เนื้อเรื่อง:
ซอลฮีและทงอีเดินทางมาถึงเมืองหลวงแต่ก็เข้าเมืองไม่ได้ เพราะมีการติดรูปทงอีและประกาศจับไปทั่วเมือง ใต้เท้าซอและชอนซูตามหาทงอีไม่พบจึงกลับเมืองหลวงและกราบทูลพระเจ้าซุกจงว่าฮีเจเดินทางไปอึยจูและจับตัวทงอีไป
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมไปพบพยานที่เห็นเรื่องนี้มากับตา”
“แต่ทำไมเค้าต้องทำแบบนี้ด้วย มันเพราะอะไรกัน?”
“คิดว่าเรื่องนี้คงเป็นสาเหตุเดียวกับที่นางในชอนหายตัวไปจากวังหลวง”
“ไปตามแม่ทัพจางฮีเจมาเดี๋ยวนี้ ฮันซังซอน”
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากทูลว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเรียกเค้ามา เพราะต่อให้พระองค์เค้นถามเค้ายังไง เค้าก็จะต้องปฏิเสธหัวชนฝา และต้องอ้างว่านางในชอนเป็นนักโทษหลบหนีไปจากวัง เลยต้องจับตัวมาดำเนินคดี ฝ่าบาท เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ คือต้องตามหานางในชอนให้พบก่อน ก่อนนางจะปลอดภัย ขอให้ฝ่าบาททรงอดกลั้นไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าซอชี้แนะ
“ชอนทงอียังมีชีวิตอยู่พระมเหสี ข้าไปเห็นนางมากับตา” ฮีเจยืนยัน
“ยังมีคนอีกคนนึงนะฮังอา ที่วันหน้าจะโดดเด่นเป็นคนที่สูงศักดิ์เช่นเดียวกับเจ้า มีแสงก็ย่อมต้องมีเงา แสงและเงาย่อมเคียงคู่กันเสมอ เมื่อมีแสงก็ย่อมทำให้เกิดเงา โชคชะตาชักพาคนที่มีชะตาเช่นเดียวกับเจ้ามา แท้จริงแล้ว ก็คือตัวของเจ้าเอง ตอนนี้เจ้าได้ครอบครองทุกอย่าง แต่คนอีกคนนึงกลับยังไม่มีสิ่งใดเลย ขณะที่เจ้าได้ครอบครองทุกอย่างอยู่ แต่อีกคนกลับถูกแย่งทุกอย่างไป นางเริ่มต้นจากศูนย์” คิมฮวันบอก
“ถ้างั้น อีกคนที่ท่านพูดถึงก็คือเงาของข้าหรือคะ?” พระมเหสีฮีบินถาม
“ไม่ใช่ คนที่เป็นเงา คือเจ้าต่างหาก”
“หา” พระมเหสีตกพระทัยมาก “ข้าเป็นคนครอบครองทุกอย่าง แต่กลับต้องเป็นเงาของคนที่สูญเสียหรือคะ?”
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ถ้าเด็กคนนั้นโชคดีรอดมาได้ เจ้าคงยากที่จะมีแสงเจิดจรัสเหนือนางได้” คิมฮวันทำนายต่อ
“ไม่ใช่อดีตพระมเหสี คนที่หมอดูนั่นพูดถึง ก็คือเจ้าทงอีนี่เอง ใช่แล้ว การได้ครองตำแหน่งไม่ได้แปลว่าจบ สงครามที่แท้จริง เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น” พระมเหสีรำพึง เป็นเวลาเดียวกับนางในโชมาตามเสด็จ
ฮีเจสั่งให้ติดตามหาตัวทงอีเพื่อสกัดไม่ให้ทงอีเข้าเมืองหลวงได้ ด้านซอลฮีพาทงอีไปพบคึมฮง เพื่อนซึ่งอยู่ในหอนางโลมเป็นการชั่วคราว
“ตอนนี้สบายใจได้แล้วทงอี ที่นี่เป็นหอนางโลมของเพื่อนพี่เอง ข้าให้คนเข้าเมืองเพื่อสืบความเคลื่อนไหวให้แล้วล่ะ”
“แม้แต่ที่แบบนี้ยังมีทหารเฝ้ากันอย่างแน่นหนา เชื่อว่าเข้าเมืองหลวงคงไม่ง่ายแน่”
พระเจ้าซุกจงเป็นห่วงทงอีมากจึงเสด็จออกมารอฟังข่าวนอกตำหนัก ชอนซูออกมาเดินตรวจตราและเห็นพระเจ้าซุกจงและขันทีลับ ๆ ล่อ ๆ จึงลงมือเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนร้าย แต่ใต้เท้าซอเข้ามาห้ามไว้ก่อน
“ฝ่าบาท”
“นี่เจ้าทำบ้าอะไรอยู่หา พระองค์คือพระราชานะ”
“นี่เจ้าทำบ้าอะไรอยู่หา พระองค์คือพระราชานะ”
“ฝ่าบาท”
“เจ้าคงเป็นมือปราบผู้ช่วยผู้บัญชาการซอสิ มือปราบนั่น เป็นพี่ชายของทงอีรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ ถึงจะไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ แต่พวกเค้าก็โตมาด้วยกันจนเหมือนพี่น้องแท้ ๆ” ชอนซูกราบทูล
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดประทานอภัยที่มือปราบชาล่วงเกินพระองค์” ใต้เท้าซอรีบพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ไม่มีอะไรต้องให้อภัย จะว่าไป คนที่สามารถล้มองครักษ์ของข้าลงได้ง่าย ๆ ขนาดนี้ ถ้ามีคนแบบนี้ช่วยเจ้าในการค้นหาทงอี มันทำให้ข้าก็รู้สึกวางใจขึ้นมาก”
พระเจ้าซุกจงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “หลังจากฟังรายงานเมื่อคืนนี้ มันทำให้ข้านอนไม่หลับเลยทั้งคืน ตอนนี้ทงอีไปอยู่ที่ไหนจะทำอะไรอยู่ นางจะตกอยู่ในอันตรายรึเปล่า ข้าเอาแต่เป็นห่วง เหมือนหัวใจมันจะระเบิด ข้าอยากจะไปจับแม่ทัพจางฮีเจมาถามให้รู้เรื่องไปซะเลย แต่ถ้าที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ทำแบบนั้น ก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก ถ้าหากพวกเค้ารู้ว่า ข้ากำลังสงสัยในตัวพวกเค้าอยู่ จะต้องเกิดความวุ่นวายแน่ การตามหาทงอีก็อาจจะยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น อย่างที่เจ้าบอกแหละ เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ต้องตามทงอีกลับมาอย่างปลอดภัย ก่อนจะถึงเวลานั้น ข้าก็จะพยายามระมัดระวังเรื่องนี้ไว้ให้มากที่สุด”
พระเจ้าซุกจงตรัสและยื่นป้ายอาญาสิทธิ์ให้ใต้เท้าซอ “ตราอันนี้ แสดงว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่ สำคัญและเร่งด่วนเหนือกว่ากฎหมายและคำสั่งใด ๆ ในแผ่นดินนี้ ข้าให้เจ้าเอาไว้ใช้มันในยามที่จำเป็นที่สุด”
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเอาไปใส่ใจ เพราะข้าแต่งตัวอย่างนี้ ใครจะไปรู้ว่าเป็นพระราชา แต่จะว่าไป ตอนแรกน้องเจ้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นางไม่เคยเล่าเหรอ ครั้งแรกที่เจอข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นพระราชา แถมไม่ใช่แค่นั้นนะ นางยังเหยียบหลังข้าปีนกำแพงด้วย ฮะ ๆ ๆ”
“ฝ่าบาท” ชอนซูทำหน้างง
“ข้าอิจฉาเจ้าจริง ๆ เจ้ายังมีโอกาสออกตามหานางด้วยตัวเอง มือปราบชา นี่ไม่ใช่พระบัญชา แต่เป็นคำขอร้องจากใจ เจ้าจะต้องพานาง กลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้นะ” พระเจ้าซุกจงยังไม่คลายกังวล
ทงอีไม่สามารถลอบเข้าเมืองได้ เพราะถนนทุกสาย รวมทั้งประตูเมืองก็ล้วนแต่มีทหารประจำการคอยเฝ้าอยู่ตลอด ทงอีจึงคิดที่จะปลอมตัวเพื่อหาทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าพระราชาให้จงได้
ด้านพระมเหสีฮีบินเริ่มไม่มั่นใจในฐานอำนาจของตนเอง จึงวางแผนที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อดึงดูดความสนใจจากพระเจ้าซุกจง
“เพี่อตำแหน่งพระมเหสี ข้าจะยอมเดิมพันด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าจะปล่อยให้เด็กที่ข้าปั้นมาแย่งชิงทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตาข้าได้ยังไงกัน”
ทงอีจะลักลอบเข้าเมืองหลวงโดยการปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย ซอลฮีมองทงอีอย่างหวั่นใจ
“ขอโทษด้วยค่ะพี่ ข้าทนรอต่อไปโดยไม่มีกำหนดอย่างนี้ไม่ได้ค่ะ ช่วงที่ผ่านมาข้าสร้างความวุ่นวายให้กับพี่ไว้มาก พระคุณที่พี่ช่วยเหลือข้า ข้าจะไม่ลืมมันเลย”
“เฮ้อ เอาเถอะ เมื่อ 8 ปีก่อนก็เป็นแบบนี้ เจ้าบอกว่าจะอยู่เมืองหลวงคนเดียว ข้าห้ามยังไงก็ไม่เป็นผล ถ้างั้น ให้ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“ไม่ได้นะพี่ซอลฮี มันอันตรายเกินไป ถ้าถูกจับได้ พี่อาจจะต้องมาเดือดร้อนกับข้าไปด้วย”
“ถ้าข้ากลัวละก็ ข้าคงไม่ช่วยเจ้าตั้งแต่ 8 ปีก่อนแล้ว ถ้าเจ้ายังยืนยันจะเข้าเมือง เราก็ไปด้วยกัน ถ้าจะให้เจ้าไปเสี่ยงคนเดียว 8 ปีก่อนนั้นครั้งเดียวก็พอแล้ว” ซอลฮียืนยันความคิดของตนเอง
งานพิธีเลี้ยงตัวไหม พระมเหสีได้ดื่มน้ำชาแล้วเกิดหมดสติไป ทุกคนตกใจมาก พระเจ้าซุกจงก็เช่นเดียวกันเมื่อทราบข่าวจากข้าหลวง
“หมายความว่ายังไงหา พระมเหสีมีอันตรายเหรอ?”
“ได้ยินว่าหลังงานเลี้ยงพิธีเลี้ยงไหม เสวยชาแล้วก็หมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะอะไรหา มีเรื่องอย่างนี้ได้ยังไงกัน?”
“ฝ่าบาท ถึงยังหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ แต่ดูเหมือนจะมีคนใส่ยาพิษลงในชาของพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ”
“พระมเหสีเป็นยังไง ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างเป็นห่วง
พระมเหสีได้รับการรักษาจนปลอดภัย แต่ก็สร้างความเจ็บแค้นใจให้กับนายหญิงยูนและฮีเจเป็นอย่างมาก เพราะทงอีทำให้พระเจ้าซุกจงหวั่นไหวจนเป็นเหตุให้พระมเหสีต้องทำเช่นนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกโยงไปเกี่ยวข้องโดยป้ายความผิดไปให้กลุ่มตะวันตกซึ่งสนับสนุนอดีตพระมเหสีอินฮอน ว่าต้องการสร้างแผนการณ์เพื่อทำร้ายพระมเหสีฮีบิน พร้อมกับให้นางในมาตรวจสอบเรื่องนี้
ทงอีจะไปพบใต้เท้าซอและชอนซูที่กองปราบ แต่คว้าน้ำเหลว เพราะมีคนบอกว่าทั้งสองไม่ได้ประจำการที่นั่นแล้ว ทงอีพยายามแอบเข้าวังเพื่อพบกับยังอัลและจูซิก แต่บังเอิญไปได้ยินเรื่องที่อดีตพระมเหสีถูกใส่ร้ายว่าอยู่เบื้องหลังการใส่ยาพิษในน้ำชาให้พระมเหสีฮีบิน ทงอีไม่เชื่อตามข่าวลือจึงมาปรึกษากับซอลฮี
“นี่เป็นแผนการที่คิดจะใส่ร้ายอดีตพระมเหสี พวกเค้ากล้าใช้แผนที่โหดเหี้ยมแบบนี้เพื่อใส่ร้ายพระมเหสี ข้าจะต้องรีบหาทางเข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือแล้วค่ะ”
“แต่เจ้าจะเข้าวังยังไงล่ะ หัวหน้ากองดนตรีกับยังดัลก็ถูกคนสะกดรอยตามอยู่ ทุกคนที่เจ้ารู้จัก ก็คงอยู่ในสภาพนี้กันหมด ตอนนี้ข้าคงให้เจ้าเข้าวังไม่ได้หรอกทงอี”
ใต้เท้าซอและชอนซูพยายามออกตามหาทงอีตามที่ต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้เบาะแส
“ทงอีคงจะไม่ได้ไปในแถบจินจ๊อกกับแทเกวอน ทงอีอยู่แต่ในวัง น่าจะรู้ดีว่าเส้นทางรอบ ๆ วังหลวงมีทหารเฝ้าตรวจตราอย่างแน่นหนา” ชอนซูคาดเดา
“ดังนั้นที่เหลือก็มีแค่แถบชินกับยางกึน พอรุ่งเช้าเราจะเดินทางไปที่นั่นกัน”
“แต่ใต้เท้า ท่านคิดว่าทงอีจะกลับเมือง หลวงแล้วรึเปล่า”
“ข้อนี้ข้าเองก็เคยคิด แต่ถ้าหากไม่มีใครคอยช่วยนาง เรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย นางอยู่อึยจูตัวคนเดียว คงไม่มีทางไปถึงเมืองหลวงได้เร็วอย่างนั้น อ้อ ข้าได้ยินว่า เจ้ากำลังหาสัญลักษณ์อะไรอยู่หรือ?”
“ที่จริงก็ไม่มีอะไร มันเป็นสัญลักษณ์ที่ข้ากับทงอีใช้กันมาตั้งแต่เด็กน่ะขอรับ”
“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับนางในชอนก็คงรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วสินะ”
“ใช่ นางเป็นน้องสาวเพื่อนรักข้า และเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่ที่ข้านับถือเหมือนพ่อแท้ ๆ ข้าเคยสัญญากับท่านและเพื่อนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะคอยปกป้องและดูแลทงอีตลอดไป แต่ก็ เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นจนได้”
“คำสัญญา มีแค่นี้เท่านั้นเหรอ?” ใต้เท้าซอถามย้ำ “ช่วงนี้พอข้าสังเกตเจ้าแล้ว ก็เลยรู้สึกอยากจะรู้ขึ้นมา เจ้ารู้สึกยังไงกับนางในชอนรึ?”
“ความ…รู้สึกของข้าเหรอ หมายถึงอะไร ใต้เท้าคงเข้าใจผิดแล้ว สำหรับข้าทงอีเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ขอรับ” ชอนซูไม่กล้าสบตาใต้เท้าซอ
“งั้นหรือ แน่ใจเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าคงจะคิดมากไปเอง เพราะข้ามักรู้สึกว่าในใจเจ้า คอยห่วงใยนางในชอนอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้าก็คงจะรู้ดีว่า นางน่ะเป็นนางในในวัง”
“ที่ทำให้ใต้เท้ารู้สึกอย่างนั้น อาจเป็นคงเพราะตอนเด็กข้าเคยต้องพรากกับนางครั้งนึง จะว่าไปแล้ว ในใจข้าก็มีแต่เด็กคนนั้นอย่างที่ท่านพูดมาจริง ๆ นับจากวันนั้นมา ทงอี ก็เป็นทั้งหมดของชีวิตข้า ไม่เว้นแม้แต่วันเดียว ทุกวัน ทุกนาที ข้ามีแต่นางคนเดียวเท่านั้น”
ทงอีเข้าไปสมัครเป็นคนหาบน้ำ โดยบอกว่าตนชื่อชอนเอจอง
“อีกแล้วไอ้เจ้าจูซิกมันหายหัวไปไหนของมัน ทำไมไม่เห็นหัวมันเลย” แทพุงบ่นกับโฮยาง
“อีกแล้วไอ้เจ้าจูซิกมันหายหัวไปไหนของมัน ทำไมไม่เห็นหัวมันเลย” แทพุงบ่นกับโฮยาง
“เฮ้อทำไมพระมเหสีต้องมาเป็นอะไรในงานพิธีเลี้ยงตัวไหมด้วยเนี่ย เจ้ารู้มั้ย ถ้าครั้งนี้มีคนในกองดนตรีเข้าไปเกี่ยวกับคดีนี้ด้วยละก็ งานนี้ข้าคงต้องตายแน่ ตายหยังเขียดแน่”
“ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้ ที่ผ่านมาก็ได้แต่หวังว่าจะได้ย้ายไปอยู่หน่วยอื่น นี่อะไรกัน ตอนนี้แค่กองดนตรีก็อาจจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว แบบนี้มันจะใช้ได้รึท่านพ่อ”
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าลูกหมาจางฮีเจคนเดียว คอยดูไปเหอะ สักวันนึงถ้าข้าได้อำนาจมาอยู่ในมือเมื่อไหร่นะ ข้าจะฉีกเนื้อไอ้หมอนั่นเป็นชิ้น ๆ ข้าจะฉีกเนื้อมันเป็นคนแรกเลย”
“พ่อพูดถูกที่สุดเลย”
“ขอโทษขอรับใต้เท้า รายชื่อของนักดนตรีที่ไปเข้าร่วมงานพิธีเลี้ยงตัวไหมขอรับ” จูซิกเอาเอกสารมาส่งให้
“ฮึ่ย สั่งงานเจ้าไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เรอะ ทำไมเพิ่งมาป่านนี้ “
“ใจเย็น ๆ ก่อนใต้เท้า”
“เฮ้ ๆ ๆ เอาเถอะ ๆ ใกล้จะไม่ทันแล้ว รีบไปเถอะ ข้าก็ขี้เกียจจะเห็นหน้าของเจ้าแล้ว” แทพุงบ่น
“เจ้า กลับมาค่อยคิดบัญชี” โฮยางชี้หน้าก่อนจะเดินไป
“อ๊าก…เจ้าสองพ่อลูกนี่ คอยดูไปเถอะ ถ้าข้ามีอำนาจขึ้นมา จะฉีกเนื้อพวกมันเป็นคนแรกเลย” จูซิกพูดอย่างโมโห
ทงอีเข้ามาใกล้ถึงตำหนักในเห็นพระเจ้าซุกจงกำลังเดินผ่อนคลายอยู่จะเข้าไปหา แต่ก็ถูกขัดขวางจากข้าหลวง ทำให้ไม่ได้พบพระราชา ขณะที่พระมเหสีได้รับการเยียวยาจนฟื้นคืนสติขึ้นมา
* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา