ทงอีถูกดึงเข้าสู่การทดสอบของฝ่ายตรวจการ ซึ่งหากสอบไม่ผ่านจะต้องถูกคัดออก ด้วยความช่วยเหลือจากพระมเหสี ทงอีที่สอบตกจึงได้โอกาสให้เตรียมตัวสามวัน ขณะที่จูซิกกับยูนดัลสงสัยในตัวชอนซู จึงแอบไปค้นห่อสัมภาระแล้วเจอผ้าโพกหัวที่มีสัญลักษณ์สำคัญอยู่ และเอาไปปรึกษากับทงอี
เนื้อเรื่อง:
ทงอีเพิ่งเข้ามาอยู่ฝ่ายในแต่ก็ถูกดึงเข้าสู่การทดสอบของฝ่ายตรวจการ ซึ่งหากสอบไม่ผ่านจะต้องถูกคัดออก โดยฝ่ายตรวจการให้ทงอีท่องคัมภีร์
“ท่านซังกุง ได้โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้งเถอะ ข้ายังไม่เคยเรียนคัมภีร์เล่มนั้นเลย”
“ไม่เคยรู้ หรือว่าไม่เคยเรียนมา เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น”
“ท่านซังกุง วันก่อนท่านซังกุงบอกข้าว่าให้ทำเท่าที่รู้ก็พอแล้วนี่ ที่จริงท่านซังกุงรู้แต่แรกแล้วว่าข้าไม่เคยอ่านคัมภีร์เล่มนั้นมาก่อน หรือว่าทั้งหมด ก็เพียงเพื่อจะขับไล่ข้าออกไปคะ”
“ข้าก็แค่ทำไปตามกฎเท่านั้น ถ้าแม้แต่การสอบเจ้ายังอยากจะได้สิทธิพิเศษ มันก็คงจะน่าสมเพชมาก เพราะว่า ฝ่ายตรวจการให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากที่สุด ถ้าเจ้าคิดว่า ตัวเองเป็นนางในฝ่ายตรวจการ จงรักษากฎ แล้วก็ออกไปจากฝ่ายตรวจการซะ”
“ท่านซังกุง” ทงอีพยายามอ้อนวอน
“เจ้ากลับไปรอฟังผลเถอะ” กล่าวจบนางก็เดินออกไป ทงอีได้แต่เรียกแต่ก็ไม่เป็นผล
“ถึงรู้ว่าจะต้องมีการต่อต้าน แต่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรวจการ จะใช้วิธีสกปรกไร้ยางอายขนาดนี้ได้” อ๊กจองบ่นกับนางในโช
“ท่านซังกุง ตอนนี้ท่านคิดจะทำยังไงต่อคะ ถ้ายึดตามกฎทงอีจะต้องถูกไล่ออกจากฝ่ายตรวจการ ถ้าเด็กคนนั้นถูกไล่ออกมา ท่านเองคงต้องเสื่อมเสียเกียรติอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น เราต้องหาทางทำให้เรื่องนี้..”
“ไม่หรอก ข้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าข้าออกหน้าไปช่วย ต่อให้นางรอดไปได้แต่จะมีประโยชน์อะไร เพราะทงอียังจะต้องเจอปัญหาแบบเดิมอีกหลายระลอก ขุนเขาสูงลูกนี้ จะต้องให้นางปีนผ่านไปได้ด้วยตัวเอง”
“แล้วถ้านาง ไม่มีปัญญาจะปีนข้ามไปได้ ก็อาจจะทำให้ท่านตกลงเหวไปด้วยนะ” โชกังวล
“ดังนั้นก็ได้แต่ภาวนาให้นางผ่านไปได้”
พระมเหสีอินฮอนมาปรึกษากับพระพันปีเรื่องที่ทงอีถูกถึงเข้าทดสอบทั้งที่เพิ่งเข้ามาอยู่ฝ่ายในได้เพียงวันเดียว แต่พระพันปีบอกว่าฝ่ายตรวจการก็ทำอย่างถูกต้องและไม่ขัดต่อกฎหมายโชซอน
ด้านทงอีมาพบยูซังกุงโดยบอกว่าการทดสอบไม่เป็นธรรมกับตนเอง เพราะนางยังไม่เคยอ่านคัมภีร์เล่มนั้นมาก่อน จึงถูกยูซังกุงตวาดว่าอวดดี ซังกุงสูงสุดฟังแล้วก็ถามทงอี “บอกว่าการสอบผิดพลาด เจ้าช่างไร้มารยาทสิ้นดี แล้วยังไงหา ถ้าเป็นคัมภีร์ที่รู้จัก เจ้าจะผ่านการสอบครั้งนี้ได้ใช่มั้ย?”
“เท่าที่ข้าน้อยรู้มา การท่องก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ถ้าให้เวลาที่เท่ากันกับข้าน้อย..”
“หุบปากไปซะ อย่างเจ้า แม้แต่วันเดียวก็ยังเสียเวลาเปล่า ฝ่ายตรวจการต้องวุ่นวายก็เพราะเจ้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคนอย่างเจ้า เจ้าจงกลับไปซะ” ซังกุงสูงสุดตวาดใส่
ทงอีพยายามจะขอสอบใหม่ แต่ซังกุงสูงสุดก็ไม่ยอม แต่พระมเหสีอินซอนมาคุยกับซังกุงสูงสุดเพื่อช่วยเหลือ พร้อมกับเรียกทงอีมาพบ
“ถวายบังคมพระมเหสีเพคะ หม่อมฉัน..นางในชอนทงอีเพคะ”
“เจ้าเข้ามานั่งก่อนสิ ได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว ทำให้ข้าอยากเห็นว่าเจ้าเป็นแบบไหน นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะดูบอบบางขนาดนี้ ข้าได้ยินว่า เจ้าร้องขอให้มีการสอบใหม่อีกครั้งนึง ถ้าหากให้เวลาเจ้าเท่าเทียมกับนางในคนอื่น ๆ เจ้าจะสามารถทำได้ดีเหมือนพวกนาง ว่าไงล่ะ ถ้าได้โอกาสเช่นนั้นมาจริง ๆ เจ้ามั่นใจว่าจะผ่านการสอบได้มั้ย?”
“เพคะ?”
“ข้าเองก็อยากทำให้ความวุ่นวายสงบลงโดยเร็ว จะให้เป็นอย่างนั้น เจ้าต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นให้ได้ว่า เจ้ามีคุณสมบัติเป็นนางในฝ่ายตรวจการ ดังนั้น ข้าจึงอยากจะถามเจ้าว่า เจ้ามีความมั่นใจมั้ยว่า เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้”
“เพคะพระมเหสี ถ้าหาก..ยอมให้โอกาสหม่อมฉัน หม่อมฉันต้องทำได้แน่นอน”
“ถ้าหากมีการสอบอีกครั้ง เจ้าจะไม่มีทางให้แก้ตัวอะไรอีกแล้ว ดังนั้นถ้าสอบไม่ผ่าน ก็ต้องไปจากฝ่ายตรวจการ ในข้อนี้ เจ้าเข้าใจดีใช่รึเปล่า?”
“เพคะ พระมเหสี”
ทงอีนั่งท่องคัมภีร์ พระเจ้าซุกจงทรงทราบเรื่องที่ทงอีจะได้รับการเข้าทดสอบใหม่ และอยากรู้ว่าทงอีเตรียมตัวไปได้แค่ไหน จึงเสด็จมาดู
“สุภาพชนนั้นพึงมี..คุณธรรมและ..ใฝ่..ศึกษา ให้กว้างไกล..สุขุม..คัมภีรภาพ หมายถึงสุภาพชนควรเชิดชูคุณธรรม ใฝ่ในการศึกษา ศึกษาให้มาก ไปจนถึงขั้นที่ลึกซึ้ง แล้วก็ครอบคลุมได้ สุภาพชนนั้นพึงมีคุณธรรมและใฝ่ศึกษา ให้กว้างไกล..สุขุมคัมภีรภาพ เฮ้อ..ใฝ่ศึกษามีปัญญา ปฏิบัติมีเมตตา รู้ละอายคือความกล้า ใต้เท้าผู้ช่วย” ทงอีจ้องไปที่คัมภีร์ไม่วางตา
“มองแบบนี้เดี๋ยวก็ทะลุกันพอดี” พระเจ้าซุกจงตรัสยิ้ม ๆ
“ใต้เท้าผู้ช่วย เวลาอย่างนี้ท่านมาอยู่นี่ได้ยังไง?”
“กลางดึกอย่างนี้ เหมือนได้ยินคนพูดคนเดียวเลยมาดู นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า”
“เหรอคะ แต่ดูไป ท่านแต่งตัวอย่างนี้ ดูหล่อไม่เบาเลยนะ”
“ชุด ชุดนี้เหมาะกับข้าเหรอ? ข้า ข้าเพิ่งเคยใส่ครั้งแรก เหมาะกับข้าใช่มั้ย?”
พระเจ้าซุกจงช่วยเหลือทงอีโดยการชวนนางเข้ามานั่งท่องคัมภีร์ในคลังตำราของสภาขุนนาง ทงอีมองรอบ ๆ ห้องอย่างแปลกใจ “ในที่อย่างนี้ เรามาโดยพลการไม่เป็นไรเหรอ?”
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้เวรข้าเฝ้ายามรอบดึก ไม่มีใครเข้ามาในนี้หรอกน่า”
“แต่ว่า.. เป็นถึงผู้ช่วยของท่านผู้ว่าแล้ว ต้องเป็นเวรเฝ้ายามด้วยเหรอคะ”
“อ้อคือว่า คือว่าแบบนี้.. ข้าเองก็ต้อง เข้าวังมาเพื่อผลัดเวรประจำแหละ”
“อ้อ อย่างนั้นเหรอคะ ข้าก็คิดว่าผู้ช่วยผู้ว่าไม่ต้องเข้าเวร..”
“ช่างเถอะ ๆ ๆ ไม่มีเวลาแล้ว อย่าให้เสียเวลาเลย มา รีบมานั่งอ่านหนังสือเถอะ” พระเจ้าซุกจงรีบตัดบท
“ค่ะใต้เท้า”
“เร็ว นั่งสิ เจ้าเป็นนางในฝ่ายตรวจการแล้ว ชุดของนางในนี่ เหมาะกับเจ้าเหมือนกันนะ”
“นางในอะไรกัน ยังไม่ใช่หรอกค่ะใต้เท้า ต้องรอให้ผ่านการสอบครั้งนี้ก่อนน่ะ” ทงอีบอก
“อ้อนั่นสิ เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาแล้ว แล้วเจ้ามั่นใจรึเปล่าล่ะ การสอบในฝ่ายตรวจการ ขึ้นชื่อเรื่องความหินสุดสุดเลยเชียวล่ะ”
“ข้าก็ไม่มั่นใจหรอก ถึงพยายามตั้งใจอ่าน แต่ไม่รู้เลยว่าเข้าใจถูกรึเปล่าเพราะว่าไม่มีใครให้ถามเลย นี่ใกล้จะถึงวันสอบอยู่แล้ว แต่ในหัวข้ายังว่างเปล่า ตัวก็สั่นไปทั้งตัว”
“งั้นเหรอ อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ ดูเหมือนฝ่าบาทจะมั่นพระทัยเต็มเปี่ยมเลยว่าเจ้าจะต้องทำได้ดีมากแน่ ๆ” พระเจ้าซุกจงตรัสยิ้ม ๆ
“เจ้าไม่รู้เหรอ ว่าฝ่าบาททรงตั้งความหวังไว้กับเจ้าสูงมากเลยนะ”
“นี่ท่านพูดจริงเหรอคะใต้เท้า” น้ำเสียงทงอีตื่นเต้นมาก
“ใช่สิ ถ้าฝ่าบาทมาเห็นเจ้าหมดความเชื่อมั่นอย่างนี้ละก็ คงจะผิดหวังน่าดู เจ้าเป็นใครล่ะ เป็นพงซานที่กัดแล้วไม่ปล่อยไม่ใช่เหรอ จะมาทำท่าจะยอมแพ้ได้ยังไงกัน หืม..อย่างนี้ไม่ไหว ข้าช่วยอ่านให้เจ้าฟัง ไหนดูหน่อยสิ” พระเจ้าซุกจงดึงคัมภีร์ไปอ่าน “เอาล่ะ จริงใจจึงสำเร็จ ทางธรรมจึงบังเกิด หมายความว่ายังไง”
“ใต้เท้า คืนให้ข้าเถอะ..”
“อะไร ไม่มีเวลาแล้ว รีบตอบข้ามาสิ” พระเจ้าซุกจงตรัสถาม
ทงอีนึกถึงคัมภีร์ก่อนจะท่องออกมา “ความจริงใจเป็นพื้นฐานความสำเร็จ ส่วนธรรมะเป็นหนทางที่ใช้ปฏิบัติตน อย่างนี้ถูกมั้ยคะ?”
พระเจ้าซุกจงแนะนำให้ทงอีท่องจำในส่วนสำคัญ ทงอีก็จดจำได้อย่างแม่นจำ และสามารถทดสอบผ่านจากฝ่ายตรวจการได้อย่างง่ายดาย
ฮีเจใส่ชุดประจำตำแหน่งและไปพบอ๊กจองที่เรือน แต่อ๊กจองไม่ค่อยพอใจนักเพราะคิดว่าพี่ชายน่าจะได้ตำแหน่งที่ดีกว่านี้
“แต่ว่าพี่ออกจะเลือกตำแหน่งต่ำไปรึเปล่าคะ อย่างใต้เท้าโฮแทซุก น่าจะให้ตำแหน่ง ได้ดีกว่านี้นะ”
“อยู่ในที่สูงจะเป็นที่สังเกตได้ง่าย อย่างท่านซังกุงไง อยู่ในวังโดดเด่นเป็นสง่าคนก็จะมาคอยจับผิด ข้าได้ยินว่า ช่วงก่อนฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักออนยางใช่รึเปล่า?”
“ค่ะ ทุกครั้งที่ต้องตัดสินเรื่องสำคัญจะเสด็จไปที่นั่น ดังนั้น ไม่นานคงมีการตัดสินพระทัยครั้งใหญ่”
พระเจ้าซุกจงหันมาสนใจวิชาการต่อสู้ ทำให้ท่านแม่ทัพแปลกใจมาก เลขาถามถึงสาเหตุว่าทำไมทรงสนพระทัย พระเจ้าซุกจงตรัสว่า เป็นเพราะบางคนบอกว่าพระองค์อ่อนปวกเปียกจนเกินไป ซึ่งคนที่ว่าก็คือทงอีนั่นเอง พระเจ้าซุกจงยังได้นำหลักของทงอีมาบริหารบ้านเมืองด้วย
“ฝ่าบาท รับสั่งให้กลุ่มฝ่ายใต้เข้ามา บริหารบ้านเมืองร่วมกับฝ่าบาท..แทนกลุ่มตะวันตกหรือพ่ะย่ะค่ะ” แทซุกถาม
“ที่จริงข้าไม่เคยไร้เดียงสาคิดว่าฝ่ายใต้กับตะวันตกจะร่วมแรงร่วมใจกันดูแลราชสำนักได้จริง ๆ หรอก ถ้าให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจปกครองจริง ถึงทำให้ราชสำนักสงบสุข และลดความขัดแย้งชิงดีกัน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา กลุ่มตะวันตกที่มีอำนาจมาตลอด ก็เริ่มหมดอำนาจลง ดังนั้นท่านต้องจำไว้ให้ดี ถ้าฝ่ายใต้ของพวกท่านไม่อยากมีจุดจบอย่างกลุ่มตะวันตก จงอย่าได้ลืมว่าโอกาสวันนี้พวกท่านนั้นได้มาครองได้ยังไง”
แทซุกนำเรื่องที่คุยกับพระเจ้าซุกจงมาคุยให้พรรคพวกฟังอย่างตื่นเต้น “ฝ่าบาทรับสั่งว่าจะสนับสนุนกลุ่มฝ่ายใต้ของเราอย่างเต็มที่ ในที่สุดพวกเราก็มีโอกาสแสดงความสามารถแล้ว”
“ฝ่าบาทยังรับสั่งว่า จะรีบจัดการเรื่องของ การแต่งตั้งจางซังกุงเป็นพระสนม ตามที่กลุ่มฝ่ายใต้ทูลขอโดยเร็ว เพื่อเป็นการเริ่มต้นอำนาจใหม่” โฮยอนเสริม
“กลุ่มตะวันตกที่เข้ากับพระพันปี จะต้องเข้ามาขัดขวางเรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น จะยอมให้พวกเค้าทำสำเร็จไม่ได้”
“ถ้าพี่ใหญ่ต้องการสู้กันให้ตายไปข้างนึง คงต้องการนักรบผู้กล้าที่เป็นแนวหน้าไปสู้ศัตรู โฮยางลูกข้าเหมาะสมที่จะเป็นแนวหน้า แต่ถูกขังในกองดนตรี ทำให้ข้าเองอึดอัดลำบากใจนัก พี่ใหญ่ ได้โปรดปล่อยให้พวกเราได้บุกตะลุยในศึกครั้งนี้ด้วยเถอะ” แพพุงเสนอ
“พวกเจ้า อยู่ในกองดนตรีแหละดีแล้ว เป็นผลดีกับพวกข้ามากกว่า”
“เอ่อ ขอรับพี่ใหญ่” แพพุงกล่าวอย่างผิดหวัง
พระเจ้าซุกจงแต่งตั้งอ๊กจองขึ้นเป็นพระสนม สร้างความไม่พอใจให้กับพระพันปีมองซองเป็นอย่างมาก จึงเรียกขุนนางฝ่ายตะวันตกประชุมด่วนเพื่อหาทางขัดขวาง
ด้านยังดัลสงสัยในตัวชอนซูที่เป็นแต่สัปเหร่อแต่กลับมีความสามารถมากมาย จึงชวนจูซิกมาค้นของในห่อสัมภาระ และก็เจอผ้าโพกผมสัญลักษณ์ของกลุ่มคอมเก จึงนำเรื่องมาปรึกษาทงอี
“ก็คือว่า ทงอี ขอโทษนะ เจ้าคงจะเหนื่อยมาก แต่ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้ช่วยน่ะ”
“ให้ข้าช่วยเหรอ อะไรนะ ที่บ้านท่านมีคนน่าสงสัยเหรอ?”
“เค้าเป็นสัปเหร่อกองมือปราบ ยังหนุ่มอยู่เลยแต่มีฝีมือสูงส่งมาก แถมเหาะไปเหาะมาได้ด้วย ผัวะ ๆ ๆ แป๊บเดียวนอนราบกันเป็นแถบ จนช่วงนี้ข้าเลยรู้สึกหวั่น ๆ กลางคืนก็นอนไม่หลับเลยทงอี”
“ถ้าเป็นคนน่ากลัวอย่างนั้น ก็ไล่เค้าไปสิคะ”
“เพราะไม่กล้าน่ะสิถึงมาขอให้เจ้าช่วย เจ้าช่วยข้าหน่อยได้มั้ย?” ยังดัลขอร้อง “เจ้าเป็นนางในในฝ่ายตรวจการ น่าจะสืบหาเบื้องหลังของเจ้าหมอนั่นได้”
“เรื่องอย่างนี้ข้าจะไป…”
ยังดัลรีบพูดขึ้น “อย่าปฏิเสธเลยช่วยข้าหน่อยเถอะ ข้ากลัวเจ้าหมอนั่นมาก แม้แต่ชื่อก็ยังไม่กล้าถามเลย ข้าไปค้นของ ๆ เค้า แล้วก็เจอไอ้นี่มา” ยังดัลยื่นผ้าโพกหัวสัญลักษณ์คอมเกให้ ทงอี ทงอีเห็นก็ตื่นเต้น ยังดัลรีบถาม
“ดูมีพิรุธแล้วใช่มั้ย ดังนั้น…”
“ท่านไปเจอมันที่ไหน ผ้าผืนนี้มันไปอยู่ที่เค้าเหรอคะ?” ทงอีรีบถามขึ้น
“เอ๊าะ อ้อ ใช่แล้ว เหมือนเป็นของสำคัญ อุตส่าห์ห่อผ้าไว้ซะมิดชิดเลย”
“ท่านบอกว่าคนนั้นอยู่ที่กองปราบใช่มั้ย?” ทงอีถาม
ทงอีมาที่กองปราบและถามหาสัปเหร่อ ทหารที่เฝ้าอยู่บอกว่าชอนซูออกไปข้างนอก ทงอีตื่นเต้นมากเพราะชื่อชอนซูเหมือนกัน
“เมื่อกี้ ท่านเรียกชื่อเค้าว่า…ชอนซู เหรอคะ คน ๆ นั้นชื่อว่า ชอนซูงั้นหรอคะ”
“ใช่ เค้าชื่อว่าชาชอนซู แต่ว่า ท่านมาตามหาเค้าทำไมเหรอท่านฮังอา?”
* ข้อมูลจากเดลินิวส์ / ภาพ captures จากละครเอ็มบีซี
หมายเหตุ: ละคร "ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์" ถูกนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-13.00 น. และ 19.15-20.15 น. ทางช่อง 3 แฟมิลี่ (ยกเว้นเย็นวันศุกร์ สามารถรับชมได้ในเวลา 19.00 - 20.00น.) ออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพื่อป้องกันสแปม ความเห็นของคุณจะปรากฏทันทีที่ได้รับการตรวจสอบจากเรา