะให้เจ้า” พระเจ้าซุกจงส่งป้ายชื่อให้ทงอี “ใช่แล้ว ชื่อของลูกเราไงล่ะ ข้าอยากให้ลูกคนนี้มีอายุยืนนาน ก็เลยตั้งชื่อเค้าว่ายองซู”

“ยองซู” ทงอีทวนคำยิ้ม ๆ 
    
“ข้านอนไม่หลับอยู่ตั้งหลายคืน เพราะมัวแต่ตั้งชื่อเค้า ไม่ว่าจะคิดยังไง สิ่งที่ข้าหวังก็คือ อยากให้ลูกคนนี้อยู่กับเราไปนานแสนนานที่สุด หมอหลวงบอกว่าเด็กคนนี้แข็งแรงมากก็จริง ถ้าเค้าเหมือนแม่ที่เคยวิ่งรอบเมืองหลวงมา จะไม่แข็งแรงได้ไง”
    
“ใช่ แน่อยู่แล้วเพคะ ที่จริง หม่อมฉัน    ยังกลัวอยู่เลยว่าเค้าจะปวกเปียกเหมือนฝ่าบาท” ทงอีขำ ๆ 
    
“หะ ปวกเปียกอะไรกัน ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ยินชาชอนซูพูดถึงข้าบ้างรึไง ข้าไม่ใช่ข้าคนเดิมแล้วนะ”
    
“หรือเพคะ เหมือนไม่เคยได้ยินเลย” ทงอีล้อ
    
“ได้เลย งานฉลองครบร้อยวันของลูก ข้าจะอวดฝีมือยิงธนูร้อยดอก เข้าเป้าร้อยดอกให้ดู ถ้าเห็นแล้วอย่าเป็นลมล่ะ”
    
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเชื่อที่ทรงตรัสมาอยู่แล้ว เรื่องยิงธนูขอดูวันหลังได้มั้ยเพคะ งานฉลองร้อยวันขององค์ชาย งดเว้นไป ไม่ต้องจัดได้มั้ย” ทงอีกล่าวน้ำเสียงจริงจัง สร้างความตกพระทัยแก่พระเจ้าซุกจงอย่างมาก “ยกเลิกงั้นเหรอ เจ้าหมายความว่ายังไง? ทงอี”
  
ทงอีมาพบพระมเหสีอินฮอนพร้อมกับบอกความตั้งใจของตนเอง


“อยากเปลี่ยนงานฉลองร้อยวัน เป็นเปิดโรงทานแจกอาหารชาวบ้านรึ?” พระมเหสีอินฮอน กล่าวด้วยน้ำเสียงตกพระทัย
    
“เพคะพระมเหสี ได้ยินว่าที่ซัมนัมเกิดภัยแล้ง หลายวันนี้มีคนลี้ภัยเข้ามาเมืองหลวงเพิ่มทุกวัน พระราชาและราชสำนักก็กำลังวิตก หม่อมฉันจึงอยากให้เปลี่ยนจากงานเลี้ยงฉลองมาช่วยเหลือประชาชนแทน”
    
“แต่เป็นงานฉลององค์ชายเจ้าไม่เสียดายเหรอ? นี่ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงฉลองครึกครื้นธรรมดานะ แต่เป็นการขอพรให้องค์ชายมีอายุยืนนานด้วย”
    
“เพคะ หม่อมฉันถึงต้องมาขอให้พระมเหสีประทานอนุญาต ถ้าอยากได้บุญวาสนา ก็ควรแบ่งปันวาสนาให้ผู้อื่นก่อน องค์ชายเองก็เคยอยากกินโจ๊กจากโรงทานตั้งแต่อยู่ในท้องของหม่อมฉัน ถ้าองค์ชายมีโอกาสได้มอบและแบ่งปันสิ่งที่มีให้ประชาชน หม่อมฉันเชื่อว่า องค์ชายจะต้องยินดีอย่างมากแน่เพคะ” ทงอีบอกถึงเหตุผล
    
“เรื่องห่วงใยคนอื่นข้าสู้เจ้าไม่ได้เลยนะ” พระมเหสีอินฮอนยิ้ม “เอาละ เข้าใจแล้ว เมื่อเจ้าต้องการอย่างนั้น ข้าก็ตามใจ แล้วเจ้ายังอยากให้ข้าทำอะไรให้อีกมั้ย?”
    
หลังจากข่าวเรื่องที่ทงอีจะเปลี่ยนงานเลี้ยงฉลองครบร้อยวันขององค์ชายมาแจกอาหารแก่คนยากคนจนแทน สร้างความดีใจให้กับชาวบ้าน พร้อมทั้งกล่าวสรรเสริญทงอียกใหญ่

  
ชาวบ้านมาเข้าแถวเพื่อรับอาหารในโรง   ทานที่ทงอีตั้งขึ้นอย่างมากมาย แต่ระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์หัวหน้ากองสวัสดิการถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ โดยมือสังหารทิ้งผ้าโพกผมสัญลักษณ์ฝ่ายคอมเกไว้ในที่เกิดเหตุและทงอีเก็บได้ ด้านชอนซูและจงคูไปตรวจที่เกิดเหตุและพบจดหมายจำเพาะทิ้งไว้ 
    
ทงอีเรียกชอนซูมาพบ


“เมื่อกี้ท่านไปที่ ฮวารินซอใช่มั้ย เรื่องคดีหัวหน้ากองถูกฆ่ารึเปล่า?”
    
“พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าท่านเองก็ไปเจอกับตัวเอง ที่บริเวณโรงทานแจกอาหาร ทรงปลอดภัยดี ใช่มั้ย?”
    
“ที่ข้าเรียกพี่มา ก็เพราะมีเรื่องบางอย่างจะบอกกับพี่ ดูเหมือนข้าจะเห็นคนที่ฆ่าหัวหน้ากองสวัสดิการ”
    
ชอนซูตกใจมาก “หะ ท่านเห็นด้วยหรือ?”
    
“แต่ว่า คนคนนั้นทำผ้าโพกหัวตกไว้ด้วย” ทงอีส่งผ้าผูกผมให้ ชอนซูเห็นก็ตกใจ “พระสนม นี่มัน..”
    
“ใช่ มันคือสัญลักษณ์ของคอมเกค่ะพี่”
    
“นี่เป็นผ้าที่ผู้ชายคนนั้นทำหล่นเอาไว้ จริง ๆ เหรอ?”
    
“ใช่ค่ะพี่ชอนซู หรือว่า...กลุ่มคอมเกเกิดขึ้นในเมืองหลวงอีกครั้ง แล้วก็..”
    
“ไม่จริง มันไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้ใครสักคนก่อตั้งคอมเกขึ้นมาใหม่จริง ถ้าเดินตามเจตนาท่านหัวหน้า เค้าจะไม่มาฆ่าคนแบบนี้แน่   นอน กระหม่อมจะไปสืบที่มาที่ไปเรื่องนี้เอง”
  
ขุนนางผู้ใหญ่ถูกฆ่าตายไม่เว้นแต่ละวัน จนข่าวลือทั่วไปว่าเป็นฝีมือของกลุ่มคอมเก ทงอี ชอนซูและใต้เท้าซอจึงมาปรึกษากันถึงเรื่องนี้ ซึ่งชอนซูไม่เชื่อว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มคอมเก ขณะที่ทงอีก็คิดว่ามีคนใช้ชื่อกลุ่มคอมเกทำเรื่องร้ายเหมือนกับในอดีต


มูยอลซึ่งเป็นเจ้าเมืองฮันยางและเป็นลูกชายของผู้ตรวจการจางได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากพระเจ้าซุกจงให้ดูแลคดีนี้ พอแทซุกได้ข่าวถึงกับนั่งไม่ติด เพราะเขาเคยออกคำสั่งให้สังหารผู้ตรวจการจางมาก่อน 
    
ด้านวูนเทคพูดคุยกับชอนซูว่ามูยอลน่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง เพราะถึงแม้จะเป็นขุนนางฝ่ายใต้ แต่กลับลงโทษกลุ่มฝ่ายใต้ ทำให้ฝ่ายใต้ไม่ค่อยพอใจนัก ทงอีว่าการมาของมูยอลอาจจะเป็นผลดีต่อพวกนางก็เป็นได้


“ช่วยเราได้เหรอ? ไม่ทราบว่าทรงหมาย ความว่าอะไร?” ใต้เท้าซอถามอย่างแปลกใจ
    
“ในเมื่อเค้าเป็นลูกชายผู้ตรวจการจาง ถ้าอย่างนั้นเค้าก็คงอยากตามหาฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าพ่อของเค้า ถ้านี่เป็นแผนของใครคนนึงจริง คนพวกนั้นก็อาจเป็นฆาตกรที่เราตามหาก็ได้ และครั้งนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะสืบว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” ทงอีกล่าว
  
มูยอลแอบติดต่อกับพระสนมฮีบินอย่างลับ ๆ และพระสนมเสนออำนาจให้มูยอลเป็นผู้นำและผู้จัดการในกลุ่มฝ่ายใต้ มูยอลและมินคนสนิทเดินทางไปหาแทซุก พร้อมกับพูดเรื่องการตายของพ่อเขา แทซุกถึงกับหน้าถอดสี


“ก่อนที่ข้าจะมานี่ ข้าน้อยเพิ่งไปเข้าเฝ้าพระสนมฮีบินมา ฆาตกรที่ฆ่าพ่อของข้าไม่ใช่ชนชั้นต่ำกลุ่มคอมเกแต่เป็นตัวใต้เท้า”
    
“ข้า ข้าไม่รู้ ว่าพระสนมฮีบินตรัสอะไรกับเจ้า แต่ว่า...”
    
“ไม่ต้องกังวลหรอกใต้เท้า ถ้าข้าตั้งใจจะมาแก้แค้นท่าน ข้าน้อยจะเป็นฝ่ายมาหาท่านเองไปทำไม ลืมเรื่องนั้นซะ ข้ามาวันนี้เพื่อจะมาบอกเรื่องนี้”
    
“อะ อะไรนะ”
    
“เรื่องมันก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว การจะมารื้อฟื้นความหลังจะมีประโยชน์อะไร อีกอย่างนึงถ้าจะพูดกันตามจริง ถ้ามีศัตรูการเมืองมาขวางทางข้า ข้าก็ทำเช่นนั้น มันก็แค่นั้นแหละ ข้าน้อยหวังว่า จะได้ใช้ความสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับกลุ่มฝ่ายใต้ได้บ้าง ข้าจึงคิดว่าจำเป็นต้องทำให้ท่านเห็นความจริงใจของข้าเสียก่อนไงล่ะใต้เท้า”
    
หลังพบกับแทซุก มูยอลก็เดินคุยมากับมิน


“ใต้เท้า อย่างนี้ไม่เป็นไรหรือขอรับ /คนคนนั้นเป็นคนฆ่าท่านพ่อท่าน ท่านคิดจะร่วมมือกับคนแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?” มินถามตรง ๆ 
    
“ร่วมมือกับเค้าเหรอ อะไร.. ในสายตาเจ้ามองอย่างนั้นเหรอ? ที่จริงที่ข้าต้องการ คือทำให้โฮแทซุกกลายเป็นสุนัขรับใช้ข้าตลอดชีวิต” มูยอลยิ้มอย่างมีแผน
  
ขุนนางยังถูกฆ่าตายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์ชื่อ ฮองจูโฮ และเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจการ โดยมือสังหารได้ทิ้งหนังสือไว้ว่าจะสังหารขุนนางผู้ใหญ่ต่อไป 
    
ทงอีกังวลใจมาก วูนเทครู้ว่าทงอีคงกังวลว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มคอมเกจึงสอบถาม ทงอีจึงบอกเรื่องที่มือสังหารทิ้งผ้าโพกผมสัญลักษณ์กลุ่มคอมเกเอาไว้


 “คนฆ่าหัวหน้ากองสวัสดิการ มีผ้าโพกหัวสัญลักษณ์ของคอมเกอยู่รึ?”
    
“ใช่ แต่นั่นต้องไม่ใช่ฝีมือของกลุ่มคอมเกแน่ เรื่องนี้ต้องมีแผนการอะไรอยู่เบื้องหลัง” ทงอีกล่าวอย่างมั่นใจ
    
“ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ก็อาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในสมัยนั้นด้วย พระสนม ท่านบอกว่าผู้ตรวจการจางเคยทำสัญลักษณ์มือก่อนตาย ช่วยทำให้กระหม่อมดูอีกครั้งได้มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
    
“สัญลักษณ์มือเหรอ? ท่าน..เข้าใจมั้ยว่าหมายความว่าอะไร ข้าเฝ้าคิดถึงความหมายของมันมานาน แต่จนป่านนี้ก็ยังตีไม่แตก มันไม่เหมือนทั้งอักษรแล้วก็สัญลักษณ์” ทงอีครุ่นคิด
    
“แล้วถ้ามันเป็นการแยกอักษรของต้าชิงล่ะ? หมายถึงสัญลักษณ์มือนี้ กระหม่อมเคยเห็นพวกพ่อค้าต้าชิงทำสัญลักษณ์มือคล้าย ๆ แบบนี้ที่อึยจู”
    
“นี่ท่านพูดจริงรึเปล่า?” ทงอีกล่าวอย่างมีความหวัง
    
“พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สัญลักษณ์มือนี้ก็น่าจะเป็นตัวเลข แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ตัวเลขพวกนี้จะหมายถึงอะไรนะ?”
    
“ถ้าเป็นตัวเลขของต้าชิง แล้วมันคือตัวเลขอะไร?”
    
“เลขแปด ห้า ต่อมาก็ เลขสิบ กับห้าพ่ะย่ะค่ะ แต่แบบนี้ก็ยิ่งสับสนกันไปใหญ่ ถ้าเป็นตัวเลขของต้าชิงจริง เค้าต้องการจะสื่ออะไรนะ?”
    
“เลขแปด ห้า สิบ แล้วก็เลขห้า หมายความว่าอะไรกันแน่?”
  
ทงอียังติดใจสงสัยสัญลักษณ์มือไม่หาย อยากรู้ว่าคืออะไรจึงตัดสินใจไปประทับนอกวัง ข่าวเรื่องทงอีจะไปประทับนอกวังล่วงรู้ถึงหูพระสนมฮีบิน


“อะไรนะ สนมซุกวอนจะพักฟื้น นางคิดจะไปพักฟื้นที่นอกวังงั้นหรือ?”
    
“เพคะพระสนม ได้ยินว่าจะไปพักบ้านที่พระมเหสีจัดเตรียมไว้ให้นาง” นางในโชรายงาน
    
“งั้นเหรอ?” พระสนมฮีบินยิ้มอย่างมีแผนการ


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา