วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ ตอนที่ 44




เจ้าเมืองฮันยางต้องการลงโทษทงอี จึงได้ไปจับตัวคนใกล้ชิดทงอีมา ทำให้ทงอีตัดสินใจไปมอบตัวแล้วสารภาพเรื่องทั้งหมดว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มคอมเก ในขณะเดียวกันพระโอรสของทงอีก็เกิดป่วยขึ้นมา และในที่สุดพระเจ้าซุกจงก็ประกาศ คำตัดสินใจคดีครั้งนี้

เนื้อเรื่อง: 



“บันทึกทุกคำอย่าให้ตกหล่นเชียวล่ะ เรามาเริ่มกันเลยนะพระสนม” มูยอลยิ้มกริ่มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

“ก่อนจะเริ่ม ข้ามีเรื่องต้องพูดก่อน ปล่อยตัวนางในในตำหนักของข้า และนางในฝ่ายตรวจการให้หมดก่อน”

พระเจ้าซุกจงสั่งให้คนสนิทตามทงอีมาพบ แต่ได้รับข่าวเรื่องที่ทงอีไปหามูยอล พระเจ้าซุกจงจึงรีบตามไป



“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้าลืมที่ข้าพูดแล้วรึไง กลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้ เราจะกลับวังกันเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยินรึ ข้าบอกให้กลับไปไง” พระเจ้าซุกจงหันไปตวาดมูยอล “ข้าบอกแล้วนี่ ว่าห้ามเจ้าไต่สวนพระสนมซุกวอน ดังนั้น เจ้าจงหลีกทางไปซะ”

 “ฝ่าบาท ขอประทานอภัย กระหม่อมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพระสนมซุกวอน ทรงยอมรับสารภาพทุกอย่างหมดแล้ว”

“หา?” พระเจ้าซุกจงตกพระทัยมาก

 “ทรงสารภาพว่าพระนางปิดบังฐานะที่แท้จริง ที่เคยเกี่ยวข้องกับคอมเก รวมถึงการพยายามช่วยเหลือหัวหน้ากลุ่มคอมเกคนปัจจุบันให้หลบหนีไปจากเมืองหลวงในคืนนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เจ้าหน้าที่ได้บันทึกปากคำไว้แล้ว มาถึงตอนนี้คงจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอให้พระองค์โปรดเข้าพระทัยด้วย”

 “ทงอี” พระเจ้าซุกจงสับสนพระทัยมาก


ด้านวูนเทคเอาเรื่องที่ทงอีเดินทางไปจวนผู้ว่าการและสารภาพเรื่องที่นางปิดบังฐานะที่แท้จริงต่อพระมเหสีอินฮอน พระมเหสีอินฮอนตกใจและโกรธจัดที่มูยอลหลอกใช้แผนชั่วจับคนของทงอีไป บีบคั้นให้ทงอีต้องสารภาพ พระมเหสีอินฮอนเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยทงอีอย่างไร
  
 “ทำไมเจ้าทำแบบนี้ เจ้าทำแบบนี้กับข้าได้ยังไง สารภาพทุกอย่าง เจ้าไม่รู้เหรอว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน เมื่อไหร่ที่เจ้ายอมรับผิด ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดอีก นอกจากเจ้าจะต้องตาย ไม่งั้นพวกขุนนางไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่” พระเจ้า ซุกจงร้อนพระทัย และสงสารทงอียิ่งนัก


“เรื่องนี้หม่อมฉันทราบเพคะ แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของหม่อมฉัน ชีวิตของนางในที่ถูกจับไปโดยไม่มีความผิด แล้วก็ฝ่าบาท..”

 ทงอีพูดยังไม่จบ พระเจ้าซุกจงก็เปล่งเสียงดัง “ข้าหรือ.. อย่าบอกนะว่าทำเพื่อข้า”

 “ฝ่าบาท”

 “ถ้าเจ้าคิดอย่างนั้นจริง ถ้าเจ้านึกถึงข้าสักนิดจริง เจ้าก็ไม่ควรทำแบบนี้ เจ้าควรจะ…ให้ข้าเลือกทิ้งราชบัลลังก์ หนีจากที่นี่ไปกับเจ้า จะให้ข้าลงโทษเจ้าด้วยมือข้า ข้าไม่มีวันทำลงหรอก เข้าใจรึเปล่า ข้าไม่มีวันทำแบบนั้นแน่” พระราชาร้องไห้ออกมา

 “ฝ่าบาท” ทงอีก็น้ำตาไหลเช่นกัน

 ด้านฝ่ายพระสนมฮีบินสะใจที่สถานการณ์ของทงอีดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยนางได้อีก  แม้แต่พระเจ้าซุกจง


“ไม่ว่ายังไง  ก็ต้องทำทุกอย่างให้ซุกวอนโดนประหาร” พระสนมฮีบินกล่าวอย่างเลือดเย็น

 “พระสนมซุกวอนมีพระโอรส สักวันองค์ชายอาจจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ดังนั้นเรายิ่งต้อง ฉวยโอกาสนี้กำจัดพระสนมซุกวอนซะ” ฮีเจบอก

 “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ พระสนม  ซุกวอนไม่มีทางหนีพ้นแน่” มูยอลกล่าวอย่างมั่นใจ

 เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าขุนนางฝ่ายตะวันตกและฝ่ายใต้ ต่างก็พากันกราบทูลให้พระเจ้าซุกจงลงโทษทงอีขั้นเด็ดขาด โดยการให้ออกคำสั่ง  ประหารทงอี พระมเหสีอินฮอนเห็นท่าไม่ดีจึงเรียกเหล่าขุนนางฝ่ายตะวันตกมาเจรจาเพื่อหาทางออกช่วยทงอี

 พระเจ้าซุกจงให้คำมั่นกับตัวเองว่าหาก ช่วยทงอีไม่ได้ก็จะสละราชสมบัติ จึงไม่ยินยอมทำตามความเห็นของเหล่าขุนนาง แถมยังบอกให้ขุนนางที่ต่อต้านทงอีลาออกไป จึงสร้างความปั่นป่วนให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก



 “สถานการณ์เป็นไงบ้าง?”

 “ไม่ใช่แค่กลุ่มขุนนาง แม้แต่อำมาตย์ทั้งหลายก็ปฏิเสธจะเข้าประชุม เหล่าบัณฑิตเองก็มาร่วมประท้วงด้วยพ่ะย่ะค่ะ” วูนเทคกราบทูล “ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ขุนนางระดับล่างก็ปฏิเสธจะทำงาน ทำให้งานราชการรวมถึงศาลว่าการต่างเป็น อัมพาตไปหมดพ่ะย่ะค่ะ”

 “สั่งให้ขุนนางและคนที่ประท้วงลาออกให้หมด ส่วนพวกบัณฑิตที่ทำการประท้วง ให้เวลาอีกสักหน่อย ถ้ายังไม่ยอมเปลี่ยนใจ ก็ให้ไล่ออกไปให้หมด”

 “ฝ่าบาท”

 “อีกอย่างนึง งานราชการและศาล ให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดูแลไปก่อน เพื่อไม่ให้ชีวิตประชาชนต้องได้รับผลกระทบ เข้าใจรึยัง?”

 “ฝ่าบาท แต่ว่านี่มัน..” วูนเทคสีหน้าเคร่งเครียด

 “สั่นคลอนรากฐานราชสำนักใช่มั้ย ใช่แล้ว ข้าตั้งใจจะทำแบบนั้นแหละ” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างมั่นพระทัย

 ทงอีกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะนางเป็นต้นเหตุให้พระราชาและคนอื่น ๆ เดือดร้อน  ขณะเดียวกัน พระโอรสลูกของทงอีก็เกิดประชวร อาการรุนแรงมาก จึงให้หมอหลวงมาดู


“เป็นโรคหัดพ่ะย่ะค่ะ รีบไปเอายาซึงมาคัลกึนมาเดี๋ยวนี้แล้วแจ้งกับสำนักหมอหลวงว่า ให้พวกเค้ารีบรายงานเข้าไปในวัง” หมอหลวงบอก

 “ลูกแม่ ๆ หมอหลวง ลูกแม่” ทงอีร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นอาการอันหนักหนาของลูก

 หมอหลวงพยายามรักษาอย่างเต็มความสามารถ  แต่อาการของพระโอรสก็ยังไม่ดีขึ้น ด้วยความเป็นห่วงนางจึงออกไปหาหญ้าชิงกึนซึ่งเป็นสมุนไพรซึ่งนางเคยกินตอนเด็ก แต่กว่าทงอีจะหาเจอ พระโอรสก็สิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทงอีร่ำไห้ปานจะขาดใจ


“ลูกแม่ ๆ แม่อยู่นี่แล้ว ลืมตามามองแม่สิลูก ลืมตาขึ้นมาสิ ลืมตามามองแม่สิลูก ลูกแม่ ๆ ลืมตามามองแม่สิ ทำไมไม่ยอมลืมตาล่ะ ลูกแม่ ฮืม ลืมตาขึ้นมามองแม่ ลืมตาขึ้นมาสิ แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ลูกแม่ ใครก็ได้ ตามหมอหลวงมาที ช่วยไปตามหมอหลวงมาที ลูกแม่ ๆ”
    
ทงอีไปนั่งเสียใจที่ศาลบรรพชนตลอดทั้งวัน พระเจ้าซุกจงเสียพระทัยมากเรื่องที่สิ้นพระโอรส และเข้าใจความรู้สึกของทงอีดี จึงเสด็จไปหา ก็เห็นทงอีกำลังร้องไห้ลูบไล้เสื้อของโอรสอยู่
    
“หม่อมฉันกำลังเย็บชุดครบหนึ่งชันษาให้องค์ชาย คิดว่าจะให้ใส่ในวัน..ครบรอบหนึ่งชันษา หม่อมฉันไม่เคยนึกเลยว่า จะต้องเสียลูกไปกะทันหันอย่างนี้”
    
“ทงอี”
    
“ฝ่าบาท ขอให้หม่อมฉัน ขอให้หม่อมฉันพักได้มั้ยเพคะ หม่อมฉันไม่อยากต้องสูญเสีย..สิ่งที่รักไปอีกแล้ว พี่ชอนซูกำลังจะถูกเนรเทศ แคดอ ราก็น่าจะถูกประหารชีวิต หม่อมฉันสูญเสียทุกคนไปหมดแล้ว แถมยังต้อง..ฝ่าบาท ทราบมั้ยเพคะ ว่าฝ่าบาทมีความสำคัญมากแค่ไหน ในหัวใจของหม่อมฉัน ดังนั้นโปรดอย่าให้หม่อมฉันต้องทนเห็นฝ่าบาทต้องมา..ปวดพระทัยเพราะหม่อมฉันอีก พระองค์จะทำเพื่อหม่อมฉันได้มั้ยเพคะ?”
    
“ทงอี”
  
ใต้เท้าซอแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้จึงยื่นหนังสือลาออกต่อพระราชา

     
“หนังสือลาออกพ่ะย่ะค่ะ ความจริงเรื่องพระสนมซุกวอน กระหม่อมรู้ดีทุกอย่างแต่แรก แต่ที่ไม่สามารถสารภาพกับฝ่าบาทได้ ก็เพื่อจะอยู่ปกป้ององค์ชาย แต่ว่าตอนนี้กระหม่อมคงไม่มีความจำเป็นต้องทำอีก”
    
“เจ้าเลยมาลาออกเพื่อขอรับโทษสินะ คงทรมานเหมือนกันสินะ ออกไปก่อนเถอะท่านแม่ทัพ ข้าไม่รับหนังสือของเจ้าหรอก”
    
“ฝ่าบาท”
    
“อย่าให้ข้าต้องทำแบบนั้น กับเจ้าด้วยมือข้าเอง ข้าสูญเสียสิ่งที่มีค่าทุกอย่างไป ต้องสูญเสียองค์ชาย และต้องเสียแม้แต่พระสนมซุกวอนไป เจ้ารู้มั้ย ทงอีนางพูดกับข้าไว้ว่ายังไง แค่สูญเสียองค์ชายก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว นางจึงขอว่าอย่าให้นางต้องเห็นข้ามาเจ็บปวดเพราะนางอีกเลย ที่จริงข้ารู้ดี ว่าข้าเห็นแก่ตัว เพราะข้าไม่อยากจะเสียนางไป เลยรั้งนางไว้ ให้นางต้องแบกรับความกดดันทุกอย่าง”
    
“ฝ่าบาท”
    
“นั่นสิ คงถึงตาข้าแล้ว ข้าจะต้องอดทนบ้าง แต่ข้าก็ไม่มั่นใจเลย ว่าข้าจะทนได้รึเปล่า ถ้าไม่มีนางอยู่เคียงข้าง ข้าจะมีชีวิตต่อไปได้มั้ย?” พระเจ้าซุกจงตรัสอย่างเสียพระทัยยิ่ง


“ในวันนี้ข้าจะประกาศ คำตัดสินโทษ กลุ่มคอมเกที่สร้างความวุ่นวายต่อบ้านเมืองอย่างเป็นทางการ กลุ่มคอมเก มีโทษฐานฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม ลบหลู่ราชสำนักและราชวงศ์ ข้าจึงตัดสินให้ประหารชีวิตหัวหน้ากลุ่มคอมเก ด้วยการตัดศีรษะ และสมาชิกกลุ่มคอมเกทุกคน จะต้องถูกเนรเทศ แต่ว่า..คดีของกลุ่มคอมเกในปีซินยู ถึงแม้พวกเค้าจะมีความผิดจริง แต่ข้อหาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นการถูกใส่ร้าย จึงให้ลบข้อหาทั้งหมด เพื่อชดเชยให้พวกเค้า”

“นอกจากนี้ ผู้คุมองครักษ์ชาชอนซู ต้องโทษปิดบังฐานะ จึงลงโทษให้เนรเทศไปอยู่ยังชายแดน คนสุดท้าย พระสนมซุกวอนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทุกอย่าง มีความผิดฐานปิดบังฐานะ และมีความผิดฐานช่วยให้หัวหน้ากลุ่มคอมเกหลบหนี ดังนั้น ความผิดของพระสนมซุกวอนจึงไม่อาจอภัยได้ แต่ว่าเห็นแก่ที่พระสนมเพิ่งสูญเสียองค์ชาย ข้าจึงให้ยกเว้นโทษตายไว้ จากนี้ ให้นางคงไว้เพียงชื่อ และตำแหน่งฐานันดรเอาไว้เท่านั้น แต่สิ่งที่ได้ตามตำแหน่ง ให้ริบกลับคืนมาทั้งหมด และขับนางออกไป..ใช้ชีวิตอยู่นอกวัง และข้าจะไม่พบกับสนมซุกวอนอีกต่อไป”
    
พระเจ้าซุกจงประกาศต่อเหล่าขุนนาง พระสมนฮีบินได้ยินข่าวก็แปลกใจยิ่งนัก เพราะตอนแรกพระราชาดูแข็งกร้าวไม่ยอมลงโทษทงอี ฮีเจหัวเราะชอบใจบอกแม้จะฆ่านางไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็กำจัดเสี้ยนหนามอย่างทงอีให้ออกจากวังไปได้

   
“แต่ถ้าไล่นางออกจากวัง ถ้าพระราชาก็มีโอกาสจะไปหานาง และยังหาโอกาสพานางกลับมาได้..” พระสนมฮีบินยังกังวล
    
“พระสนม ทรงวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ คำตัดสินนี้พระราชาตัดสินด้วยพระองค์เอง ในวันหน้าหากพระราชาทรงทำลายการตัดสินในวันนี้ พระสนมซุกวอนก็จะตกเป็นเป้าอีกครั้ง ซึ่งแปลว่าพระราชาเองก็จะสูญเสียจุดยืน จนไม่สามารถปฏิเสธคำทัดทานที่ให้ประหารพระสนมซุกวอนได้” มูยอล บอก

“พระราชาไม่อยากให้พระสนมซุกวอนตาย จึงเชื่อว่าพระองค์ไม่มีทางทำแบบนั้น พระองค์ไม่มีทางจะนำนางกลับมาได้” ฮีเจกล่าวอย่างมั่นใจ

ทงอีออกจากวังหลวง โดยมีพงซังกุงและเอจองติดตามไปอยู่ด้วยความภักดี ทั้งสามมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ต้องทำงานทุกอย่างและหุงอาหารกินกันเอง แม้จะลำบากแต่ทงอีก็อยู่อย่างสบายใจ



ทงอีออกจากวังไปแล้ว พระราชาคิดถึงทงอี เป็นอย่างมากจึงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนเสด็จมาหา

 “ฝ่าบาท” ทงอีรีบออกมารับเสด็จ เมื่อทราบว่าพระราชาเสด็จมาประทับที่หน้าบ้าน

 “ซุกวอน นี่เจ้า…ใช่เจ้าจริง ๆ เจ้าจริงด้วยทงอี ข้ามีเรื่องอยากจะบอกเจ้า ข้ามาวันนี้ เพราะข้ามีเรื่องอยากจะบอก” พระเจ้าซุกจงดีพระทัยอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นทงอี

 “ฝ่าบาท”

 “พระสนม พาไปข้างในก่อน” ขันทีรีบบอก

 “เราสองคนหนีไปด้วยกันเถอะนะทงอี ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วหนีไปด้วยกัน” พระเจ้าซุกจงตรัสกับทงอี

 “ฝ่าบาท”


“เหอะ จริงอยู่ เจ้าคงต้องบอกว่าไม่ เพราะข้าเป็นพระราชา ข้าต้องเป็นพระราชาต่อไป แต่ว่า ในฐานะคนธรรมดาคนนึง ขาดเจ้าไป.. ข้าจะอยู่ยังไง ทำไม ทำไมต้องทำให้ข้าเป็นแบบนี้ ทำไมต้องให้ข้า ไม่ได้เห็น หรือว่าสัมผัสเจ้าไม่ได้ ทำไมต้อง..ให้ข้าทนทุกข์เหมือนอยู่ในกองเพลิงแบบนี้ด้วย ข้าก็เลย..ข้าก็เลยมาถึงที่นี่เพื่อจะบอกกับเจ้าว่าตอนนี้ข้ารู้สึกน้อยใจเจ้าที่สุด อีกอย่างนึง ข้าจะมาบอกว่า ข้าคิดถึงเจ้ามาก..” พระเจ้าซุกจงคร่ำครวญก่อนจะสลบไป

 ทงอีตกใจมากเข้าไปประคอง “ฝ่าบาท ๆ ฮือ ๆ ๆ ทรงเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือเพคะ ทรงเจ็บปวดพระทัยจนถึงขนาดซูบผอมลงไปตั้งเยอะ โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย ได้โปรด โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย”

 พระเจ้าซุกจงเสด็จมาหาทงอีเป็นครั้งสุดท้าย ไม่นานนักทงอีก็ตั้งครรภ์ นางทะนุถนอม ครรภ์ โดยมีเอจองและพงซังกุงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งครบ 9 เดือน


“พระสนม ๆ ๆ ออกแรงอีกหน่อย ๆ อีกนิด ออกแรงอีกนิดเพคะ พระสนม

 “พระสนม ๆ ๆ ๆ”

 “โอ๊ย ๆ..”

 “พระสนมใกล้คลอดแล้วเพคะ ออกแรงเบ่งอีกนิดเดียวนะเพคะ พระสนม พระสนมครั้งสุดท้ายแล้วนะเพคะ ทรงออกแรงเบ่งอีกหน่อยนะเพคะ” หมอตำแยบอก


 “ประสูติเป็นองค์ชาย พระสนมประสูติพระโอรสแล้ว โอ๊ย ขอบคุณฟ้าดิน” พงซังกุงดีใจมาก กราบไหว้ฟ้าดินยกใหญ่

 “พระสนม ยินดีด้วยเพคะ ทรงได้พระโอรสเพคะ”

 “ลูกแม่” ทงอียิ้มปลื้ม แม้ร่างกายจะอ่อนเพลียมากก็ตาม


ใต้เท้าซอส่งคนไปดูแลทงอีตลอดเวลา เมื่อทงอีคลอดพระโอรสก็รีบนำเรื่องมากราบบังคมทูลต่อพระเจ้าซุกจง สร้างความดีพระทัยแก่พระเจ้าซุกจงเป็นอย่างมาก

 “ได้ลูกชายงั้นหรือ?”

 “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท และพระสนมซุกวอนทรงปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ”

 พระเจ้าซุกจงให้นำจดหมายมาให้ทงอี โดยพระราชะทานชื่อให้โอรสว่า “กึม”


“กึม ลูกแม่ นี่เป็นชื่อที่เสด็จพ่อทรงตั้งให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้ารู้รึเปล่า กึม เสด็จพ่ออยากจะให้เจ้าเป็นเหมือนแสงที่สว่างไสว ลูกแม่ อย่าได้ลืมพระประสงค์นะ ทรงอยากให้เจ้าเป็นแสงที่ส่องสว่างให้ เหล่าผู้คนในทุกชนชั้น แม้แต่ผู้ที่อยู่ต่ำที่สุด”

6 ปีต่อมา เด็กชายกึมเติบโตขึ้นมา มีบุคลิกเป็นเด็กร่าเริง และฉลาด แต่ละวันก็จะมีบรรดาซังกุงและคนในวังคอยแวะเวียนมาทักทาย พูดคุยและเล่นด้วย


 “องค์ชายเพคะ องค์ชายเพคะ โฮ ๆ ๆ โอย ๆ หายไปไหนอีกแล้วนะ” เอจองตะโกนเรียก

 “องค์ชายล่ะ ยังหาไม่เจออีกเหรอ” พงซังกุงถาม

 “ใช่สิ วิชาหายตัวนี่เก่งเหมือนพระสนมไม่มีผิดเลย”

 “โอ๊ย ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเหมือนเสด็จแม่เอาเรื่องนี้ด้วย”

 “ท่านซังกุง ข้าล่ะกลัวจริง ๆ ตอนนี้องค์ชายเพิ่งเจ็ดชันษา แล้วต่อไปจะเก่งขนาดไหน”

 “โอ๊ย แค่พระโอรสข้าก็แทบตายแล้ว ถ้ามีมาอีกคน เจ้ากับข้าคงจะไม่ได้แก่ตายแน่ ทำอะไร รีบไปตามหาองค์ชายซี่” พงซังกุงสั่ง

 ที่ตลาด ชาวบ้านต่างตื่นเต้นที่จะมีขบวนทูตจากต้าชิงผ่านมา

 “เอาละ ๆ ๆ มาฟังทางนี้ สามปีแล้วที่คณะทูตต้าชิงไม่ได้มา อยากมีโอกาสได้ดูเต็มตาใกล้ ๆ ก็แค่ห้าพุน ห้าพุน ถูกมั้ย ๆ”

 “จริงเหรอ แล้วร้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”

 “นั่นไง ร้านข้าอยู่ทางนั้น ร้านที่มีธงปักอยู่นั่นแหละ เร็ว ไปเลย รีบไปดู ตามข้ามา” เจ้าของร้านชักชวน

เด็กได้ยินตามประสาเด็กที่อยากจะเห็นขบวน จึงแอบตามไป ในจำนวนนั้น กึมก็เดินปะปนไปกับเขาด้วย


“นั่นไงล่ะ พวกเจ้าเห็นนั่นมั้ย เดี๋ยวพวกเราจะปีนขึ้นไป  ขึ้นไปดูกันบนหลังคาดีมั้ย?” เด็กคนหนึ่งเสนอ
 
“หะ ปีนขึ้นไปบนหลังคาเหรอ” กึมตาโต “อะไร แล้วเจ้าเด็กคนนี้เป็นใครเนี่ย พวกเจ้ารู้จักเหรอ?” เด็กหัวโจกหันมาถาม  คนอื่นหันมองหน้าเลิ่กลั่ก “ไม่รู้จัก ๆ ๆ”
 
“โผล่มาจากไหน นี่  เจ้าเป็นใคร”
 
“ข้า  ข้าเหรอ ข้ามาจากหมู่บ้านพันตรงนั้น ข้าชื่อกึมน่ะ” กึมบอก
 
“งั้นเหรอ ทำไมข้าไม่เคยเห็น เจ้าที่หมู่บ้านพันมาก่อนเลย เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านพันจริงจริงเหรอ”
 
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าจะมาดูคณะทูต ก็เลยตามมาดูด้วย ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้านะ”
 
“เอาเถอะ เจ้าตามมาให้ดีก็แล้วกัน อย่าให้ถูกจับได้เชียวล่ะ”
 
“เอาละ ไปกันได้”
 
เด็ก ๆ เริ่มปีนขึ้นไปบนหลังคาทีละคน “ปีนขึ้นมา”
 
“ทุกคนระวังด้วยนะ ดูให้ดีก่อนเหยียบขึ้นไปนะ เข้าใจรึเปล่า?” กึมตะโกนบอก
 
เด็ก ๆ นั่งรอ ไม่นานนักขบวนทูตต้าชิงก็เริ่มเคลื่อนมา


“ดูนั่น มากันแล้ว มาแล้ว ๆ ดูนั่นสิ สีสดใสจัง ดูนั่นสิมีม้าด้วย  ดูม้าตัวนั้น มีม้าด้วย ดูตรงนั้นสิ พวกเจ้าดูสิ”
 
เด็ก ๆ ตื่นตาตื่นใจมาก ผุดลุกผุดนั่งจนชาวบ้านเห็น “เฮ้ เด็กพวกนั้นขึ้นไปทำอะไร รีบลงมาเดี๋ยวนี้เลย เจ้าพวกลิงทะโมน”
 
เด็ก ๆ ตกใจจะหนี ด้วยน้ำหนักทำให้หลังคาพังลงมา เด็ก ๆ จึงหล่นลงไปกลางวงเหล้าของบัณฑิตที่นั่งกินดื่มและดูขบวน บัณฑิตจับตัวเด็กไว้
 
“หน็อย ไอ้เจ้าเด็กพวกนี้  กล้ามารบกวนพวกขุนนางอย่างพวกข้าเรอะ มันต้องตีสั่งสอน ไอ้ตัวแสบ ๆ พวกเด็กแสบเอ้ย”


 “ปล่อยมือออกจากตัวเค้าเดี๋ยวนี้ คนอย่างท่าน ยังเรียกว่าเป็นผู้มีการศึกษาอีกเหรอ กิริยามารยาทไร้จริยาขนาดนี้” กึมกล่าวเสียงดัง
 
“อะ อะไรนะ?”
 
“โบราณว่า บัณฑิตมิพึงดูถูกคนอื่น และอย่าได้โอ้อวดตน แม้ท่านเห็นว่าตนเองเป็นผู้สูงศักดิ์ ก็ไม่ควรเห็นว่าผู้อื่นต่ำต้อย ถึงตัวเองจะเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ควรจะดูถูกผู้น้อยว่าไร้ความหมาย ท่านเป็นถึงชนชั้นสูง แต่กลับใช้กำลังอำนาจกับเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้  รีบปล่อยเด็กคนนั้นเดี๋ยวนี้” กึมกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว
 
“เจ้าบ้า เป็นแค่ชนชั้นต่ำเห็นข้าไม่ว่าเลยคิดเหิมเกริมเอาใหญ่ คงต้องถูกตีหนัก ๆ สักทีถึงจะเข็ด พวกเจ้าทำอะไรอยู่ รีบไปจับมันไว้สิ”
 
ชาวบ้านกรูกันจะเข้าไปจึบกึม แต่กึมตะโกนบอก “หยุดเดี๋ยวนี้  ข้าเป็นองค์ชายนะ”
 
“ฮะ ๆ ๆ” ทุกคนหัวเราะ ไม่เชื่อกึม
 
“ไม่ได้ยินรึไง ข้าเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์โชซอน”
 
“หน็อย ๆ ๆ  ฮะ ๆ ๆ”
 
เป็นเวลาเดียวกับที่ทงอีออกมาตามหาลูกชายและเห็นเหตุการณ์เข้า “กึม”
 
“เสด็จแม่”



* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี


หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่  (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา