ในที่สุดทงอีก็ได้เป็นนางในถวายตัว ขึ้นเป็นซังกุงชั้นพิเศษ ทำให้กลุ่มฝ่ายใต้ไม่พอใจเป็นอย่างมาก อ๊กจองจึงได้ไปหาพระเจ้าซุกจงและตกลงแลกเปลี่ยนการยอมให้ทงอีเป็นซังกุงแลก กับการปล่อยตัวพี่ชายของตน ทงอีรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการเป็นซังกุงและการมีเรือนที่พักของตน พระเจ้าซุกจงใช้แหวนหยกมาสารภาพรักกับทงอี แต่ทงอีกลับถอดชุดซังกุงแล้วหนีออกจากวังไป
เนื้อเรื่อง:
“ฝ่าบาท นางในถวายตัว..นี่หมายความว่า?” แทซุก ทูลถาม
พระเจ้าซุกจงมีคำสั่งแต่งตั้งทงอีเป็นนางในถวายตัว ขึ้นเป็นซังกุงชั้นพิเศษ ทำให้กลุ่มฝ่ายใต้ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาท จะทรงแต่งตั้ง นางในชอนทงอีเป็นซึงอึนซังกุง เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” โฮยอนต้าน
“นางในชอนทงอี เป็นนักโทษที่หนีคดีออกไปจากวังนะฝ่าบาท นอกจากจะหมดคุณสมบัติการเป็นนางในแล้ว นางยังทำความผิดร้ายแรงด้วยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ พระองค์ตั้งนางเป็นซึงอึนซังกุง เป็นเรื่องที่จะทำไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะว่าชอนทงอีเป็นนักโทษที่ต้องตรวจสอบ ชอนทงอีไม่ใช่นางในแต่เป็นนักโทษพ่ะย่ะค่ะ” แทซุกเห็นด้วย
“คุณสมบัตินางใน ได้กลับมาพร้อมกับการถวายตัวไปแล้ว อีกอย่างนึงคือ เรื่องนี้พวกท่านไม่จำเป็นต้องก้าวก่าย เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัว เข้าใจรึเปล่า?” พระเจ้าซุกจงตรัสเสียงเข้ม
ทงอีแปลกใจที่จู่ ๆ ก็ถูกเรียกเข้าวังโดยส่งเกี้ยวมารับพร้อมกับแต่งตัวเป็นนางในถวายตัว พระเจ้าซุกจงเฝ้ารอทงอีอย่างใจร้อน
“เข้าวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังไม่ทันได้จัดเตรียมที่พัก ก็เลยให้ไปอยู่ที่ตำหนักว่างก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ แล้วเป็นไง นางคงจะตกใจมากเลยใช่มั้ย”
“เพราะว่ายังไม่ทราบเรื่องอะไร เหมือนยังทำอะไรไม่ถูกพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ ก็ไม่แปลกหรอก จะทำตัวถูกได้ยังไง” พระเจ้าซุกจงถอนหายใจแต่ก็แย้มสรวลพอใจ
ทงอีถูกนำมาที่เรือนรับรองจึงเอ่ยถามจางซังกุง
“เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย ท่านซังกุง ข้าต้องอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่เหรอคะ”
“เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย ท่านซังกุง ข้าต้องอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่เหรอคะ”
“ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกใช่มั้ยคะ ไม่ต้องกังวลค่ะ รอให้จัดการที่เรือนเรียบร้อย ท่านก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้ทันที”
“ที่เรือนเหรอ?”
“ค่ะ ก็เรือนที่ท่านจะไปพักในอนาคตไงเจ้าคะ อีกอย่างนึง ไม่ต้องใช้คำสุภาพกับข้าน้อยหรอกท่านซังกุง”
“หา เรียกข้าซังกุงเหรอ ทำไมเรียกข้าแบบนั้นล่ะ ทำไมถึงเรียกข้าน้อยว่าซังกุงล่ะ อีกอย่างนึง เรือนที่พักอะไรกัน เอ่อ..” ทงอียิ่งแปลกใจ
พระเจ้าซุกจงกระวนกระวายใจที่จะบอกรักทงอีแต่ไม่รู้ว่านางจะยอมรับหรือไม่จึงปรึกษากับขันที
“ข้ากับเด็กคนนั้นรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว จู่ ๆ ไปบอกว่า ข้าจะแต่งงานกับนางแบบนี้ นางจะไม่ตกใจได้ยังไงล่ะ?”
“ข้ากับเด็กคนนั้นรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว จู่ ๆ ไปบอกว่า ข้าจะแต่งงานกับนางแบบนี้ นางจะไม่ตกใจได้ยังไงล่ะ?”
“ฝ่าบาททรงคิดอย่างนี้หรือ? ไม่ใช่แค่แต่งตั้งเป็นซึงอึนซังกุงเท่านั้น แต่ยังทรงทำไปเพราะมีพระทัยต้องการอภิเษกกับนางใช่มั้ยพะย่ะค่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้ข้าแค่อยากรู้ความรู้สึกของนางก่อนน่ะ ไม่ใช่ในฐานะนางใน เลยจำใจต้องทำตามคำสั่งข้า แต่ข้าอยากให้นางรักข้าจากหัวใจของนางจริง ๆ น่ะ”
“ฝ่าบาท ขอประทานอภัย กระหม่อมขอกราบทูลอะไรสักอย่างพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ฝ่าบาทก็แค่บอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีในพระทัยให้นางรู้ นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังต้องบอกอะไรอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จางซังกุงบอกเรื่องที่ทงอีได้รับแต่งตั้งเป็นซึงอึนซังกุง แต่ทงอีไม่เชื่อคิดว่าต้องเป็นความเข้าใจผิด พระเจ้าซุกจงเมื่อทราบเรื่องที่ทงอีมาถึงที่พักจึงเสด็จมาหา ทงอีจึงรีบทูลถามเรื่องที่เข้าใจผิด
“เมื่อคืนที่ฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมหม่อมฉันที่นอกวัง คงทำให้พวกเค้าเข้าใจผิด ซังกุงพวกนั้นก็เลย..”
“คือว่า ทงอี” พระเจ้าซุกจงอ้ำอึ้งก่อนตรัสออกมา “ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรอก เพราะนั่นเป็นคำสั่งของข้าเองแหละ”
“หา?” ทงอีตกใจ พระเจ้าซุกจงทำสีพระพักตร์ไม่ถูก
“หมายความว่าทุกอย่างเป็นรับสั่งของฝ่าบาท จริงเหรอเพคะ ทั้งชุดทังอี เรือนที่พัก แล้วก็เรื่องที่แต่งตั้งหม่อมฉันเป็นซึงอึนซังกุงหรือเพคะ”
“ใช่แล้ว เป็นคำสั่งข้าเอง”
“ทำไมถึงทำอย่างนั้นเพคะ”
“เจ้าลืมแล้วเหรอ ที่ข้าเคยบอกว่า ข้าจะทำทุกอย่างที่สามารถทำเพื่อเจ้าได้ ข้าทำไปก็เพื่อปกป้องเจ้า จะปล่อยให้เจ้าอยู่ในเมืองหลวงที่มีแต่อันตราย หรือส่งเจ้าไปให้คนพวกนั้นทั้งที่รู้ว่าจะจับเจ้าไปลงโทษไม่ได้ เจ้ายอมเสี่ยงชีวิต ทำเพื่อข้าและราชสำนัก ข้าปกป้องเจ้าก็เป็นเรื่องสมควร เมื่อเจ้าเป็นซึงอึนซังกุง ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้าตามใจชอบ เพราะถ้าใครกล้าทำร้ายเจ้าก็เท่ากับหมิ่นข้าไปด้วย”
“แต่ว่าฝ่าบาท ต่อให้ทำเพื่อปกป้อง ก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้ เพราะทำแบบนี้ก็เท่ากับหลอกลวงทุกคน”
“ก็ไม่ได้หลอกลวงทั้งหมดหรอก เพราะมันก็เป็นความต้องการจากใจข้าด้วย เราไปกันเถอะ” พระเจ้าซุกจงหันไปบอกขันที
“เหวอ ยืนอยู่ทำไมไปเร็ว เจ้ายื่นมือออกมาสิ อะไรเล่า บอกให้ยื่นมือมาไง” พระเจ้าซุกจงมอบแหวนหยกให้กับทงอี “ยังจำได้รึเปล่า เมื่อนานมาแล้ว ตอนข้าไปเดินตลาดกับเจ้า ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้าก็เลยซื้อมา เพียงแต่ว่า ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ตัวเอง ว่านั่นเป็นความรู้สึกจากใจจริงของข้า” พระเจ้าซุกจงตัดสินใจสารภาพรักทงอี
“ฝ่า ฝ่าบาท” ทงอีตกใจมาก
“เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เข้าใจผิด หรือผิดพลาด ยิ่งไม่ได้เป็นการหลอกลวง แต่มันเป็นความจริงใจจากตัวของข้า เพราะฉะนั้น เจ้าเอาไปพิจารณาดู ว่าเจ้าจะยินดีมาอยู่ข้างข้า และยอมรับหัวใจที่ข้ามีให้เจ้าได้มั้ย? เฮ้อ..” พระเจ้าซุกจงตรัสออกมาแล้วก็รู้สึกโล่งพระทัย
อินกุ๊กมาเข้าเฝ้าอดีตพระมเหสีอินฮอนเพื่อบอกเรื่องที่พระเจ้าซุกจงแต่งตั้งทงอี ทั้งที่นางไม่มีคุณสมบัติ อินฮอนไม่รู้สึกแปลกใจ แถมบอกว่านางเองที่ขอให้ทงอีช่วยอยู่เคียงข้างพระเจ้าซุกจง พร้อมกับขอร้องให้อินกุ๊กช่วยทงอีอย่าให้ถูกคนอื่นรังแกเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในวัง
จองซังกุงมาพบทงอีเพื่อถามความจริงเรื่องที่นางได้รับการแต่งตั้งทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติ ทงอีบอกเพียงว่าพระเจ้าซุกจงต้องการช่วยเหลือนางเท่านั้น
“พระราชาแค่เป็นห่วงข้าว่าถ้ากลับเข้าวังแล้วจะอันตราย ก็เลยมีราชโองการไปแบบนั้นค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง พระองค์ต้องการใช้วิธีนี้ปกป้องเจ้า แต่ว่าต่อให้อย่างนั้น ก็ไม่เห็นจะแตกต่างตรงไหน เพราะพระองค์ก็มีพระทัยให้เจ้าอยู่แล้วนี่นา”
“ท่านซังกุง แต่ว่า”
“ทงอี ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกเจ้าว่าทงอีเฉย ๆ เพราะฉะนั้น เจ้าถือซะว่าข้าเคยเป็นครูคนนึงขอให้จำคำสอนข้าไว้”
“ท่านซังกุง”
“จากนี้ จะมีคนมากมายที่ทำให้เจ้าเหนื่อยล้า ครหาว่าเจ้าไม่คู่ควร ไม่เหมาะกับตำแหน่ง เพื่อให้เจ้าหวั่นไหว”
“แต่ว่าคำพวกนั้น ก็ไม่ผิดนี่คะ เพราะข้าไม่คู่ควรที่จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้เลย” ทงอีพูดตรง ๆ
“ไม่หรอก เจ้าคู่ควรกับตำแหน่งนี้มากกว่าใครทั้งนั้น เจ้าลืมแล้วเหรอว่า ครั้งแรกที่เจ้ามาอยู่ฝ่ายตรวจการ เจ้าบอกว่าถึงเป็นชนชั้นต่ำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจิตใจจะต่ำเหมือนชนชั้นด้วย จากนั้นเจ้าก็..พิสูจน์ว่า สิ่งที่เจ้าเคยพูดมาไม่ผิดเลย เจ้าได้กลายเป็นนางในฝ่ายตรวจการ ที่คู่ควรกว่าใครทั้งนั้น แต่ทำไมตอนนี้เจ้ากลับมาบอกว่าไม่คู่ควรล่ะ ถ้าเจ้าต้องการจะข้ามเส้นแบ่งชนชั้น ยังมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
“ท่านซังกุง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ข้าก็ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หรอก ท่านซังกุง เพราะข้า..ไม่อยู่ในสถานะจะอยู่เคียงข้างพระราชาได้ ข้าทำแบบนั้นไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
“หมายความว่าอะไรหา ทงอี ทำไมบอกว่าไม่อยู่ในสถานะนั้น ทงอี”
ชอนซูทราบเรื่องที่ทงอีได้รับการแต่งตั้งจึงมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง ขณะที่พระเจ้าซุกจงต้องการเรียกชอนซูมาพบพอดี
“อยากให้ข้าบอกความรู้สึกที่มีต่อทงอีรึ?” พระเจ้าซุกจงตรัสขึ้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมทราบว่าคงเป็นการอาจเอื้อมมาก แต่ก็จำเป็นจะต้องทูลถาม ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงคิดยังไงกับทงอีพ่ะย่ะค่ะ ขอประทานอภัยที่กระหม่อมล่วงเกินด้วย”
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้เกี่ยวกับน้องสาวสุดที่รักของเจ้า แต่ว่าก่อนจะตอบคำถามเจ้า ข้าก็มีเรื่องอยากจะรู้เหมือนกัน เจ้ามาถามข้าในฐานะพี่ชายของทงอี หรือว่าในฐานะผู้ชายคนนึง เจ้าไม่ต้องตกใจหรอก ยังไงข้าก็เป็นผู้ชายคนนึง ถ้าผู้หญิงในดวงใจข้ามีผู้ชายหล่อเหลาเคียงข้าง ถ้าบอกว่าข้าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะโกหก เจ้าว่าจริงมั้ย”
“ฝ่าบาท คือกระหม่อม..” ชอนซูพูดไม่ออก
“ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ความรู้สึกของทงอี ข้ารู้ก็แต่หัวใจของข้าเองเท่านั้น ดังนั้นบอกตามตรง ข้าเองก็รู้สึกหวั่นใจเหมือนกัน ถ้าคนที่อยู่ในใจนางเป็นคนอื่น ข้าควรจะทำยังไงดีนะ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้าจะจัดการตัวเองยังไง ที่จริงไม่นานนี้ นางก็เคยบอกว่า ข้าดูธรรมดาสำหรับนาง นางบอกว่าอะไรน้า อ้อใช่แล้ว นางบอกว่า นางชอบผู้ชายผิวคล้ำแล้วมีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน โอ้ คงจะเหมือนเจ้านี่แหละ ดังนั้น เจ้าต้องตอบคำถามข้ามาก่อน วันนี้ที่เจ้ามาพบข้า มาในฐานะพี่ชาย..หรือว่าผู้ชายคนนึง” พระเจ้าซุกจงตรัสถามตรง ๆ
ชอนซูมาหาทงอี ทงอีในชุดเต็มยศทำให้ชอนซูชะงักไป ทงอียิ้มเก้อ ๆ “ไม่คุ้นใช่มั้ย ข้าเองก็รู้สึกแปลก”
“ไม่หรอก พี่ว่าเจ้าสวยมาก ยังคิดว่าเจ้าเป็นคนอื่นซะอีก”
“เฮ้อ พี่ชอนซูก็” ทงอีเขินอาย
“แต่เจ้าแต่งตัวสวยอย่างนี้ ทำไมหน้าตาถึงได้หมองนักล่ะ หรือเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ”
“ตอนนี้ ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้จริง ๆ รึเปล่า ข้ารู้สึกเสมอว่าข้าคง..อยู่ที่นี่ไม่ได้” ทงอีหน้าตาเป็นกังวล
“เพราะอดีต..ของเจ้าใช่มั้ย?”
“สักวันนึงจะต้องมีคนรู้ ว่าข้าเป็นลูกของพ่อ พ่อของข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มคอมเกที่ถูกทางการตามล่านะ ข้าไม่เคยกลัวความจริงเรื่องนี้หรอก และที่ข้าเข้ามาอยู่ในวัง ก็เพื่อตามหาคนที่ใส่ร้าย กลุ่มคอมเก และเพื่อตามหาฆาตกรตัวจริงเท่านั้น แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว พ่อข้าก็เป็นแค่นักโทษ เป็นคนผิด และข้าก็เป็นแค่ลูกของนักโทษ สถานภาพอย่างข้า ข้าจะอยู่เคียงข้างพระราชาได้ยังไงกัน ข้าต้องปิดบังเรื่องนี้กับพระองค์ จะทำได้ยังไง?”
“ถ้างั้น หนีไปด้วยกัน เจ้าทำได้รึเปล่า?” ชอนซูตัดสินใจ
“พี่ชอนซูคะ” ทงอีตกใจมากกับความคิดของชอนซู
“ถือซะว่าไม่เคยรู้เรื่องอะไร เจ้าไม่เคยรู้จักพระราชามาก่อน เจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้มั้ย?”
ทงอีคิดหนักกับคำพูดของชอนซู
ข่าวเรื่องทงอีแพร่สะพัดออกไป พระมเหสีฮีบินร้อนพระทัยมาก นายหญิงยูนก็ร้อนใจจึงมาขอเฝ้าลูกสาว เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้
“พระมเหสี ไม่เป็นไรแน่นะเพคะ”
“ทำไม ท่านคิดว่าข้าจะล้มป่วยเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ? ทุกอย่างก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของข้า เพียงแต่แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง อย่ามองข้าอย่างนั้นสิท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ ท่านลืมแล้วเหรอว่า สิ่งที่เชื่อไม่ได้มากที่สุดคือใจชาย ท่านแม่เคยสอนข้าเอง”
“พระมเหสี”
“ดูเหมือนข้าจะหลงลืมมันไปนาน สิ่งที่ข้าจะเชื่อได้มีแต่ตัวของข้าเองเท่านั้นแหละ”
พระมเหสีฮีบินมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าซุกจง โดยต่อรองว่าจะไม่ขัดขวางเรื่องแต่งตั้งทงอีแต่ขอให้ปล่อยฮีเจ
“ก็อย่างที่หม่อมฉันกราบทูล ปัญหาที่ทงอีก่อขึ้นมา หม่อมฉันจะไปคลี่คลายเอง ดังนั้น ฝ่าบาทช่วยปล่อยพี่ชายหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ก็อย่างที่หม่อมฉันกราบทูล ปัญหาที่ทงอีก่อขึ้นมา หม่อมฉันจะไปคลี่คลายเอง ดังนั้น ฝ่าบาทช่วยปล่อยพี่ชายหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“พระมเหสี”
“หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทเองคงทราบดีว่าพวกขุนนางใหญ่จะต้องทำทุกอย่าง ถ้าพวกเค้าเจอจุดอ่อนเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องเล่นงานนางทุกทาง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ความด่างพร้อยที่เล็กน้อยแค่ไหน พวกเค้าก็ไม่มีวันปล่อยไปแน่ สิ่งสำคัญที่สุดในบ้านเมืองนี้ คือฐานะใช่มั้ยเพคะ ฐานะอันนั้น ให้พระมเหสีอย่างหม่อมฉันแต่งตั้งเองเถอะเพราะถึงยังไง ประมุขของฝ่ายใน ก็คือตัวหม่อมฉัน หัวหน้ากองพระคลัง ขาดใจตายระหว่างที่ถูกทรมานแล้วเพคะ ส่วนพี่ชายหม่อมฉัน แค่ขอให้หมอหลวงช่วยจ่ายยาเพราะห่วงสุขภาพรัชทายาท ฝ่าบาทกลับฟังความจากทงอีข้างเดียว แล้วตัดสินให้พี่ชายหม่อมฉันมีความผิดหรือเพคะ ไม่ได้หรอก ตอนนี้มันยากเย็นขนาดไหน หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาททรงมองสถานการณ์ออกแน่นอน”
“ระหว่างพวกเรา ทำไมถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้นะ ต่อรองงั้นเหรอ ตอนนี้เจ้ากลับคุยกับข้าแบบนี้เหรอ?”
“เพราะมันเหลือเพียงแค่นี้เท่านั้น ฝ่าบาทกับหม่อมฉัน เหลือแค่ความเป็นราชากับมเหสี ระหว่างเรา ความอ่อนโยนอ่อนหวาน มันหมดไปแล้วไม่ใช่หรือเพคะ?”
พระเจ้าซุกจงนำเรื่องมาปรึกษาใต้เท้าซอ ใต้เท้าซอบอกว่าให้ปลดฮีเจออกจากตำแหน่งแม่ทัพ แต่ยังไม่ต้องยกโทษให้ทั้งหมด เพราะตอนนี้ทงอีมีภัยรอบตัว หากไม่โอนอ่อนบ้างทงอีจะลำบาก ใต้เท้าซอยังเผยว่าตนเองกำลังสืบความจริงเรื่องอื่นอยู่ด้วย ส่วนรายละเอียดจะกราบทูลหลังจากที่ได้เบาะแสมากกว่านี้
ฮีเจถูกปล่อยตัว สร้างความดีใจให้กับพระมเหสีฮีบินและนายหญิงยูนมาก
“พี่ชายคะ นี่ท่านเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนมารึเปล่า?”
“พี่ชายคะ นี่ท่านเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนมารึเปล่า?”
“เจ็บตัวแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พระมเหสีไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าได้ยินเรื่องนังเด็กคนนั้นมาแล้ว ทำไมถึงยอมปล่อยให้นางมามีอำนาจได้ ถึงข้าตายก็ไม่เป็นไร แต่จะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็ต้องขัดขวางนังเด็กคนนั้นไว้ เรื่องนี้จะไม่จบลงแค่นี้แน่ ถ้านางถูกแต่งตั้งเป็นพระสนม หรือว่าให้กำเนิดทายาทของฝ่าบาทขึ้นมา แบบนี้เรื่องราว..”
“ไม่มีทาง ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิต เรื่องแบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด ท่านเข้าใจรึยัง ดังนั้นข้าถึงยอมให้นางเข้าวังมา ก็เพื่อรักษาตำแหน่งของข้าเอาไว้ แบบนี้ถึงจะใกล้หูใกล้ตาคอยไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ไม่ว่ายังไง ข้าจะไม่ยอมเสียอะไรให้นังเด็กคนนั้นอีกแล้ว”
“พระมเหสี นี่ท่านไม่เป็นไรแน่นะ ท่านกับพระราชา..” ฮีเจแปลกใจกับคำพูดของน้องสาว ที่ดูเหมือนความสัมพันธ์จะไม่ปกติเหมือนเดิม
“ไม่หรอก ข้าต้องไม่เป็นไร หัวใจข้ามันเหมือนแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น เพราะหัวใจของข้า มันแตกเป็นเสี่ยงจนไม่รู้สึกเจ็บแล้ว ข้าควรเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ข้าไม่ควรจะไปทุ่มเทหัวใจให้กับพระราชาเลย”
หลังจากพูดคุยกับทงอี ชอนซูก็มาเข้าเฝ้าพระราชาอีกครั้ง
“ที่กระหม่อมมาเฝ้าวันนี้ ในฐานะของพี่ชายพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพราะนั่นคือบทบาทกระหม่อมในสายตานาง ดังนั้นตอนนี้กระหม่อมขอถามฝ่าบาทในฐานะพี่ชายของทงอี”
“ที่กระหม่อมมาเฝ้าวันนี้ ในฐานะของพี่ชายพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพราะนั่นคือบทบาทกระหม่อมในสายตานาง ดังนั้นตอนนี้กระหม่อมขอถามฝ่าบาทในฐานะพี่ชายของทงอี”
“งั้นก็ถามเถอะ”
“ถ้าหากว่าการที่ ทงอีต้องอยู่เคียงข้างฝ่าบาทแล้วต้องหวาดกลัว แล้วฝ่าบาทจะทำยังไง พ่ะย่ะค่ะ”
“รู้สึกหวาดกลัวรึ หมายความว่ายังไง” พระเจ้าซุกจงตรัสถามอย่างแปกใจ
“ในบางทีทงอี อาจไม่ได้กลัวเพราะความผิดตัวเอง แต่อาจจะกลัวเพราะความผิดของคนอื่น แล้วคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมที่จะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทก็ได้” ชอนซูกราบทูล
ทงอีลำบากใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงหนีออกจากวังไปที่หน้าผา เพราะเป็นวันครบรอบวันตายของพี่ชาย และยอวอน ระหว่างที่พระเจ้าซุกจงตรัสกับชอนซูข้าหลวงก็มากราบทูลเรื่องที่ทงอีหายไป ชอนซูเห็นใจในความรักที่พระราชามีต่อทงอีจึงบอกว่าทงอีอยู่ที่หน้าผา พระเจ้าซุกจงจึงรีบตามไปและพบว่าทงอีนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
“ยังจำได้รึเปล่า เมื่อนานมาแล้ว ตอนข้าไปเดินตลาดกับเจ้า ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้าก็เลยซื้อมา”
“ฮือ ๆ ๆ ฝ่าบาท” ทงอีร้องไห้หนัก
“ทำไมลืมเร็วนักล่ะ? ข้าเคย..บอกแล้วว่าอย่าทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมานกับการไม่มีเจ้าอีกไงล่ะ เพราะอะไรหา อะไรที่ทำให้เจ้าเสียใจขนาดนี้ทงอี จะให้ข้าช่วยแบ่งเบาความรู้สึกนั้นบ้างได้มั้ย ไม่เป็นไร เจ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ขอแค่.. ให้เจ้าคอยอยู่เคียงข้างข้าก็พอ” พระเจ้าซุกจงอ้อน วอน “หม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำได้จริง ๆ เหรอเพคะ หม่อมฉันก็อยากทำแบบนั้น ถ้าหากทำได้ทำไมหม่อมฉันจะไม่อยากรับพระทัยของฝ่าบาท และถวายหัวใจดวงนี้ให้ แต่คนอย่างหม่อมฉัน จะสามารถ..ทำได้จริงเหรอเพคะ ฮือ ๆ ๆ ฝ่าบาท”
* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ
ตอบลบ