วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 48




กึมยังพยายามที่จะทำให้คิมกูซอนมาเป็นอาจารย์ของตนให้ได้ สุดท้ายคิมกูซอนก็ยอมเป็นอาจารย์ให้ เพราะยอมรับในคำว่าศึกษาเพื่อช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก พระมเหสีเริ่มวางแผนตามหาหมอผู้ช่วยหมอที่รักษารัชทายาท เพื่อสืบเรื่องของอ๊กจอง แต่สุขภาพกลับย่ำแย่ลงทุกที

เนื้อเรื่อง:




ทงอียังงุนงงสงสัยมากกับการที่พระมเหสีเหมือนจะบอกเป็นนัย ๆ ว่าองค์รัชทายาทไม่อาจขึ้นครองบัลลังก์ได้
    
“ซุกอึย ข้ายังบอกเหตุผลตอนนี้ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาแล้ว ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง ดังนั้นตอนนี้เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดีซุกอึย บางทีองค์ชายยอนอิง อาจจะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ดังนั้นเจ้าจะต้องเตรียมตัวทุกอย่างให้พร้อมสำหรับสิ่งนี้”
    
ทงอีคิดถึงคำพูดของพระมเหสี แต่ก็คิดไม่ตก

 “มันคืออะไรกันแน่นะ องค์รัชทายาทมีปัญหาอะไร เพราะอะไรพระมเหสีถึงได้ตรัสอะไรที่น่ากลัวอย่างนั้น”


สนมฮีบินเรียกฮีเจมาพบ และเล่าเรื่องที่องค์ชายยอนอิงจะเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในสำนักรัชทายาท เป็นแผนของพระมเหสีที่ต้องการสั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาท โดยจะให้องค์ชายยอนอิงขึ้นเป็นรัชทายาทแทน และให้ฮีเจคิดหาทางขัดขวางไม่ให้องค์ชายยอนอิงเข้าไปเรียนในสำนักรัชทายาท และยังให้รีบตามหาหมอที่เคยดูแลองค์รัชทายาทลียุนที่หายตัวไป เพราะมั่นใจว่ามเหสีอินฮอนต้องรู้เรื่องการป่วยของรัชทายาทลียุนจากหมอที่หายตัวไปแน่ แต่ไม่รู้ว่ารู้เรื่องราวมากแค่ไหน ฮีเจบอกให้มูยอลไปรวบรวมขุนนางเพื่อช่วยกันคัดค้านไม่ให้พระราชาออกคำสั่ง
  
องค์ชายยอนอิงแสดงความเฉลียวฉลาดและได้รับการชื่นชมจากบรรดาขุนนาง พระเจ้าซุกจงดีพระทัยมากเพราะองค์รัชทายาทลียุนก็ฉลาดหลักแหลม ขณะที่องค์น้องอย่างยอนอิงก็โดดเด่นไม่แพ้กัน
  
ฮีเจรวบรวมเหล่าขุนนางมาที่ท้องพระโรงเพื่อขอคัดค้านที่จะผลักดันองค์ชายยอนอิง เข้าเรียนที่สำนักรัชทายาท โดยบอกว่าไม่เหมาะสมและขอให้พระเจ้าซุกจงพิจารณาใหม่อีกครั้ง


“ฟังให้ดี มีพี่น้องที่ฉลาดร่วมเรียนด้วยกัน ถือเป็นประโยชน์กับองค์รัชทายาท อีกอย่าง องค์รัชทายาทก็มีพระสหายร่วมเรียนด้วยมาตั้งแต่เล็กแล้วทำไมองค์ชายยอนอิงถึงเรียนด้วยไม่ได้” พระเจ้าซุกจงตรัสถาม
    
“ต้องขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากว่า องค์ชายยอนอิงมีฐานันดรศักดิ์เป็นองค์ชายเช่นกัน การที่มีเด็กชนชั้นสูงมาเป็นพระสหายร่วมเรียนกับรัชทายาทจึงไม่อาจไปเปรียบกันได้ เพราะเรื่องนี้อาจทำให้สั่นคลอนตำแหน่งองค์รัชทายาทในอนาคตพ่ะย่ะค่ะ” มูยอลกราบทูล
    
“ท่านรองเจ้ากรม ท่านพูดเกินไปแล้ว สั่นคลอนตำแหน่งอะไร ท่านกล้าพูดจาบจ้วงอย่างนี้ออกมาได้ยังไง” พระเจ้าซุกจงตรัสน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
  
ทงอีเกรงว่าจะมีปัญหาต่อพระบารมีพระราชา จึงกราบทูลว่าให้ทำตามคำคัดค้าน แต่พระเจ้าซุกจงไม่ยอม

    
“ข้าไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด ข้าไม่ได้ตัดสินใจเพื่อสร้างความขัดแย้งให้ซักหน่อยนี่ หกปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยได้ทำอะไรเพื่อเด็กคนนั้นเลย มาถึงตอนนี้ ข้าแค่อยากให้เค้าได้รับการอบรมที่เหมาะสมกับความสามารถเค้า”
    
“นั่นเพราะว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงองค์รัชทายาทไงเพคะ เพราะข้าคิดว่า ทำแบบนี้ก็จะเป็นผลดีกับรัชทายาท เจตนาของฝ่าบาท หม่อมฉันเข้าใจเพคะ ฝ่าบาททรงอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับองค์ชายยอนอิง แต่ปัญหามันอยู่ที่เป็นสำนักศึกษารัชทายาทไงเพคะ ขอให้ทรงคิดถึงข้อนี้ด้วย”
    
“องค์ชายยอนอิงล่ะ เด็กคนนั้นจะทำยังไง เค้าจำเป็นต้องมีอาจารย์เก่งมาสอน” พระเจ้าซุกจงเสียงอ่อนลงเมื่อฟังเหตุผลของทงอี
    
“องค์ชายยอนอิงยังมีท่านอาจารย์ยุนฮักอยู่เพคะ”
    
“ข้าเคยบอกแล้วไงว่า คนอย่างยุนฮัก ไม่มีทางเปลี่ยนใจได้ง่าย ๆ หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้เลย” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างกังวลพระทัย
  
พระเจ้าซุกจงอยากให้อาจารย์ยุนฮักคิมกูซอนมาสอนองค์ชายยอนอิง ถึงกับปลอมพระองค์เป็นสามัญชนไปช่วยกูซินทำงานที่บ้าน แต่หารู้ไม่ว่าองค์ชายยอนอิงได้มาช่วยกูซอนทำงานบ้านและสนทนาธรรมกับกูซอนนานแล้ว และทำให้กูซอนเห็นความสามารถขององค์ชายยอนอิง



“นี่น้องชาย เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ” กูซอนแปลกใจที่เห็นชายแปลกหน้าเข้ามาในบ้านตนเอง
    
“อ้อ ดีใจจัง ท่านคือยุนฮักใช่มั้ย ฮะ ๆ ๆ เพิ่งได้เจอ ที่แท้ก็หน้าตาอย่างนี้นี่เอง” พระเจ้าซุกจงซึ่งปลอมพระองค์มาตรัสยิ้ม ๆ 
    
“แล้วท่านเป็นใคร ท่านมาทำอะไรที่นี่หา?”
    
“อ้อ ข้าเป็นพ่อที่จะมาฝากลูกเป็นศิษย์ท่านไงล่ะ เฮ้อ ข้าอยากจะมาช่วยท่านทำงาน ไม่รู้ว่าแบบนี้จะทำให้ท่านพอใจได้มั้ย”
    
“อะไรเนี่ย นี่มันอะไรข้างงไปหมดแล้ว”

เป็นเวลาเดียวกับองค์ชายยอนอิงเดินเข้ามาบ้านกูซอนและพบพระเจ้าซุกจงเข้า



“เสด็จพ่อ”
    
“อ้าว องค์ชายยอนอิง คือว่า ข้าเป็นพ่อของเค้าน่ะ” พระเจ้าซุกจงตรัสสารภาพเก้อ ๆ
    
“ท่านก็เป็น...” กูซอนหน้าตาตื่น
    
“พระราชา”
    
“ฝ่า ฝ่าบาท ฝ่าบาท ขอประทานอภัยที่กระหม่อมไม่ทราบ กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ” กูซอนรีบคุกเข่าลงกับพื้น
    
“หึ ๆ ๆ ไม่เป็นไร มา ๆ ๆ ลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้น ฮะ ๆ ๆ เชื่อเลย จะเจอท่านนี่ยากจัง ที่แท้ก็หน้าตาเป็นอย่างนี้” 
  
พระเจ้าซุกจงตรัสเรื่องที่เสด็จมาหากูซอนถึงที่บ้าน


“ข้าไม่ได้มาพบท่านในฐานะพระราชาข้ามาในฐานะพ่อคนนึงเท่านั้น ได้ยินว่าสนมซุกอึย เคยมาขอให้ท่านรับองค์ชายยอนอิงเป็นศิษย์และวันนี้ข้าก็มาขอร้องท่านด้วยเช่นกัน”

“องค์ชายยอนอิงก็มาอยู่นี่หลายวันแล้ว ท่านน่าจะมองเห็นความสามารถและจิตใจของเด็กคนนี้ เด็กที่แสนจะมีค่านี้ ข้าอยากให้เค้ามีอาจารย์ที่ดีที่สุด ข้าถึงได้เดินทางมาเพื่อจะขอร้องท่าน ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนยังไง ข้าจะไม่ขอให้ท่านไปเป็นขุนนางอีก แต่ท่านจะยอมมาเป็นอาจารย์ของเด็กคนนั้นได้รึเปล่า?”
 
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ขอประทานอภัย พระองค์คงมาเสียเที่ยวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กูซอนกล่าว
 
พระเจ้าซุกจงถึงกับชะงัก “แต่ท่านยุนฮัก”
 
“กระหม่อมไร้สามารถ แต่ตัดสินใจว่าจะยอมรับเป็นอาจารย์องค์ชายไปแล้ว” กูซอนบอกพระเจ้าซุกจงยิ้มกว้าง ดีพระทัย
 
“หะ ท่านยินดีเป็นอาจารย์เค้า ท่านตัดสินใจนานแล้วเหรอ?”
 
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถึงได้ทูลว่าพระองค์ทรงมาเสียเที่ยวแล้ว”
 
“ฮะ ๆ ๆ เชื่อท่านเลย ฮะ ๆ ๆ”

พระเจ้าซุกจงนำข่าวดีมาบอกกับทงอีและองค์ชายยอนอิงว่าพระองค์ทำให้กูซอนยอมรับองค์ชายเป็นศิษย์แล้ว ทงอีแปลกใจมองพระองค์อย่างคลางแคลงใจ พระเจ้าซุกจงรู้สึกอายจึงสารภาพความจริงว่า พระองค์โม้ว่าเป็นคนทำให้กูซอนรับองค์ชายเป็นศิษย์ แต่ที่จริงแล้วองค์ชายเอาชนะใจกูซอนได้ด้วยตัวเอง

  

 “แต่ถึงยังไงพระราชาออกหน้าทั้งที ต่อหน้ากึมข้าก็ต้องโม้เอาหน้าไว้ก่อนแหละ” พระเจ้าซุกจงยังไม่วายคุยด้วยท่าทีอาย ๆ
 
“ฝ่าบาท ฮ่า ๆ ๆ” ทงอีหัวเราะชอบใจ
 
“ฮ่า ๆ ๆ เอ๊ะ นั่น ดูนั่นสิ เฮ้อ ทุกอย่างยังดูเหมือนเดิมเลยนะ เมื่อก่อนเคยมากับเจ้า แต่ตอนนี้ มีลูกมากับเราด้วย หึ ๆ กึม ย่าห์ ไปเถอะ เราไปทางนั้นกัน เจ้ามาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนกับพ่อหน่อย”
 
“ฝ่าบาท ดื่มเป็นเพื่อนเลยหรือ?”
 
“ใช่สิ ผู้ชายชาวบ้านทั่วไป เค้าก็ดื่มเหล้ากับลูกชายไม่ใช่เหรอ”
 
“แต่ว่า ฝ่าบาท องค์ชายเพิ่งเจ็ดชันษานะ เค้ายังเป็นเด็กอยู่เลยนะ”
 
“โอ๊ะ เสด็จแม่ ไหนบอกว่าอายุเจ็ดขวบก็เป็นหนุ่มแล้วไงล่ะ”
 
“ใช่ ๆ พ่อหนุ่มน้อย พ่อหนุ่มตัวน้อย เจ้าฉลาดเหมือนใครกันนะเนี่ย” พระราชาสรวลอย่างอารมณ์ดี
 
“ฝ่าบาท”
 
“นี่แม่ค้า เหล้ากานึงแล้วก็หนังหมูจานนึง” พระเจ้าซุกจงสั่งอาหาร
 
องค์ชายยอนอิงแปลกใจมาก “หา เสด็จพ่อก็เสวยของพวกนี้เป็นด้วยเหรอ”
 
“แน่นอน ในวังไม่มีให้กินหรอก นี่ รู้มั้ย โชคดีที่ได้แม่เจ้าน่ะ แต่จะว่าไป แม่เจ้าทำให้พ่อได้ทำอะไรแปลก ๆ เยอะ ทั้งได้วิ่งแล้วยังได้ปีนกำแพงอีก” พระเจ้าซุกจงมองทงอีขำ ๆ
 
“ฝ่าบาทคนปีนกำแพงคือหม่อมฉันเพคะ”
 
“เสด็จพ่อเคยบอก ว่าตอนเด็กท่านปีนกำแพงเก่งมาก” องค์ชายยอนอิงหันไปถามทงอี
 
“ใช่แล้ว” พระเจ้าซุกจงตรัสตอบแทน
 
“ตายแล้ว เสด็จพ่อขี้โม้ที่สุดเลย กึม  ความจริงแล้วเป็นอย่างนี้ต่างหาก...” ทงอีพยายามจะแก้ตัว แต่พระเจ้าซุกจงห้ามไว้แบบขำ ๆ “เฮ้ ๆ  ดูนั่น ๆ ๆ เงียบไว้ ไม่ต้องพูดแล้ว นี่คือคำสั่ง”
 
“เวลาแบบนี้ใครจะไปสนเพคะฝ่าบาทที่จริงแล้ว แม่ต่างหากที่เป็นคนปีนกำแพง” ทงอีรีบบอก
 
“ดูสิว่าแม่เจ้าขี้โม้แค่ไหน ฮ่า ๆ ๆ” พระเจ้าซุกจงหัวเราะชอบใจ


 


พระมเหสีอินฮอนเร่งให้คนสืบความลับของพระสนมฮีบิน ขณะที่อาการป่วยของมเหสีอินฮอนก็ทรุดลงเรื่อย ๆ จนทงอีเป็นห่วง จึงให้จองวังกุลไปสืบว่ามเหสีอินฮอนทรงกังวลและมีเรื่องอะไรในใจ ด้านนายหญิงยูนให้คนไปลอบวางเพลิงที่พักของทงอี พร้อมกับให้หมอผีดูดวงขององค์ชายยอนอิงเพราะอยากรู้อนาคตว่าองค์ชายยินอิงจะมาแทนองค์รัชทายาทหลานของตนเองหรือไม่ หมอผีบอกว่านายหญิงยูนจะถูกกรรมตามสนอง แต่นายหญิงยูนไม่เชื่อ และส่งคนไปฆ่าคนที่นางใช้ให้ไปเผาที่พักทงอีเพื่อปกปิดหลักฐานทั้งหมด


นายหญิงยูนส่งคนไปฆ่าโฮยางเพื่อป้ายความผิดว่าเขาเป็นคนลอบวางเพลิงที่พักของทงอี แต่ชอนซูมาช่วยไว้ทัน และเดินทางเข้าวังเพื่อพบทงอีและใต้เท้าซอ
 
“หะ ผู้คุมชากลับมาแล้วงั้นเหรอ?” ใต้เท้าซอเอ่ยทักอย่างดีใจ
 
“ขอรับ นางกองชากลับมาแล้วใต้เท้าไม่สิ ตอนนี้เป็นหัวหน้าศาลไต่สวนแล้ว” วูนเทคบอก

พระเจ้าซุกจงเรียกชอนซูให้กลับเข้าวังและแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าศาลไต่สวน ชอนซูยังมีโอกาสได้เจอกับองค์ชายยอนอิง แม้จะไม่ค่อยได้พบกันแต่ทั้งคู่ดู่สนิทสนมกันมาก เพราะองค์ชายยอนอิงมักจะเขียนจดหมายถึงชอนซูเป็นประจำ



“ข้าคือองค์ชายยอนอิง ท่านคงรู้จักใช่มั้ย”
 
“ใช่ รู้จักสิองค์ชาย จดหมายที่ทรงเขียนถึงกระหม่อมมาตลอด กระหม่อมยังเก็บไว้อย่างดีทุกฉบับ”
 
“ท่านลุง” องค์ชายโผเข้ากอด
 
“ฮะ ๆ องค์ชายเจริญชันษาขนาดนี้แล้ว น่ายินดีมาก” ชอนซูกอดองค์ชายยอนอิงอย่างรักใคร่

 
“พี่ต้องอยู่คนเดียว ในที่ห่างไกลคงลำบากมากใช่มั้ยคะ” ทงอีถามพี่ชาย

“ไม่เลย กระหม่อมจะอยู่คนเดียวได้ยังไงกัน ทุกครั้งที่ได้อ่านจดหมายที่พระสนมกับองค์ชายเขียนมา ก็รู้สึกเหมือนอยู่กับพวกท่านเสมอ ในใจคิดแต่ว่า สักวันจะกลับมาอยู่เคียงข้างพระสนมและองค์ชาย กระหม่อมจึงเฝ้าอดทนรอมานาน และนับจากวันนี้ไป กระหม่อมจะไม่ให้ต้องพบเจอเหตุการณ์เหมือนที่เคยผ่านมาอีกแล้ว”

“พี่ชอนซู”

“ดังนั้นได้โปรดเชื่อใจกระหม่อม อดทนรออีกสักหน่อย คงจะอีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้พวกเค้าอยู่ร่วมโลกกับพระสนมและองค์ชายยอนอิงอีกต่อไปแล้ว” ชอนซูกล่าวอย่างมั่นใจ

  

หมอนัมถวายโอสถให้กับองค์ชายลียูนเป็นประจำ แต่โอสถนั้นไม่ได้เป็นโอสถจากสำนักหมอหลวง ทำให้องค์ชายลียูนสงสัยและถามหมอนัม แต่หมอนัมไม่ยอมบอก ทำให้องค์ชายลียูนสงสัยอย่างมากว่าตนเองเป็นโรคอะไร

ระหว่างที่องค์ชายลียูนกำลังคิดสงสัยเรื่องอาการของตนเองอยู่นั้นก็เจอกับองค์ชายยอนอิงซึ่งกำลังเล่นซ่อนหาอยู่กับจูซิกและยังดัล องค์ชายยอนอิงใช้ตัวองค์ชายลียุนเป็นที่กำบัง ทำให้จูซิกและยังดัลมองไม่เห็น องค์ชายลียูนเห็นองค์ชายยอนอิงเล่นสนุกแบบที่ตนเองไม่เคยเล่นมาก่อนก็นึกสนุกบ้าง

องค์ชายยอนอิงมอบผลพุทราซึ่งปีนขึ้นไปเก็บบนต้นให้องค์ชายลียูน องค์ชายไม่เคยกินมาก่อนรู้สึกลังเล แต่ในที่สุดก็รับมากินอย่างเอร็ดอร่อย

นายหญิงยูนบอกเรื่องที่นางเป็นคนส่งคนไปลอบวางเพลิงที่พักทงอีให้ฮีเจฟัง ฮีเจไม่ค่อยพอใจนักที่มารดาทำอะไรโดยพละการ นายหญิงยูนบอกว่าที่ทำไปก็เพื่อสนมฮีบิน


“เฮ้อ แค่เรื่ององค์รัชทายาท พระสนมก็กลุ้มพระทัยพออยู่แล้ว ถ้าพระสนมทรงทราบเรื่องนี้อีกละก็คงยุ่งแน่”

“ฮีเจ ยังมีอีกเรื่อง ที่แย่กว่านี้อีก หมอผีนั่น บอกว่าไม่ใช่แค่ข้า..ในวังหลวง จะมีการตายเกิดขึ้น นางหมายถึง ทางฝั่งตำหนักชีซอน” นายหญิงยูนหน้าเสีย แต่ฮีเจตกใจมาก

“ท่านว่าอะไรนะ”

ฮีเจไม่พอใจมากที่หมอผีทำนายว่าจะเกิดเหตุร้ายในตำหนักชีซอนของสนมฮีบินจึงไปต่อว่าหมอผี แต่กลับถูกหมอผีตอกกลับมาว่าฮีเจใจร้อนวู่วามมีแต่จะทำให้เกิดผลเสีย

“เจ้ารีบบอกมา จะต้องทำยังไง เจ้าเคยบอกแม่ข้าว่า พวกข้ายังมีโอกาสเอาชีวิตรอดนี่”

“พระมเหสีเท่านั้นใต้เท้า” หมอผีบอก “พระสนมฮีบินและท่าน คนที่สามารถฆ่าพวกท่านได้ หรือว่าช่วยพวกท่านได้ มีเพียงพระมเหสีแค่คนเดียว”

“เจ้าหมายความยังไง คนที่จะช่วยพวกข้าได้ คือพระมเหสี บอกมาสิ” ฮีเจถามอย่างร้อนรน

ฮีเจส่งคนไปจับตัวหมอหลวงหญิงกลับถูกพระมเหสีตลบหลัง ฮีเจจึงรีบนำเรื่องกลับไปรายงานต่อสนมฮีบิน


“ใช้หมอหลวงหญิงเป็นเหยื่อล่อ จับลูกน้องที่พี่ส่งไปหมดงั้นเหรอ พระมเหสีเนี่ยนะ คนที่เอาตัวหมอหลวงหญิงนั่นไปซ่อน เป็นพระมเหสี นางรู้เรื่องทุกอย่าง นางคงจะรู้มานานแล้ว แล้วก็นิ่งเงียบรอเวลาหาหลักฐาน” สนมฮีบินกล่าวอย่างกังวลใจ

ทงอีมาพบพระมเหสีอินฮอน พระมเหสีตัดสินใจบอกเรื่องราวที่เคยพูดเป็นปริศนากับทงอี

“ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วซุกอึย หมาย ความว่า ถึงเวลาที่จะบอกสิ่งที่ข้ารู้แล้ว”

“พระมเหสี”

“แต่ก่อนอื่น ข้าอยากจะฟังคำตอบจากเจ้าก่อน เป็นคำถามเดียวกับที่ข้าเคยถามเจ้าไป ถ้าหาก มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้รัชทายาทไม่อาจครองราชย์ได้ เจ้าจะยินดีให้องค์ชายยอนอิงขึ้นครองราชย์ได้หรือไม่?” อินฮอนพูดตรง ๆ


“พระมเหสี ทำ...ทำไมถึงได้ตรัสอย่างนี้เพคะเรื่องนี้มัน..” ทงอีอึ้งไป

“ในอีกไม่นาน ในวังหลวงจะเกิดเภทภัยครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็คือ การเปลี่ยนตัวรัชทายาท”

มเหสีอินฮอนพูดน้ำเสียงเรียบ แต่ทงอีตกใจมาก “พระมเหสี พระองค์ตรัสอะไรเพคะ เปลี่ยนตัวรัชทายาท?”

“ถูกต้องแล้ว ถ้าเรื่องนี้มาถึงขั้นนั้นจริง องค์ชายยอนอิงจะถูกยกเป็นประเด็น และเรื่องราวหลังจากนั้น ถ้าองค์ชายไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ตอนนั้น เค้าอาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ เพราะนี่คือการเมือง นี่แหละคือ..ราชสำนัก เรื่องนี้ข้าทำให้..เจ้ากับองค์ชายยอนอิง ต้องมาเสี่ยงอันตรายไปด้วย ข้ารู้ดีซุกอึย ข้าถึงได้เจ็บปวดที่จะพูด ดังนั้นตอนนี้เจ้ารับปากข้าได้มั้ย ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าต้องเผชิญหน้ากับอะไร ต้องทำให้องค์ชายมีชีวิตอยู่ในวังต่อ แล้วก็ผลักดันให้เค้าขึ้นเป็นพระราชา”

“พระมเหสี” ทงอียังอึ้งไม่หาย

แม้อาการป่วยของมเหสีอินฮอนจะยังหนักหนา นางก็เดินทางไปพบสนมฮีบิน


“คนของพี่ชายของเจ้า อยู่ในมือข้าแล้วฮีบิน และคนนั้นก็รู้ว่าทำไมเจ้าต้องหาหมอหลวงหญิง ความลับที่เจ้าทำทุกอย่างเพื่อปิดบังคืออะไร เค้ารู้ดีทุกอย่าง”

“พระองค์กำลังข่มขู่หม่อมฉันอยู่รึ ใช้วิธีแบบนี้กับหม่อมฉันรึ?” สนมฮีบินกล่าวอย่างโมโห

“ไม่ใช่หรอก ข้าไม่ได้มาข่มขู่ แต่จะมาให้โอกาสเจ้าฮีบิน ดังนั้น ไปกราบทูลเรื่องนี้กับพระราชาด้วยตัวเอง แล้วให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินทุกอย่างเอง ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า แต่ทำเพื่อองค์รัชทายาท ข้าห่วงว่าถ้าเรื่องถูกเปิดโปงโดยคนอื่น องค์รัชทายาทจะสะเทือนพระทัยจนเกินไป ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้านานนัก ดังนั้น..”

มเหสีอินฮอนยังตรัสไม่จบ ฮีบินก็แทรกขึ้นอย่างไม่พอใจ “ไม่มีทาง หม่อมฉันไม่มีทางทำแน่ จะไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ พระองค์จะเปิดโปงความจริงรึ ความจริงอะไรล่ะ แค่พยานหมอหญิงคนเดียว นั่นน่ะเหรอ? ไม่หรอก หลักฐานแค่นี้ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้หรอก” ฮีบินยังไม่ยอมจำนน

“พอสักทีเถอะฮีบิน เจ้าคิดจะทำผิดซ้ำซากถึงเมื่อไหร่ จะหลอกลวงพระราชาถึงเมื่อไหร่..”

“พระมเหสี คนที่ทำความผิดคือพระองค์ไม่ใช่หม่อมฉัน คิดจะล้มรัชทายาทสั่นคลอนเสาหลักบ้านเมือง เป็นความผิดโทษฐานกบฏไม่รู้รึ”

“ฮีบิน” อินฮอนเสียงดัง


“รัชทายาทของประเทศนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่จะเป็นพระราชา มีเพียงรัชทายาทองค์ปัจจุบัน และความจริงเรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“ไม่จริง เข้าใจผิดแล้ว มันเปลี่ยนแปลงได้แน่”

“พระองค์ว่าไงนะ”

“ถ้ายังปิดเรื่ององค์รัชทายาท และพยายามหนีความจริง ถึงสุดท้ายเจ้าจะต้องรับโทษ..”

“พอแล้ว หยุดพูดสักที” ฮีบินทนฟังไม่ได้

“ในฐานะแม่..เจ้าก็จะผิดต่อองค์รัชทายาทด้วย ไม่เข้าใจรึ รัชทายาท ถึงจะเป็นโอรสของเจ้า แต่ขณะเดียวกัน เค้าก็ถือเป็นลูกพระมเหสี ข้าจึงไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ต่อไปได้ ไม่อาจหลอกพระราชา หลอกลวงรัชทายาท รวมถึงหลอกลวงประชาชนทั้งประเทศได้ ดังนั้น จำคำของข้าเอาไว้ ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้านานนักหรอก”

อินฮอนกล่าวเสียงเข้ม ฮีบินจำนนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี

หลังจากมเหสีอินฮอนเสด็จกลับไปแล้ว สนมฮีบินและโชซังกุงปรึกษาหาทางแก้ไข โดยเห็นว่าไม่สามารถปล่อยอินฮอนให้มีชีวิตเพื่อเปิดโปงความลับของนาง ขณะที่หมอผีก็บอกว่ามเหสีจำต้องไม่มีชีวิตอยู่ ฮีเจและพวกถึงจะมีชีวิตรอด

ทงอีร้อนใจมากจึงนำเรื่องมาปรึกษากับชอนซู


“พระสนม พระสนมหมายความว่ายังไง องค์ชายยอนอิงอาจถูกดึงเข้าไปในปัญหาครั้งใหญ่เหรอ?”

“ดูเหมือนองค์รัชทายาท จะมีปัญหาอะไรสักอย่างน่ะค่ะพี่ พระมเหสีก็เลยคิดว่า  องค์ชายยอนอิงอาจจะต้องรับตำแหน่งรัชทายาทแทนน่ะค่ะ ตอนนี้ข้ารู้สึกกลัวจังค่ะพี่ ถ้าเรื่องนี้ถูกนำมาเป็นประเด็น ชีวิตขององค์ชายก็..อาจจะมีอันตรายได้”
 
“พระสนม”
 
“ข้าจะต้องปกป้องลูกให้ได้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะต้องคุ้มครองเค้าให้ได้ ข้าอยากให้พี่ช่วยสืบว่าที่พระมเหสีตรัสมาเป็นความจริงรึเปล่า ตำหนักชีซอนมีความเคลื่อนไหวบ้างมั้ย ท่านช่วยไปสืบให้ข้าทีนะ” ทงอีขอร้องพี่ชาย
 
ทงอีทราบว่ามเหสีอินฮอนเสด็จไปตำหนักชีซอนกลางดึก ทั้งที่ยังป่วยหนัก จึงมาขอเข้าเฝ้า เป็นเวลาเดียวกับพบว่ามเหสีอินฮอนเป็นลมหมดสติอยู่ในห้อง ทงอีตกใจมาก




* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี

หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา