“ข้าน้อยจะขอล่วงเกิน ขอดูป้ายพกที่ท่านซังกุงพกติดตัว จะได้หรือไม่เจ้าคะ?” ทงอีบอก
“อะไรนะ” อ๊กจองถามอย่างแปลกใจ
“ข้าน้อยตามหาฮังอาท่านนึงมาตลอด และบางทีฮังอาท่านนั้น ก็อาจจะเป็นท่านก็ได้เจ้าค่ะ แต่เพราะผ่านมานาน เลยจำหน้าตาไม่ได้ แต่ถ้าได้เห็นป้ายพกของท่านข้าน้อยอาจจะจำได้ก็ได้ค่ะ”
“ยังไม่หุบปากอีก กล้าขอดูของพกติดตัวเชียวรึ เจ้านี่คงอยากตายนักสินะ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้” โชดุเสียงดัง สั่งให้คนมาเอาตัวทงอีออกไป แต่อ๊กจองบอกให้หยุดและให้ทุกคนออกไปรอข้างนอก เมื่อทุกคนออกไปแล้ว อ๊กจองก็ถามขึ้น
“เจ้าอยากดูป้ายพกที่ข้าพกติดตัว เจ้ามีเหตุผลอะไรเหรอ? เจ้าถึงได้กล้า..ขอข้าดูของพกติดตัวของข้าแบบนี้ คงมีเหตุผลอยู่สินะ”
“เพราะ เพราะข้าน้อยต้องการจะตามหาฮังอาท่านนึงที่ข้าน้อยเคยพบตั้งแต่ก่อนเข้าวัง มีเรื่องที่ข้าน้อยต้องถามนางให้ได้ ข้าน้อยถึงได้บังอาจ
ขออะไรแบบนั้นออกไป แต่ว่า เรื่องนี้สำคัญกับข้าน้อยยิ่งกว่าชีวิต ได้โปรดอนุญาตด้วยค่ะท่านซังกุง”
“ก็ได้ ข้าจะให้ดู ข้าบอกแล้วว่าจะให้ทุกอย่างที่เจ้าขอ ดังนั้น ข้าเองก็ต้องรักษาสัญญา เจ้าลองเปิดดูสิ เหมือนจะไม่ใช่ของที่เจ้าตามหานะ” อ๊กจองส่งป้ายอันหนึ่งให้
“ค่ะ มันไม่ใช่ค่ะ นี่ไม่ใช่ของที่ข้าน้อยตามหาค่ะ ไม่ทราบว่านี่..เป็นป้ายที่ท่านพกติดตัวมาตลอดหรือคะ”
“ใช่แล้ว ข้าพกมันมาตั้งแต่เด็กเลยล่ะ”
ทงอีรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่ป้ายไม่ใช่อันที่เธอตามหา แต่ที่จริงแล้ว อ๊กจองยังคงพกป้ายอันนั้นอยู่ แต่จะใช้ในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น อ๊กจองยังสั่งให้โชไปสืบพื้นเพทงอีเพราะชอบในความฉลาดคล่องแคล่วและมุ่งมั่นของเธอ
ทงอีกลับมาที่ตำหนักในพร้อมกับเล่าเรื่องที่เธอขอดูป้ายประจำตัวของอ๊กจองให้ยังอัลฟัง ทงอีอยากรู้ว่าอ๊กจองเป็นคนอย่างไร จึงให้ยังดัลช่วยเล่าให้ฟัง
“ซังกุงเป็นคนวิเศษมากเลยละ ข้าได้ยินมาว่า นางไม่ใช่แค่หน้าตางดงาม แถมยังฉลาดกว่าคนอื่น ได้ยินว่าแม้แต่ฝ่าบาทยังปรึกษาเรื่องราชการบ้านเมืองกับนางด้วย”
“จริงเหรอคะ?”
“แน่ล่ะ ต้องเก่งอย่างนี้ถึงจะขึ้นมาจุดนี้ได้ เป็นชนชั้นต่ำ แค่เป็นนางกำนัลยังยาก แต่นางใกล้จะได้เป็นพระสนมแล้ว”
“นี่จางซังกุงเป็น.. ชนชั้นต่ำหรือคะ?”
“เจ้าไม่รู้เหรอ? ถึงครอบครัวนางเป็นชั้นกลาง แต่แม่นางเป็นทาส ลูกสาวเลยต้องนับว่าเป็นชนชั้นต่ำ”
อ๊กจองกลับเข้าวังมา พระเจ้าซุกจงซึ่งกำลังเล่นหมากล้อมอยู่จึงชวนนางเล่นด้วย นางแสดงชั้นเชิงการเล่นหมากล้อมอย่างฉกาจฉกรรจ์ อ๊กจองหลอกล่อจนทำให้พระเจ้าซุกจงเกือบแพ้ นางยังแกล้งถอยก่อนจะโจมตีกลับจนเอาชนะได้
“หมากล้อมมีความพิสดาร มันซ่อนหลักของสรรพสิ่งบนโลกเอาไว้ จะหาตัวคนที่บงการอยู่เบื้องหลังคงยาก ดังนั้น หยุดซะตอนนี้ดีมั้ยเพคะ แค่ฝ่าบาทมาสืบความจริงด้วยตัวพระองค์เอง แค่นี้คนก่อเรื่องก็คงจะตกใจแทบแย่แล้วเพคะ”
“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ไม่สู้ยอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อให้ได้สิ่งที่มากกว่าจากเหล่าขุนนาง”
“ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะถ่วงดุลอำนาจของราชสำนักมาตลอด ที่ผ่านมา.. ทรงถูกต่อต้านจากกลุ่มตะวันตกครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำไม่ได้สักที”
“ตีโต้เหรอ? โฮะ ๆ”
“เป็นยังไงเพคะ สละหมากหนึ่งตัว ฝ่าบาทก็ชนะทั้งกระดานได้เพคะ”
พระเจ้าซุกจงนำเรื่องที่เล่นหมากล้อมกับ อ๊กจอง และนางได้แสดงความสามารถออกมาเล่าให้ขันทีคนสนิทฟัง
“เจ้าคิดว่ายังไงหา? ถ้าสมมุติว่านางเกิดเป็นชาย นางอาจเป็นคนที่คิดชิงบัลลังก์ข้าก็ได้”
“ฝ่า ฝ่าบาท”
“เรียกประชุมขุนนาง ก่อนฟ้าสางพรุ่งนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้าซุกจงมีพระบรมราชโองการเลื่อนชั้นขุนนางฝ่ายใต้ ทำให้พระพันปีไม่พอพระทัยมาก
“หึ ฝ่าบาทคิดจะให้สภามีแต่ขุนนางฝ่ายใต้รึไง แต่ตอนนั้น พวกเจ้าไม่ท้วงอะไรสักคำเลยรึ? เราอุตส่าห์เดินมาจนถึงวันนี้ สุดท้ายทุกอย่างต้องพังหมด แม้แต่ข้ายังถูกจางซังกุงจับจุดอ่อนมาข่มขู่ไว้ด้วย เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเพราะแม่สาวใช้ที่หนีไปได้นั่นคนเดียว เฮ้อ”
โชส่งทงอีไปเป็นเด็กรับใช้ในบ้านของนายหญิงยูนแม่อ๊กจอง เพราะต้องการรู้ว่าทงอีเป็นคนอย่างไร จึงสั่งให้ทงอีไปทำงานชิ้นหนึ่งเพื่อทดสอบว่าทงอีไว้ใจได้หรือไม่
“ว่าไง ยาที่ข้าสั่งไว้เตรียมเรียบร้อยรึยังหา” นายหญิงยูนถาม
“ขอรับ หัวค่ำวันนี้ก็เตรียมได้ครบแล้วขอรับ”
“แล้วมันช่วยให้ตั้งครรภ์ได้จริงรึเปล่า?”
“วางใจได้เลยขอรับ รับรองว่าภายในสามเดือนต้องเห็นผลแน่”
“ก็ดี งั้นข้าจะยอมเชื่อท่านดู ถ้าจางซังกุงตั้งครรภ์กับฝ่าบาทได้จริงละก็ เจ้าจะได้รางวัลอย่างงามอย่างแน่นอน”
นายหญิงยูนสั่งให้ทงอีไปเอายาที่หมอจัดให้ไปให้อ๊กจอง จางซังกุงในวัง โดยห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด
“คะ? ยาเหรอคะ แต่การที่แอบเอายาเข้าวังมันผิดกฎไม่ใช่เหรอคะ?” ทงอีบอก
“ใช่แล้ว ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้าม แต่ข้ารู้สึกว่าหมอหลวงในวังละเลยกับการให้ยาท่านซังกุงมาก เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่รึเปล่า? นี่ยาราคาแพง อย่าให้เกิดความผิดพลาดล่ะ”
“ก็หมาพงซานที่กัดแล้วไม่มีวันปล่อยยังไงล่ะ ฮะ ๆๆ ตอนนี้ คงไม่ต้องหมอบให้เจ้าเหยียบขึ้นไปแล้วล่ะ ตามข้ามาสิ” พระเจ้าซุกจงเดินนำไป “ไปไหนคะ ใต้เท้า ๆ ใต้เท้า ไหนท่านบอกว่าจะพาข้าเข้าวังไง เดินทางนี้เข้าวังได้เหรอ”
“เจ้าตามมาก็แล้วกันน่า”
“นี่ดึกมากแล้วข้าต้องรีบเข้าวังนะ ไปทางนี้มีทหารยามเฝ้าอยู่นะ”
“เชื่อสิไม่มีหรอก ตามข้ามาเถอะน่า”
“ใต้เท้า ข้าไม่ได้โกหกนะ มีจริง ๆ มีทหารยามอยู่เมื่อกี้ข้าเห็น หา ไม่อยู่แล้วหายไปไหนล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่นี่นา”
“ข้าให้พวกเค้ากลับไปหมดแล้ว รออะไร ยังไม่รีบกลับเข้าไปอีก”
“โอ๊ ๆๆ แปลกจังแฮะ” ทงอีแปลกใจที่จู่ ๆ ก็ไม่เห็นทหารยาม แต่ก็รีบเข้าวังไป
“เอาละ เจ้าเดินตรงไปทางนั้น ก็จะเจอกับกองดนตรีแล้วล่ะ” พระเจ้าซุกจงชี้มือไปทางกองดนตรี “แล้วก็ คราวหน้าเจ้าอย่าก่อเรื่องแบบนี้อีกเชียวล่ะ รีบ ๆ กลับมาเร็วหน่อย ตั้งแต่เจอเจ้าครั้งแรก ก็รู้แล้วว่าเจ้านี่มันตัวปัญหาชัด ๆ”
“ฮิ คนในกองดนตรีก็พูดอย่างนี้แหละค่ะ แต่อย่าเห็นข้าเป็นอย่างนี้นะ รู้มั้ยว่าฝ่าบาทเคยประทานรางวัลให้ข้าด้วยแหละ มีทั้งทอง ทั้งป้ายหยก แล้วก็ผ้าแพรต่วน ไม่ใช่ท่านไปทูลความดีความชอบของข้ากับฝ่าบาทเหรอ?”
“จริงอ่ะ เจ้าได้รับรางวัลด้วยเหรอ?” พระเจ้าซุกจงรีบเออออ “อ้อ ก็ใช่ ข้ากราบทูลไปนิดเดียว นึกไม่ถึง ว่าพระองค์จะประทานรางวัลให้เจ้ามากอย่างนั้น”
“เฮ้อ ฝ่าบาททรงอุตส่าห์นึกถึงข้าทาสอย่างพวกข้าด้วย ท่าทางพระองค์คงเป็นคนที่มีเมตตามากเลยนะ”
“พระองค์เป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีน้ำพระทัยกว้างใหญ่มากเลย”
“อ้อ ถ้างั้น นี่ก็ดึกมากแล้วข้าต้องกลับไปก่อนนะคะ ขอบคุณท่านมากค่ะใต้เท้า เดินระวังด้วยนะคะ”
“รีบกลับไปเถอะ ฮะ ๆ ๆ” พระเจ้าซุกจงขำ ๆ กับทงอีที่ยังไม่ทราบความจริงเรื่องพระองค์ พระเจ้าซุกจงกลับมาที่ตำหนัก ขันทีปรี่เข้ามาและถามว่าทำไมต้องไปเหนื่อยกับเด็กอย่างทงอีด้วย
“นั่นก็เพราะว่าวันนี้จะได้ ไม่ต้องหมอบให้นางเหยียบไงล่ะ ฮ่า ๆ ๆ กลับไปกันเถอะ” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างอารมณ์ดี
ทงอีนำยามาให้นางในโช โชจะเอามีดหั่นแต่ทงอีห้ามไว้ โดยบอกว่ากัญชาเทศไม่ถูกกับโลหะ จึงควรใช้มีดเงินหรือมีดไม้ไผ่ตัดจะดีกว่า นางโชถามว่าทงอีเปิดออกดูหรือ ทงอีรีบปฏิเสธบอกว่าแค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าของในห่อคืออะไร
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?” โชถามอย่างทึ่ง ๆ
“ข้าเคยอ่านในหนังสือที่มีบันทึกไว้ค่ะ พวกนักดนตรีในกองดนตรีมักจะป่วยกันบ่อย ๆ ข้าเลยอ่านตำราแพทย์เผื่อใช้ในยามคับขันค่ะ”
หลังจากปรุงยาแล้ว นายหญิงยูนและนางโชก็นำยามาให้พระสนมอ๊กจอง แต่อ๊กจองปฏิเสธที่จะดื่ม
“ได้โปรดอย่าทำอย่างนี้อีกเลยท่านแม่ นี่ท่านไม่รู้หรือว่า เรื่องนี้อาจทำให้มีภัยมาถึงตัวได้ เรื่องการตั้งครรภ์ แค่ยาที่ทางหมอหลวงจัดให้มาก็เพียงพอแล้ว”
“มันจะพอได้ไง ยาดี ๆ ก็ต้องถูกส่งไปที่ตำหนักของพระมเหสีหมด แค่นี้ท่านไม่รู้รึไงหา? จริงอยู่ ตอนนี้ฝ่าบาทยังโปรดปราน ยังเอ็นดูตัวของซังกุงอยู่ แต่ว่า ที่เชื่อไม่ได้ที่สุดในโลกคือใจชาย ฝ่าบาทเองก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นท่านถึงต้องรีบมีพระโอรสโดยเร็ว”
“ฝ่าบาทที่นอนเคียงหมอนพึ่งไม่ได้ พึ่งได้แต่ลูกในท้องงั้นหรือ?”
“ใช่แล้วท่านซังกุง”
“ท่านแม่คะ ไม่ว่าจะฝ่าบาท หรือว่าลูกข้าก็พึ่งไม่ได้ ข้าจะพึ่งแต่ตัวเองเท่านั้นค่ะท่านแม่”
ระหว่างนั้นยอนซองก็กระหืดกระหอบเข้ามาบอกว่าอาหารที่ถูกส่งไปตำหนักพระมเหสีถูกวางยาพิษ และตอนนี้ก็กำลังวุ่นวายสืบหาสาเหตุอยู่
โฮยางติดใจในตัวทงอีจึงขอให้แทพุงย้ายนางจากกองดนตรีให้มาเป็นนางรำ เพื่อจะได้เจอนางและลวนลามนางได้
“ถ้ายุ่งกับสาวใช้ไม่ได้ ก็ทำให้นางเป็นนางรำในกองดนตรีไปเลยสิ” โฮยางบอก
“ว่าไงนะ แล้วจะทำยังไง”
“ข้าไปสืบประวัติของเด็กคนนั้นมาเรียบ ร้อยแล้ว ตอนแรกเลยนางไม่ได้เป็นสาวใช้ในกองดนตรี”
“จริงเหรอ?” แทพุงกล่าวอย่างแปลกใจ
ด้านใต้เท้าซอก็สงสัยในตัวทงอีเช่นกันว่าจะเป็นคนเดียวกับเด็กหญิงที่เขาตามหาหรือไม่ จึงให้ผู้ช่วยไปสืบประวัติและก็พบว่า ชอนทงอีเพิ่งถูกบันทึกประวัติเข้าเป็นสาวใช้ในกองดนตรีเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่ในกองดนตรีแต่กำเนิด เขาจึงรีบไปที่กองดนตรีทันที
ทงอีมากราบไหว้ที่หน้าผา ซึ่งเป็นจุดที่ยอวอน ทงจู และชอนซูเสียชีวิต เนื่องจากเป็นวันครบรอบวันตายของทั้งสาม ขณะที่ชอนซูก็มาเช่นกัน ชอนซูเห็นผ้าโพกผมของเขาที่ให้ทงอีไว้ตกอยู่ ชอนซูดีใจมากที่ทงอียังมีชีวิตอยู่ จึงออกตามหาแต่ก็ไม่เจอ
ทงอีกำลังจะกลับเข้าวังก็พบกับชายกลุ่มหนึ่ง แล้วนางก็ต้องตกใจเมื่อจู่ ๆ ชายกลุ่มนั้นก็เข้าล้อมและจับตัวเธอไว้
“เจ้าตามมาก็แล้วกันน่า”
“นี่ดึกมากแล้วข้าต้องรีบเข้าวังนะ ไปทางนี้มีทหารยามเฝ้าอยู่นะ”
“เชื่อสิไม่มีหรอก ตามข้ามาเถอะน่า”
“ใต้เท้า ข้าไม่ได้โกหกนะ มีจริง ๆ มีทหารยามอยู่เมื่อกี้ข้าเห็น หา ไม่อยู่แล้วหายไปไหนล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่นี่นา”
“ข้าให้พวกเค้ากลับไปหมดแล้ว รออะไร ยังไม่รีบกลับเข้าไปอีก”
“โอ๊ ๆๆ แปลกจังแฮะ” ทงอีแปลกใจที่จู่ ๆ ก็ไม่เห็นทหารยาม แต่ก็รีบเข้าวังไป
“เอาละ เจ้าเดินตรงไปทางนั้น ก็จะเจอกับกองดนตรีแล้วล่ะ” พระเจ้าซุกจงชี้มือไปทางกองดนตรี “แล้วก็ คราวหน้าเจ้าอย่าก่อเรื่องแบบนี้อีกเชียวล่ะ รีบ ๆ กลับมาเร็วหน่อย ตั้งแต่เจอเจ้าครั้งแรก ก็รู้แล้วว่าเจ้านี่มันตัวปัญหาชัด ๆ”
“ฮิ คนในกองดนตรีก็พูดอย่างนี้แหละค่ะ แต่อย่าเห็นข้าเป็นอย่างนี้นะ รู้มั้ยว่าฝ่าบาทเคยประทานรางวัลให้ข้าด้วยแหละ มีทั้งทอง ทั้งป้ายหยก แล้วก็ผ้าแพรต่วน ไม่ใช่ท่านไปทูลความดีความชอบของข้ากับฝ่าบาทเหรอ?”
“จริงอ่ะ เจ้าได้รับรางวัลด้วยเหรอ?” พระเจ้าซุกจงรีบเออออ “อ้อ ก็ใช่ ข้ากราบทูลไปนิดเดียว นึกไม่ถึง ว่าพระองค์จะประทานรางวัลให้เจ้ามากอย่างนั้น”
“เฮ้อ ฝ่าบาททรงอุตส่าห์นึกถึงข้าทาสอย่างพวกข้าด้วย ท่าทางพระองค์คงเป็นคนที่มีเมตตามากเลยนะ”
“พระองค์เป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีน้ำพระทัยกว้างใหญ่มากเลย”
“อ้อ ถ้างั้น นี่ก็ดึกมากแล้วข้าต้องกลับไปก่อนนะคะ ขอบคุณท่านมากค่ะใต้เท้า เดินระวังด้วยนะคะ”
“รีบกลับไปเถอะ ฮะ ๆ ๆ” พระเจ้าซุกจงขำ ๆ กับทงอีที่ยังไม่ทราบความจริงเรื่องพระองค์ พระเจ้าซุกจงกลับมาที่ตำหนัก ขันทีปรี่เข้ามาและถามว่าทำไมต้องไปเหนื่อยกับเด็กอย่างทงอีด้วย
“นั่นก็เพราะว่าวันนี้จะได้ ไม่ต้องหมอบให้นางเหยียบไงล่ะ ฮ่า ๆ ๆ กลับไปกันเถอะ” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างอารมณ์ดี
ทงอีนำยามาให้นางในโช โชจะเอามีดหั่นแต่ทงอีห้ามไว้ โดยบอกว่ากัญชาเทศไม่ถูกกับโลหะ จึงควรใช้มีดเงินหรือมีดไม้ไผ่ตัดจะดีกว่า นางโชถามว่าทงอีเปิดออกดูหรือ ทงอีรีบปฏิเสธบอกว่าแค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าของในห่อคืออะไร
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?” โชถามอย่างทึ่ง ๆ
“ข้าเคยอ่านในหนังสือที่มีบันทึกไว้ค่ะ พวกนักดนตรีในกองดนตรีมักจะป่วยกันบ่อย ๆ ข้าเลยอ่านตำราแพทย์เผื่อใช้ในยามคับขันค่ะ”
หลังจากปรุงยาแล้ว นายหญิงยูนและนางโชก็นำยามาให้พระสนมอ๊กจอง แต่อ๊กจองปฏิเสธที่จะดื่ม
“ได้โปรดอย่าทำอย่างนี้อีกเลยท่านแม่ นี่ท่านไม่รู้หรือว่า เรื่องนี้อาจทำให้มีภัยมาถึงตัวได้ เรื่องการตั้งครรภ์ แค่ยาที่ทางหมอหลวงจัดให้มาก็เพียงพอแล้ว”
“มันจะพอได้ไง ยาดี ๆ ก็ต้องถูกส่งไปที่ตำหนักของพระมเหสีหมด แค่นี้ท่านไม่รู้รึไงหา? จริงอยู่ ตอนนี้ฝ่าบาทยังโปรดปราน ยังเอ็นดูตัวของซังกุงอยู่ แต่ว่า ที่เชื่อไม่ได้ที่สุดในโลกคือใจชาย ฝ่าบาทเองก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นท่านถึงต้องรีบมีพระโอรสโดยเร็ว”
“ฝ่าบาทที่นอนเคียงหมอนพึ่งไม่ได้ พึ่งได้แต่ลูกในท้องงั้นหรือ?”
“ใช่แล้วท่านซังกุง”
“ท่านแม่คะ ไม่ว่าจะฝ่าบาท หรือว่าลูกข้าก็พึ่งไม่ได้ ข้าจะพึ่งแต่ตัวเองเท่านั้นค่ะท่านแม่”
ระหว่างนั้นยอนซองก็กระหืดกระหอบเข้ามาบอกว่าอาหารที่ถูกส่งไปตำหนักพระมเหสีถูกวางยาพิษ และตอนนี้ก็กำลังวุ่นวายสืบหาสาเหตุอยู่
โฮยางติดใจในตัวทงอีจึงขอให้แทพุงย้ายนางจากกองดนตรีให้มาเป็นนางรำ เพื่อจะได้เจอนางและลวนลามนางได้
“ถ้ายุ่งกับสาวใช้ไม่ได้ ก็ทำให้นางเป็นนางรำในกองดนตรีไปเลยสิ” โฮยางบอก
“ว่าไงนะ แล้วจะทำยังไง”
“ข้าไปสืบประวัติของเด็กคนนั้นมาเรียบ ร้อยแล้ว ตอนแรกเลยนางไม่ได้เป็นสาวใช้ในกองดนตรี”
“จริงเหรอ?” แทพุงกล่าวอย่างแปลกใจ
ด้านใต้เท้าซอก็สงสัยในตัวทงอีเช่นกันว่าจะเป็นคนเดียวกับเด็กหญิงที่เขาตามหาหรือไม่ จึงให้ผู้ช่วยไปสืบประวัติและก็พบว่า ชอนทงอีเพิ่งถูกบันทึกประวัติเข้าเป็นสาวใช้ในกองดนตรีเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่ในกองดนตรีแต่กำเนิด เขาจึงรีบไปที่กองดนตรีทันที
ทงอีมากราบไหว้ที่หน้าผา ซึ่งเป็นจุดที่ยอวอน ทงจู และชอนซูเสียชีวิต เนื่องจากเป็นวันครบรอบวันตายของทั้งสาม ขณะที่ชอนซูก็มาเช่นกัน ชอนซูเห็นผ้าโพกผมของเขาที่ให้ทงอีไว้ตกอยู่ ชอนซูดีใจมากที่ทงอียังมีชีวิตอยู่ จึงออกตามหาแต่ก็ไม่เจอ
ทงอีกำลังจะกลับเข้าวังก็พบกับชายกลุ่มหนึ่ง แล้วนางก็ต้องตกใจเมื่อจู่ ๆ ชายกลุ่มนั้นก็เข้าล้อมและจับตัวเธอไว้
* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา