วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 33




กลุ่มฝ่ายใต้เริ่มสงสัยที่หาข้อมูลประวัติของทงอีไม่ได้ ส่วนพระเจ้าซุกจงเองก็เป็นห่วงเรื่องที่พระมเหสีต่อต้านทงอี ขณะที่โรคประหลาดได้ติดต่อไปถึงเอจอง ทงอีพยายามที่จะหาต้นเหตุของโรค และพบว่าในครัวกลับเป็นสถานที่ที่ไม่มีนางในติดโรคนี้

เนื้อเรื่อง:



“โปรดยกเลิกคำสั่งให้ศาลไต่สวนมาตรวจสอบนางในที่เรือนด้วยเพคะ เพราะพวกเค้าไม่มีความผิด การที่คนป่วยมีความผิดหรือเพคะ ที่สำคัญคือ ต้องหาสาเหตุของโรคติดต่อ”
    
“ถูกต้อง ข้าอยากจะหาสาเหตุของโรคถึงให้ศาลไต่สวนไปจัดการ เผื่อว่ามีนางในบางคนเอายาที่อันตรายเข้าวัง เจ้าเคยอยู่ฝ่ายตรวจการ น่าจะรู้เรื่องนี้ดีไม่ใช่เหรอ”
    
“นางในในเรือนหม่อมฉัน ไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่เพคะ” ทงอีรีบบอก
    
“หึ คิดจะออกหน้าแทนพวกนางในรึ? คงอยากจะเป็นเจ้านายที่ดีล่ะสิ ขอโทษที่คงทำให้เจ้ามาเสียเที่ยว ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของศาลไต่สวนกับฝ่ายตรวจการ ถ้าคิดจะเป็นเจ้านายที่ดี ก็กลับไปคอยปลอบใจพวกนางในที่เหลืออยู่ดีกว่า โชซังกุงอยู่รึเปล่า ชอนซังกุงจะกลับไปที่เรือนแล้ว”
    
“พระมเหสี ให้เวลากับหม่อมฉันหน่อยเถอะ ให้เวลาหม่อมฉันอีกสักนิด หม่อมฉันจะต้องพิสูจน์ได้แน่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือตั้งข้อสงสัย” ทงอีอ้อนวอน
    
“หุบปากได้แล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่า เรื่องครั้งนี้มันหมายความว่ายังไง? เพราะเรื่องนี้ มันคุกคามถึงว่าที่รัชทายาท มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตลูกข้า  แต่เจ้า กลับมาขอเวลางั้นรึ ก็ได้ ถ้าเจ้าคิดจะให้ข้าเอาความปลอดภัยของลูกข้ามาเสี่ยงด้วยละก็ แล้วเจ้า คิดจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนล่ะ หรือว่าเจ้าคิดจะเดิมพันด้วยชีวิตของเจ้า”
    
“ทำแบบนั้นก็ได้ใช่มั้ยเพคะ หม่อมฉันบอกว่า ถ้าตกลงก็จะปล่อยนางในใช่มั้ยเพคะ”    

ทงอีถามย้ำ
  
ทงอีทูลขอร้องพระมเหสีฮีบินเพื่อพิสูจน์ความจริง
    
“ยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยง เพื่อแลกกับการปล่อยนางในพวกนั้น เจ้าถือว่ามีพระราชาคอยหนุนหลัง ถึงได้กล้ามาท้าทายข้าแบบนี้ใช่รึเปล่า เข้าใจผิดแล้ว ที่นี่มันคือฝ่ายในนะ แค่ข้าสั่งคำเดียวก็เอาชีวิตเจ้าได้ เรื่องของฝ่ายใน แม้แต่พระราชาก็มาก้าวก่ายไม่ได้”
    
“หม่อมฉันทราบเพคะ”
    
“แล้วยังจะทำแบบนี้อีกเหรอ เพื่ออะไรกันล่ะ หรือว่าอยากจะฉวยโอกาส มาซื้อใจของพวกข้ารับใช้อย่างนั้นรึ คนน่ากลัวที่สุดน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า ทำบอกว่าแม้แต่ตำแหน่งนางในเจ้าก็ไม่คู่ควร แต่ถึงสุดท้ายแล้ว ก็ทะเยอทะยานไม่ต่างจากข้า ใช่มั้ยล่ะ?”
    
“เมื่อหลายปีก่อน พระมเหสีก็ยังยินดีออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉันไม่ใช่หรือเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องความทะเยอทะยาน แต่ถ้าหากมันหมายถึงการแสวงหาความถูกต้องละก็ เพคะหม่อมฉันก็มีอยู่ หม่อมฉันทะเยอทะยานในแบบนั้นเพคะ หม่อมฉันจะ...ไม่มีวันยอมให้ใครต้องมารับโทษที่ตัวเองไม่ได้ก่อเอาไว้เด็ดขาด ในบ้านเมืองนี้ หรือแม้แต่ในวังหลวง คนที่มีอำนาจมักจะมองว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องที่เหมือนปกติที่สุด แต่สำหรับหม่อมฉัน ไม่ว่าอะไรที่พอจะทำได้ หม่อมฉันจะยอมแลกทุกอย่าง เพื่อแลกมาซึ่งความถูกต้อง และฉันเชื่อว่า นี่คือเหตุผลที่ฟ้ามอบตำแหน่งที่ไม่คู่ควรนี้ให้กับหม่อมฉัน...ในวันนี้เพคะ”

“เอาเถอะ งั้นเจ้าก็ลองดูไปเถอะ เจ้ายังคงโง่เง่าอยู่เหมือนเดิม มีแต่ความดื้อรั้นอย่างงมงาย การไหลตามน้ำ การทำเป็นไม่แยแส มีเหตุผลมากมายที่จะทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เพราะมันแสดงถึงกำลัง เพราะมันแสดงถึงอำนาจ อีกไม่นานเจ้าก็จะเข้าใจเอง ว่าตำแหน่งที่เจ้าอยู่ แค่กำลังที่เจ้ามีนั้น...มันไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย”
    
พระมเหสีฮีบินรับสั่งเรียกโชซังกุงเข้าเฝ้า ตรัสถามเรื่องที่ทงอีออกหน้าแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้างหรือเป็นแผนการของใคร
    
ด้านทงอีได้เดินทางมาหาซังกุงสูงสุด

     
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ” ทงอี กล่าว
    
“ขอโทษนะคะ ดูเหมือนท่านจะลืมทำความเคารพนะคะท่านซังกุงสูงสุด” พงซังกุง กล่าว
    
“ไม่ทราบว่า ท่านมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือคะ?” ยูซังกุงถาม
    
“ข้าจะมาปรึกษาเรื่องที่เกิดโรคติดต่อขึ้นในวังหลวง” 
    
“ปรึกษาอะไรหรือ? เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ศาลไต่สวนไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
    
“แต่ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจากเรือนของข้า ดังนั้นข้าเคยไปกราบทูลพระมเหสีแล้วว่า จะจัดการสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าต้องการความช่วยเหลือจากฝ่ายตรวจการ ก็เลยมาที่นี่ หวังว่าทุกท่านจะช่วยเหลือ”
    
จองซังกุงบอกกับทงอีว่าไม่ควรไปพูดอย่างนั้นในตำหนักพระมเหสี


“เฮ้อ ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน กว่าข้าจะรู้ตัวก็พบว่าข้าพูดอย่างนั้นออกไปแล้วนี่”
    
“ท่านซังกุง”
    
“การที่พูดอะไรออกไปแล้วจะต้องรับผิดชอบน่ะ นี่เป็นกฎของวังหลังนะท่านซังกุง” จองอิมเตือน
    
“เรื่องนี้ข้ารู้ กฎเกณฑ์พวกนั้นข้ารู้อยู่ไม่ต้องห่วง”
    
“ท่านซังกุง”
    
“เอาละเราไม่มีเวลาชักช้าแล้ว ต้องหาทางเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อนนะ?” ทงอีกล่าว
    
ยองซอนมารายงานยูนว่า พระมเหสีฮีบิน รู้เรื่องว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนางในเป็นโรคติดต่อแล้ว นางจึงไปเข้าเฝ้าพระมเหสี


“ครั้งนี้ท่านทำเรื่องที่เหลวไหลที่สุดเลยนะท่านแม่”
    
“พระมเหสี”
    
“ที่จริงในตอนแรกข้าก็ยังไม่รู้เรื่องหรอก ทำไมท่านถึงเอาชีวิตรัชทายาทไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนั้นคะ?”
    
“พระมเหสี เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นภัยถึงรัชทายาทได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าทำเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง มันจะติดต่อกันเฉพาะเหล่านางในเท่านั้น และความผิดทุกอย่างจะได้ตกไปอยู่กับนังเด็กทงอีคนนั้น”
    
“คิดว่าเรื่องราวมันจะราบรื่นขนาดนั้นเหรอ?”
    
“พระมเหสี”
    
“อย่าได้ดูถูกเด็กคนนั้นท่านแม่ หลายปีก่อน คนที่ช่วยข้ารอดพ้นจากการใส่ร้ายของพระพันปี ก็คือเด็กคนนั้นนะ แล้วอย่างนี้ทำไมท่านยังคิดว่าจะใช้วิธีนี้เล่นงานเด็กคนนั้นได้อยู่อีก ท่านควรจะเลือกวิธีที่มันฉลาดกว่านี้หน่อย”
    
“พระมเหสี หมายความว่า...”
    
“หลายปีก่อน พี่ชายได้เคยพูดเอาไว้คำนึงว่า การที่ข้าปีนขึ้นมาอยู่ในจุดนี้ได้ เพราะมีคนคอยช่วยทำเรื่องที่สกปรกมากมายอยู่เบื้องหลังของข้า และเมื่อปีนขึ้นมาถึงจุดนี้แล้ว การจะรักษามันไว้ได้ก็ต้องทำอย่างนั้นด้วย ใช่ จากนี้ไป ข้าจะทำเรื่องสกปรกด้วยมือข้าเอง”
    
“พระมเหสี”
    
“หลายวันมานี้มีเรื่องนึงที่เราคำนวณผิด สิ่งที่เด็กคนนั้นต้องสูญเสียไม่ใช่ชีวิตนาง สิ่งที่จะทำให้นางเจ็บปวดก็คือสูญเสียความไว้วางพระทัย...จากพระราชาต่างหาก”
    
พระมเหสีฮีบินเสด็จมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง
    
“ทรงวางพระทัยเถอเพคะ หม่อมฉันไม่คิดจะโทษหรือพูดจาเหลวไหลว่าเป็นเพราะชอนซังกุงแน่เพคะ นั่นเป็นคำพูดเหลวไหลของพวกนางในที่ชอบพูดมาก หม่อมฉันไม่เชื่อเรื่องนั้นหรอก แต่ว่า ถ้าหากไม่อยากให้ชอนซังกุงต้องเดือดร้อนเพราะข่าวลือ ก็ควรรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วเพคะ”
    
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะทำยังไงล่ะ?”
    
“เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนางในเรือนของซังกุงฝ่ายใน ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากจะจัดการเอง จะได้รึเปล่าเพคะ?”


“ฝ่าบาทกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” ขันที กล่าวทูล
    
“เป็นยังไงบ้าง?”
    
“ได้ยินว่าเมื่อสักครู่นี้ชอนซังกุงได้กลับมา จากฝ่ายตรวจการณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
    
“งั้นเหรอ?” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
    
ทงอีสืบจึงรู้ว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นเป็นเฉพาะแต่นางใน จึงคิดว่าต้นตอคงเป็นอะไรสักอย่างที่ใช้กันแต่ในกลุ่มนางในแน่ ๆ
    
“ท่านซังกุงคะ ตอนนี้ท่านน่ะไม่ได้เป็นนางในฝ่ายตรวจการณ์แล้วนะ ทำไมเรื่องแบบนี้ยังต้องมาสืบเองด้วยล่ะ” พงซังกุงถาม


“เห็นข้าอย่างนี้นะ ข้าเคยเป็นนางในฝ่ายตรวจการณ์มือฉมัง แล้วจะให้ข้านั่งอยู่เฉยได้ยังไงกัน หรือว่าพงซังกุงอยากจะเก็บความสามารถของตัวเองเข้ากรุซะแล้ว”
    
“เหอะ บอกตามตรงข้าจะทนท่านไม่ไหวแล้วนะ ตอนแรกข้ากะว่าย้ายมาอยู่แล้วจะได้มาสุขสบาย แต่นี่อะไรงานเพิ่มขึ้นอีกตั้งเท่าตัว”
    
“ฮิ ๆ” “ท่านซังกุง” เอจอง กล่าว
    
“นี่ ทำไมไม่มาช่วยกันหายไปไหนมา”
    
“ไม่ใช่เวลาคุยเรื่องนี้ พระราชาเสด็จมาแล้วค่ะ” เอจองกล่าว
    
ทงอีทูลเสนอให้พระเจ้าซุกจงทรงอยู่เฉย ๆไม่ต้องทำอะไร


“ได้โปรดรับปากเถอะเพคะ ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นเรื่องของฝ่ายใน และหม่อมฉันก็เป็นหนึ่งในส่วนของวังหลังนะเพคะ ไม่ใช่ความผิดของหม่อมฉัน และไม่ใช่ความผิดของนางในพวกนั้น หม่อมฉันจะต้องสืบหาความจริงมาให้ได้เพคะ”
    
“เจ้าไม่รู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นแผนของพระมเหสีหรอกเหรอ? เอาเถอะ เจ้าจะพูดได้ยังไงว่าเจ้าก็คิดแบบนั้น”
    
“ฝ่าบาท”
    
“ข้าก็หวังว่าไม่ใช่ แต่ความคิดนี้มันก็ลอยขึ้นมาทุกที ถึงที่ผ่านมาพระมเหสีเองก็เคยเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่คำว่าอำนาจ เมื่อมาอยู่ในมือแล้ว สิ่งที่เคยโดนมา ก็มักจะเอาไปยัดเยียดให้คนอื่นต่อ”
    
สาวใช้ที่กำลังทำอาหาร เป็นลมล้มลงไป อาการเหมือนนางในที่ป่วยคนอื่น ทงอีจึงเข้าไปสอบถามว่านางได้ไปกินอะไรที่เหมือนพวกนางรึเปล่า หรือไปคลุกคลีกับนางในที่ป่วยมั้ย แต่นางในปฏิเสธ
    
กลุ่มขุนนางฝ่ายใต้เริ่มสงสัยที่หาข้อมูล ประวัติของทงอีไม่ได้

     
“ไม่ใช่สาวใช้ในกองดนตรีแต่เกิด” โฮยอน กล่าว
    
“ตอนนั้นนางอายุสิบสอง อายุแค่นั้นเข้ามาเป็นสาวใช้ในกองดนตรีดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เพราะกองดนตรีไม่เคยมีทาสหรือสาวใช้ที่เป็นเด็กเลย” แทยุนกล่าว
    
“เด็กคนนี้ต้องมีอะไรน่าสงสัยแน่ ๆ” แทซุกกล่าว
    
“บันทึกก่อนที่นางจะเข้ากองดนตรีมันหายไปทั้งหมดเลยขอรับ ในเมื่อหายไปก็แปลว่าจงใจปิดบังอะไรไว้ขอรับ” โฮยอนกล่าว
    
“ถูกต้อง ไม่ว่ามันคืออะไร ก็ต้องเป็นเรื่องที่อยากปิดบังเอาไว้แน่” แทซุกกล่าว
    
“ข้าจะไปจับตัวคนที่พานังเด็กนั่นเข้ามา กองดนตรี แค่นี้พวกเราก็...”
    
“ไม่ได้ ยังไม่ได้ ถ้าชักดาบให้เห็นกันง่าย ๆ จะหนีไม่พ้นสายตาคนอื่น ข้าเชื่อว่า เจ้าต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้แน่” แทซุกกล่าว
    
โฮยอนใช้โฮยาง และแทพุง พายังดัลและจูซิกมาเลี้ยงเหล้าที่หอนางโลม หวังที่จะเอาใจเพื่อหลอกถามเรื่องของทงอี ส่วนคณะทูตต้าชิงได้มาถึงที่อึยจูแล้ว ทำให้พระเจ้าซุกจงสงสัยเพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ทูตจะมาหรือจะมีเรื่องพิเศษบางอย่าง

ใต้เท้าซอได้รับรายงานเรื่องที่คณะทูตต้าชิงเดินทางมาที่เมืองหลวง จึงบอกให้ชอนซูรีบสืบถึงจุดประสงค์การมาก่อนที่จางฮีเจ จะรู้เรื่องนี้
    
วูนเทค สอบถามชอนซูเรื่องที่ทงอีได้รับแต่งตั้งเป็นซึงอึนซังกุง


“เจ้าจะถามคำถามนี้ไปอีกกี่รอบ”
    
“แหะ ๆ ไปเมืองหลวงคราวนี้ ข้าจะได้พึ่งใบบุญนางไปได้ดิบได้ดีบ้างไง พูดถูกมั้ยล่ะ อย่าจริงจังนักสิ ข้าล่ะเชื่อเลย แค่พูดเล่นเท่านั้น”
    
“ถึงจะแค่พูดเล่น มันก็ไม่น่าฟังเท่าไหร่นะ ขอให้ท่านระวังด้วย” ชอนซู กล่าว
    
“เจ้าไม่ใช่พี่แท้ ๆ สักหน่อย แต่ดูเป็นห่วงเป็นใยจัง ทำไมตกใจอย่างนั้นล่ะ เจ้าคือองครักษ์ชาใช่มั้ย แต่ต่อให้ไม่ดูแซ่แค่ดูสายตาเจ้าก็รู้แล้ว”
    
“ใต้เท้าหมายความว่ายังไง ?”
    
“ก็ดูสายตาของเจ้าสิ มันไม่ใช่สายตาของพี่ชายเลยนะ สายตาฟ้องอย่างนี้ไม่ไหวนา”
    
“นี่ท่านวูนเทค”
    
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าไม่ใช่คนถ่อยที่เอาเรื่องไปโพทะนาหรอก แต่ว่าต่อไปก็ระวังหน่อย โลกนี้ไม่ได้มีบัณฑิตดี ๆ อย่างข้าเยอะนักหรอก ถ้าจะให้เด็กนั่นมีพระโอรส แล้วจะผลักดันให้ครองราชย์ละก็ เจ้าต้องรู้เรื่องการเมืองเอาไว้บ้างนะ”
    
“ใต้เท้าท่านพูดเรื่องอะไร ขึ้นครองราชย์อะไร?”
    
“ทำไม ไม่ได้เหรอ ถ้าให้กำเนิดพระโอรสแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” วูนเทค กล่าว
    
“ท่านไม่ควรพูดแบบนี้นะ ตอนนี้ในวังมีองค์รัชทายาทแล้ว” ชอนซู กล่าว
    
“พี่ชาย พระมเหสีที่ให้กำเนิดรัชทายาท ตอนแรกก็มาจากซึงอึนซังกุงไม่ใช่เหรอ คนอย่างข้าถึงดูบ้า ๆ บอ ๆ แต่ความฝันข้ายิ่งใหญ่นะ”


“เราคงต้องรีบกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้” ใต้เท้าซอ เข้ามา
    
“มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?” ชอนซู ถาม
    
“ดูเหมือนชอนซังกุงจะเจอเรื่องร้าย ๆ เข้าซะแล้ว”

เอจอง  ล้มป่วยไม่สบาย ทงอีสั่งให้คนไปตามหมอมารักษา

    
“ท่านซังกุง”
    
“เพราะอะไรกันแน่นะ ทำไมถึงมีแต่เหล่านางในที่ติดโรคประหลาด แล้วเพราะอะไร  โรคนี้ต้องเกิดขึ้นจากที่นี่” ทงอี กล่าว
    
“ท่านซังกุง” พงซังกุง กล่าว
    
“อาการของแม่ครัวคนนั้นเป็นไงบ้าง”
    
“สีหน้ายังไม่ดีขึ้น  แต่โชคดีที่อาการไม่ได้หนักไปกว่านี้”
    
“มันต้องมีอะไรที่เหมือนกันสักอย่าง แต่ทำไมข้าถึงนึกไม่ออกนะ จะน้ำ  อาหาร  ยาก็ตรวจดูหมดแล้ว แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ”

ฮีเจ มารายงานพระมเหสีฮีบินว่าทงอีออกไปค้นหาหลักฐานจนทั่ววัง ก็ยังไม่เจอ และตนเองเฝ้ารอให้ทงอีถูกไล่ออกจากวัง


“ไม่ได้ จะต้องรอไปอีกสักพัก ให้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกของการจนมุม ให้นางลิ้มรสความทรมานกับการที่เวลาค่อย ๆ หมดไป  ครั้งนี้เป็น ช่วงที่ข้ากับท่านจะได้คว้าโอกาสที่เสียไปกลับมาสักที ต้องเป็นไปอย่างช้า ๆ และเป็นไปอย่างรอบคอบที่สุด”
    
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะนั่งรอโอกาสนั้นอย่างสงบ”
    
พงซังกุง และนางในของห้องครัวนำอาหารมาให้ทงอี แต่นางไม่ยอมกิน และสังเกตเห็นนางในของห้องครัวมีแผลที่โดนน้ำร้อนลวกที่มือ จึงจะนำยาทาทำจากซาเบ็กโช ทาให้แต่นางในปฏิเสธบอกว่าพวกนางในในห้องครัวห้ามทาอะไรบนตัวเด็ดขาด ทงอีจึงฉุกคิดได้ว่า คนในห้องครัวไม่เคยมีคนล้มป่วยเลย จึงนำเรื่องนี้ไปบอกกับจองซังกุง

   
“ห้องครัวเหรอ?”
    
“ค่ะ  ทุกส่วนของเรือนโบคยองมีคนป่วยหมด แต่ที่นั่นจนป่านนี้ยังไม่มีใครป่วยเลย” 
    
“ก็นั่นสินะ  ดูเหมือนบรรดานางในที่ป่วยจะไม่มีใครที่อยู่ในห้องครัวเลย” จองอิม กล่าว
    
“เพราะว่าคนที่ทำหน้าที่ในห้องครัว จะทาแป้งหรืออะไรที่มีกลิ่นแรงไม่ได้เลยน่ะสิ แถมยังพกไม่ได้ด้วย” 
    
“ถ้าเป็นอย่างนั้น โรคอาจติดจากเครื่อง  สำอางหรือยาที่พวกนางทาสิ?” จองซังกุง กล่าว
    
“ใช่  เราอาจจะหาต้นตอจากของพวกนั้นได้ค่ะ” ทงอี กล่าว

จองซังกุง สั่งให้คนนำเอกสารบันทึกการตรวจค้นช่วงสามเดือน มาดูว่าในบรรดาของที่ค้นเจอ มีเครื่องสำอางที่ลักลอบนำเข้ามาในวังหรือไม่ และในช่วงไปตรวจค้น ต้องตรวจให้ละเอียดว่า ได้ค้นเจอของอะไรที่อาจจะเป็นตัวแพร่เชื้อโรคบ้างหรือเปล่า
    
จองซังกุง ไปสอบถามนางในที่ดูแลคนป่วยว่า เคยไปแตะต้องของพวกนางในรึเปล่า
    
“ทะ ท่าน ท่านซังกุง”
    
“ขอแค่เจ้ายอมพูดความจริง ข้าก็จะไม่เอาผิดเจ้า ข้าจำเป็นต้องรู้สาเหตุของโรค ถึงช่วยเจ้าและนางในคนอื่นได้ เจ้าเคยไปหยิบจับของของพวกนางในมั้ย”
    
“ท่านซังกุง”

จองซังกุง นำแป้งมาให้กับทงอีดู บอกว่านางในที่ป่วยต่างก็ใช้ของอย่างเดียวกันก็คือแป้งตัวนี้


“สาวใช้ในห้องครัวที่ป่วยก็ยืนยันว่า นางยอมรับว่าเคยขโมยแป้งของนางในมาใช้ด้วยค่ะ” จองอิม กล่าว
    
“แต่ว่าแป้งพวกนี้เป็นของที่พวกนางในใช้ทุกวันไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงทำให้ล้มป่วยได้ล่ะ?” ทงอี สงสัย
    
“ในข้อนี้ยังอยู่ระหว่างสืบหาอยู่ค่ะ  ถ้าไปตามสืบหาร้านที่พวกนางซื้อแป้งพวกนี้มา  ก็น่าจะสืบได้เบาะแสอะไรมาบ้าง  แต่ว่า..”
    
“แต่ว่า  มีอะไรเหรอคะ?” ทงอี ถาม
    
“จากบันทึกตรวจค้นฝ่ายตรวจการ ช่วงเวลาที่นางในเริ่มนิยมใช้แป้งชนิดนี้กัน”
    
“เป็นช่วงเวลาที่ท่านได้เข้าวังมาพอดีค่ะ  พวกเราคาดไว้ไม่ผิดเลย เรื่องนี้มีเจตนาพุ่งเป้ามาที่ท่านตั้งแต่ต้นแล้ว”

เมื่อถึงเวลา 3 วันที่ตกลงให้โอกาสกับทงอี หาหลักฐาน พระมเหสีฮีบิน จึงได้สอบถามโชซังกุงว่าตอนนี้ทงอีกำลังทำอะไรอยู่     
    
“ได้ยินว่าตรวจสอบห้องเครื่องสำอางอยู่เพคะ” ยองซอน ทูล
    
“ห้องเครื่องสำอาง สืบไปถึงห้องทำเครื่องสำอางในวังจนได้รึ  ฝีมือไม่เบาเลยนี่นา”
    
พงซังกุงบังเอิญเห็นยูนเดินเข้าร้านเครื่องสำอางก็แอบตามไปดู เห็นนางกำลังให้เงินกับคนในร้าน จากนั้นก็จับตัวนางในที่แอบนำแป้งพวกนั้นเข้ามาในวังให้ทงอีสอบสวน



“แป้งพวกนี้ ไม่ได้มาจากห้องเครื่อง  สำอาง แล้วพวกเจ้าได้มันมาจากไหน ใครเป็นคนสั่งให้พวกเจ้าทำกันหา?” พงซังกุง ถาม

“ใครสั่งอะไร ท่านพูดไปใหญ่แล้ว ข้าน้อยได้ยินว่าเป็นแป้งที่นางในชอบใช้ ก็เลยเอามาขายให้พวกนางหาเงินใช้น่ะ”

 “แต่เพราะแป้งที่เจ้าเอาเข้ามาขายนี่ กำลังทำให้เพื่อน ๆ ของเจ้าล้มป่วย ข้าจะต้องรู้สาเหตุ ถึงจะรักษาเพื่อนของเจ้าได้” ทงอี กล่าว

 “ข้าน้อย  ข้าน้อยไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ค่ะ  ท่านซังกุง  ข้าแค่ซื้อมาจากแม่ค้าคนนึงที่ขายอยู่ในตลาดเท่านั้น”

 “แม่ค้าเหรอ”

“ค่ะ แม่ค้าพวกนั้นเดินเร่ขายเครื่อง  สำอางไปทั่ว แป้งพวกนั้นกลิ่นก็หอม แถมยังใช้ดี พวกนางโลมหลายคนในเมืองหลวงก็ชอบใช้กัน ข้าน้อยก็เลยซื้อมาขายต่อพวกเพื่อนนางใน จริง ๆ นะคะท่านซังกุง”


 “ท่านชอนซังกุงคะ”

 “มีเรื่องอะไรหา?” พงซังกุง ถาม

“ท่านซังกุง ข้าต้องขอเชิญท่านไปฝ่ายตรวจการหน่อยค่ะ” ยูซังกุง กล่าว

 “ไปฝ่ายตรวจการ ด้วยเหตุผลอะไรหา?” พงซังกุง ถาม

 “เจ้าอย่าเข้ามายุ่ง หรือว่าท่านคิดจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระมเหสี  ท่านชอนซังกุงคะ”

 “ท่านซังกุง”

 “ข้าจะไปเอง อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่” ทงอี กล่าว

 “ท่านซังกุง  ไม่ได้นะคะ  นั่นฝ่ายตรวจการ  ไม่รู้เหรอว่าการไปครั้งนี้หมายถึงอะไร”

 “นี่เป็นสัญญาที่ข้าให้ไว้ ข้าก็ต้องไปแก้ปัญหาเอง”

 “ท่านซังกุง”

 “แต่ตอนนี้ ข้ามีเรื่องนึงที่ต้องให้ท่านช่วย” ทงอี กล่าว 

 “ท่านซังกุง อย่าเป็นอะไรนะคะ อยู่ไหนนะ”

 “ที่นางในล้มป่วยครั้งนี้ เป็นเพราะแป้งทาตัวพวกนี้ มันมีพิษผสมอยู่ด้วย”

 “ตอนแรกมันก็เกิดขึ้นในเรือนของเราก่อน แล้วลามไปตำหนักรัชทายาท นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ เรื่องนี้เป็นฝีมือของพระมเหสีชัด ๆ”

 “ท่านซังกุง ท่านจะตัดสินอย่างนั้นไม่ได้ ก่อนอื่นเราต้องตามหาแม่ค้าที่ขายเครื่องสำอางให้นางในคนนั้นซะก่อนค่ะ” ทงอี กล่าว

 “แม่ค้าเครื่องสำอาง หมายถึงแม่ค้าที่ขายเครื่องสำอางอยู่นอกวังนั่นเหรอคะ” พงซังกุง ถาม

 “ใช่ ที่สำคัญที่สุดคือต้องรู้ว่า คนที่ขายแป้งอันนั้นให้นางในในเรือนของพวกเราเป็นใคร  ต้องหาคนนั้นและคนที่เกี่ยวข้อง  แล้วเค้นสอบดูว่ามีเจตนาอะไรที่ทำแบบนี้  แล้วที่สำคัญท่านต้องสืบให้รู้ว่า  คนคนนั้นเคยขายเครื่องสำอางให้นางโลมนอกวังด้วยรึเปล่า”

 “ค่ะ  ข้าน้อยเข้าใจแล้วท่านซังกุง”

 พงซังกุง ตามหาจูซิกและยังดัล เพื่อให้พาไปหอนางโลม


“เป็น..แป้งแบบนี้ใช่รึเปล่า?” ซอลฮี ถาม

 “ใช่ค่ะ  แป้งแบบนี้เลย  แล้วนางโลมที่นี่เป็นยังไงบ้าง มีใครล้มป่วยบ้างรึเปล่า?” พงซังกุงถาม

 “ที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีเด็กสองสามคนเริ่มมีไข้แล้วก็อาเจียนไม่หยุด ข้าเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ”

 “แล้วแป้งนี้ท่านไปซื้อมาจากที่ไหน?”

 “เป็นแม่ค้าคนนึงที่มาขาย ข้านึกออกแล้ว  ข้าเพิ่งเห็นนางอยู่ในห้องพวกนางโลมอยู่พอดี”

 “หา” พงซังกุงตกใจ ซอลฮี จึงพานางไปที่ห้องพวกนางโลม แต่ผู้ช่วยของซอลฮีแจ้งว่าแม่ค้าเครื่องสำอางเพิ่งออกไป

 ผู้ช่วยซอ แอบไปสังเกตดูร้านเครื่องสำอาง แต่ไม่พบอะไรน่าสงสัย แต่จองอิม ได้ยินมาว่าแม่ค้าขายเครื่องสำอางเป็นคนที่เข้าออกบ้านนายหญิงยูนบ่อย และดูเหมือนช่วงนี้จะเข้าออกที่นั่นบ่อยกว่าปกติ

ผู้ช่วยซอ จงคู และจองซังกุง มาค้นที่บ้านของแม่ค้าเครื่องสำอาง ก็ได้พบกับพงซังกุง ที่มาตามหาแม่ค้าขายเครื่องสำอางน่าสงสัยคนหนึ่งเช่นกัน อีกด้านหนึ่งขันทีเข้ารายงานพระเจ้าซุกจงว่า พระมเหสีจับตัวทงอีไป


 “ใช้เหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้น”

 “ดูเหมือนจะเป็นเรื่องโรคระบาดในหมู่นางในเพคะ ชอนซังกุงเคยทูลขอพระมเหสีว่า  ขอเวลาสืบเรื่องนี้สักระยะนึงเพคะ” จองซังกุงรายงาน

 “แปลว่า ตอนนี้ถึงเวลาที่สัญญา เลยสั่งให้คนมาจับตัวชอนซังกุงไปงั้นรึ ข้าได้ยินว่า พวกเจ้าก็กำลังสืบเรื่องนี้อยู่ เป็นไง สืบได้ความไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

 “ยังไม่ได้ผลสรุปแน่นอนเกรงว่ายังกราบ ทูลไม่ได้”

 “ไม่เป็นไร  เจ้าบอกมาก่อน  จองซังกุง”

 “ถึงตอนนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ แต่เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับมารดาของพระมเหสี” จองซังกุง ทูล

 “ตระกูลพระมเหสีน่ะรึ”

 เมื่อพระมเหสีฮีบินรู้ว่าจองซังกุง ทูลพระราชาว่าเรื่องทั้งหมดอาจเกี่ยวข้องกับมารดาพระมเหสี จึงรับสั่งให้โชซังกุง รีบไปบอกกับยูซังกุงว่า ให้จัดการกับชอนซังกุงตามที่สั่งไว้ได้ทันที และรีบปล่อยทงอีออกมา ส่วนแม่ค้าก็ถูกจับตัวมาที่ตำหนัก และนางในที่นำแป้งเข้ามาก็ถูกจับไปทรมานเพื่อให้รับสารภาพ จากนั้นพระเจ้าซุกจงก็เสด็จมา


 

 “ฝ่าบาทเสด็จมา เพราะกลัวว่าหม่อมฉันจะทำร้ายชอนซังกุงใช่มั้ยเพคะ?”

 “พระมเหสี”

 “ถ้าฝ่าบาททรงคิดอย่างนั้นจริง หม่อมฉันคงเสียใจเพคะฝ่าบาท”

 “พระมเหสี”

 “แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในฝ่ายใน หม่อมฉันคงปฏิเสธความรับผิดชอบได้ยาก  นี่เป็นแป้งที่ผสมตะกั่ว  และเป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่านางในล้มป่วย แป้งผสมตะกั่วปริมาณมากถึงจะใช้ดี  แต่ก็มีความเป็นพิษ ที่สามารถทำให้ผู้คนล้มป่วยได้” พระมเหสี กล่าวทูล

 “เจ้ารู้ได้ยังไงล่ะ?”

 “หลังจากที่มีนางในล้มป่วยลง หม่อมฉันก็สั่งให้ศาลไต่สวนและนางในทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาสาเหตุ ดีที่ท่านแม่หม่อมฉันรู้จักกับคนขายเครื่องสำอาง ท่านแม่เลยช่วยสืบเรื่องนี้ด้วย  หม่อมฉันเคยบอกแล้วว่าไม่เชื่อข่าวลือเกี่ยวกับชอนซังกุง ที่ลือกันอยู่ในวังหลวงนี่ แต่เหมือนฝ่าบาท จะไม่เชื่อใจของหม่อมฉันเลย”

 “แต่ว่า..ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทำไมเจ้าต้องจับนาง”

 “เพราะที่นี่เป็นฝ่ายใน ชอนซังกุงก็อยู่ในฝ่ายในเช่นกัน หม่อมฉันต้องให้บทเรียนกับนางว่า การจะพูดอะไรต้องระวังไว้ให้มาก นี่เป็นกฎของฝ่ายในไม่ใช่หรือ  หม่อมฉันแค่อยากจะชี้แนะนางในฐานะประมุขของฝ่ายในเท่านั้นเองเพคะ”

 ทงอีมาดูอาการของนางในที่ล้มป่วย จองซังกุงรายงานว่าเมื่อรู้สาเหตุมาจากตะกั่วในแป้งก็รักษาไม่ยาก


“ดีจังเลย  ถือว่าโชคดีจริง ๆ” ทงอี กล่าว

 “โชคดีงั้นเหรอ คนที่สืบหาว่าต้นเหตุมันมาจากแป้งก็คือท่านกับพวกข้าสักหน่อย แต่สุดท้ายก็โดนพระมเหสีแย่งเอาความดีความชอบหมด  ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังทำเป็นว่าพระมเหสีช่วยให้ท่านพ้นข้อสงสัยอีกด้วย ทำไมมีเรื่องน่าตลกอย่างนี้ก็ไม่รู้” พงซังกุง กล่าว

 “แต่ถึงยังไงความจริงก็เป็นอย่างนั้นนี่”

 “ไม่หรอก  นี่ไม่ใช่ความจริงค่ะท่านซังกุง ท่านไม่รู้หรือว่าพระมเหสีเป็นคนยังไง นางคงจะวางแผนให้เป็นแบบนี้มาแล้วตั้งแต่แรกแล้ว” จองซังกุง กล่าว

 “ท่านซังกุง”

 “ข้าโง่เขลาและประมาทเอง ที่กราบทูลกับพระราชาโดยไม่มีหลักฐาน ตอนนี้เป็นห่วงก็แต่ พระราชาจะต้องกลุ้มพระทัยเพราะเรื่องนี้น่ะท่านซังกุง”

 ทงอี มาขอบคุณพระมเหสีฮีบิน แต่ก็ถูกหัวเราเยาะใส่


 “ถ้าเจ้าคิดจะมาขอบคุณที่ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าเอาไว้  ไม่ต้องหรอก  เพราะเจ้ากับข้า ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องมีมิตรภาพต่อกัน”

 “มีเรื่องนึง ที่หม่อมฉันรู้สึกแปลกใจ  พระมเหสีทรงทำไปเพื่อช่วยหม่อมฉันจริงหรือเพคะ  ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนั้นจริง ๆ”

 “ต้องขอโทษด้วยนะ  ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้  เจ้าถามด้วยหน้าตาใสซื่อแบบนี้  แต่ในหลายวันนี้ ที่จริงข้ากำลังปวดหัวเพราะหักแขนเจ้าทิ้งไม่ได้  เลยรู้สึกเจ็บใจไม่น้อย”

 “พระมเหสี”

 “เอาเถอะ หลายปีก่อน เจ้าก็เคยทุ่มเทช่วยเหลือข้าอย่างจริงใจ วันนี้ข้าจะขอเตือนเรื่องสำคัญเรื่องนึง ในวังหลวงนี้  เจ้าบอกว่าจะใช้กำลังที่มีเพื่อรักษาความถูกต้องใช่รึเปล่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงต้องเรียนรู้อีกสักหน่อย นี่ไม่ใช่ที่ที่จะมาตามหาความถูกต้อง แต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าความผิดคือความถูกต้อง ถ้าเจ้าอยากจะเอาชนะข้า ลากข้าลงจากตำแหน่ง และดึงอดีตพระมเหสีกลับมาครองตำแหน่งนี้อีกครั้งนึงละก็  อย่าแสดงสายตาที่หวั่นไหวแบบนั้นให้ข้าเห็น เข้าใจรึยัง เพราะนี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”

 ใต้เท้าซอ และชอนซู เดินทางกลับมาถึงวังหลวง


 “ได้ยินว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในวัง ท่านซังกุงปลอดภัยดีใช่รึเปล่า?” ชอนซู ถาม

 “ใช่  ข้าสบายดี  ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”

 “พวกข้าเพิ่งออกจากเมืองหลวงได้ไม่นานก็เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว” ใต้เท้าซอ กล่าว

 “จริงสิ ท่านชิมวูนเทคล่ะคะ ไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอ?”

 “ข้าจัดให้เค้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว รอให้ทุกอย่างพร้อมซะก่อน  แล้วจะพาเค้าเข้าวัง”

 “งั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อพวกท่านกลับมาแล้ว  คราวนี้เราก็เปิดโปงความผิดที่พวกเค้าก่อไว้ได้สักที ท่านมีเรื่องอะไรรึเปล่า ทำไมท่านสองคน  สีหน้าไม่ดีเลย  พี่ชอนซูคะ”

 พระเจ้าซุกจง มีรับสั่งให้จางฮีเจ เข้าเฝ้าในวังหลวง


 “ฝ่าบาท ใต้เท้าจางฮีเจมารออยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันที ทูล

 “ให้เค้าเข้ามา”

 “พ่ะย่ะค่ะ”

 “ฝ่า ฝ่าบาท มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือ?”

 “ใช่แล้ว เข้ามานี่สิ ไม่เลวเลย ได้ยินว่าทั้งหมดเป็นความชอบของเจ้า”

 “หา?”

 “เมื่อครู่คณะทูตต้าชิง เพิ่งจะเข้ามาในวังหลวง  พวกเค้านำราชโองการรับรองรัชทายาทที่ข้าเฝ้ารอมานานมาให้กับข้าด้วย” พระเจ้าซุกจง ตรัส

“ฝ่า ฝ่าบาท  นี่มัน จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 ชอนซูเล่าเรื่องที่คณะทูตต้าชิงนำราชโอง การรับรองรัชทายาทมาถวายให้พระราชา ให้ทงอีฟัง


“แต่บันทึกทึงลกที่เค้าเอากลับไป มันเป็นของปลอมนี่นา ทำไมพวกเค้าถึงยังรับรององค์รัชทายาทอีกล่ะ?”

 “ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ถ้ารัชทายาทได้รับการรับรอง คนพวกนั้นนอกจากจะพ้นความผิด ยังจะมีอำนาจมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อีกด้วย” ใต้เท้าซอ กล่าว

 “แล้วบันทึกทึงลกนี่ล่ะ บันทึกทึงลกในมือของข้า ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วเหรอคะ?”


* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา