วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 50




พระมเหสีสิ้นพระชนม์ต่อหน้าพระเจ้าซุกจง เหล่าขุนนางจึงกราบทูลขอให้ตั้งอ๊กจองขึ้นเป็นพระมเหสี ขณะที่รัชทายาทกับกึมสนิทสนมกันขึ้นทุกวัน รัชทายาทต้องการรู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคอะไร จึงแอบไปขโมยตัวยาแล้วมาเปิดตำราดู ด้านทงอีต้องการทำเพื่ออนาคตขององค์ชาย จึงได้ตัดสินใจไปพบกับอ๊กจอง

เนื้อเรื่อง:






ทงอีร้องไห้เสียใจเมื่อพระมเหสีสิ้นพระชนม์ ด้านองค์ชายกึม ร้อยพวงมาลัยเสร็จก็รีบเสด็จมาเพื่อจะถวายแต่เห็นทุกคนร้องไห้ก็สงสัย
 
“เสด็จแม่ พระมเหสีสิ้นพระชนม์แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ พวงมาลัย ลูกอุตส่าห์ทำพวงมาลัยเสร็จ ถ้าพระมเหสีได้ใส่โรคร้ายก็จะหาย”  
 
“กึม กึม” ทงอี เรียกโอรส
 
“พระมเหสี ฮือ ๆ ๆ”

ฮีเจเมื่อรู้ข่าวพระมเหสีสิ้นพระชนม์ ก็รีบไปบอกยูนผู้เป็นมารดา


 “อะไรนะ  เป็น เป็นความจริงเหรอเนี่ย?” ยูน ถาม
 
“ใช่ ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ เราทำสำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว”
 
“ฮีเจ”  
 
“ทำสำเร็จแล้ว”

ทงอี บอกกับองค์ชายกึมว่าอย่าได้ลืมพระมเหสีเด็ดขาดเพราะพระองค์เคยเมตตาองค์ชายกึมมาก
 
“หม่อมฉันจะทำตามสัญญาเพคะ หม่อมฉันจะมีชีวิตต่อไป ตามสัญญาที่ให้ไว้กับพระมเหสี จะต้องมีชีวิตอยู่ในวังนี้ต่อไป และคุ้มครองคอยคุ้มครององค์ชายไว้ให้ดีที่สุด” ทงอี คิด

ฮีเจรีบเดินทางมาเข้าเฝ้าพระสนมฮีบิน ทันที ทูลว่าตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันหมดแล้ว


“มาแล้วหรือท่านเสนาฝ่ายขวา” มูยอล กล่าวเมื่อทั้งสองเข้ามา
 
“ผู้นำกลุ่มโซนน เสนาบดีฝ่ายขวาก็มาด้วยงั้นเหรอ?”
 
“พ่ะย่ะค่ะพระสนม ถึงสุดท้ายกลุ่มตะวันตก กับกลุ่มโซนนก็จะมีแนวทางเดียวกัน  พระองค์เป็นมารดาองค์รัชทายาท การจะได้ขึ้นเป็นพระมเหสีถือเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว” ฮีเจ ทูล
 
“ถ้ากลุ่มโซนนมีแนวทางเดียวกัน กลุ่มเก่า ๆ พวกของพระมเหสีที่มีอำนาจอ่อนแอนั่น  คงไม่กล้าแม้แต่จะออกเสียง”
 
“พ่ะย่ะค่ะ พระสนมตรัสถูกที่สุด”

อีเจ สั่งลูกน้อง ให้นำตัวหมอผีไปไว้ในที่ปลอดภัยที่สุด อย่าให้ใครมาเจอนางเด็ดขาด ด้าน ชอนซูหลังจากไปสืบมาก็กลับมารายงานทงอีว่าลูกน้องของจางฮีเจได้ไปพบกับหมอผีคนนั้นที่บ้าน และเหมือนตั้งแต่พระมเหสีสิ้นพระชนม์ หมอผีนั่นก็ย้ายจากบ้านพักไปซ่อนที่เขาชองอัมแทน

  

“ถึงกับกล้าทำไสยศาสตร์แช่งพระมเหสี ก็ต้องหลบซ่อนเป็นธรรมดา”
 
“ส่วนมีดสั้นนี้ ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นของใต้เท้าจางฮีเจเพคะ” จองซังกุง ทูล
 
“ช่างทำมีดยินดีเป็นพยาน ว่าเป็นคนทำมีดเล่มนี้ให้ใต้เท้าจาง” จองอิม ทูล

ชอนซู บอกกับใต้เท้าซอว่า หากจับหมอผีคนนั้นได้ก็จะเป็นหลักฐานมัดตัวว่าพวกเค้าทำไสยศาสตร์เพื่อสาปแช่งพระมเหสี แต่ใต้เท้าซอเตือนว่าอย่าวู่วามต้องรอจนหลักฐานมัดตัวแน่นค่อยลงมือ


“แต่ว่าเรื่องที่หมอหลวงหญิงหายไป ยังน่าสงสัยอยู่ เราต้องตามหาหมอหญิงนั่นให้เจอ อาการประชวรของรัชทายาทจึงจะถูกพิสูจน์  ถึงความผิดตำหนักชีซอนถูกเปิดโปง  แต่ถ้าองค์รัชทายาทยังได้ขึ้นครองราชย์ต่อไป พระสนมซุกอึยกับองค์ชายก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี  ดูท่าพวกเค้าก็ ไม่ได้ตัวหมอหลวงหญิงไป นางหายตัวไปไหนกันแน่นะ” วูนเทคกล่าว

เมื่อเวลาผ่านไปสองเดือน พระสนมฮีบิน ไม่เห็นความเคลื่อนไหวของตัวหมอหลวงหญิง ก็มั่นใจว่าทงอีก็ไม่ได้ตัวหมอหญิงไป แต่ก็สงสัยว่าหมอหญิงหายตัวไปไหน

มิน สอบถามมูยอล ถึงจุดยืนว่าจะตัดสินใจยืนข้างองค์รัชทายาท กับพระสนมฮีบิน
 
“เรื่องนี้น่ะ ถ้าพระสนมฮีบินได้เป็นพระมเหสี  ไม่สิ  ควรจะได้เป็น ถ้าเป็นแบบนี้ รัชทายาทจะมีปัญหาแค่ไหน ในอนาคตก็ยังจะได้ขึ้นครองราชย์”
 
“งั้นเรา จัดการปิดปากหมอหลวงหญิงดีมั้ย?”
 
“ใจเย็นไว้  เรื่องนี้ รอให้พระสนมฮีบินได้ขึ้นเป็นพระมเหสีก่อนก็ยังไม่สาย ก่อนจะถึงตอนนั้น เราต้องเหลือทางถอยไว้ให้ตัวเองก่อน” มูยอล กล่าว

องค์ชายกึมเสด็จมาที่ตำหนักองค์รัชทายาท


 “โบราณว่า พึงแจ้งในจิตตน จึงเรียนกว่ารู้แจ้ง”
 
“งั้นเหรอ ประโยคนี้ก็อธิบายแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?”
 
“พ่ะย่ะค่ะ อาจารย์หม่อมฉันบอกว่า  โบราณว่า พึงแจ้งในจิตตน จึงเรียนกว่ารู้แจ้ง คำว่ารู้แจ้งตรงนี้ อธิบายได้ว่าเข้าใจจิตใจของตน หรืออธิบายว่ารู้แจ้งด้วยความพยายามของตน อยู่ที่จะเลือกอธิบายพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายกึม ตรัส
 
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ฟังเจ้าพูดแล้ว ก็ดูจะมีเหตุผลดีนะ ได้อ่านคัมภีร์กับเจ้านี่ดีจังนะ ทำให้รู้สึกสนุกขึ้นเยอะเลย”
 
“ใช่หม่อมฉันก็รู้สึกอย่างนั้น อ่านหนังสือกับพี่ชายอย่างนี้”
 
“พี่ชาย?”
 
“ขอประทานอภัย หม่อมฉันเผลอพลั้งปากไป คือ คือว่า พวกเด็กเด็กที่นอกวัง ก็เรียกกันแต่พี่ชายอย่างนั้นพี่ชายอย่างนี้ พอไม่ทันระวังก็เลยพลั้งปากเสียมารยาทไป”
 
“ไม่หรอก  ไม่เป็นไร เรียกข้าว่าพี่ชาย เจ้าเรียกแบบนี้ ฟังแล้วรื่นหูกว่าอีก”
 
“เอ๋?”

“จากนี้ไป ตอนที่อยู่กันสองคน ไม่ต้องเรียกว่ารัชทายาท เรียกข้าว่าพี่ชายอย่างนี้ก็ได้” องค์ชายลียูน ตรัส
 
“ตรัสจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเรียกว่าพี่ชายได้จริงจริงเหรอ?”
 
“ก็จริงน่ะสิ”
 
“ว้าว”
 
“เอาละ คราวนี้ถึงตาข้าแล้ว เดี๋ยวพี่ชายจะช่วยสอนเจ้าเขียนพู่กันเอง”
 
“ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะพี่ชาย ให้หม่อมฉันทำดีกว่า งานฝนหมึกแบบนี้ ให้เป็นหน้าที่น้องชายเอง”


 “ฮะ ๆ ๆ”
 
“พี่ชาย หัวเราะอะไรเหรอ?”
 
“เจ้าเด็กน้อย ท่องคัมภีร์ยาก ๆ ได้ก็คิดว่าโตแล้วเหรอ เจ้าก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นแหละ มาข้าช่วยเช็ดให้”
 
“หน้าหม่อมฉันเลอะอะไรงั้นเหรอ?”
 
“เมื่อกี้เจ้าเอามือไปจับหน้า เลอะน้ำหมึกหมดแล้ว เจ้าก็ดูนี่สิ”
 
“ทำอะไรอยู่รัชทายาท” พระสนมฮีบิน ตรัส
 
“เสด็จแม่”
 
“พระสนมฮีบิน”

พระสนมฮีบิน รับสั่งให้องค์รัชทายาทอย่าไปยุ่งกับองค์ชายยอนอิง เพราะเป็นศัตรู และอย่าให้เข้ามาในตำหนักอีก


 “หม่อมฉันคงทำไม่ได้”
 
“รัชทายาท”
 
“องค์ชายยอนอิง เค้าเป็นเด็กที่มีจิตใจดี หม่อมฉันชอบน้องชายคนนี้มาก ทำไมเสด็จแม่ต้องให้หม่อมฉันเห็นน้องเป็นศัตรู”
 
“ทำไมถึงพูดอะไรไร้เดียงสาอย่างนี้ออกมา องค์ชายยอนอิงเป็นโอรสพระสนมซุกอึย นางพยายามจะให้องค์ชายยอนอิงมาแทนที่รัชทายาท ถ้าองค์ชายยอนอิงเข้ามาตำหนักนี้แล้วเห็นอาการป่วยของเจ้าเข้า..”
 
“อาการป่วยของหม่อมฉันหรือ มันคือโรคอะไรกันแน่เสด็จแม่? เสด็จแม่”

ทงอีรีบถามองค์ชายกึมว่า เรียกองค์รัชทายาทว่าพี่ชายหรือ


“องค์รัชทายาทให้ลูกเรียกท่านว่าพี่ชายงั้นรึ”
 
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ท่านบอกว่าชอบให้เรียกแบบนี้แล้วต่อไปให้เรียกแบบนี้ก็ได้”
 
“งั้นเหรอ วันนี้กึมของแม่คงมีความสุขมาก องค์รัชทายาทเป็นพี่ชายที่พระทัยดีออกอย่างนี้”
 
“ใช่เสด็จแม่ เมื่อก่อนตอนอยู่นอกวัง ลูกอิจฉาเพื่อน ๆ ที่มีพี่ชายบ่อย ตอนนี้ลูกมีองค์รัชทายาทเป็นพี่ชายแล้ว มีความสุขที่สุดเลย”

พงซังกุงมาขอเข้าเฝ้าทงอี ทูลว่าที่ท้องพระโรงมีขุนนางฝ่ายใต้กับกลุ่มโซนนมา พวกเค้ามาทูลขอให้พระราชาทรงแต่งตั้งพระสนมฮีบินเป็นพระมเหสี

พระเจ้าซุกจงไม่พอพระทัยที่ขุนนางทูลเสนอให้แต่งตั้งพระสนมฮีบินเป็นพระมเหสี


“หมายความว่ายังไง แต่งตั้งพระมเหสี? อดีตพระมเหสีเพิ่งทำพิธีฝังไม่กี่เดือน จะให้แต่งตั้งพระมเหสีแล้วรึ
 
“ฝ่าบาท ตำแหน่งพระมารดาของแผ่นดินไม่อาจว่างเว้นได้เลย เรื่องสำคัญอย่างนี้จะปล่อยให้ยืดเยื้อได้ไงพ่ะย่ะค่ะ” ซางฮอน ทูล
 
“เสนาขวา”
 
“ในเวลานี้มีพระสนมฮีบินที่เป็นพระมารดาของรัชทายาท ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงความมั่นคงของราชวงศ์และตำแหน่งขององค์รัชทายาทแล้ว ตำแหน่งพระมเหสี ควรจะแต่งตั้งพระสนมฮีบินเป็นพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น ขอให้ทรงพิจารณาด้วยเถิด พวกกระหม่อมกราบทูลด้วยความภักดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
 
“ขอให้ทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ชอนซู เมื่อรู้เรื่องที่เหล่าขุนนางเข้าเฝ้า ก็รีบมาหาทงอี


“พวกเราไม่มีเวลารอต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังไงก็ต้องจับตัวหมอผีคนนั้น แค่เอามีดสั้นของจางฮีเจมาเป็นหลักฐาน แล้วกราบทูลเรื่องนี้กับพระราชาโดยเร็ว พระสนม”
 
“ต้องกราบทูล ทุกเรื่องเลยงั้นหรือ?”
 
“ถึงจะยังหาตัวหมอหลวงหญิงนั่นไม่เจอ แต่พระราชาต้องทรงเชื่อคำพูดของพระองค์แน่ ดังนั้น..”
 
“พี่ชาย ท่านรู้มั้ยว่าตอนนี้องค์ชายยอนอิงอยู่ที่ไหน ตำหนักตะวันออก เค้ากำลังอยู่กับองค์รัชทายาทที่เค้าเรียกว่าพี่ชาย องค์รัชทายาทบอกว่าในวันนี้ จะสอนให้กึมมาเล่นโยนไหด้วยกัน”
 
“พระสนม”  
 
“ข้าเองก็รู้ดีค่ะพี่ชอนซู ถ้าพระสนมฮีบินได้เป็นพระมเหสีจริง ชีวิตขององค์ชายยอนอิงก็จะมีอันตรายมากขึ้น และเมื่อไหร่ที่องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ ก็จะยิ่งอันตรายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นแม้ตอนนี้ ข้าก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เลย ยังไงข้าก็อยากปกป้ององค์ชายยอนอิง แต่ถ้าหาก ข้าปกป้ององค์ชายยอนอิง องค์รัชทายาทก็จะต้องตกอยู่ในอันตราย”
 
“พระสนม แต่ว่านี่เป็น...”
 
“ใช่ ข้าเองก็รู้ดีค่ะพี่ ว่านี่คือวังหลวง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการเมือง แต่รัชทายาทกับองค์ชายยอนอิง ไม่ได้รู้เรื่องการเมือง พวกเค้าแค่มีความสุขกับมิตรภาพ เหมือนกับ..พี่น้องทั่วไปเท่านั้น”
 
“พระสนม”
 
“ตั้งแต่พระมเหสีสิ้นพระชนม์ ข้าก็รู้สึกหนักใจเรื่องนี้มาตลอด ถ้าจะทำเพื่อปกป้ององค์ชาย แต่ทำร้ายรัชทายาทที่องค์ชายทั้งนับถือเชื่อใจไปแบบ   นี้คงไม่ดี ถ้าข้าทำแบบนั้น จะดีกับองค์ชายยอนอิงจริง ๆ เหรอ?”
 
“ถ้าอย่างนั้น ท่านคิดจะทำยังไงต่อ? พระสนม”
 
“ข้าต้องปกป้ององค์ชายยอนอิงไว้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิต และหัวใจที่มีค่า ข้าจะปกป้องเอาไว้”

ข้าหลวงทูลพระเจ้าซุกจงว่า คำกราบทูลของกลุ่มขุนนางก็มีน้ำหนักไม่น้อย  


“พอเถอะไม่ต้องพูดอีกแล้วแค่ฟังคนในท้องพระโรงก็มากพออยู่แล้ว” พระเจ้าซุกจงตรัสแล้วนึกถึงคำสั่งเสียของพระมเหสีที่บอกว่า หากให้พระสนมฮีบินเป็นพระมเหสี ซุกอึยกับองค์ชายยอนอิงก็จะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าเป็นซุกอึยนางน่าจะโอบอุ้มรัชทายาทที่น่าสงสารได้
 
“ฝ่าบาท แต่เรื่องนี้คงจะ..”
 
“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องยากมาก ซุกอึยเกิดมาเป็นชนชั้นต่ำ อีกทั้งฮีบินก็เป็นมารดาของรัชทายาทด้วย และที่สำคัญที่สุด ซุกอึย ตัวทงอีนั่นแหละ นางจะต้องไม่ยอมรับแน่นอน เรื่องนี้ข้ารู้ดี ข้าถึงได้มานั่งกลุ้มใจอยู่นี่ไง ไม่รู้ว่าจะไปจัดการยังไงดี”
 
“ฝ่าบาท”
 
“ถ้าฮีบิน ถ้าพระสนมฮีบินเป็นคนที่ไว้ใจได้ก็คงจะดีสินะ” พระเจ้าซุกจง ตรัส

ทงอี ออกจากตำหนักของตนไปที่ตำหนักของพระสนมฮีบิน โดยที่ไม่พาใครติดตามไปด้วย


“ว่ามา เจ้ามาที่นี่กลางดึกตัวคนเดียว โดยไม่พานางในมาด้วยมีจุดประสงค์อะไรหา?”
 
“เพราะหม่อมฉันไม่อาจให้ใครรู้ เรื่องที่หม่อมฉันจะมาคุยกับพระสนมในวันนี้”
 
“หา?”
 
“เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างพระสนมกับหม่อมฉันเท่านั้นเพคะ” ทงอี กล่าวทูล
 
“นี่คืออะไรหา?”
 
“เปิดดูสิเพคะ” ทงอี กล่าว
 
“นี่มัน หมายความว่ายังไง?”
 
“ใต้เท้าจางฮีเจพี่ชายพระสนม และท่านแม่พระสนม พวกเค้าจ้างหมอผีเข้ามาแอบทำคุณไสยสาปแช่ง..พระมเหสีเพคะ” ทงอี กล่าว


“หา?”
 
“ของตรงหน้านี้ คือหลักฐานที่พวกเค้า จ้างหมอผีเข้ามาทำคุณไสยเพคะ และในตอนนี้หมอผีนั่นอยู่กับหม่อมฉันแล้วเพคะ”
 
“หุบปาก เจ้าว่าข้าทำคุณไสยรึ เจ้าทำร้ายรัชทายาทไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนมาใส่ร้ายข้าแทนงั้นรึ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะใส่ร้ายข้าได้เหรอ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้ากับพระมเหสีวางแผนจะล้มรัชทายาทรึ เจ้าไม่ได้ตัวหมอหลวงหญิงที่รู้ความลับรัชทายาท ก็เลยมาใส่ร้ายข้า เพื่อจะสั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาท”
 
“หลักฐานนี้ หม่อมฉันจะขอยกให้พระสนม”
 
“อะไรนะ”

“หม่อมฉันบอกว่า จะมอบหลักฐานทุกอย่างนี้ให้กับท่าน”

“เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าจะยกมันให้ข้ารึ?”
 
“ใช่เพคะพระสนม นี่เป็นความผิดร้ายแรงที่สุดอย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่หม่อมฉันรู้ว่าไม่ใช่การกระทำของพระสนม และหม่อมฉันก็รู้ว่าไสยศาสตร์พวกนี้ไม่มีทางจะเอาชีวิตใครได้”
 
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่ เจ้ามีแผนอะไรในใจถึงได้กล้า..”
 
“อีกอย่างก็คือ เรื่องอาการประชวรของรัชทายาท หม่อมฉันจะไม่กราบทูลต่อพระราชาเด็ดขาดเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันเชื่อว่า องค์รัชทายาทจะได้ขึ้นครองราชย์อย่างแน่นอน”
 
“แล้วเจ้า เจ้ามาพูดเรื่องนี้กับข้าทำไมหา เจ้ามีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้”
 
“หม่อมฉันแค่ต้องการโอกาสเท่านั้น”
 
“อะไรนะ?”
 
“พระสนมกับหม่อมฉัน รวมถึงรัชทายาทองค์ชายยอนอิง เพื่อพวกเราทุกคน นี่อาจเป็นโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้ว สิ่งที่หม่อมฉันอยากให้ลูก มันไม่ใช่อำนาจ แต่ว่าเป็นชีวิตที่แท้จริงเพคะ สิ่งที่มีค่ากว่าอำนาจก็คือชีวิตของคน นั่นเป็นสิ่งมีค่าที่สุด ดังนั้น เรื่องที่พระสนมทรงหวาดกลัวจะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เชื่อหม่อมฉันได้มั้ยเพคะ ให้องค์รัชทายาทกับองค์ชายยอนอิงได้ใช้ชีวิตอย่างพี่น้องกันต่อไป รับปากหม่อมฉันได้มั้ยเพคะ ตอนที่กลับวังมาพบพระสนมอีกครั้ง หม่อมฉันบอกว่าไม่เคยลืมเรื่องที่ผ่านแม้แต่เรื่องเดียว สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยลืมไปจากความทรงจำ คือครั้งแรกที่หม่อมฉันได้พบกับพระสนม หม่อมฉันยังจำได้ดี หม่อมฉันอยากจะเชื่อใจท่านได้อย่างตอนนั้น เชื่อว่าระหว่างพวกเรานั้น ยังคงจะ..เหลือโอกาสสุดท้ายนั้นอยู่บ้าง เพื่อเราทุกคนเพคะพระสนม”

ทงอีออกจากตำหนักของพระสนมฮีบินกลับมาถึงตำหนักของตนก็พบว่าพงซังกุง เอจองยืนรออยู่ เมื่อเข้าไปก็พบกับพระเจ้าซุกจง


“เมื่อกี้เจ้าไปที่ไหนมารึ?”
 
“หม่อมฉันรู้สึกเบื่อ ๆ เลยออกไปเดินเล่นมาเพคะ”
 
“งั้นเหรอ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เดินมาหาข้าล่ะ กลับไปเดินตากลมคนเดียวซะนี่ ตั้งแต่รับเจ้ากลับวัง ตอนแรกข้าคิดว่าจะได้เจอหน้าเจ้าทุกวัน แต่สุดท้ายเจ้าก็เอาแต่อยู่กับองค์ชายยอนอิงทั้งวัน”
 
“หรือว่าพระองค์ทรงอิจฉาองค์ชายยอนอิงหรือเพคะ”
 
“ใช่แล้ว ข้าอิจฉาเจ้าตัวเล็กนั่น ไม่คิดจะแบ่งเวลาของแม่ให้กับพ่อบ้างเลย แต่ว่า..มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงรึเปล่า เรื่องที่มีการขอให้แต่งตั้งฮีบินเป็นพระมเหสี” พระเจ้าซุกจง ตรัส
 
“ฝ่าบาทคือเรื่องนี้” ทงอีทูลถาม
 
“เจ้า...เชื่อใจข้าได้มั้ยทงอี ไม่ว่าข้าจะตัดสินใจยังไง ถ้าการตัดสินใจ จะทำให้เจ้าต้องแบกภาระหนักอึ้ง แต่ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องแบกรับภาระนั้นตามลำพัง”
 
“ฝ่าบาท”

พระเจ้าซุกจง ให้ขันทีไปเรียกราชเลขามาเข้าเฝ้า เพื่อจะให้เขียนราชโองการแต่งตั้งพระสนมซุกอึย ให้เป็นพระสนมเอก โดยให้ประกาศในอีกสามวัน และตอนนี้ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
 
มิน รู้ข่าวจะมีการแต่งตั้งทงอีเป็นพระสนมเอก จึงรีบมาบอกมูยอล


 “ตั้งสนมซุกอึยเป็นซุกบินตอนนี้ แปลว่า”
 
“ใต้เท้า”
 
“ซุกอึย ตอนนี้พระราชา ทรงคิดจะแต่งตั้งสนมซุกอึยเป็นพระมเหสี” มูยอล กล่าว

ฮีเจ มาขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เมื่อนางในบอกว่าองค์รัชทายาทประทับอยู่ที่สวนด้านหลังกับองค์ชายยอนอิง ก็ไม่เข้าไป  
 
“นี่เป็นห่อหนังสือองค์ชายยอนอิงรึ?” ฮีเจถาม
 
“ค่ะ ใต้เท้า”
 
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปข้างนอกก่อน ถ้าราบรื่น ก็จะใส่ร้ายองค์ชายยอนอิงได้ อืม”

องค์ชายลียูน ขอร้องให้องค์ชายกึม ช่วยอะไรบางอย่างจากนั้นก็พากันเสด็จไปหาหมอนัม


 

“ที่นี่เป็นที่ที่ท่านต้มยาให้ข้าใช่มั้ย” องค์ชายลียูน ตรัสถาม
 
“เสด็จมามีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” หมอนัม กล่าวทูล
 
“ข้าเดินผ่านมาแถวนี้ คิดได้ว่าท่านปรุงยาให้ข้าทุกวัน แต่ข้ายังไม่เคยตอบแทนความดีของท่านเลย”
 
“หา?”
 
“ไหน ๆ ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ข้าเลยจะมาสั่งให้หัวหน้าสำนักหมอหลวงช่วยตกรางวัลให้ แล้วตอนนี้หัวหน้าสำนักอยู่ที่ไหน”
 
“เอ่อ ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อหมอออกไป องค์ชายลียูนกับองค์ชาย กึมก็รีบเข้ามาดูว่ายาที่หมอปรุงให้ใส่อะไรบ้าง ก็พบว่ามีตังกุย และเปลือกรากหม่อน
 
“แปลว่าเราต้องหาให้เจอว่าสมุนไพรใช้รักษาโรคอะไรใช่รึเปล่า”
 
“ใช่แล้ว หากันเถอะ” องค์ชายลียูน ตรัส
 
“โอ๊ะ หาเจอแล้ว”
 
“จริงเหรอ อยู่ตรงไหนหา?”
 
“นี่พ่ะย่ะค่ะพี่ชาย ใช้ยาทั้งหมดที่ข้านำกลับมานี่เลย ตรงนี้เขียนว่าโรคนี่ เรียกโรคเสื่อมสมรรถภาพ”
 
“สมรรถภาพ?”
 
“พ่ะย่ะค่ะ พี่ชาย ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะ”
 
“เป็นไปได้ไง ทำไมถึง..”
 
“พี่ชาย พี่ชาย มันเป็นโรคร้ายแรงมากหรือ เป็นโรคที่ไม่ดีมากเลยหรือ” องค์ชายกึม ถาม

พระสนมฮีบินเรียกฮีเจเข้าเฝ้าเพื่อดูของที่ทงอีให้ไว้


 “พระสนม  นี่มัน..”
 
“ซุกอึยรู้เรื่องทุกอย่างตั้งนานแล้ว  ของพวกนี้ นางเป็นคนเอามาให้ข้าเอง  นอกจากนี้ นางยังจะไม่พูดเรื่องอาการของรัชทายาท  และไม่คิดจะแย่งตำแหน่งขององค์รัชทายาท”
 
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ มันเป็นไปไม่ได้  ท่านจะเชื่อคำพูดของนางจริง ๆ เหรอ?”
 
“พี่ชาย”
 
“นี่ต้องเป็นกับดัก ท่านตามไม่ทันแผนชั่วของนาง  นางจะต้องมาหลอกท่านแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ทงอี สั่งให้จองซังกุง  จองอิม และฝ่ายตรวจการหยุดสืบคดีของตำหนักชีซอน ทำให้ทั้งสองประหลาดใจและสงสัยว่าทำไมทงอีถึงสั่งแบบนี้ ด้านฮีเจ คิดว่าทงอี กำลังวางแผนชั่วร้าย จึงรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกรองเจ้ากรมกลาโหม
 
มูยอล สั่งให้ มิน นำตัวหมอหญิงที่จับไว้ เดินทางไปพบ ใต้เท้าซอกี พร้อมกัน แต่ระหว่างนั้นฮีเจ ได้แอบมาเห็นพอดี



 “หา? หมอหลวงหญิงที่พวกข้ากำลังตามหาตัวที่แท้ก็อยู่กับท่านอย่างนั้นหรือ” ใต้เท้าซอ ถาม
 
“ใช่ ถูกแล้วขอรับใต้เท้า นางคือหมอหลวงหญิงที่รู้ความลับเรื่องอาการประชวรของรัชทายาท  ข้ามาวันนี้ก็เพื่อนำตัวนางมาให้ท่านและพระสนมซุกอึย”
 
“ใต้เท้า” ชอนซู กล่าว
 
“ท่านทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไรหา?” ใต้เท้าซอ ถาม
 
“จุดประสงค์หรือ ในฐานะขุนนางผู้ภักดีจะต้องมีจุดประสงค์อะไร ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองเท่านั้น” มูยอล กล่าว

ฮีเจ รีบกลับมารายงานพระสนมฮีบิน
 
“หะ รองเจ้ากรมกลาโหม  เอาหมอหลวงหญิงไปส่งให้แม่ทัพองครักษ์รึ?”
 
“ใช่พ่ะย่ะค่ะพระสนม ไอ้เจ้าจางมูยอลมันกล้าทรยศพระสนมกับเราทุกคน มันเอาตัวหมอหลวงหญิงไป  ไปต่อรองผลประโยชน์กับคนของทงอี นางบอกว่าจะปิดบังเรื่องรัชทายาทรึ  นางบอกว่าอยากจะเชื่อใจท่านรึ  แถมยังขอโอกาสสุดท้ายอย่างนั้นรึ ใช่  นี่แหละคือโอกาสนั้น  นางรอโอกาสนี้มาตลอด โอกาสที่จะกัดท่านจนตาย  ข้าเคยบอกไว้แล้วไง บอกแล้วว่าทั้งหมดนี้มันเป็นแค่แผน  นางแค่จะหลอกปั่นหัวพระสนม  ต้องการให้ท่านตายใจ แล้วก็แว้งกัดท่านกับองค์รัชทายาท” ฮีเจ กล่าว

ฮีเจ สั่งลูกน้อง ให้เตรียมพร้อมเพราะมีแผนจะจับตัวองค์ชายยอนอิง ด้านพระสนมฮีบิน หวนคิดถึงคำพูดของทงอี คิดว่าเรื่องที่นางพูดมาจากใจจริง จึงคิดจะเสด็จไปตำหนักโบคยอง แต่ระหว่างนั้น ยองซอน ก็เข้ามารายงานยองซอน “พระสนม พระสนม ทรงทราบข่าวแล้วหรือเพคะ ถึงได้จะรีบเสด็จไปตำหนักใหญ่?”
 
“เจ้าพูดเรื่องอะไรหา มีข่าวอะไรรึ?”


“พระสนม พระราชาได้ตั้งพระสนมซุกอึยเป็นสนมเอกแล้วเพคะ ต่อไปนางก็จะมียศเทียบเท่าพระองค์แล้วเพคะ”

“อะไรนะ?”
 
“จริงเหรอ? พูดจริงรึเปล่า?” โชซังกุง ถาม
 
“ค่ะท่านซังกุง ตอนนี้เลยลือกันใหญ่ว่า พระราชาอาจจะตั้งนางเป็นพระมเหสีด้วย”
 
“พระสนม”
 
“เมื่อไหร่ นี่เป็นราชโองการตั้งแต่เมื่อไหร่?”
 
“สามวันก่อนเพคะ พระราชาทรงมีราชโองการมาตั้งแต่สามวันที่แล้ว” ยองซอน ทูล
 
“สามวันก่อนรึ”




* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558

1 ความคิดเห็น:

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา